Gourmet Food Supplier อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 761-767
ตอนที่ 761
ความดื้อรั้นดันทุรังและความเคร่งขรึม
ทันทีที่พวกเขามาถึง อู๋ไห่ก็ก้าวขึ้นหน้ามาแล้วพูดว่า “อาจารย์หลิวจาง คุณต้องเข้าคิวนะครับ นี่เป็นกฎของร้านหยวนโจว แต่มีคนไม่เยอะคงใช้เวลาไม่นานก็ถึงคิวของคุณแล้วล่ะครับ” อู๋ไห่มักจะสุภาพอยู่เสมอเมื่อเผชิญหน้ากับคนที่สามารถทำอาหารได้
“ครับ ผมได้ยินเรื่องกฎนี้ในร้านหยวนโจวมานานแล้วล่ะครับ การมีกฏเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนวุ่นวายนับเป็นเรื่องที่ดีทีเดียว” หลิวจางไม่ถือสา เขายืนต่อท้ายแถวแล้วรอคอย
ขณะที่อู๋ไห่กำลังคอบอยู่ที่ประตูอยู่นั้นก็มีเรื่องเกิดขึ้นในร้าน
“ขอหมูแผ่นอวี่เซียงที่นึง” ลูกค้าที่สวมหมวกสั่ง
หมู่แผ่นอวี่เซียงไม่อยู่ในเมนู ดังนั้นโจวเจียจึงอธิบายให้ฟังว่า “ขอประทานโทษด้วยนะคะคุณลูกค้า มีแค่อาหารที่ระบุเอาไว้บนเมนูเท่านั้น หมูแผ่นอวี่เซียงไม่อยู่บนเมนู ดังนั้น…”
ลูกค้าที่สวมหมวกอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “ผมหมายความว่าผมอยากได้ข้าวกล้องจากเมนูข้าวร้อยอย่างกับหมูแผ่นอวี่เซียง พอผสมกันแล้วก็เหมือนกับข้าวผสมหมูแผ่นอวี่เซียงนั่นแหละ”
มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ? โจวเจียถึงกับตะลึงงันไปเพราะเธอไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ดังนั้นเธอจึงมองไปทางหยวนโจวเพื่อส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
การผสมผสานของเมนูข้าวร้อยอย่างกับหมูแผ่นอวี่เซียงเทียบเท่าได้กับข้าวผสมหมูแผ่นอวี่เซียงงั้นหรือ?
แต่สิ่งที่เขากล่าวก็สมเหตุสมผลมากเสียจนโจวเจียไม่สามารถตัดสินใจเองได้ เธอจึงต้องรอคำตอบของหยวนโจว ลูกค้าตรงโต๊ะถัดไปก็กำลังฟังด้วยความอยากรู้เช่นเดียวกัน ถ้าหากพวกเขาสามารถสั่งแบบนี้ได้ ทำไมพวกเขาจะทำแบบนี้กับหมูสองไฟ ไก่คังเป่า เนื้อปลาต้มผักกาดดองและเมนูอื่นๆไม่ได้กันเล่า?
“ดูเหมือนจะค้นพบวิธีการสั่งอาหารแบบใหม่ๆแล้วสินะ?”
“อืม ฉันไม่เคยลองกินแบบนั้นมาก่อนเลย คราวหน้าฉันต้องลองสั่งข้ามผสมหมูสองไฟดูบ้างแล้วล่ะ”
“ฉันตั้งหน้าตั้งตารอคอยข้าวผสมไก่คังเป่าแทนเลยแหละ”
“ฉันรู้สึกว่าข้ามผสมข้อเท้าหมูตงพัวก็ไม่เลวเหมือนกันนะ” มีคนกล่าวขึ้นมาตามอำเภอใจ
“นั่นมันก็หนักเกินไป”
บรรดาลูกค้าเริ่มคุยเรื่องนี้กัน
ในตอนนี้หยวนโจวทำอาหารเสร็จแล้ว หลังจากยกจานลง เขาก็พูดขึ้นทันที
“ขอประทานโทษด้วยครับ ร้านของเราไม่ได้จำหน่ายข้าวผสมหมูแผ่นอวี่เซียง” หยวนโจวตอบอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
“ผมรู้แล้วน่า เถ้าแก่หยวน งั้นผมจะสั่งหมูแผ่นอวี่เซียงกับเมนูข้าวขาวร้อยอย่างแทน แบบนั้นคงไม่ขัดกับกฏของคุณแล้วใช่ไหม?” ชายที่สวมหมวกค่อนข้างฉลาดมากทีเดียว
“ไม่ได้หรอกครับ ร้านนี้ไม่ได้จำหน่ายข้าวผสมหมูแผ่นอวี่เซียงจริงๆ” หยวนโจวเน้นย้ำ
“คุณหมายความว่าไงครับ? ตราบใดที่ไม่แหกกฏของคุณ ทำไมผมจะสั่งไม่ได้กันเล่า?” ลูกค้าผู้นั้นถามด้วยความสับสน
“น้ำซุปต้องแช่เมล็ดข้าวเอาไว้กว่าครึ่งในอาหารประเภทข้าวผสม เมื่อเติมข้าวลงในหมูแผ่นอวี่เซียงก็คงไม่ถึงระดับนี้อยู่ดีนั่นแหละ” หยวนโจวอธิบายด้วยความจริงจัง
“หมายความว่ายังไงกัน?” ลูกค้ารู้สึกสับสนโดยสิ้นเชิง
“สิ่งที่เถ้าแก่หยวนว่ามาก็ดูเหมือนจะถูกนะ แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเข้าใจเหมือนกันหรอกนะ?” ลูกค้าอีกคนที่รู้สึกสับสนโดยสิ้นเชิงเช่นเดียวกันกล่าวขึ้น
“ใช่แล้วล่ะ” ลูกค้าอีกคนเห็นด้วย
“เรื่องนั้นง่ายมากเลยล่ะ คุณหยวนพยายามที่จะบอกว่าหมูแผ่นอวี่เซียงที่นำมาใช้ในข้าวผสมหมูแผ่นอวี่เซียงแตกต่างไปจากหมูแผ่นอวี่เซียงที่เขาทำน่ะสิ ความข้นของน้ำซุปที่แตกต่างกันทำให้ข้าวผสมที่แช่ไว้ไม่เพียงพอ ดังนั้นคุณจึงไม่สามารถเรียกมันว่าข้าวผสมหมูแผ่นอวี่เซียงได้อย่างไรเล่า” คุณเฉิงอธิบาย
เดิมทีคุณเฉิงเองก็รู้สึกสับสนเช่นกัน แต่หลังจากลองใคร่ครวญดูแล้ว เขาก็เข้าใจสิ่งที่หยวนโจวอยากจะสื่อได้ ลูกค้าสามารถกินอาหารจานไหนก็ได้ที่พวกเขาอยากจะกิน แต่ก็ยังต้องมอบคำอธิบายที่ชัดเจนให้แก่พวกเขาด้วย
“ฉันไม่คิดว่าจะมีความแตกต่างกันตรงไหนเลย ยังไงเสียหมูแผ่นอวี่เซียงที่ฉันกินเมื่อวันนั้นก็อร่อยสุดยอด” ลูกค้าไม่อาจเข้าใจสิ่งที่หยวนโจวพยายามที่จะบอกได้
” รู้ไหมว่าทำอะไรโง่ๆลงไป? นายสามารถกินอาหารจานไหนที่อยากกินก็ได้ แต่คุณหยวนกำลังจะบอกนายว่าสิ่งที่นายจะกินไม่ใช่ข้าวผสมหมูแผ่นอวี่เซียงหรอกนะ นายแค่ต้องจดจำเรื่องนั้นให้ขึ้นใจเสียด้วยล่ะ” คุณเฉิงอธิบายอย่างจนปัญญา
“โอ้ เข้าใจแล้วล่ะ เถ้าแก่หยวน งั้นผมเอาหมูแผ่นอวี่เซียงกับข้าวขาวร้อยอย่างๆละที่แล้วกัน” ลูกค้าผู้นั้นสั่งอาหารใหม่ทันที
“ได้ครับ โปรดรอสักครู่” โจวเจียตอบขึ้นมาทันที
เหตุการณ์นี้สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว แต่หลิวจางกับอู๋ไห่ก็ยังเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเข้าจนได้
“สมกับเป็นเจ้าเข็มทิศจริงๆ เขาทำตามกฏไปเสียทุกอย่างเลย
“จริงด้วย นี่เป็นแค่เรื่องของชื่ออาหารแท้ๆ” หลิวจางเป็นคนที่ไม่สนใจเรื่องชื่อเสียง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อาจเข้าใจว่าทำไมหยวนโจวถึงได้ยืนกรานเสียขนาดนั้นด้วย
“นี่คือความจริงจังของคุณหยวนเมื่อยามที่เอ่ยถึงการทำอาหารอย่างไรเล่า ด้วยความจริงจังเช่นนี้แหละที่ทำให้เขาสามารถทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม” คุณเฉิงกล่าวพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้า
“แน่นอนว่าเชฟต้องยอมให้ลูกค้าของตัวเองรู้ว่าเขากำลังทำอาหารอะไรอยู่ ถ้าหากลูกค้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยหลังจากทานอาหารของคุณแล้ว ก็นับว่าคุณประสบความล้มเหลวในฐานเชฟเสียแล้วล่ะ” คุณเฉิงย้ำด้วยสีหน้าจริงจัง
แน่นอนว่าเขาย่อมเคยได้ยินเรื่องนี้จากหยวนโจวมาก่อน แต่กลับไม่ใช่ฉบับดั้งเดิมที่หยวนโจวเคยเล่าให้ฟัง ทว่าเป็นฉบับปรับปรุงใหม่
“จริงแฮะ ที่พูดมาก็มีเหตุผลอยู่นะ ตอนที่วาดภาพ คุณต้องยอมให้คนอื่นเห็นสิ่งที่กำลังวาดเพื่อดูสิ่งที่คุณพยายามที่จะแสดงออกผ่านการวาดภาพ” อู๋ไห่กล่าวด้วยท่าทีครุ่นคิด
“ไม่แปลกเลยที่เถ้าแก่หยวนจะทำอาหารเก่งขนาดนั้นทั้งๆที่อายุยังน้อยอยู่เลย งั้นความกระหายวิชาของเขาก็คงไม่ใช่เหตุผลเพียงอย่างเดียวเสียแล้วล่ะ” หลิวจางกล่าวพลางนึกถึงท่าทีเอาจริงเอาจังและกระหายใคร่รู้ของหยวนโจวที่มีต่อการเรียนรู้
“คุณหลิว สั่งอาหารที่อยากกินได้ตามสบายเลยนะครับ ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆแต่ผมต้องกลับไปสตูดิโอก่อนนะครับ” อู๋ไห่กล่าวอย่างสุภาพยิ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ยากจะพบได้จากเขา
“แต่อาหารของคุณล่ะ…” หลิวจางกำลังจะบอกอู๋ไห่ว่าเขายังทานอาหารไม่หมดก็กลับไม่ได้หรอกนะ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรออกมาก็พบเห็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องตกตะลึงจนพูดไม่ออก
อู๋ไห่แสดงความเร็วในการกินที่คาดไม่ถึงออกมา เพียงชั่วพริบตาเดียวเขาก็ทานข้าวผัดไข่ ข้อเท้าหมูตงพัวและเต้าหู้น้ำมันขาวหมดไปอย่างละจาน
แม้แต่ในขณะที่เขาสวาปามอาหารอยู่นั้น เขาก็ยังมีเวลารำพึงออกมาว่า “เฮ้อ พอไม่มีฉินเสี่ยวอี้มาแย่งชิงอาหารกับผม ความเร็วของผมก็ลดลงไปเยอะเลย ช่างเป็นความรู้สึกที่โดดเดี่ยวเสียจริง”
ความเร็วของอู๋ไห่น่าตื่นตะลึงเกินไปจนทำให้หลิวจางต้องเหม่อมองเขา
“แล้วเจอกันนะครับ” ไม่ว่าจะตกใจสุดขีดเพียงใด แต่หลิวจางเป็นผู้ที่เห็นโลกมาเยอะ ดังนั้นเขาจึงได้สติจากความตกใจสุดขีดและบอกลาอู๋ไห่เมื่อเขาจะออกไปแล้ว
