Gourmet Food Supplier อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 751-760
อยากกินไหมล่ะ 751-760
751 ถ่ายรูป
หลังจากเฉินเว่ยรับสายแล้ว ก่อนที่กั๋วรุ่ยจะทันได้พูดอะไรออกมา เฉินเว่ยก็กล่าวขึ้นมาว่า “ยินดีด้วยนะ แต่ตอนนี้ฉันยุ่งมากๆเลย มีเวลาเมื่อไหร่จะโทรหาแล้วกันนะ” จากนั้นสายก็ถูกตัดไป
กั๋วรุ่ยค่อนข้างตกตะลึงจนพูดไม่ออก เขาถึงกับพูดไม่ออกก่อนที่สายจะถูกตัดไป ตอนนี้เขาต้องฝืนกลืนคำพูดที่อยากจะพูดลงไป เขาถอนหายใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าพี่วั่นก็บอกว่าวันนี้เฉินเว่ยยุ่งมาก ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะเริ่มต้นอะไรสักอย่าง
ฉินหลัวตบไหล่ของกั๋วรุ่ยแล้วโบกมือก่อนจะใช้นิ้วมือตัวเองวาดเครื่องหมายถูกกลางอากาศ สิ่งนี้ประกอบกับรอยยิ้มใจเย็นบนใบหน้าของเธอทำให้กั๋วรุ่ยอารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็น
ถึงพวกเขาไม่ได้ใช้ภาษามือในการสื่อสาร แต่กั๋วรุ่ยก็สามารถเข้าใจสิ่งที่ฉินหลัวพยายามที่จะบอกได้ตลอดเวลา นี่เป็นสิ่งที่พิเศษมากสำหรับพวกเขาทั้งสองคน ฉินหลัวพยายามที่จะบอกว่าไม่เป็นไร เฉินเว่ยเพียงแค่ยุ่งมากก็เท่านั้นและคงตอบตกลงทันทีที่เขาว่าง
จากนั้นกั๋วรุ่ยก็เชิญลูกค้าทุกคนที่อยู่ในร้านไม่ว่าเขาจะรู้จักหรือไม่ก็ช่าง
พี่วั่นเป็นคนแรกที่ตอบตกลง พวกเขารู้จักกันอยู่แล้วฉะนั้นการที่เขาทำเรื่องแบบนี้จึงไม่นับว่าเป็นอะไรเลย บางทีเธอเองก็คิดว่านี่ช่างเป็นเรื่องที่แสนโรแมนติกจริงๆ ส่วนหลิงหงไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่แต่ในเมื่อกั๋วรุ่ยเชิญเขาแล้ว หลิงหงก็ยินดีที่จะช่วยหากมีเวลา
“ยังไงเสียแม้แต่คู่รักที่รักกันปานจะกลืนกินก็ต้องทะเลาะกันบ้างแหละน่า พวกคุณมีวิธีจัดการกับความเห็นที่ไม่ลงรอยกันยังไงเหรอ?” นี่เป็นสิ่งที่พี่วั่นอยากรู้
“ถามทำไมอ่ะ พี่วั่น?” หลิงหงถามก่อนที่กั๋วรุ่ยจะทันได้ตอบ
แน่นอนว่าหลิงหงย่อมไม่ได้โง่อย่างอู๋ไห่ที่เตือนพี่วั่นเอาเสียโต้งๆว่าเธอยังไม่มีแฟน แต่หลิงหงกลับเลือกใช้คำถามอันชาญฉลาด
“ฉันก็แค่อยากรู้น่ะ นายมีปัญหาหรือไง หลิงหง?” พี่วั่นถามพลางจ้องมองหลิงหงด้วยสายตาสุภาพอ่อนโยนอย่างหาที่เปรียบมิได้
“ผมไม่มีปัญหาหรอก อันที่จริงผมก็ค่อนข้างอยากรู้เหมือนกัน” หลิงหงเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างแนบเนียนแล้วเริ่มจ้องมองกั๋วรุ่ยด้วยความคาดหวังแทน
ดูเหมือนกั๋วรุ่ยไม่ได้รับผลกระทบจากคำถามนี้ แต่ฉินหลัวที่อยู่ข้างๆเขากลับหน้าแดงแล้วก้มหน้าด้วยความเขินอายทันที
“แหะแหะ ที่จริงแล้วพวกเราแทบไม่เคยทะเลาะกันเลย” กั๋วรุ่นเกาหัวแล้วกล่าวพลางยิ้ม
“คุณหมายความว่าคุณจะเป็นฝ่ายที่คอยรับฟังเธอตลอดเลยใช่ไหม?” พี่วั่นถาม
