God-level Store Manager เถ้าแก่ขั้นเทพ! - ตอนที่ 1133
ตอนที่ 1133
หลังผ่านถนนไปหลายสาย ภาพฉากในเซ็นน่าก็ค่อยกลับมาต้องตาเฮอร์แมนอีกครั้งหนึ่ง
ประสบการณ์จากร้านกาแฟเมื่อครู่ยังคงเล่นวนเวียนซ้ำในความคิด มันราวกับเขาฝันไป แต่การรับรู้ถึงพลังเวทและไม้เท้าที่เบาลงเป็นสิ่งย้ำเตือน ทั้งหมดคือความจริง
เขาไม่อาจเข้าใจ เหตุใดเจ้าของร้านยังหนุ่มถึงเปิดร้านในสถานที่ไกลห่างส่วนนั้นของเซ็นน่า เครื่องดื่มที่เรียกว่ากาแฟ เหตุใดจึงให้ผลลัพธ์ที่เกินกว่าผู้ใดคาดคิดถึง และยังไม่มีราคาขายที่แน่ชัด
ต่อให้เขาที่เป็นนักสืบ ยังเกิดรู้สึกว่าร้านกาแฟแห่งนั้นมีม่านหมอกหนาปกคลุมไม่อาจมองเห็นกระจ่างชัด หากจะได้เห็น ก็เพียงภาพร่างเงาอันเลือนราง
“ร้านประหลาด เจ้าของร้านก็ประหลาด…” เฮอร์แมนพึมพำกับตนเอง “กาแฟรสชาติดี แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าไม่หวาน”
ด้วยโชคดีเล็กน้อย รถรางเวทมนตร์บังเอิญผ่านมาพอดี หลังซื้อตั๋ว เขาจึงขึ้นโดยสารมุ่งหน้ากลับสำนักงานสร้างฝัน
“โจดี้ ผมกลับมาแล้ว” ก้าวเดินเข้าสู่ด้านในสำนักงาน เฮอร์แมนได้เห็นโจดี้กำลังอ่านหนังสืออยู่หลังโต๊ะ
“ตั้งแต่ออกไปก็ไม่นาน อีกสักพักกว่าสำนักงานจะปิดทำการ นี่ไม่คล้ายใช่คุณ” โจดี้มองเฮอร์แมน
“หากหมดธุระ ผมก็กลับมาที่สำนักงานก่อนเวลาอยู่แล้ว” เฮอร์แมนนั่งลงพร้อมวางไม้เท้าไว้ข้างกาย “คุณก็ทราบว่าอาชีพนักสืบจำเป็นต้องเร่งรีบในบางครั้ง ทุกสิ่งอย่างคืองาน”
“ก็คงเป็นอย่างนั้น” โจดี้เผยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นเธอจึงเริ่มรายงานกิจการของสำนักงานสร้างฝัน “หลังคุณออกไปก็ไม่มีลูกค้าแวะเวียนมา”
“แต่ช่วงนี้จะหย่อนยานก็ไม่ได้ เทศกาลไนการ่าใกล้เข้ามาทุกที งานยุ่งยากจะต้องเข้ามาแน่” เฮอร์แมนถอนหายใจ
“เหตุใดฉันรู้สึกเหมือนคุณแตกต่างไปจากตอนก่อนจะออกไป?” โจดี้มองที่เฮอร์แมนพร้อมคิ้วขมวด
“อาจจะคิดไปเอง” เฮอร์แมนทำได้เพียงยิ้มรับ เขาไม่คิดเปิดเผยเรื่องร้านกาแฟออกไป ตอนนี้จึงลุกขึ้น “ผมจะไปทำยาน้ำเสียหน่อย ไม่นานมานี้ใช้หมดเร็วเกินไปแล้ว”
โจดี้รับชมร่างเฮอร์แมนที่หายขึ้นชั้นสอง สายตาของเธอกลับมามองที่หนังสือตรงหน้าอีกครั้ง ผ่านไปพักหนึ่งจึงมีเพียงแต่เสียงพลิกหน้ากระดาษในห้องสำนักงานอันเงียบงัน