“ด้วยความยินดีครับ” อู๋ไห่กล่าวแล้วหายตัวไป
จากท่าทางของเขา เห็นได้ชัดว่าจู่ๆเขาก็เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาทันทีจึงต้องรีบกลับไปวาดภาพเสียก่อน
“นั่นซินะ คนรอบตัวเถ้าแก่หยวนเป็นพวกที่มีพรสวรรค์กันทั้งนั้นเลย” หลิวจางรำพึง
โชคดีที่หยวนโจวไม่ได้ยินเรื่องนี้ มิฉะนั้นเขาคงต้องคัดค้านเป็นแน่ เขาคิดว่าพรสวรรค์ของอู๋ไห่ก็คือเรื่องกินอันเป็นเรื่องที่แตกต่างไปจากเขาโดยสิ้นเชิง
“การทำอาหารทั้งหมดด้วยตัวเองทว่ายังสามารถสร้างสรรค์อาหารง่ายๆและซับซ้อนต่างๆได้อีกมากมาย เขาช่างเป็นเชฟที่ยอดเยี่ยมจริงๆ” หลิวจางรู้ว่าหยวนโจวยอดเยี่ยมมากเพียงใดได้ด้วยการมองไปที่เมนู
ถึงอย่างไรแล้วนอกเหนือไปจากอาหารตำหรับเสฉวนก็ยังมีของว่างจินหลิง อาหารจินหลิงและอาหารชนิดอื่นๆอยู่บนเมนูด้วย
เมื่อเขาเห็นว่าหยวนโจวเตรียมทุกอย่างด้วยตัวเองในครัวก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าหยวนโจวรู้จักหลายๆสิ่งหลายๆอย่างและเข้าใจวัตถุดิบพวกนั้นเป็นอย่างดี
“หญ้าจินหลิง หมูสองไฟ ข้าวขาวธรรมดาแล้วก็หมั่นโถวไหมพันเส้นอย่างละที่ครับ” หลิวจางสั่ง
“หมั่นโถวไหมพันเส้นเป็นหนึ่งในหมั่นโถวร้อยอย่าง ผมสามารถสั่งได้ไหมครับ?” หลิวจางถาม
“ได้ค่ะ วันนี้มีขนมด้วยนะคะ” โจวเจียพยักหน้า
“เยี่ยมไปเลยครับ แค่นั้นแหละ” หลิวจางพยักหน้า
ตอนที่สั่งอาหารนั้นหลิวจางจะเป็นคนที่พิถีพิถันมาก ดังนั้นเขาจึงสั่งอาหารอย่างละที่โดยของว่างที่เขาสั่งเป็นอาหารว่างจานเด็ดของชนเผ่าในประเทศ
ตอนที่ 762
เลี้ยงอาหารใครสักคน
ออเดอร์ของหลิวจางไม่มีผลกับคนอื่น เขานั่งอยู่ตรงนั้นแล้วรออยู่เงียบๆหลังจากสั่งอาหารแล้ว
บรรดาลูกค้าทั้งหลายในร้านต่างทำเรื่องของตัวเองต่อไป บ้างก็มุ่งความสนใจไปที่อาหารของตัวเองเหมือนอย่างอู๋ไห่ บ้างก็ไม่พูดอะไรให้มากความและบ้างก็เพลิดเพลินกับการกินไปด้วยคุยไปด้วย
ทุกคนต่างสามัคคีกันนึกถึงแต่เรื่องของตัวเอง
“แพนเค้กผลไม้เช้านี้อยู่ไหนอ่ะ? พวกเขายังไม่ออกมาอีกงั้นเหรอ?”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงไปหรอก พอดีวันนี้ลูกชายของตาแก่แต่งงานน่ะสิ นั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้เขาไม่อยู่ที่นี่อย่างไรเล่า”
“เยี่ยมไปเลย ฉันคงจะรู้สึกแปลกพิกลถ้าต้องหยุดกินแพนเค้กผลไม้”
นี่ก็คือบทสนทนาระหว่างหญิงสาวทั้งสองคน พวกเธอแต่งกายในชุดทำงานทั้งยังเป็นพนักงานบริษัทอยู่ในสำนักงานละแวกใกล้เคียงโดยหาเงินได้ประมาณเดือนละ 4,000 หรือ 5,000 หยวน
พวกเธอไม่มีปัญญาจ่ายเงินให้ร้านหยวนโจวบ่อยๆหรอกถึงแม้ว่าพวกเธอจะสั่งเพียงแค่อาหารขั้นธรรมดาที่สุดอย่างข้าวผัดไข่และก๋วยเตี๋ยวน้ำใสก็ตามที ดังนั้นพวกเธอก็จะมาเป็นครั้งคราวเพื่อเป็นการให้รางวัลแก่ตัวเองสำหรับการทำงานหนัก
พวกเธอยังต้องผ่านถนนเถ่าซือเพื่อไปให้ถึงสำนักงานของตัวเองด้วย ดังนั้นพวกเธอก็จะสามารถเห็นร้านหยวนโจวได้ทุกๆเช้า
ไม่มีใบไม้ที่เหมือนกันสองใบอยู่ในโลกนี้แล้วก็ไม่มีคนสองคนที่มีความคิดเหมือนกันแน่นอน การดำรงอยู่ของร้านหยวนโจวมีความสำคัญต่อทุกคนแตกต่างกันออกไป
สำหรับอู๋ไห่แล้ว ร้านคือทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนหลิงหงนั้น นี่คือสถานที่ที่จะออกมาเที่ยวยามที่เขารู้สึกเบื่อ ส่วนคุณเฉิง นี่คือสถานที่ที่เขาจะได้เรียนรู้เรื่องการทำอาหาร ส่วนอู๋โจวกับแฟนสาวของเขานั้น นี่คือสถานที่ที่เขาจะออกมาเดทกันและทำเรื่องอื่นๆ แน่นอนว่าก็ยังมีบางคนที่เห็นร้านเป็นเพียงสถานที่เพื่อทานอาหารเพียงเท่านั้น
“ฉันหวังว่าตาแก่ขายแพนเค้กผลไม้จะมีชีวิตอยู่ไปนานๆนะ”
“เพื่อให้เธอสามารถซื้อแพนเค้กผลไม้ทุกๆวันงั้นเหรอ?”
“แหงล่ะ”
“เธอกินแพนเค้กผลไม้อยู่ได้ทุกวี่ทุกวันไม่เบื่อหรือไงกัน? เธอเคยได้ยินคำพูดที่ว่ากินอะไรก็ได้อย่างนั้นไหมล่ะ? ดูหน้าเธอสิ อย่างกับแพนเค้กเลย”
“ไปให้พ้นเลยนะ ดูหุ่นตัวเองเสียก่อนเถอะ”
นี่เป็นการกระเซ้าเย้าแหย่ระหว่างเพื่อนสนิท นับตั้งแต่ร้านหยวนโจวมีชื่อเสียงขั้นมา แผงลอยขายของว่างหรืออาหารเช้าที่เปิดหน้าร้านก็มากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นขนาดของแผงลอยเหล่านี้ก็เพิ่มขึ้นไม่หยุดอีกด้วย ทั้งที่เมื่อปีที่แล้วยังมีแผงขายซาลาเปาอยู่ตรงถนนเถ่าซือแค่แผงเดียวอยู่แล้ว
ตอนนี้มีแผงขายน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ แผงขายขนมเข่งเมล็ดงาดำ แผงขายแพนเค้กผลไม้และอื่นๆอีกมากมาย หยวนโจวเองก็ไม่นึกว่าเขาจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงถนนทั้งสายไปอย่างทีละเล็กทีละน้อย
ประจักษ์พยานที่ดีที่สุดของเรื่องนี้ก็คือพนักงานบริษัททั้งสองคนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าใครก็ต้องรับประทานอาหารเช้าในตอนเช้าเพื่อรักษาระดับพลังงานเอาไว้ ทั้งสองคนนี้ทำงานที่นี่มาได้สองสามปีแล้ว เมื่อก่อนไม่มีอาหารเช้าให้เลือกมากนัก ทว่าตอนนี้พวกเธอสามารถเลือกสิ่งที่ชอบได้แล้ว
เมื่อไม่นานมานี้ ชายวัยกลางคนที่ขายปาท่องโก๋ต้องหยุดแผงของตัวเองไปเนื่องจากเรื่องบางอย่างในครอบครัว นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวที่เพลิดเพลินกับแพนเค้กผลไม้รู้สึกเป็นกังวลมาก อันที่จริงแล้ว หญิงสาวทั้งสองคนต่างตระหนักถึงสาเหตุของการย้ายมาที่นี่ดี ดังนั้นพวกเธอจึงมีความประทับใจที่ดีในตัวหยวนโจว
ตอนนี้หยวนโจวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรได้รับการตีตราให้เป็นคนดีไปเสียแล้ว
“จะบอกให้นะ วันนี้ราชินีเจียงจะเลี้ยงอาหารฉันด้วยล่ะ”
“โจวเจีย จะบอกให้นะ วันนี้ราชินีเจียงหรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่าเจียงฉางซี่จะเลี้ยงอาหารฉันด้วยล่ะ”
“เจ้าเศรษฐีหลิงหง วันนี้เจียงฉางซี่จะเลี้ยงอาหารฉันด้วยล่ะ”
หลังจากหม่าจื้อต๋าเข้ามาในร้านแล้ว เขาก็เริ่มบอกให้ทุกคนรู้ว่าวันนี้เจียงฉางซี่จะเลี้ยงอาหารเขา สีหน้าของเขาดูเปล่งประกายและเปี่ยมไปด้วยความเบิกบานใจราวกับคนที่ถูกลอตเตอรี่ก็ไม่ปาน
ถึงเจียงฉางซี่จะไม่ใช่หนึ่งในสิบเนื้อร้ายของร้านหยวนโจว แต่เธอก็มีชื่อเสียงไม่แพ้เจ้าเนื้อร้ายพวกนั้นเลย ดังนั้นหลายๆคนจึงถึงกับเลิกคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งที่หม่าจื้อต๋าพูดซ้ำๆซากๆ
ก่อนที่จะมีคนถามว่าเกิดอะไรขึ้น หม่าจื้อต๋าก็พูดโพล่งเรื่องทั้งหมดออกมา เขาเริ่มเล่าทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเดิมพันของเขากับเจียงฉางซี่รวมไปถึงการขยายเวลาเดิมพันออกไปด้วย
ตอนนี้เจียงฉางซี่ที่เป็นตัวละครหลักของเรื่องนี้กำลังดูเมนูกับถังหมินผู้ช่วยของเธอ พวกเธอกำลังกระซิบกระซาบกันเพื่อตัดสินใจว่าวันนี้จะทานอะไรดี เธอไม่ได้เอ่ยถึงคำพูดของหม่าจื้อต๋าสักคำ ฉะนั้นจึงบอกได้ว่าเธอเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูดโดยปริยาย
ส่วนถังหมินที่ได้รับมอบหมายให้หย่อนเงินลงกล่องใส่เงินเป็นครั้งคราวก็เหลือบมองหม่าจื้อต๋าที่ดูจะสบายอกสบายใจด้วยสายตาขุ่นเคือง
เธออยากจะดึงหูหม่าจื้อต๋าแล้วบอกว่าถ้าไม่ใช่เพราะผู้อำนวยการเจียงหย่อนเงินลงกล่องใส่เงินเป็นครั้งคราวแล้วล่ะกล่องใส่เงินก็คงจะว่างเปล่าไปเสียตั้งนานแล้วล่ะ
ยิ่งไปกว่านั้นถังหมินยังจำได้ว่าเธอเคยเห็นเถ้าแก่หยวนหย่อนเงินลงกล่องใส่เงินด้วย หากปราศจากเรื่องทั้งหมดนี้ หม่าจื้อต๋าก็คงจะแพ้เดิมพันไปแล้วล่ะ
เธออยากบอกความจริงแต่ก็ไม่กล้า หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจียงฉางซี่ เธอย่อมไม่กล้าปริปากพูดความจริงออกไปแม้แต่คำเดียว
ถึงแม้ว่าหม่าจื้อต๋าจะมีท่าทางสบายอกสบายใจ แต่เขากลับไม่ได้สั่งอะไรที่แพงเกินไปนัก เขาแค่สั่งหมูแผ่นอวี่เซียงกับหญ้าจินหลิงเพียงเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ทัศนคติที่ถังหมินมีต่อเขาดีขึ้นมาบ้าง