“ก็ไม่เชิงครับ” กั๋วรุ่ยส่ายหน้า
คราวนี้พี่วั่นไม่พูดอะไรออกมาอีก เธอเหลือบมองกั๋วรุ่ยเพื่อรอให้เขาอธิบายเพิ่มเติม
“พวกคุณก็เห็นนี่นา อาหลัวน่ารักออกขนาดนี้ แต่ละครั้งที่ผมโกรธหรืออยากจะทะเลาะ ผมก็จะหายโกรธทันทีที่เห็นเธอจับจ้องมาที่ผมด้วยดวงตาเบิกกว้าง สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวก็คือทำไมเธอถึงได้น่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้กันนะ” กั๋วรุ่ยกล่าว เขาไม่เคยละสายตาไปจากฉินหลัวเลย
“โอ…” พี่วั่นรู้สึกตกตะลึงไปเล็กน้อย
“พูดอีกอย่างก็คือแค่ได้มองเธอ คุณก็หายโกรธแล้วใช่ไหมล่ะ?” พี่วั่นถามอย่างช่วยไม่ได้
“ฉันนึกถึงเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้” จู่ๆลูกค้าคนหนึ่งก็ขัดขึ้นมาทันที
“เรื่องอะไรงั้นเหรอ?” หลิงหงถามด้วยความอยากรู้
“เรื่องจะรู้สึกอย่างไรถ้าเกิดมีแฟนหนุ่มที่หล่อเหลาอย่างไม่น่าเชื่อน่ะ” ลูกค้าคนนั้นกล่าว
“ตอนที่ทะเลาะกันเพียงแค่มองหน้าหล่อๆของแฟนหนุ่ม แฟนสาวก็จะหายโกรธทันที” ลูกค้าคนนั้นอธิบายเพิ่มเติมโดยไม่รั้งรอ
“อืม ถูกต้อง ฉันรู้สึกเหมือนอาหลัวน่ารักอย่างไม่น่าเชื่อเลย ฉันหายโกรธทันทีที่เห็นเธอเลยเชียวล่ะ” กั๋วรุ่ยพยักหน้าเห็นด้วยซ้ำๆ
“เฮอะ นายกำลังอวดสัมพันธ์รักของตัวเองด้วยคำถามง่ายๆอยู่นะ วิธีการแบบนี้ของนายมันโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว” หลิงหง
ส่วนพี่วั่นกลับเงียบไปเพราะหัวใจบอบช้ำเข้าเสียแล้ว
“เปล่านะ ผมสาบานได้ว่าไม่ได้อวดเลย นั่นเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆ แหะแหะ” กั๋วรุ่ยเกาหัวพลาวหัวเราะคิกคิกอย่างโง่เง่า
ฉินหลัวดึงแขนเสื้อของกั๋วรุ่ยเพื่อเตือนให้เขาหยุดพูดเสียที
หลิงหงไม่อยากมองเขาอีกต่อไปแล้ว เขายอมรับว่าฉินหลัวหน้าตาดีก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขนาดสวยสุดยอดจนน่าเหลือเชื่อ
เมื่อได้อวดสัมพันธ์รักของตนเองแล้ว กั๋วรุ่ยก็ถือโอกาสเดินไปทั่วร้านเพื่อขอถ่ายรูประหว่างที่กำลังรออาหารมาเสิร์ฟ
ถึงอย่างไรนี่ก็คือสาเหตุที่แท้จริงที่พวกเขามาในวันนี้
“สวัสดีครับ ผมจะถ่ายรูปแต่งงาน คุณยินดีที่จะอยู่ในรูปไหมครับ? ผมจะถ่ายรูปพรุ่งนี้ตอนเที่ยงน่ะครับ” กั๋วรุ่ยถาม
“ทำไมนายถึงอยากให้ฉันไปอยู่ในรูปด้วยล่ะ?” ลูกค้าที่ยังรู้สึกสับสนถามขึ้นหลังจากดันแก้วน้ำไปข้างหน้า
“คุณก็รู้นี่นา…” กั๋วรุ่ยเริ่มอธิบายเหตุผล
“ได้สิ” ลูกค้าที่สวมแว่นตาตอบตกลงด้วยความยินดี
“ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอโทษที่รบกวนด้วยนะครับ” กั๋วรุ่ยกล่าวขอบคุณซ้ำๆในขณะที่ฉินหลัวยิ้มอย่างมีความสุขให้ลูกค้าเช่นกัน
“สวัสดีครับ” กั๋วรุ่ยขยับไปหาลูกค้าคนต่อไปแต่กลับต้องชะงักก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรออกไป
“โทษทีนะ ฉันขอผ่านแล้วกัน” นี่ก็คือหญิงสาวผมยาวที่ย้อมผมสีน้ำตาลแถมเธอยังแต่งกายค่อนข้างนำสมัยอีกต่างหาก
“ไม่เป็นไรครับ ขอโทษที่รบกวนด้วยนะครับ” กั๋วรุ่ยกล่าวพร้อมยิ้ม
“เหตุผลของฉันก็คือการแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคนที่จะแต่งงานกัน ถ้าหากฉันจะแต่งงานกันแฟน ฉันก็หวังว่าจะมีแค่เราสองคนอยู่ในรูปแต่งงาน โทษทีนะ” หญิงสาวอธิบายหลังจากนึกถึงเรื่องนั้น
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” กั๋วรุ่ยพยักหน้า
“โทษทีนะ แค่ความคิดเห็นในเรื่องนี้ของเรามันไม่ตรงกันก็เท่านั้นแหละ” หญิงสาวพยักหน้าและหันหน้ากลับมาอีกครั้ง
ส่วนกั๋วรุ่ยก็ขยับไปหาลูกค้าคนถัดไป
“สวัสดีครับ ผมมีคำถาม…”
“คู่รักประหลาดๆกับคำขอร้องประหลาดๆ” หญิงสาวพึมพำแล้วทานอาหารต่อ
ขณะที่กั๋วรุ่ยยังถามต่อไปอยู่นั้นก็มีลูกค้าบางคนที่ตอบตกลงในขณะที่บางคนก็ไม่ตอบตกลง แน่นอนว่าย่อมมีลูกค้าเป็นจำนวนค่อนข้างมาก ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นโอกาสดีและผู้คนก็เต็มใจที่จะส่งคำอวยพรของพวกเขาให้ผู้อื่นด้วย
ส่วนผู้ที่ไม่ตอบตกลงนั้น ส่วนใหญ่พวกเขาก็จะมีความคิดเห็นเช่นเดียวกับหญิงสาวคนก่อนหน้านี้ แน่นอนว่ายังมีบางคนที่ไม่ชอบถ่ายรูปด้วย
นอกจากนี้ยังมีบางคนที่เชื่อว่ารูปแต่งงานครั้งแรกควรมีไว้เพื่อการแต่งงานของพวกเขาเองจึงไม่สามารถช่วยอะไรได้
หลังจากเขาถามเสร็จแล้ว กั๋วรุ่ยก็กลับไปหาฉินหลัวแล้วเริ่มทานอาหาร
“ยังไงอาหารที่นี่ก็ดีที่สุดใช่ไหมล่ะ?” กั๋วรุ่ยกล่าวหลังจากตักอาหารเข้าปาก
ฉินหลัวพยักหน้าแล้วคีบอาหารจากถ้วยของเธอเข้าปากของกั๋วรุ่ย
“แน่นอนว่าอาหารของอาหลัวย่อมดีที่สุดอยู่แล้ว” กั๋วรุ่ยกล่าวตามตรงหลังจากกินเข้าไป
นี่เป็นช่วงฮันนี่มูนของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงสวีทกันมากแม้แต่ตอนทานอาหารก็ไม่เว้น ถึงแม้หยวนโจวจะไม่ได้เติมน้ำตาลลงในอาหารเลย แต่พวกเขาก็รู้สึกเหมือนอาหารหวานเอามากๆเลย
หลังจากอาหารมื้อนั้นสิ้นสุดลง พวกเขาก็เดินออกจากร้านแล้วยืนรออยู่ข้างนอกจนมื้อเที่ยงสิ้นสุดลง จนลูกค้าทุกคนกับโจวเจียกลับไปแล้ว พวกเขาค่อยเข้ามาอีกครั้ง
“สวัสดีครับ เถ้าแก่หยวน” พวกเขาทักทายหยวนโจว
“คุณมาแล้ว” หยวนโจวพยักหน้า
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขามาร้านแห่งนี้หลังจากงานแต่งงานของตนเอง อันที่จริงแล้ว นี่เป็นการทักทายหยวนโจวเป็นครั้งแรกในวันนี้เลยก็ว่าได้
“อืม พวกเราอยากขอความช่วยเหลือบางอย่างจากเถ้าแก่หยวนหน่อยครับ” กั๋วรุ่ยรู้ว่าหลังมื้อเที่ยงหยวนโจวคงจะเหนื่อยมากเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงพูดเข้าประเด็นทันที
“ได้ ถามมาสิ” หยวนโจวพยักหน้า