ทางด้านลั่วฉวนและเหยาซือหยานที่ออกจากร้านกาแฟ ทั้งสองพูดคุยกันก่อนจะตัดสินใจไปยังภัตตาคารชายหาดศิลาทมิฬที่เคยไปอีกครั้งหนึ่ง เพราะดูจากความกระตือรือร้นของเอวานที่มีแต่ภัตตาคาร ตอนนี้สมควรปรับปรุงร้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว
โดยสารรถรางเวทมนตร์เพียงครู่ ลมโชยเย็นเยือกจากทะเลยามค่ำคืนก็พัดผ่านเข้ามา ภาพชายหาดปรากฏให้เห็นทอดยาวตรงหน้า
ถนนเลียบหาด แสงไฟจากตะเกียงพลังเวทมนตร์คอยส่องสว่างให้แก่ผู้คนสัญจร เสียงคลื่นที่ดังกระทบหาดทรายดังให้ได้ยินอย่างมีมนต์ขลัง
“เหมือนว่าจะเปิดแล้ว ดูคึกคักไม่ใช่น้อย” เหยาซือหยานมองภัตตาคารชายหาดศิลาทมิฬที่เปิดทำการอีกครั้ง หน้าร้านมีฝูงชนยืนรอกันเนืองแน่น
หลังโดยสารรถรางเวทมนตร์จนถึงปลายทาง ทั้งสองเดินเท้าต่อ จากบทสนทนาของคนอื่นที่เดินไปมา มันทำให้พวกเขาได้ทราบเรื่องที่มีบริการปิ้งย่างด้วยตนเองแล้ว
“ปลาย่าง มีลูกค้าสั่งปลาย่างอีกสอง!”
“มีอะไรให้ดื่มไหม? ส่งมาหน่อย อะไรก็ได้”
“ทำไมอาหารยังไม่มาอีก? นี่พวกเรารอนานมากแล้วนะ”
“รบกวนรอสักครู่ พวกเรากำลังปรุงอยู่ ขอคุณลูกค้าโปรดรอ…”
ภาพอันคึกคักปรากฏให้เห็น เสียงสนทนาร้องตะโกนเรียกดังไม่หยุดหย่อน เป็นภาพที่ไม่ว่าใครได้เห็นก็รับรู้ถึงความวุ่นวาย
เอวานตอนนี้กำลังดูแลคนงานในภัตตาคาร และความวุ่นวายของานก็เหมือนไม่ได้ยุ่งเหยิงแต่อย่างใด ราวกับตระเตรียมไว้ดีพร้อมรับเรื่องราวแต่แรกแล้ว
“ลูกค้าทางด้านนั้นต้องการจานช้อน จัดชุดแล้วนำส่งให้ด้วย” เอวานออกคำสั่ง ขณะเดียวกันนี้เองที่เขาได้เห็นสองร่างอันคุ้นเคยเดินเข้ามา
เมื่อหันมองให้แน่ชัด หลังได้ยืนยันว่าไม่ใช่คิดไปเอง รอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าเขาพร้อมเร่งรีบเข้าไปทักทาย
“พวกเราแค่มาหาอะไรทาน”
เหยาซือหยานกล่าวบอก ทั้งสองไม่ช้าจึงได้ที่นั่งในร้าน แขกคนอื่นที่มาใช้บริการต่างเกิดความสงสัย ว่าลั่วฉวนและเหยาซือหยานรู้จักกับเจ้าของภัตตาคารชายหาดศิลาทมิฬได้ยังไง
บริการปิ้งย่างด้วยตนเองเป็นที่ได้รับความนิยม นั่นก็เพราะพวกเขาจะได้ลองด้วยตนเอง เลือกความสุกด้วยตนเอง แม้ไม่มีพรสวรรค์แต่ก็ยังสนุกไปกับมันได้
หลังทำพลาดไปสักหลายครั้ง พวกเขาจะเข้าใจด้วยตัวเองว่าไม่เหมาะกับบริการปิ้งย่างด้วยตนเอง เพราะเหตุนี้บริการปิ้งย่างเพื่อจำน่ายของทางภัตตาคารจึงเตรียมความพร้อมรอรับลูกค้าเดิมกลับมาทานอย่างครบถ้วน
อีกทั้งบริการย่างโดยพนักงานที่หน้าร้านยังมีกลิ่นหอมฟุ้งกระจายทั่ว เพียงแค่ได้กลิ่นก็มากพอทำน้ำลายไหลหยดแล้ว เป็นแบบนี้ใครจะอดใจได้ไหว?