จะว่าไปแล้วอาหารฟรีก็รสชาติอร่อยเสมอนั่นแหละ อาหารที่ร้านหยวนโจวที่อร่อยอยู่แล้วทว่าวันนี้รสชาติกลับอร่อยขึ้นไปอีก
หลังจากเจียงฉางซี่กับถังหมินทานอาหารเสร็จแล้ว พวกเธอก็รอหม่าจื้อต๋าที่กำลังทานอาหารไปเรื่อยๆ
ในเมื่อนี่คืออาหารฟรี ซ้ำยังเป็นอาหารฟรีที่เจียงฉางซี่เป็นคนเลี้ยงอีกต่างหาก หม่าจื้อต๋าจึงค่อยๆกินช้าๆ
“นายกินช้าเกินไปแล้วนะ” ถังหมินพึมพำ
“ช่วยไม่ได้นี่ ก็มื้อนี้ราชินีเจียงเลี้ยงฉันนี่นา ฉันก็ต้องใช้เวลาละเลียดอาหารของตัวเองเสียหน่อยสิ” หม่าจื้อต๋าตอบทันที
“โอ” ถังหมินรู้สึกอึดอัดใจที่บังเอิญมาได้ยินเข้าจนต้องปิดปากแล้วหยุดพูด
หลังจากหม่าจื้อต๋าทานเสร็จแล้ว เจียงฉางซี่กับถังหมินก็รีบไป เจียงฉางซี่เพิ่งจะกลับมาแถมยังมีงานรอเธออยู่ที่สำนักงานอีกมากมายก่ายกอง
วันนี้เธอเพียงแค่มาที่นี่เพื่อเลี้ยงอาหารหม่าจื้อต๋าเท่านั้น ตอนนี้เธอต้องกลับไปทำงานแล้ว
ระหว่างทางกลับ ถังหมินอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงพูดขึ้นมาว่า “ผู้อำนวยการเจียงคะ”
“ว่าไง?” เจียงฉางซี่มักจะเป็นคนที่ทำงานด้วยความเถรตรงอยู่เสมอ แต่เธอก็ยังค่อนข้างสุภาพกับคนอย่างถังหมินที่ติดตามเธอมานานแล้วด้วย
“ก่อนหน้านี้หม่าจื้อต๋าคนนั้นมาขอท้าเดิมพันเรื่องกล่องใส่เงิน ฉันไม่นึกว่าคุณจะแพ้เลยนะคะ” ถังหมินกล่าว
“เธอไม่สบายใจเพราะเรื่องเองน่ะเหรอ?” เจียงฉางซี่มองถังหมินพร้อมยิ้ม
“ค่ะ ฉันไม่นึกว่าคุณจะแพ้เลย” ถังหมินพยักหน้า
“ก็จริงนะ ถ้าไม่มีฉัน เถ้าแก่หยวนกับหลิงหงหย่อนเงินลงในกล่องใส่เงินให้ หม่าจื้อต๋าก็คงแพ้เดิมพันไปแล้วล่ะ” เจียงฉางซี่คุยไปพลางเดินไปพลาง
“แล้วทำไมคุณต้องไปเลี้ยงอาหารเขาด้วยล่ะคะ?” ถังหมินไม่พอใจท่าทางสบายอกสบายใจของหม่าจื้อต๋าเอาเสียเลย
“แพ้หรือชนะไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก” เจียงฉางซี่กล่าวพร้อมยิ้ม
ก่อนที่ถังหมินจะทันได้ถามอะไรอีก เจียงฉางซี่ก็พูดต่อ
“ก็เหมือนตอนที่ฉันยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่ ฉันก็จะสละที่นั่งบนรถประจำทางเมื่อไรก็ตามที่เห็นคนเฒ่าคนแก่ ตอนนี้ก็เหมือนกันฉันจะซื้อผักหรือผลไม้ถ้าเห็นคนเฒ่าคนแก่เอามาขาย”
“ไม่ใช่เพราะฉันเป็นคนดีอะไรหรอกนะ ฉันก็แค่หวังว่าคนอื่นจะทำแบบนั้นกับคนที่ฉันรักหากตกอยู่ในสภาพนั้นเข้าสักวันหนึ่ง” เจียงฉางซี่อธิบาย
ถังหมินอึ้งงันไป เธอดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เจียงฉางซี่บอกแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนจะยังสับสนอยู่ด้วย แต่เธอไม่ได้ถามคำถามใดอีกแล้วตามเจียงฉางซี่กลับสำนักงานไปเงียบๆ
ตอนที่ 763
สิ่งที่หลงหลืออยู่จากเจ้านายคนก่อน
จะว่าไปแล้วอาหารที่หลิวจางสั่งมาก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรมากนักยกเว้นแต่หมั่นโถวไหมพันเส้น มีเพียงอาหารจานนั้นเท่านั้นแหละที่มีวิธีการทำที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน
“เขาช่างกินเก่งจริงๆเลยเชียว” หยวนโจวรับออเดอร์มาแล้วแอบกล่าวในใจ
ถูกต้องแล้วล่ะ หยวนโจวยอมรับความตั้งใจของหลิวจางในการสั่งอาหารจานนี้อย่างแท้จริง แต่เขากลับไม่มีความคิดอื่นใดเลยจึงได้แต่เริ่มทำงานต่อไป
“ก่อนอื่นฉันต้องนวดแป้งเอาไว้ก่อนแล้วค่อยไปทำอย่างอื่น” เขาสรุปแนวทางการจัดการที่เหมาะสมแล้วค่อยเริ่มลงมือทำ
หมั่นโถวมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ในประวัติศาสตร์จีนมีบันทึกเรื่องราวเอาไว้ค่อนข้างเยอะ ยกตัวอย่างเช่น หมั่นโถวที่มีการยัดไส้เอาไว้ข้างในตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปตามการพัฒนาของสังคม
ผู้คนต่างเรียกอาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าวสาลีที่ไม่มีการยัดไส้เอาไว้ข้างในประเภทนี้ว่าหมั่นโถวและพวกที่มีการยัดไส้อยู่ข้างในเป็นซาลาเปา
แน่นอนว่าสิ่งที่หลิวจางสั่งย่อมเป็นหมั่นโถวที่ไม่มีการยัดไส้เอาไว้ข้างใน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นหมั่นโถวที่สลับซับซ้อนอีกประเภทหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในภายหลังด้วย
แป้งที่นำมาใช้ทำหมั่นโถวไหมพันเส้นค่อนข้างแตกต่างไปจากแป้งชนิดอื่นๆ
เนื่องจากหมั่นโถวไหมพันเส้นเป็นสีค่อนข้างเหลืองมากกว่าที่จะเป็นสีขาวบริสุทธิ์ หยวนโจวจึงเลือกใช้แป้งบดหินซึ่งต่างไปจากแป้งที่ใช้ทำก๋วยเตี๋ยวน้ำใสและห่อเกี๊ยวน้ำ
“ครืด ครืด” หยวนโจวไสเครื่องบดด้วยความเร็วสม่ำเสมอด้วยมือข้างเดียวขณะที่จัดการวัตถุดิบอื่นด้วยมืออีกข้าง
ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับหยวนโจวเลย ถึงอย่างไรทุกวันนี้ก็มีลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆและหยวนโจวก็ต้องทำสิ่งที่แตกต่างกันด้วยมือทั้งสองข้างของตัวเองอยู่ดี
โชคดีที่กยวนโจวไม่ต้องทำอะไรด้วยมือซ้ายเว้นแต่ต้องไสเครื่องบดด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอซึ่งไม่ได้ต้องการทักษะมากนักจึงไม่ส่งผลกระทบต่อมือขวาของเขาที่กำลังทำอย่างอื่นอยู่
“ช่างเป็นความรู้สึกที่แสนวิเศษจริงๆเลยที่ได้มาเห็นเถ้าแก่หยวนใช้มือทั้งสองข้างทำสิ่งต่างๆไปพร้อมๆกัน” คุณเฉิงถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา
จะว่าไปแล้วเขาก็ใช้สองมือไปพร้อมๆกัน บางทีเขาก็ยังทำอาหารสองอย่างที่แตกต่างกันไปพร้อมๆกันตอนยุ่งๆอีกด้วย แต่ขณะที่ต้องทอดอยู่นั้นอีกข้างหนึ่งก็จะทำอาหารได้ช้าลง
ส่วนการทำสองสิ่งที่แตกต่างกันไปพร้อมๆกันด้วยมือสองข้างอย่างหยวนโจว เขาบอกได้เลยว่าเขาเองก็ไม่สามารถทำได้หรอกนะ
“คล้ายกับนางเอกที่วาดรูปวงกลมด้วยมือซ้ายและวาดรูปสี่เหลี่ยมด้วยมือขวาในละครโทรทัศน์เลย” ลูกค้าที่อยู่ข้างๆพยักหน้าแล้วกล่าวขึ้น
“เป็นแป้งที่เพิ่งจะบดใหม่จริงๆด้วย ดูเหมือนว่าฉันจะโชคดีที่ได้มากินของดีๆเสียแล้ว” หลิวจางค่อนข้างมีความสุขที่เห็นหยวนโจวทำเช่นนั้นและตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้ลิ้มรสฝีมือของเขา
“ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่อาหารของเถ้าแก่หยวนก็ยังอร่อยมากอยู่ดีนั่นแหละ ดูเหมือนว่าจะใช้มือซ้ายหรือมือขวาก็ไม่เห็นจะต่างกันเลย” จู่ๆก็มีลูกค้าคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาทันที
“ไม่ต่างงั้นเหรอ? เอาล่ะ วันนี้ถ้าเธอสามารถกินข้าวผัดไข่ถ้วยนึงได้ด้วยมือซ้าย ฉันจะเลี้ยงเธอเอง” คุณเฉิงหันกลับไปมองคนที่เพิ่งจะคุยกันแล้วกล่าวไปเรื่อยเปื่อย
“อะไรก็ได้ที่ฉันอยากกินงั้นเหรอ?” คนที่พูดอยู่ตอนนี้เป็นหญิงสาวที่สะสวยและมีผมสั้นเรียบแปล้ เมื่อได้ยินคำพูดของคุณเฉิงแล้ว เธอก็ตาเป็นประกายแล้วกล่าวขึ้นมาทันที
“แหงอยู่แล้ว อะไรก็ได้ที่เธออยากกินขอแค่เธอสามารถกินไหว” คุณเฉิงพยักหน้ายืนยัน
“เยี่ยมไปเลย งั้นดูให้ดีล่ะ! ถึงฉันจะไม่ถนัดซ้าย ฉันก็ใช้ช้อนตอนกินข้าวผัดไข่ได้แหละน่า” หญิงสาวยิ้มเจ้าเล่ห์และหยิบช้อนบนโต๊ะขึ้นมาด้วยมือซ้าย
“ก็ลองดูสิ” คุณเฉิงกล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“งั้นก็ขอบคุณล่วงหน้าเลยนะ เถ้าแก่หยวนมีอาหารอยู่มากมายหลายอย่างที่ฉันอยากจะชิมในร้านอยู่พอดี” หญิงสาวกล่าวพลางอมยิ้ม
จู่ๆหญิงสาวที่ดูธรรมดาคนหนึ่งก็ดูซุกซนและน่ารักขึ้นมาทันตาเห็นเพราะรอยยิ้มเดียว
“ด้วยความยินดี ทันทีที่เธอทำสำเร็จก็มารับรางวัลไปได้เลย” คุณเฉิงพยักหน้า
หญิงสาวทำไม้ทำมือแสดงท่าทาง “ตกลง” แล้วเธอก็หยิบช้อนขึ้นมาเริ่มกิน
ตอนนี้คุณเฉิงไม่ห่วงแต่ดูหยวนโจวอีกต่อไป แต่เขากลับหันไปดูหญิงสาวที่กำลังใช้มือซ้ายทานอาหาร แม้แต่บรรดาลูกค้าที่อยู่ข้างๆก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเธอกินแล้วปรึกษาหารือกันเสียงเบา
“นายคิดว่าเธอจะทำได้ไหม?”
“ฉันก็ไม่รู้อ่ะ แต่ฉันไม่สามารถใช้ตะเกียบคีบอาหารด้วยมือซ้ายได้หรอกนะ”
“แต่เธอใช้ช้อนนี่หว่า ใช้ช้อนน่าจะง่ายกว่านะ”
“ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก ฉันเขียนหนังสือด้วยมือซ้ายได้นะถึงจะเขียนได้ช้าก็เถอะ”
“งั้นนายก็ต้องฝึกเรื่องแบบนั้นเข้าไว้นะ ตัดสินจากวิธีการใช้ช้อนของผู้หญิงคนนั้นแล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เคยฝึกเรื่องแบบนั้นมาเลยด้วยซ้ำไป”
“ฟังดูมีเหตุผลทีเดียว งั้นก็มารอดูคุณเฉิงเลี้ยงอาหารเธอกันเถอะ”
บรรดาลูกค้าต่างปรึกษาหารือกันเสียงเบา แต่คุณเฉิงกลับดูไม่รีบร้อนและไม่เป็นกังวลเรื่องนั้นเลยสักนิด
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เป็นกังวลอยู่แล้วล่ะ เพราะเขาเองก็เป็นผู้ที่ฝึกการใช้มือซ้ายมาเช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรเขาก็ต้องพยายามมาอย่างหนักกว่าจะได้เรียนรู้จากหยวนโจว
ไม่ว่าใครก็คงแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างตอนที่ใช้มือซ้ายและมือขวาด้วยกัน แต่ถ้าใช้มือซ้ายเพียงข้างเดียวก็จะรู้ได้ทันทีว่าถนัดมือซ้าย
ถ้าหากไม่เคยฝึกทักษะด้านนี้มาเป็นพิเศษก็คงไม่สามารถกินข้าวผัดไข่ด้วยมือซ้ายได้เลยถึงจะใช้ช้อนก็เถอะ
เนื่องจากเขาเคยมีประสบการณ์ฝึกเช่นนั้นเป็นการส่วนตัวมาแล้ว แน่นอนว่าคุณเฉิงย่อมรับรู้ถึงความยากลำบากได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงรู้สึกประทับใจในตัวหยวนโจวมากที่สามารถใช้มือซ้ายและมือขวาได้อย่างแท้จริงไปพร้อมๆกันหรือคนละครั้ง เพราะแบบนั้นเอง เขาจึงกล้าท้าเดิมพันกับหญิงสาวคนนี้อย่างไรเล่า
นอกจากนี้เขาก็อยากให้ลูกค้าคนอื่นๆรู้อ้อมๆอีกด้วยว่าคุณหยวนเจ๋งขนาดไหน และนั่นก็คือจุดประสงค์ของคุณเฉิงนั่นเอง
“อา ง่ายจังเลย” หญิงสาวกลืนข้าวผัดไข่ที่เธอตักด้วยมือซ้ายลงไปแล้วกล่าวพลางอมยิ้ม
“เชิญเลย” คุณเฉิงโบกมือให้สัญญาณแก่เธอ
“ยิ่งนานมันก็จะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆล่ะ” คุณเฉิงแอบพูดในใจ
นั่นเป็นเรื่องจริง เมื่อข้าวผัดไข่ยังอยู่ในขั้นก่อนหน้านี้ก็ไม่จำเป็นต้องจงใจควบคุมมือซ้าย แต่เมื่อข้าวผัดน้อยลงในขั้นถัดไป แน่นอนว่าย่อมจำเป็นที่จะต้องควบคุมมือซ้ายอย่างระมัดระวังเพื่อตักข้าวขึ้นมา ถึงตอนนั้นก็จะสังเกตความแตกต่างระหว่างมือซ้ายและมือขวาได้ชัดเจน
ตอนที่คุณเฉิงท้าเดิมพันกับหญิงสาวอยู่นั้น หยวนโจวก็บดข้าวสาลีให้เป็นแป้งอยู่เลย แป้งสาลีเป็นสีค่อนข้างเหลืองแต่กลิ่นข้าวสาลีกลับรุนแรงมากทีเดียว
“เยี่ยมไปเลย แป้งสาลีที่เจ้าระบบจัดหามาให้สุดยอดไปลยจริงๆ” หยวนโจวเผยรอยยิ้มภายใต้หน้ากากอนามัยออกมา
เนื่องจากแป้งสาลีเพิ่งจะถูกบดด้วยเครื่องบดจึงยังร้อนอยู่นิดหน่อย หลังจากนั้นก็ต้องปล่อยเย็นให้ตัวลงหมดเสียก่อนหยวนโจวจึงจะสามารถเริ่มนวดแป้งได้
ระหว่างที่ว่างอยู่นี้ หยวนโจวก็เริ่มล้างมือตัวเอง
เขาล้างมือไปทั้งหมดสี่ครั้ง หลังจากนั้นชำระล้างแล้วหยวนโจวก็เช็ดมือให้แห้งและเตรียมนวดแป้ง
นอกเหนือไปจากแป้งสาลีและน้ำมันหมูแล้วก็ไม่มีสิ่งใดที่จำเป็นต่อการทำหมั่นโถวไหมพันเส้นอีกแล้ว แม้แต่น้ำก็ยังใช้น้อยมากๆเลยด้วย นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว อาหารจานนี้จะขึ้นอยู่ฝีมือเป็นหลัก
ดังนั้นขั้นตอนต่างๆของการนวดแป้งและการหมักจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แน่นอนว่าหยวนโจวย่อมไม่ยอมละเลยแม้เพียงนิด
“คราวนี้ฉันจะใช้แป้งอันเดิม” หยวนโจวค่อนข้างคาดหวังกับเรื่องนั้นไว้มากทีเดียว
คราวที่แล้วตอนที่เขาทำหมั่นโถวน้ำพุ หยวนโจวละทิ้งกลิ่นพิเศษของแป้งอันเดิมไปเนื่องจากเขาต้องใช้รสชาติสดใหม่และหวานหอมของน้ำพุ แต่คราวนี้กลับต่างออกไป ด้วยการหมักแป้งอันเดิมจะทำให้หมั่นโถวไหมพันเส้นสมบูรณ์มากที่สุดและอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดอีกด้วย
“เจ้าระบบจะจัดหาแป้งพันปีมาให้หรือเปล่านะ?” จู่ๆหยวนโจวก็นึกถึงแป้งซูหานในการ์ตูนอนิเมะเรื่องยอดกุ๊กแดนมังกรขึ้นมาได้ทันที
ใช่แล้วล่ะ หยวนโจวก็ดูการ์ตูนอนิเมะเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากพวกสาวๆติดการ์ตูนเรื่องนี้กันมากทีเดียว เขาจึงค้นหาการ์ตูนอนิเมะเรื่องนี้ทางอินเตอร์เน็ตมาดูเป็นพิเศษ
แล้วหยวนโจวก็ลองเตรียมอาหารทุกอย่างในการ์ตูนอนิเมะเรื่องนั้นเพื่อดูซิว่าจะอร่อยจริงๆหรือไม่
เจ้าระบบแสดงผลว่า “สิ่งที่เหมาะสมที่สุดก็คือสิ่งที่ดีที่สุด”
“งั้นก็หมายความว่าแกไม่มีแป้งพันปีน่ะสิ” หยวนโจวตอบสนองในทันที
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “นี่คือแป้งอันเดิมที่ผลิตขึ้นมาจากแป้งบดหินที่หลงเหลือจากเจ้านายหลายคนก่อนหน้านี้”
“เจ้านายหลายคนก่อนหน้านี้งั้นเหรอ?” หยวนโจวรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันทีแล้วเขาก็มุ่งความสนใจไปที่แป้งอันเดิมที่เพิ่งจะหยิบออกมา
แป้งอันเดิมมีสีสันเหมือนกับแป้งสาลีสดใหม่ โดยมีสีค่อนข้างเหลืองและมีขนาดครึ่งฝ่ามือ
หยวนโจวลองบีบดูและรู้สึกว่ามันค่อนข้างนุ่มมากทีเดียว เมื่อนำเข้ามาใกล้ๆก็จะได้กลิ่นหอมอ่อนๆของแป้งสาลีหมักตลอดจนรสชาติเปรี้ยวเล็กน้อยซึ่งดูเหมือนจะไม่มีความแตกต่างจากแป้งอันเดิมมากนัก
“จะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้างนะ?” หยวนโจวใส่มันลงในแป้งสาลีด้วยความคาดหวังแล้วเริ่มนวดแป้ง
ตอนที่ 764
รสชาติอร่อยจนมีชื่อเสียงไปทั่ว
จะว่าไปแล้วแป้งอันเดิมก็เป็นแป้งที่ชิ้นเล็กจริงๆที่จะเอามาจากแป้งที่ผ่านการนวดครั้งแรกแล้วเก็บเอาไว้อย่างดีเพื่อนำมาใช้อีกครั้งในภายภาคหน้า คราวต่อมาเมื่อแป้งอีกก้อนหมักเข้ากับแป้งที่เก็บเอาไว้แล้ว ผู้คนก็จะแยกมันออกเป็นอีกชิ้นแล้วเอาไปเก็บไว้
กระบวนการจะซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น หลังจากนั้นยีสต์ในแป้งก้อนนี้ก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันก็ยังค่อนข้างปกติมากทีเดียว แน่นอนว่าแป้งที่หมักกับพวกมันย่อมนุ่มและเบาซ้ำยังให้รสชาติที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย
และหมั่นโถวไหมพันเส้นก็เป็นอาหารที่ต้องให้เนื้อสัมผัสแบบนั้น นั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้หยวนโจวเลือกแป้งอันเดิมนั้นเอง ในขณะเดียวกันเจ้าระบบก็สร้างความประหลาดใจให้เขา น่าแปลกที่แป้งเจ้านายหลายคนก่อนหน้านี้หลงเหลือแป้งอันเดิมเอาไว้ชิ้นหนึ่ง
เรื่องนั้นทำให้หยวนโจวประหลาดใจมากทีเดียว บางทีเขาก็รับรู้บางเรื่องเกี่ยวกับเจ้านายหลายคนก่อนหน้านี้ได้จากแป้งอันเดิมก้อนนี้
มีคำโบราณว่าไว้ “คุณจะได้รับในสิ่งที่จ่ายออกไป” เมื่อเทียบกับอาหารจานอื่นๆในร้านหยวนโจวแล้ว วัตถุดิบที่ใช้ทำหมั่นโถวไหมพันเส้นกลับเป็นของง่ายๆ แน่นอนว่าแป้งสาลีที่ใช้ก็ยังต้องเป็นของชั้นยอดอยู่ดี ส่วนแป้งอันเดิมนั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่พบได้ทั่วไปเนื่องจากเป็นของที่เจ้านายหลายคนก่อนหน้านี้หลงเหลือเอาไว้
ที่สำคัญหมั่นโถวไหมพันเส้นขึ้นอยู่กับฝีมือในการนวดแป้งเป็นหลัก ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมมือของเชฟว่ารสชาติจะออกมาอร่อยหรือเหนียว หลิวจางอยากจะเห็นฝีมือของหยวนโจวในระดับสูงสูดจากการสั่งอาหารที่สลับซับซ้อนจานนี้
“เถ้าแก่หยวนช่างเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ” หลิวจางเฝ้ามองดูการลงมือทำของหยวนโจวมาโดยตลอด อันที่จริงแล้วนับเป็นเรื่องยากมากที่จะรับรู้รสชาติของอาหารได้จากการลงมือทำของเขา แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาสามารถบอกได้เลย การลงมือทำของหยวนโจวเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าเขาเสียอีก
“เถ้าแก่หยวนยอดเยี่ยมเสมอแหละครับ ส่วนไห่น้อยก็ไม่มีความอดทนแถมยังดื้อรั้นและไม่ยอมคนอีกต่างหาก แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเคยบอกว่ามีแค่หยวนโจวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขาจะยอมลงให้” เจิ้งเจียเว่ยตอบหลิวจางทันที
หลิวจางแทบไม่รู้เรื่องภาพเขียนเลยจึงทำให้เขาไม่รู้จักอู๋ไห่ แต่เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าอู๋ไห่ไม่ใช่คนธรรมดาๆ
ตอนนี้เจิ้งเจียเว่ยกับหลิวจางนั่งอยู่ด้วยกัน จู่ๆอู๋ไห่ก็เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาเสียดื้อๆจึงต้องกลับไปวาดภาพ ก่อนที่เขาจะกลับ เขาสั่งเจิ้งเจียเว่ยเป็นพิเศษให้ต้อนรับหลิวจางให้ดี และยิ่งไปกว่านั้นเขายังจ่ายค่าอาหารให้ด้วย
ไม่ว่าเรื่องใดที่อู๋ไห่มอบหมายให้ทำ เจิ้งเจียเว่ยก็มักจะพยายามทำให้เสร็จสมบูรณ์อยู่เสมอ ดังนั้นตอนนี้เจิ้งเจียเว่ยกับหลิวจางก็เลยมานั่งด้วยกัน
จากการลงมือทำของเขา หลิวจางให้คะแนนเต็มกับหยวนโจว ตอนนี้เขาก็แค่รอชิมเท่านั้นแล้ว
ในร้านค่อนข้างเสียงดังโหวกเหวก ส่วนนอกร้านมีชายหนุ่มอายุราวๆ 17 หรือ 18 ปีเดินไปที่กล่องใส่เงินตรงประตูแล้วมองไปรอบๆอย่างระแวดระวัง บางครั้งเขาก็จะนั่งตรงม้านั่งตัวยาวและดูเหมือนว่าจะสังเกตสิ่งรอบข้างไปด้วย
สองทุ่มแล้วแต่ยังมีผู้คนอีกมากมายที่กำลังรออยู่นอกร้านหยวนโจว ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างกล่องใส่เงินอยู่สิบนาทีจนกระทั่งไม่มีใครมองมาที่เขาอีก เขาล้วงเงิน 4 หยวนออกจากกล่องใสเงินด้วยความเร็วปานสายฟ้าแล้วจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลในทันที
“หมั่นโถวไหมพันเส้นได้แล้วค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ” โจวเจียยกหมั่นโถวซึ้งหนึ่งมาให้พวกเขา
แน่นอนว่าซึ้งย่อมสานด้วยซีกไม้ไผ่สีเขียวมรกต ทันทีที่เปิดฝาออก ควันร้อนระอุก็ลอยวนขึ้นจากด้านในและเผยกลิ่นหอมออกมา
“โอ้ หอมดีจัง” หลิวจางสนใจขึ้นมาทันทีเมื่อเขาได้กลิ่นหอม จากนั้นเขาก็หยิบตะเกียบขึ้นมาเตรียมที่จะกิน
หมั่นโถวไหมพันเส้นบนซึ้งลูกไม่ใหญ่เท่าไหร่นักและมีขนาดใหญ่เพียงแค่ฝ่ามือของผู้หญิงเท่านั้น โดยมีรูปทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากที่มีส่วนโค้งเล็กน้อยตรงปลายยอดซึ่งดูเหมือนจะมีสิ่งที่ทอเป็นมันส่องประกายอยู่