……
เสียงน้ำฝนตกกระทบยังคงดังจากภายนอก แม้ค่ำแล้วฝนก็ยังคงตกต่อเนื่อง แสงจากภายในห้องสาดส่องไม่สว่างเท่าใดนัก แต่ก็มากพอทำให้ภายในห้องดูอบอุ่น
ซ่งฉิวหยิ่งถือโทรศัพท์วิเศษเอาไว้ หลังครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง นางพลิกตัวไปมาบนเตียง แขนข้างหนึ่งใช้หนุนรองศีรษะ เสียงพึมพำประหลาดดังปรากฏจากริมฝีปาก
“ฉิวหยิ่ง ทำอะไรอยู่น่ะ?” เว่ยฉิงจู่ที่กำลังทานมันฝรั่งทอดซึ่งซื้อมาจากร้านต้นตำรับ เพราะได้ยินเสียงประหลาดจึงเข้ามาถาม
“คิดเรื่องราวต่อไปไม่ออกน่ะสิ” หลินว่านฉวงเผยยิ้มพร้อมกล่าวข้อคาดเดา
ทั้งสามต่างเผยแพร่ผลงานของตนผ่านทางแอพนักอ่าน และผลตอบรับก็ค่อนข้างดี
“ใช่ ไม่รู้จะเขียนอะไรน่ะสิ!” ซ่งฉิงหยิ่งลุกพรวดขึ้น “ถ้าไม่มีโครงเรื่อง อย่างนั้นก็ไม่มีบทใหม่ ถึงตอนนั้นคนที่รอคอยจะผิดหวัง คนอ่านจะค่อย ๆ หายไป… อ๋า ยากเกินไปแล้ว!”
เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้สร้างผลงาน ลั่วฉวนได้ตั้งรางวัลไว้สำหรับคนที่ทำงานเต็มเวลานอกจากผลึกวิญญาณที่ใช้จ่ายเพื่ออ่านผลงาน อย่างไรแล้วผลึกวิญญาณสำหรับเขาก็แค่ตัวเลข เขามีมากพอที่จะแบกรับและสนับสนุนวงการนี้ของต่างโลกให้ก้าวหน้าขึ้นมาได้
“นั่นสินะ ข้าเองก็เป็น” เว่ยฉิงจู่เผยยิ้ม
“แล้วแก้ไขยังไง?” ซ่งฉิวหยิ่งจับจ้องด้วยดวงตาเป็นประกายเพื่อสอบถาม
“ในความเห็นของคนอ่านทั้งหลาย มีมากมายที่น่าสนใจ พวกเขาพูดได้ดี บางทีอ่านแล้วก็ได้แนวคิดโครงเรื่องมาไม่ใช่น้อย” เว่ยฉิงจู่ถ่ายทอดประสบการณ์ “หากไม่ค่อยดี เช่นนั้นก็ถือว่าเขียนบันทึกประจำวันไปก็แล้วกัน”
“ทุกวันเลย?” ซ่งฉิวหยิ่งงุนงง
“ชีวิตประจำวัน นอกจากชีวิตประจำวันของตัวเอกแล้วก็ยังมีตัวรอง เนื้อหาทั้งหลายสามารถพลิกเปลี่ยนตัวละครนำเสนอได้” เว่ยฉิงจู่เผยยิ้มกล่าวบอก
หลินว่านฉวงพยักหน้ารับเห็นพ้องกับข้อเสนอ
ซ่งฉิวหยิ่งเกิดครุ่นคิด “เหมือนว่าจะพอเข้าใจอะไรบ้างแล้ว”
“เขียนเรื่องราวชีวิตประจำวันเปลี่ยนบรรยากาศ โครงเรื่องหลักอาจจะเว้นพักไปก่อน ขณะเดียวกัน บางทีก็อาจแฝงโครงเรื่องถัดไปเอาไว้ในโครงเรื่องแยกย่อยเหล่านี้เพื่อชักนำให้เกิดความอยากอ่านขึ้นมาได้” เว่ยฉิงจู่วางถุงมันฝรั่งทอดก่อนจะเตรียมเริ่มงาน
“พอทราบแล้วว่าข้าควรเขียนอะไรดี” ซ่งฉิวหยิ่งตอนนี้ในใจเปี่ยมด้วยแรงใจอีกครั้ง โครงเรื่องใหม่นับพันหมื่นตัวอักษรปรากฏขึ้นในใจแล้ว
“ลุยเลย” หลินว่านฉวงกำหมัดเผยท่าทีให้กำลังใจ