ถ้าหากตรวจดูอย่างรอบคอบก็จะรู้ได้เลยว่าหมั่นโถวไม่ได้ละเอียดมากสักเท่าไหร่ราวกับว่ามันเชื่อมกันทีละน้อยทีละนิด
“มีไหมพันเส้นจริงๆด้วย” หลิวจางจ้องมองหมั่นโถวตรงหน้าแล้วก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความชื่นชม
จากนั้นหลิวจางก็ลองกัดเข้าไปคำหนึ่ง หมั่นโถวยุบตัวลงทันทีแล้วคืนตัวอย่างช้าๆ เขาสามารถเห็นหมั่นโถวที่เชื่อมกันด้วยข้าวสาลีราวกับเส้นไหมอยู่จริงๆได้อย่างชัดเจนด้วยการกัดผิวนอก
เมื่อกัดหมั่นโถวอีกคำ หลิวจางก็อดไม่ได้ที่จะหลับตาแล้วเพลิดเพลินไปกับรสชาติในปากของตัวเอง
เมื่อหมั่นโถวเข้าปากแล้วก็ละลายเป็นเส้นไหมแล้วกระจายไปทั่วปากทันทีสมชื่อ “ไหมพันเส้น” ที่บอกเอาไว้เลยทีเดียว ในขณะเดียวกันก็ยังส่งกลิ่นหอมฟุ้งของน้ำมันหมูเต็มปาก ถึงแม้เขาจะไม่ได้เคี้ยวแต่หมั่นโถวก็ค่อยๆละลายอย่างช้าๆ
“ของแท้เลยนี่! สุดยอด!” หลังจากกล่าวหลายต่อหลายคำออกมา หลิวจางกินอีกครึ่งที่เหลืออยู่ระหว่างตะเกียบในทันที
คราวนี้เขาเริ่มเคี้ยวให้ละเอียดทันทีและหมั่นโถวในปากก็ให้เนื้อสัมผัสอ่อนนุ่มร่วมกับความหนึบนิดหน่อย เนื่องจาก “ไหมพันเส้น” ไม่เหนียวเลยสักนิดตอนที่เคี้ยว แต่กลับนุ่มมากๆอีกต่างหาก นอกจากนี้น้ำมันหมูที่เติมเข้าไปยังหลอมรวมอยู่ในหมั่นโถวอย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย
“ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งหอม ยิ่งไปกว่านั้นคุณยังสามารถเคี้ยวหรือไม่ก็ปล่อยให้ละลายไปเองก็ได้ นอกจากนั้นก็ยังไม่สำลักแถมมีความหวานนิดๆของข้าวสาลีอีกด้วย อร่อยชะมัดยาดเลย!” หลิวจางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวก็คือมีหมั่นโถวอยู่แค่สี่ลูกในแต่ละซึ้งเอง มันน้อยเกินไปแล้ว” หลิวจางอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า ในขณะเดียวกันเขาก็คีบหมั่นโถวขึ้นมาอีกลูกแล้วยัดเข้าปากไปด้วยสีหน้าพออกพอใจ
เมื่อเห็นหลิวจางกินอย่างมีความสุขเสียขนาดนั้นแล้ว แม้แต่เจิ้งเจียเว่ยที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องกินสักเท่าไหร่ก็ยังอดที่จะมองเขาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงนักชิมคนอื่นๆเลย พวกเขาต่างจ้องมองไปที่เขาด้วยความคาดหวังแล้วรอคอยความคิดเห็นของเขา
ทันทีที่หลิวจางเงยหน้าขึ้นมา เขาก็เห็นสายตาของคนพวกนี้เข้าพอดี จากนั้นเขาก็ยิ้มกว้าง
“ผมเองก็รู้จักอาจารย์หลายคนที่ทำอาหารด้วยข้าวสาลีแถมยังไม่ใช่ครั้งแรกที่กินหมั่นโถวไหมพันเส้นอีกด้วย…” จู่ๆหลิวจางก็ชะงักไปตอนที่พูดไปได้ครึ่งทาง ไม่มีใครรู้ว่าเขามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ แต่เขากลับพูดอีกเรื่องต่อว่า “เวลาแบบนี้ ผมคิดว่าตัวเองได้รับประโยชน์จากเถ้าแก่หยวนด้วยการแลกตับดิบสำหรับอาหารค่ำมื้อนี้”
ระหว่างนั้นมีลูกค้า 7 หรือ 8 คนสั่งหมั่นโถวไหมพันเส้นเพิ่มอีกที่ในอาหารมื้อค่ำของพวกเขาด้วย นักชิมกลุ่มนี้เพียงแค่ลังเลใจและตัดสินใจไม่เด็ดขาดก็เท่านั้นเอง
หลังจากเขากินหมั่นโถวไหมพันเส้นจนเกลี้ยงแล้ว หลิวจางก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เถ้าแก่หยวน ผมรู้จักเพื่อนที่ทำอาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าวสาลีได้ยอดเยี่ยมมากอยู่คนนึง แต่กลับทำไม่สำเร็จเสียที ผมบอกเขาเรื่องนี้ได้ไหม? ผมคิดว่าเขาน่าจะเห็นด้วยอย่างแน่นอนเพราะเขาสนใจอาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าวสาลีเอามากๆเลยทีเดียว”
เขาเรียบเรียงคำพูดได้ไม่ดีนัก บางทีเขาอาจจะมีความสุขมากเกินไปเพราะเขานึกไอเดียดีๆแบบนี้ขึ้นมาได้จึงกล่าวออกไปอย่างสับสน แต่หยวนโจวก็ยังพอเข้าใจได้คร่าวๆถึงสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ ขอเพียงแค่เขาเข้าใจก็พอ หลิวจางตั้งใจที่จะใช้หมั่นโถวร้อยอย่างในร้านหยวนโจวเพื่อล่อให้เพื่อนเก่าของเขามาเฉิงตูเพื่อทำเรื่องสนุกๆกัน
สิ่งที่ทำให้หยวนโจวต้องประหลาดใจก็คือ อาหารอร่อยของเขากลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนมาอีกเมืองซึ่งเป็นสิ่งที่หยวนโจวมักจะภูมิอกภูมิใจเสมอมา ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องข้อเสนอของหลิวจางเพียงแค่ตอบตกลงไปเท่านั้น
“ได้ครับ แต่ผมทำอาหารที่ปรุงจากข้าวสาลีได้แค่ไม่กี่อย่างนะครับ” หยวนโจวครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วกล่าวตามตรง
“ฮ่าฮ่า เท่านี้ก็พอแล้วล่ะ” หลิวจางระเบิดหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกแล้วกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณมากเลยนะครับ ขอบคุณฝีมือการทำอาหารของคุณด้วย ผมจะได้เจอเพื่อนเก่าอีกสักครั้งนึง” มีรอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิวจาง
อันที่จริงแล้วอาหารดีๆเป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดในการชวนเพื่อนเก่ามาพบกันใหม่ นอกจากนี้หลิวจางกับเพื่อนเก่าคนนั้นก็มีเรื่องตั้งมากมายด้วย แต่หยวนโจวก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะยังมีหมั่นโถวไหมพันเส้นอีกหลายที่ๆเขาต้องไปทำ
หยวนโจวรู้สึกว่าเขาค่อยๆกลายเป็นสัตว์กลางคืนทีละนิดๆแล้ว เขามีชีวิตชีวาในยามค่ำคืนมากกว่ายามกลางวันเสียอีก หลังจากมื้อค่ำเขายังต้องการพลังงานอยู่ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยมาพอสมควรแล้วก็ตาม
“เถ้าแก่หยวน เอาเงินคืนไปเถอะ ไห่น้อยบอกผมว่าเขาจะเลี้ยงอาจารย์หลิวเองครับ”
เจิ้งเจียเว่ยกับหยวนโจวปฏิเสธเงินกันพอเป็นพิธีเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่มักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ คนหนึ่งอยากยัดเงินเข้ากระเป๋าอีกคนส่วนอีกคนไม่อยากรับเอาไว้
“วันนี้ฉันทำข้อตกลงกับอู๋ไห่เอาไว้น่ะ เขาจะจ่ายเงินให้ฉันก่อนแล้วหลังมื้ออาหาร ฉันก็จะคืนเงินให้เขา” หยวนโจวอธิบายอย่างเอาจริงเอาจัง เขาพยายามที่จะคืนเงินให้เจิ้งเจียเว่ยอยู่หลายครั้งหลายคราแต่ก็ไม่สำเร็จ เขาไม่รู้จริงๆว่าทำไมจู่ๆเจ้าคนที่ดู “อ่อนแอ” ผู้นี้ถึงได้มีแรงเยอะขึ้นมาทันตาเห็นเสียได้กันเล่า
ตอนที่ 765
หางไก่ย่างเห็ด
อันที่จริงแล้วเรื่องนี้ต้องโทษอู๋ไห่ เขาไม่ได้บอกเสียให้จะแจ้งก่อนที่จะกลับไป
“แต่ไห่น้อยแค่บอกให้ผมเลี้ยงอาหารมื้อค่ะอาจารย์หลิวนะครับ” เจิ้งเจียเว่ยรู้สึกสับสน แต่กลับไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาดเลยที่จะคุมเชิงกันอยู่แบบนี้จึงทำให้เจิ้งเจียเว่ยต้องหาทางประนีประนอม เขากล่าวออกมาว่า “เอางี้แล้วกันนะ เถ้าแก่หยวน คุณเอาเงินคืนไปก่อน พอไห่น้อยวาดภาพเสร็จแล้ว ผมจะถามเขาดู”
หยวนโจวจำต้องรับเงินกลับคืนมาอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้ว่าเจิ้งเจียเว่ยจะไม่รบกวนอู๋ไห่ตอนวาดรูปจึงอดที่จะหายใจอยู่ในใจไม่ได้ เจิ้งเจียเว่ยเป็นคนหัวแข็งตัวจริงที่ไม่เคยละเมิดกฏเลยสักครั้ง
ในทางกลับกัน หลิวจางก็เริ่มโทรศัพท์ทันทีที่เขาออกมาจากร้านหยวนโจวแล้ว เพราะแบบนั้นจึงทำให้เจิ้งเจียเว่ยกับหยวนโจวมีเวลาทุ่มเถียงเรื่องนี้กัน
“ฉันเจอร้านที่เถ้าแก่ทำหมั่นโถวได้ดีกว่านายด้วยล่ะ”
“นายไม่เชื่องั้นเหรอ? ฉันเคยเอาเรื่องอาหารอร่อยๆมาล้อเล่นตั้งแต่เมื่อไหร่กันเล่า?”
“มาเฉิงตูสิแล้วนายก็จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“หลังจากนายซื้อตั๋วรถไฟไปเฉิงตูแล้ว ฉันจะเล่ารายละเอียดที่ชัดเจนให้นายฟัง”
“ตอนนี้หมั่นโถวไหมพันเส้นที่นายถนัดที่สุดเทียบกับคนอื่นเขาไม่ได้เสียแล้วล่ะ”
มีแววสบประมาทและยั่วยุแฝงอยู่ในน้ำเสียงของหลิวจางด้วย พูดง่ายๆก็คือเขากำลังพยายามกระตุ้นเพื่อนเก่าของตัวเอง หยวนโจวกับอู๋ไห่คงจะประหลาดใจเป็นแน่หากได้เห็นเหตุการณ์นี้เข้า นี่ก็เพราะหลิวจางมักจะเป็นอาจารย์ผู้แสนใจเย็นในใจของพวกเขาเสมอมา
เขากล่าวอีกนิดหน่อยและดูเหมือนว่าจะบรรลุเป้าหมายแล้ว เนื่องจากพรุ่งนี้เพื่อนเก่าของเขาจะมาเฉิงตู หลิวจางจึงค่อนข้างดีใจมาก จากนั้นเขาก็กลับไปข้างๆเจิ้งเจียเว่ย
ก่อนหน้านี้เจิ้งเจียเว่ยบอกว่าเขาจะขับรถไปส่งหลิวจางกลับบ้าน
หลังจากทั้งสองคนกลับไปแล้วก็เหลือหยวนโจวอยู่ในร้านเพียงคนเดียว คนขี้เมาที่มาดื่มเหล้าต่างอยู่ในผับข้างๆและเซินหมินก็เข้าไปคอยดูแลพวกเขาที่นั่นจึงทำให้หยวนโจวไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาสักเท่าไหร่ เขากลับเข้าครัวแล้วเตรียมทำอาหารแสนอร่อยสำหรับตัวเอง
เขากำลังทดลองทำอาหารจานใหม่ซึ่งก็คือหางไก่ย่างเห็ด หยวนโจวยุ่งง่วนอยู่ในครัวสักพักด้วยความมั่นใจเป็นอันมากแล้วก็เตรียมหางไก่ย่างเห็ดแสนอร่อยขึ้นมา
จานอาหารที่เป็นรูปทรงกลมเข้ากับรูปแบบของอาหารเป็นอย่างยิ่ง โดยไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่ที่วาดอยู่ตามขอบทำให้แลดูสวยสดงดงาม
แต่หางไก่ในจานกลับดูเหมือนรูปหัวใจขนาดเท่าลูกท้อที่มีด้านข้างใหญ่ทั้งยังมีเนื้อมากและตรงกลางก็จะมีกระดูกที่เด่นชัด โดยมีหางไก่ประมาณสิบชิ้นอยู่ในจาน และตามขอบจานก็มีเห็ดซึ่งส่งกลิ่นหอมเตะจมูกอีกด้วย
ขอเพียงแค่กินอยู่ในสนาม ฉันก็จะเอาเหล้ามาไหหนึ่งแล้วเตรียมพริกเผ็ดๆมากินด้วย อืม นั่นคงให้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจริงๆเลยเชียว หยวนโจวครุ่นคิดอยู่ในใจสักพักแล้วเริ่มกางโต๊ะ
นับว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อพอดูที่ต้องกางโต๊ะอยู่คนเดียวจึงทำให้หยวนโจวเริ่มสนทนาอย่างเป็นมิตรกับเจ้าระบบขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้าระบบ ทำไมหางไก่ถึงได้ดูเหมือนรูปหัวใจขนาดเท่าลูกท้อมากเสียขนาดนั้นเล่า? เพิ่งจะเพาะเลี้ยงได้งั้นเหรอ?” คราวนี้หยวนโจวไม่เห็นไก่เป็นๆด้วยตัวเอง แต่เขาได้รับวัตถุดิบที่ผ่านการแปรรูปมาแล้วโดยตรง ดังนั้นเขาจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เปล่าหรอก วัตถุดิบที่สำคัญของอาหารจานนี้คือไก่ป่า…”
หยวนโจวขัดเจ้าระบบขึ้นมาทันทีก่อนที่มันจะทันได้พูดจบ เขาถามด้วยความประหลาดใจว่า “นายพูดว่าไก่ป่าใช่ไหม?”
เจ้าระบบกล่าวว่า “ใช่ เป็นไก่ป่าเองแหละ”
“มันเป็นสัตว์คุ้มครองประเภทที่สองเชียวนะ แกแน่ใจเหรอว่าฉันจะสามารถกินมันได้น่ะ?” หยวนโจวอดไม่ได้ที่จะกุมขยับ
“ถ้าหากฉันกินเข้าไปต้องติดคุกซักกี่ปีกันล่ะ?” หยวนโจวมองหางไก่ย่างเห็ดที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจแถมมีความรู้สึกว่าถูกหลอกอีกแล้ว
“เจ้าระบบ แกเจตนาจะส่งฉันเข้าคุกเพื่อยึดครองปากท้องของนักโทษพวกนั้นใช่ไหม?” หยวนโจวอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
เจ้าระบบแสดงผลว่า “การกินสัตว์คุ้มครองประเภทที่สองก็นับเป็นความผิดทางอาญาเช่นกัน ข้อหาปิดบังซ่อนเร้นการดำเนินคดีอาญาหรือการแสวงหาผลกำไรจากสิ่งนั้นๆ”
“ผู้ต้องหาอาจถูกจำคุกไม่เกินสามปี จำคุกในระยะยาว ควบคุมตัวหรือการเฝ้าระวังโดยมีโทษปรับเพิ่มหรืออาจจะถูกปรับต่างหาก หากฝ่าฝืนขั้นรุนแรง ผู้ต้องหาอาจถูกจำคุกในระยะยาวอยู่ระหว่าง 3 – 7 ปีโดยมีโทษปรับเพิ่ม”
“โฮ่โฮ่” เมื่อมองดูความผิดที่เจ้าระบบไล่เรียงมา หยวนโจวก็ดูเหมือนจะนิ่งไปได้แต่รู้สึกจนปัญญาอยู่ในใจ
“แกก็เลยอยากให้เจ้านายแกไปทัวร์คุกงั้นเหรอ?” หยวนโจวถาม
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ไก่ป่าที่ระบบจัดหามาให้ได้รับการจัดซื้อจัดหามาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ที่จริงแล้วมันถูกเลี้ยงตามหลักวิทยาศาสตร์มากกว่าจะเป็นสัตว์ป่าเสียอีก ฉะนั้นข้อหากินสัตว์ป่าก็จะไม่เกิดขึ้นหรอก ก็มันไม่ผิดกฏหมายนี่นา”
“ทำไมไม่บอกฉันก่อนเล่า? ฉันล่ะตกใจกลัวจนเหงื่อท่วมไปหมดแล้ว” หลังจากกล่าวเช่นนั้นออกมา หยวนโจวก็เช็ดเหงื่อที่มีอยู่จริงบนหน้าผากแล้วบ่น
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ไม่ต้องตกใจไปหรอก เจ้านาย”
“ฉันไม่ได้ตกใจ ฉันแค่ไม่อยากติดคุกเพราะกินหางไก่เข้าต่างหากเล่า” หยวนโจวบ่น
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ไก่ป่าพวกนี้ไม่ใช่ไก่ป่าพวกนั้นหรอกน่า”
“เป็นเรื่องดีมากเลยทีเดียวที่สามารถกินไก่ป่าที่เลี้ยงได้” หยวนโจวกล่าว
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ไก่ป่าได้มาจากนกสายพันธุ์หนึ่งในจีนัส gallus, phasianidae, galliformes นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าไก่ป่าแดง ไก่แต้ฮวยหรือจู๋เยี่ย ว่ากันว่ามันเป็นบรรพบุรุษของไก่ยุคใหม่ ส่วนผลิตกรรมเดิมทีมาจากทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเวียดนาม เนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายกับดอกแต้ฮวยสองดอกจึงถูกคนท้องถิ่นเรียกว่าไก่แต้ฮวย”
“ช้าก่อนนะ สัตว์ชนิดไหนกันที่จะมีรูปร่างเหมือนดอกแต้ฮวยสองดอก?” หยวนโจวรู้สึกสับสน
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ดูเหมือนว่าสัตว์ทำเสียงให้เหมือนกับตอนที่คนพูดคำว่า ‘ดอกแต้ฮวยสองดอก’ สองครั้งเลยไงล่ะ นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้มันถูกเรียกว่าไก่แต้ฮวย”
“โอ้ ดอกแต้ฮวยสองดอก” หยวนโจวพึมพำ
“ดอกแต้ฮวยสองดอก… ดอกแต้ฮวยสองดอก…” หยวนโจวกล่าวอีกครั้งด้วยใบหน้าเฉยเมย แต่เขากลับอดจินตนาการวิธีออกเสียงของไก่ไปด้วยไม่ได้เลย
“ไก่อะไรประหลาดชะมัดเลย” หยวนโจวสรุป
แต่เจ้าระบบหาได้รับผลกระทบจากหยวนโจวและแสดงผลต่อไป
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ลำตัวของไก่ป่าเหมือนกับไก่ที่เลี้ยงพวกนั้นเลย แต่ขนาดค่อนข้างเล็กกว่าก็เท่านั้นเอง แถมขนยังสวยงามกว่าไก่ป่าที่เลี้ยงเสียอีกแน่ะ ขนหางของพวกมันเป็นสีดำขลับทั้งยังมีสีเขียวเกล็ดโลหะเป็นมันเงาและขนหางที่เหลืออีกสองเส้นตรงกลางก็ยาวที่สุดในขณะที่ส่วนล่างเป็นรูปเคียว ดังนั้นส่วนหางจึงมีขนาดใหญ่และเป็นรูปหัวใจ”
“ไม่แปลกใจเลยที่ส่วนกลางของหางจะเยงมากเสียขนาดนั้น” หยวนโจวถอนหายใจ
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ไก่ป่าดำรงชีพด้วยผลไม้ เมล็ดพืช ใบอ่อน ใบพืชและกลีบดอกไม้ป่านานาชนิด เมื่อตอนที่ระบบเลี้ยงไก่พวกนี้มาได้ให้ดอกไม้สดมากกว่าอาหารอย่างอื่น ดังนั้นเนื้อจึงสดใหม่และมีรสชาติอร่อย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกลิ่นหอมอ่อนอยู่นิดๆและแทบจะไม่มีกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนเสียด้วยซ้ำไป เมื่อพิจารณาจากทั้งหมดดูแล้ว มันจึงเหมาะที่จะนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับหางไก่ย่างเห็ดมากที่สุดแล้วล่ะ”
“เอาล่ะ แล้วส่วนที่เหลือหายไปไหนเสียแล้วล่ะ?” หยวนโจวถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ส่วนที่เหลือ…”
“หยุดนะ จู่ๆฉันก็ไม่อยากรู้แล้วล่ะ ขอบใจนะเจ้าระบบ” จู่ๆหยวนโจวก็นึกถึงแตงโมที่ถูกคว้านตรงกลางออกไปจึงรีบสกัดเจ้าระบบขึ้นมาทันที
ตลกสิ้นดี! ถ้าเขาปล่อยให้เจ้าระบบพูดจบ เขาคงมีความรู้สึกว่าตัวเองยังสู้ไก่ตัวหนึ่งไม่ได้แหงๆ ฉะนั้นสู้ไม่รู้เรื่องอะไรเลยเสียดีกว่า
หยวนโจวยกโป้งให้กับไหวพริบของตัวเอง
คราวนี้เจ้าระบบค่อนข้างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทันทีที่หยวนโจวสกัดมันเอาไว้ มันก็หาได้แสดงผลอะไรออกมาอีก
“ดีล่ะ ตอนนี้ฉันก็สามารถชิมอาหารจานใหม่ได้อย่างปลอดภัยเสียที” หยวนโจวค่อนข้างพออกพอใจเมื่อพบว่าคราวนี้เจ้าระบบให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีทีเดียว
“ฉันแทบจะไม่มีโอกาสได้มานั่งดื่มเหล้าและทานอาหารที่นี่บ้างเลย รู้สึกเยี่ยมมากเชียวล่ะ” หยวนโจวนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินพร้อมถือเหล้าไหหนึ่งเอาไว้ในในมือแล้วเพลิดเพลินกับการมองดวงจันทร์ที่ไม่ใคร่จะกลมเสียเท่าไหร่นัก
หางไก่ย่างเห็ดเป็นอาหารที่ต้องอุ่นจึงจะรับประทานได้ เมื่อหยวนโจวยกมันออกมาจากครัว เขาก็วางมันลงบนโต๊ะทันที ไอร้อนระอุลอยอย่างช้าๆพร้อมกลิ่นหอมไปทั่วสนาม
ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของอาหารจานนี้ก็คือกลิ่นหอมนั่นเอง
เนื่องจากไม่ได้อยู่ภายในช่วงเปิดร้าน เจ้าระบบจึงไม่ได้เปิดเครื่องป้องกัน เป็นผลทำให้กลิ่นหอมลอยฟุ้งไปทั่วสนาม หยวนโจวรู้สึกได้ถึงกลิ่นที่ผสมผสานเข้าด้วยกันของอาหารและดอกไม้ที่หอมหวลอย่างแท้จริง
แต่กลิ่นหอมกลับหาได้สร้างความพิศวงให้กับนักดื่มที่กำลังดื่มเหล้าอยู่บนชั้นสองของผับ…
ตอนที่ 766
แบ่งปันและลองชิม
วันนี้ทุกอย่างที่ผับบนร้านหยวนโจวเป็นไปตามปกติ มีลูกค้าไม่มากเท่าไหร่นักรวมเซินหมินเข้าไปแล้วก็มีทั้งหมดแค่หกคนเท่านั้น
โต๊ะหนึ่งเป็นนักเขียนนิยายที่มักจะมาคนเดียวอยู่เสมอ อีกโต๊ะคือเฉินเว่ยกับเสิ่นซีเพื่อนของเขา ส่วนโต๊ะสุดท้ายคือเจียงฉางซี่กับญินยา
เจียงฉางซี่จะเลี้ยงเครื่องดื่มใครสักคนเป็นบางครั้งบางคราว วันนี้ญินยาเป็นคนที่เธอเลี้ยง สตรีจากสองสาขาอาชีพแลกเปลี่ยนหัวข้อสนทนามากมาย แต่ญินยากลับไม่ช่างจ้อเท่าเจียงฉางซี่
คืนนี้อู๋ไห่ไม่ได้มาที่นี่ เมื่อมีกลิ่นอันคลุมเครือลอยขึ้นมา นักเขียนนิยายที่นั่งอยู่ใกล้กับสนามที่สุดเป็นคนแรกที่ได้กลิ่น
“ได้กลิ่นอะไรไหม?” นักเขียนนิยายถามด้วยความสงสัยขณะถือขวดเหล้าด้วยมือข้างเดียว
“กลิ่นอะไรงั้นเหรอ? นายจะเลี้ยงเครื่องดื่มฉันใช่ไหมล่ะ?” เฉินเว่ยถามขึ้น
“ไอ้โง่เอ้ย เขาถามว่านายได้กลิ่นอะไรเป็นพิเศษไหมต่างหากเล่า” เสิ่นซีกล่าวพลางมองเฉินเว่ยด้วยความดูหมิ่นดูแคลน
“ไม่นี่ เฮ้อ มีเหล้าแค่เนี้ย” เฉินเว่ยกล่าวกล่าวขณะที่เขาส่ายหน้าระทวยหลังจากจิบเหล้าในแก้วของตัวเอง
“ฉันคิดว่าฉันเองก็ได้กลิ่นเหมือนกันนะ กลิ่นหอมมากเสียด้วยสิ” ญินยาสูดจมูกฟุดฟิดแล้วกล่าวอย่างไม่แน่ใจ
“มีกลิ่นจริงๆด้วย แถมยังเป็นกลิ่นเนื้ออีกต่างหาก” เจียงฉางซี่กล่าว
“หรือจะเป็นของขบเคี้ยวที่มีส่วนผสมของเหล้ากันนะ? กลิ่นเหมือนบางอย่างที่เข้ากันได้ดีกับเหล้าเลย” เสิ่นซีกล่าว
เฉินเว่ยสูดหายใจแรงๆและในที่สุดก็สังเกตได้ว่ามีกลิ่นบางอย่างอยู่ในอากาศจริงๆด้วย นี่คือกลิ่นที่กระตุ้นความอยากอาหารเอามากๆเชียวล่ะ
“ใช่ กลิ่นหอมมากเลย เออนี่ ในเมื่อนายเลิกดื่มไปแล้ว นายรู้ได้ยังไงล่ะว่าอาหารจานนี้เข้ากันได้ดีกับเหล้ากันล่ะ?” เฉินเว่ยเห็นด้วยกับญินยาก่อนที่จะถามเสิ่นซี
“เพราะฉันคุ้นเคยกับการดื่มน่ะสิ” เสิ่นซีตอบ
ถูกต้องแล้วล่ะ เสิ่นซีเป็นคนที่เลิกดื่มแล้ว เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาดื่มแต่แค่มาทานขนมเท่านั้น นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เฉินเว่ยยินดีที่จะพาเสิ่นซีมาที่นี่แทนตงตงผู้แข็งแรงอย่างน่าเหลือเชื่อ
เพราะถ้าหากเสิ่นซีมาด้วย เขาก็ไม่ต้องต่อสู้แย่งชิงเหล้าพวกนั้นกับเขา ถึงแม้ว่าจะมีขนมให้กินไม่กี่อย่างก็ยังดีกว่าได้กินเหล้าน้อยลงแหละนะ
“ฉันล่ะสงสัยจริงๆเลยว่ามันคืออะไรกันแน่นะ แค่ได้กลิ่นฉันก็น้ำลายแทบหกอยู่แล้ว” นักเขียนนิยายพึมพำหลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ
“หมินหมิน วันนี้เถ้าแก่ของเธอทำอาหารอะไรงั้นเหรอ? เขาทำเอาทั้งสนามเต็มไปด้วยกลิ่นแล้วนะ” เจียงฉางซี่ถามเซินหมิน
“พี่เจียง ฉันไม่มีเบาะแสเลยค่ะ” เซินหมินส่ายหน้าด้วยความไม่แน่ใจ
เซินหมินรู้ว่าหยวนโจวจะทำอาหารกินเองในครัวเป็นบางครั้งบางคราว แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่กลิ่นอาหารที่เขาทำกระจายมาถึงที่นี่
“ลงไปดูทีสิ” เจียงฉางซี่แนะนำ
“ได้ค่ะ” เซินหมินพยักหน้า
เซินหมินเองก็ค่อนข้างอยากรู้มากทีเดียวเธอจึงลงไปทันทีที่เจียงฉางซี่แนะนำให้เธอทำเช่นนั้น
ตึก ตึก ตึก เซินหมินเดินลงข้างล่างอย่างช้าๆในขณะที่เจียงฉางซี่ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “พวกเราก็ไปดูกันเถอะ”
“อืม ไปโลด” ญินยาเป็นคนแรกที่เห็นด้วย
เมื่อบุรุษสามคนเห็นสตรีสองคนเดินไปทางด้านข้าง พวกเขาก็ตามไปดูเช่นเดียวกัน
ผับของหยวนโจวอยู่บนชั้นสองโดยมีผนังทางด้านข้างที่ถูกแทนที่ด้วยกำแพงไม้ไผ่ มีเพียงต้องมองผ่านรอยแยกเพื่อมองไปที่สนามด้านล่างให้ชัดเจนเท่านั้น
มีทางเดินเล็กๆอยู่ในสนามและมีโคมดอกบัวสองอันอยู่คนละด้านของทางเดิน นอกเหนือไปจากโคมไฟพวกนี้ก็ยังมีดอกไม้นานาชนิดขึ้นอยู่ตามทางเดินเช่นเดียวกัน และมีดอกไม้บางชนิดที่เบ่งบานตามฤดูกาลแล้ว
หยวนโจวนั่งอยู่ใต้ชายคา มีโต๊ะตั้งอยู่และมีโคมดอกบัวงามประณีตแขวนอยู่บนชายคาที่กำลังส่องแสงไปบนโต๊ะ
บนโต๊ะคือเหล้าไหหนึ่ง ตะเกียบคู่หนึ่งถ้วยเปล่าใบหนึ่งและอาหารไม่กี่จาน
นี่ก็คือสิ่งที่พวกเขามองเห็นเมื่อมองลงไปที่สนาม ด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ ภาพนี้ช่างดูมีเสน่ห์เสียจริงๆ
“ในฐานที่เป็นเชฟ เขาย่อมทำอาหารได้ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ทำไมเขาถึงต้องแสดงท่าทีกรีดกรายเสียขนาดนั้นด้วยเล่า?” ญินยาพึมพำอยู่ในใจแต่กลับหน้าแดงเช่นกัน
แม้แต่เจียงฉางซี่ก็ยังต้องร้องอุทานด้วยความชื่นชมเมื่อเห็นภาพนี้เข้า
“เถ้าแก่หยวนกำลังทานอาหารอยู่คนเดียว!” นี่เป็นสิ่งเดียวที่เฉินเว่ยสังเกตเห็น
เถ้าแก่หยวนไม่แบ่งใครเลย
“โอ้…” สิ่งนี้ทำให้เจียงฉางซี่ถึงกับพูดไม่ออกไปเลย
ญินยาระเบิดหัวเราะออกมาในขณะที่เสิ่นซีที่อยู่ข้างๆมีสีหน้าจนปัญญา ส่วนนักเขียนนิยายยังคงรักษาความสงบนิ่งของเขาเอาไว้แล้วมุ่งความสนใจไปที่อาหารบนโต๊ะที่มีไอกรุ่นออกมา
ในตอนนี้เซินหมินมาถึงข้างโต๊ะของหยวนโจวแล้ว พวกเขาเริ่มคุยกันแต่คนที่อยู่ชั้นบนกลับไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน
เจียงฉางซี่รออยู่สักครู่ก่อนที่จะตะโกนออกไปว่า “เถ้าแก่หยวน ดื่มคนเดียวน่าเบื่อออกนะ ขึ้นมาดื่มด้วยกันสิ”
“ยกอาหารที่นายขึ้นมากินด้วยนะ” เจียงฉางซี่กล่าวเสริมพร้อมยิ้มเมื่อหยวนโจวเงยหน้ามองเธอ
เฉินเว่ยเห็นด้วยขึ้นมาทันทีว่า “ใช่ ใช่ เถ้าแก่หยวน ขึ้นมาเถอะน่า พวกเรามาดื่มกัน พอดื่มแล้วก็มากินมื้อเย็นกันเถอะนะ”
“ยกอาหารจานใหม่ของนายขึ้นมาด้วยล่ะ” นักเขียนนิยายกล่าว
“พวกนายอยากลองชิมอาหารจานใหม่งั้นเหรอ?” หยวนโจวถาม
“ฉันก็แค่อยากรู้ว่ารสชาติเป็นยังไงเท่านั้นแหละ” เฉินเว่ยกล่าวพร้อมหัวเราะคิกคักพลางลูบหัวไปด้วย
“เถ้าแก่หยวน ขึ้นมาเถอะน่า ฉันมีขนมอย่างอื่นด้วยนะ” เจียงฉางซี่กล่าว
หยวนโจวมองไปทางพวกเขาก่อนจะบอกเซินหมินว่า “ขึ้นไปกันเถอะ ยกจานมาด้วยนะ”
“ได้ค่ะ เถ้าแก่หยวน” เซินหมินพยักหน้า
เซินหมินหยิบถาดออกมาแล้วเริ่มยกอาหารบนโต๊ะวางลงไปก่อนที่จะเดินขึ้นชั้นบน
ส่วนหยวนโจวนั้น เขายกโต๊ะเก้าอี้มุ่งหน้าขึ้นไปที่ชั้นสองด้วย
เจ้าระบบจัดหาโต๊ะเก้าอี้มาให้สามตัวเท่านั้น ดังนั้นถ้าหากเขาอยากจะนั่งชั้นบน เขาก็ต้องนำโต๊ะเก้าอี้ไปเอง
“พวกเราน่าจะรักษาสายสัมพันธ์ให้กลมเกลียวแล้วค่อยมาแบ่งอาหารกันในตอนหลังนะ” เฉินเว่ยบอกคนอื่นๆ
“นายมันจอมฉกเหล้า” นักเขียนนิยายกล่าว
“ใช่แล้วล่ะ อย่าเที่ยวฉกเหล้าไปทั่วสิ มาดูอาหารจานใหม่ของเถ้าแก่หยวนกันดีกว่า” เจียงฉางซี่พยักหน้า
“ใช่เลย ฉันสงสัยจังว่าคราวนี้อาหารจานเด็ดของเถ้าแก่หยวนจะเป็นอะไรกันนะ ดูเหมือนจะเป็นของขบเคี้ยวบางอย่างที่เข้ากับเหล้าได้เป็นอย่างดีเชียวล่ะ” ญินยากล่าว
“พวกเราจะรู้เองตอนที่พวกเขาขึ้นมานั่นแหละ” เสิ่นซีกล่าว
เซินหมินมาพร้อมกับถาดอาหารในขณะที่หยวนโจวมาพร้อมกับโต๊ะเก้าอี้ เจียงฉางซี่กับเฉินเว่ยให้ความช่วยเหลือพวกเขาอย่างอบอุ่นและไม่นานนัก หยวนโจวก็ได้ที่นั่งอยู่ตรงกลางโต๊ะทั้งสามตัว
ทันทีที่หยวนโจวนั่งลง เฉินเว่ยก็ชี้ไปที่หางไก่ย่างเห็ดแล้วกล่าวว่า “เถ้าแก่หยวน อาหารจานใหม่นี้คืออะไรงั้นเหรอ? ใช่ของขบเคี้ยวที่มีเหล้าเป็นส่วนผสมหรือเปล่า?”
“มันเป็นของขบเคี้ยวที่มีเหล้าเป็นส่วนผสมชนิดหนึ่ง แต่ก็สามารถทานเป็นอาหารตามปกติได้เช่นกัน” หยวนโจวพยักหน้า
“ที่จริงแล้วมันเป็นรูปหัวใจนี่นา ดูน่าดีมากเชียวล่ะ” ญินยากล่าวด้วยความอยากรู้
“เถ้าแก่หยวน นี่คือหางไก่ใช่ไหม?” นักเขียนนิยายกับเสิ่นซีถามขึ้นพร้อมกัน นักเขียนนิยายขมวดคิ้วในขณะที่เสิ่นซีกลับอยากรู้อยากเห็น
“นี่คืออาหารจานใหม่ หางไก่ย่างเห็ด” หยวนโจวกล่าว
“อะไรนะหางไก่งั้นเหรอ? หางของไก่เหรอ?” ญินยาถามขึ้น
“หรือที่รู้จักกันว่าตูดไก่นั่นแหละ” เสิ่นซีกล่าว
“แค่ก แค่ก อะไรนะ?” ญินยาสำลักลมหายใจของตัวเองขึ้นมาทันที ทั้งยังรู้สึกเหมือนกลิ่นในอากาศไม่น่าดึงดูดอีกต่อไปแล้ว
“ฉันเคยได้ยินมาว่าเจ้าสิ่งนี้เข้ากันได้ดีกับเหล้ามากเลยล่ะ เถ้าแก่หยวนแบ่งให้เรากินด้วยสิ” เฉินเว่ยรู้สึกสนใจมากทีเดียว
แม้แต่เจียงฉางซี่เองก็สนใจเช่นกัน
หยวนโจวพิจารณาปฏิกิริยาตอบสนองของแต่ละคนที่พร้อมสำหรับปฏิกิริยาตอบสนองแบบที่เขาจะได้รับเมื่อวางจำหน่ายอาหารในวันพรุ่งนี้
ตอนที่ 767
จุดประสงค์ของหางไก่
เมื่อตอนที่เฉินเว่ยพูดขึ้นมา เขาเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง หยวนโจวจึงตอบตกลงทันที
“ได้อยู่แล้วล่ะ ทุกคนสามารถลองชิมดูได้” หยวนโจวพยักหน้า
“ขอบคุณนะเถ้าแก่หยวน” จากนั้นเฉินเว่ยก็ยกตะเกียบขึ้นแบ้วเริ่มกิน
“ขอบคุณครับ” เสิ่นซีเองก็เข้ามาร่วมวงด้วย
“หายากนะเนี่ยที่เถ้าแก่หยวนจะใจกว้างแบบนี้ ฉันต้องลองชิมดูบ้างแล้วล่ะ” เจียงฉางซี่ยกตะเกียบของตัวเองขึ้นพร้อมยิ้ม
“ฉันขอสละสิทธิ์ก็แล้วกัน” นักเขียนนิยายกล่าวพลางขมวดคิ้ว
“ฉันก็ขอสละสิทธิ์ด้วย ยังไงก็ขอบคุณนะ เถ้าแก่หยวน” ญินยาโล่งอกที่มีคนบอกว่าไม่กินเช่นกัน
ถึงพวกเขาจะเรียกอาหารจานนี้ว่าหางไก่ก็เถอะนะ แต่ใครก็ดูออกว่ามันเป็นตูดไก่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่นักเขียนนิยายกับญินยาจะยอมรับอาหารจานนี้ได้
“อืม ไม่เป็นไร” หยวนโจวไม่ใส่ใจ
ทุกคนต่างมีความชอบเป็นของตัวเองซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องดี แม้แต่เฉินเว่ยก็ดูเหมือนจะไม่ชอบคนที่เคยกินหางไก่มาก่อน เขาแค่ลองชิมเพราะเขาเคยได้ยินมาว่าอาหารจานนี้เข้ากันได้ดีกับเหล้าก็เท่านั้นเอง
เฉินเว่ยเป็นคนแรกที่คีบหางไก่ขึ้นมา เขาไม่หักห้ามใจอีกต่อไปแล้วเลือกชิ้นที่ใหญ่ที่สุดก่อนยัดเข้าปาก
หางไก่ย่างเห็ดเป็นอาหารที่มีรสชาติรุนแรงในตัวซึ่งเป็นสิ่งที่เฉินเว่ยชอบ ดังนั้นทันทีที่เขายัดมันเข้าปากแล้ว เขาก็ถึงกับหลับตาด้วยความพึงพอใจ
หางไก่มีรสชาติเป็นอย่างไรบ้างน่ะเหรอ? สืบเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เติบโตมา คนส่วนใหญ่จึงมีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีกับมันสักเท่าไหร่นัก
อันที่จริงแล้ว ไม่มีกลิ่นแปลกๆบนหางไก่เลย เพียงแต่ต้องทำความสะอาดให้ดีและหางไก่ก็จะซึมซ่านไปด้วยรสชาติของเนื้อแสนอร่อยโดยตรง
เนื้อไก่เองมีรสชาติอร่อย ตอนนี้มันผ่านการปรุงด้วยเห็ดมากมาย ความสดใหม่ของเห็ดจะผสมผสานเข้ากับหางไก่อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งเน้นให้รสชาติโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
“นี่มันอร่อยมากจริงๆ” เฉินเว่ยกล่าว
หางไก่มีรูปทรงหัวใจและมีขนาดพอเหมาะที่จะกินในคำเดียว ดังนั้นเฉินเว่ยจึงเริ่มเคี้ยวทันทีที่ยัดมันเข้าปาก
ความรู้สึกเมื่อเขาเคี้ยวในครั้งแรกนั้นไม่รู้สึกเหมือนเนื้อเลย ออกจะกรุบกรอบมากกว่าเนื้อเสียด้วยซ้ำไปทว่าก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนกับตอนที่เคี้ยวกระดูกซี่โครงอยู่ดี แต่กลับให้ความรู้สึกของเนื้ออันแปลกใหม่
เมื่อเคี้ยวเป็นครั้งที่สอง รสชาติก็เริ่มท่วมท้นไปทั่วปาก เนื่องจากเนื้อถูกฉีกเป็นชิ้นๆจากการเคี้ยวจึงทำให้รสชาติของเห็ดยิ่งซึมซ่านเข้าสู่เนื้อมากยิ่งขึ้นในขณะที่รสชาติของเนื้อเริ่มกระจายออกไปเช่นเดียวกัน สิ่งนี้ทำให้ปากของเขาท่วมท้นไปด้วยกลิ่นหอมอันน่าพอใจยิ่ง ยิ่งเขาเคี้ยวหางไก่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดูน่าอร่อยมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเขาได้กินแล้วก็อยากกินอีก
ก่อนที่เขาจะเคี้ยวชิ้นที่อยู่ในปาก เฉินเว่ยก็เริ่มตั้งหน้าตั้งตารอคอยชิ้นต่อไปเสียแล้ว
“เนื้อแน่นแถมอร่อยมากเลยล่ะ” เฉินเว่ยรีบกลืนชิ้นที่อยู่ในปากอย่างรวดเร็วแล้วแสดงความคิดเห็นขณะที่เขาเตรียมจะคีบชิ้นต่อไปด้วยตะเกียบของตัวเอง
“เลิกพูดเสียทีเถอะน่า ดื่มเหล้าบ้างสิ” หยวนโจวสกัดเฉินเว่ยแล้วกล่าวขึ้นมา
“เข้าใจแล้ว” เฉินเว่ยเคยดื่มเหล้าไผ่ที่นี่มาแล้ว เขาจึงรีบยกถ้วยขึ้นแล้วเริ่มดื่มอย่างรวดเร็ว
มีเหล้าอยู่ในถ้วยไม่เยอะมากนัก โดยเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวและเขาก็จิบหมดในคำเดียว
เหล้าไผ่มีรสชาติละมุนมากเสียจนไม่รู้สึกเหมือนเหล้าเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกเหมือนน้ำลูกแพร์รสหวานสดชื่น แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังรู้สึกได้ถึงความเข้มข้นภายใต้ฤทธิ์ของพริกไทย
ถึงแม้ว่ารสชาติของเหล้าจะไม่รุนแรงนัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เฉินเว่ยสนใจแล้ว นี่เป็นเพราะทันทีที่เหล้าไผ่แสนสดชื่นเข้าปาก รสหวานก็เปลี่ยนเป็นกลิ่นถั่วเหลือง
รสชาตินี้ทำให้รู้สึกเหมือนเหล้าที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินมานาน 10 ปี โดยความข้นและคงอยู่ได้นานกำลังเคลื่อนผ่านลงคอเข้าสู่ท้องอย่างราบรื่น
เฉินเว่ยไม่กล้าพูดอีก เขาหุบปากด้วยความพึงพอใจขณะที่ปล่อยให้รสชาติของถั่วเหลืองคงอยู่ในปากตัวเอง
“ดูเหมือนจะมีเรื่องน่าประหลาดซ่อนอยู่นะ” เสิ่นซีคาดเดาหลังจากทานหางไก่หมดไปชิ้นหนึ่งเช่นเดียวกัน
“ขอฉันลองชิมบ้างสิ” เจียงฉางซี่กล่าวขณะที่เธอกลับมายังที่นั่งของตัวเองแล้วจิบเหล้า
เจียงฉางซี่เป็นคนที่รอบคอบมากทีเดียว ก่อนหน้านี้หลังจากทานพริกไทยไปบางส่วนแล้ว แต่ก็รู้สึกได้ว่าเหล้าแรงเกินไปอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะอร่อยทว่ากลับแรงเกินไป ดังนั้นคราวนี้เธอจึงจิบคำเล็กๆแทน
“อืม กลมกล่อม เข้มข้นและมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ทั้งยังแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าหางไก่ก็มีรสชาติแบบนี้ด้วย” เจียงฉางซี่เอ่ยปากชื่นชม
“ดูเหมือนมันจะเข้ากับเหล้าได้จริงๆด้วย” เสิ่นซีรำพึง
“แหงอยู่แล้ว น่าเสียดายที่นายเลิกดื่มไปแล้ว นายก็เลยไม่สามารถลิ้มลองรสชาติแบบนี้ได้อีก” เฉินเว่ยกล่าวขณะที่กำลังดื่มอยู่
ถึงแม้ว่าจะสองปีมาแล้วที่เสิ่นซีเลิกดื่ม แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่ร้านของเถ้าแก่หยวน ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนักที่จะคอยระแวดระวังเอาไว้ ดังนั้นเฉินเว่ยจึงต้องคอยเฝ้าเสิ่นซีเอาไว้
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันไม่ดื่มหลังจากเลิกแล้วแน่” เสิ่นซีถึงกับกล่าวไม่ค่อยออกเมื่อเห็นท่าทีกันเฉินเว่ยออกจากเหล้าของเขา
“งั้นก็ดี ฉันทำแบบนี้เพราะเป็นเรื่องดีกับตัวนายนะ ในฐานที่เป็นลูกผู้ชาย นายควรจะรักษาคำพูดตัวเองด้วยล่ะ” เฉินเว่ยพยักหน้าแล้วตบไหล่ของเสิ่นซีด้วยความยินดี
โฮ่โฮ่” เสิ่นซีเยาะหยัน
เฉินเว่ยไม่ใส่ใจสักนิด เขารีบหันกลับไปมองหยวนโจว แม้แต่หยวนโจวก็รู้สึกสันหลังเย็นเฉียบเมื่อเขาเห็นสายตาของเฉินเว่ย อันที่จริงแล้ว เขารู้สึกรำคาญสายตาของเฉินเว่ยมากทีเดียว
“อะไรเล่า?” หยวนโจวถามขึ้น
“เปล่านี้ แต่ว่านะเถ้าแก่หยวน นายมันยอดเยี่ยมเกินไปแล้วนะ นายถึงกับสามารถทำหางไก่ได้อร่อยขนาดนี้เชียว” เฉินเว่ยกล่าวขณะที่เขามองหางไก่บนจานของหยวนโจว
มีหางไก่บนจานไม่มากเท่าไหร่นัก หลังจากพวกเขาคีบไปคนละชิ้นก็เหลือเพียงแค่สามชิ้นเท่านั้นแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เฉินเว่ยถามอ้อมๆออกมา
“จริงด้วย หางไก่สามารถเปลี่ยนรสชาติของเหล้าได้โดยสิ้นเชิงจริงๆ นั่นมันยอดเยี่ยมมากเลยล่ะ” เจียงฉางซี่พยักหน้าเห็นด้วย
“ใช่แล้วล่ะ พริกไทยนั่นก็เหมือนกัน หลังจากกินเข้าไปแล้ว เหล้าจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยล่ะ” เฉินเว่ยพยักหน้า
“มันแตกต่างจากพริกไทยนั่นเลยล่ะ” หยวนโจวกล่าว
“ก็จริงนะ หลังจากกินพริกไทยนั่นแล้ว พอดื่มเหล้าเข้าไปก็จะรู้สึกเหมือนคอแทบไหม้เลย หางไก่จานนี้ทำให้รสชาติของเหล้าเหมือนกับเหล้าที่ฝังอยู่ใต้ดินมานานจนเป็นเหล้าที่ได้ที่เชียวล่ะ” เฉินเว่ยจุปากขณะหวนรำลึกขึ้นมาได้
“เหล้านี้เป็นเหล้าที่ได้ที่แล้ว สิ่งเดียวที่หางไก่จะทำก็คือปล่อยกลิ่นหอมที่ซุกซ่อนอยู่ออกมาเท่านั้นแหละ” หยวนโจวอธิบายต่อไป
“งั้นเองเหรอ? จริงสิ ถ้าหากเหล้ายังไม่ได้ที่พอดื่มเข้าไปก็คงไม่รู้สึกทำให้สดชื่นหรอก” เฉินเว่ยกล่าวพลางเขาจิบเหล้าอีกคำ
หลังจากการสนทนาครั้งนี้ เฉินเว่ยก็ยิ่งรู้สึกอายที่จะขอหางไก่ส่วนที่เหลือ เขาจึงอดกลั้นอยู่นานแล้วเริ่มหาเรื่องมาคุยแทน
เฉินเว่ยต่างจากอู๋ไห่เพราะเขายังรู้จักอาย
เมื่อพวกเขาไม่ได้คุยกันเรื่องหางไก่อีก ญินยาก็กลับมาจ้ออีกครั้ง บรรยากาศที่ผับเป็นไปอย่างสมัครสมานกลมเกลียวยิ่ง ถึงแม้หยวนโจวจะไม่ได้พูดอะไรมากนัก ทว่าในแต่ละครั้งที่เขาพูด ทุกคนก็จะตั้งใจฟัง
ตอนนี้หยวนโจวมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆหลังจากหางไก่ย่างเห็ดของเขาประสบความสำเร็จในขั้นต้นแล้ว ที่เหลือก็คือออกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้
นี่จะเป็นอาหารที่สาบสูญไปแล้วอย่างแรกบนเมนูของร้านหยวนโจว
เที่ยงวันถัดมา หยวนโจวก็วางจำหน่ายอาหารจานใหม่ คนแรกที่ได้ลิ้มรสหาใช่อู๋ไห่ แต่กลับเป็นฉูเสี่ยวแทน
จะว่าไปแล้วศัตรูจะรู้จักอีกฝ่ายได้ดีที่สุด
ถึงแม้ว่าฉูเสี่ยวจะไม่ใช่ศัตรูของหยวนโจว แต่เขาก็เป็นคู่แข่งอยู่ดี ดังนั้นฉูเสี่ยวจึงมาเข้าคิวตอนเที่ยงเป็นคนแรกเพื่อรอคอยอาหารที่สาบสูญไปแล้วของหยวนโจว
“วันนี้นายมาเร็วนะ” หยวนโจวกล่าวเมื่อเขาเห็นฉูเสี่ยวเข้ามา
“นายคืนชีพอาหารที่สาบสูญไปแล้วขึ้นมาก็ควรจะมาให้เร็วเสียหน่อยสิ ถึงยังไงฉันก็เป็นคนที่รู้จักวิธีชื่นชมอาหารจำพวกหางไก่เชียวนะ แน่นอนว่าฉันต้องมาลองชิมดูบ้างสิ” ฉูเสี่ยวกล่าว
“เชิญนั่งก่อนนะ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วไม่กล่าวให้มากความ
“เอาหางไก่ย่างเห็ดที่เดียวก็พอ” ฉูเสี่ยวสั่งแล้วนั่งรออาหาร