แน่นอนว่าหยวนโจวย่อมได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่พวกเขาเดินไปทั่วร้านเพื่อถามลูกค้าคนอื่นๆ แน่นอนว่าย่อมมีบางคนที่น่าจะเชื่อว่าอาจจะไม่เป็นการเคารพสักเท่าไหร่หสกไม่มาถามหยวนโจวเสียก่อน โชคดีที่หยวนโจวไม่คิดมากแถมยังใจเย็นอีกต่างหาก
ที่จริงแล้ว กั๋วรุ่ยกับฉินหลัวไม่อยากรบกวนเถ้าแก่หยวนขณะที่เขากำลังทำอาหาร ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่มาถามเขาหลังมื้อเที่ยงแล้ว
“คุณก็รู้นี่นา พวกเราอยากจะใช้ร้านของคุณเป็นฉากหลังในรูปแต่งงานของเรา ผมหวังว่าเถ้าแก่หยวนจะตอบตกลงเรื่องนั้นนะครับ” กั๋วรุ่ยกับฉินหลัวก้มศีรษะแล้วมองหยวนโจวอย่างเอาจริงเอาจัง
“ในร้านงั้นเหรอ?” หยวนโจวถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง พวกเขาอดที่จะถามออกมาไม่ได้ว่าเขาจะตอบตกลงหรือไม่
“เปล่าหรอกครับ นั่นอาจจะเป็นการรบกวนการเปิดร้านของคุณได้ พวกเราคิดว่าจะถ่ายรูปจากนอกร้าน แน่นอนว่าร้านของคุณย่อมปรากฏอยู่ในรูปด้วย ถ้าคุณไม่ตกลง พวกเราก็จะใช้ถนนเป็นฉากหลังแทนครับ” กั๋วรุ่ยพยักหน้าแล้วอธิบาย
“ไม่มีปัญหา ผมยินดี” หยวนโจวพยักหน้า
752 อาหารชื่อดังทางอินเตอร์เน็ต
ไม่เพียงหยวนโจวจะอนุญาตให้ถ่ายภาพจากนอกร้านได้ แต่เขายังอนุญาตให้เข้ามาถ่ายรูปในร้านได้หลังเวลาเปิดร้าน แน่นอนว่าย่อมมีข้อแม้
“สิ่งหนึ่งที่ต้องจำเอาไว้ก็คือห้ามเข้าไปในครัว พวกนายสามารถถ่ายรูปได้เฉพาะบริเวณที่ลูกค้าทานอาหารเท่านั้น นั้นก็คือกฏ”
“ไม่มีปัญหาครับ” กั๋วรุ่ยตอบตกลงอย่างรวดเร็ว นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่พวกเขาได้รับอนุญาตให้ถ่ายรูปในร้านได้ด้วย
เมื่อเสร็จธุระแล้ว ทั้งสองคนก็ออกจากร้านแล้วเริ่มเดินเตร่กันอยู่บริเวณถนนเถ่าซือเพื่อค้นหาตำแหน่งดีๆสำหรับรูปแต่งงานของพวกเขา
“ร้านขายอุปกรณ์ ร้านขายของชำ ร้านอาหารและบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ฉันไม่เคยสังเกตเลยว่าถึงแม้นี่จะเป็นถนนสายสั้นๆ แต่กลับดูเหมือนจะมีแต่ร้านค้าอยู่ที่นี่กันทั้งนั้นเลย”
กั๋วรุ่ยกล่าวหลังจากพวกเขาเดินเตร่กันอยู่บริเวณถนน ฉินหลัวทำไม้ทำมือเป็นคำตอบ
“ถูกต้องเลยล่ะ เถ้าแก่หยวนเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้ที่ดูท่าทางเย็นชาแต่อันที่จริงแล้วเป็นคนอบอุ่น เห็นได้ชัดว่าเขาใจกว้างมากพอที่จะให้เราถ่ายรูปที่ร้านของเขาได้แต่เขากลับพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแสเสียอย่างนั้น ถ้ามีคนไม่รู้ว่าพวกเรามาที่นี่เพราะอะไร พวกเขาคงคิดว่าพวกเราเป็นพวกทวงหนี้แหงๆเลย” กั๋วรุ่ยเห็นด้วยกับท่าทางฉินหลัวแสดงออกมา
ฉินหลัวยกมือแล้วโบกราวกับแมวนำโชค เมื่อกั๋วรุ่ยเห็นเช่นนั้น เขาก็ระเบิดหัวเราะออกมาพลางกล่าวว่า “ฉันรู้ ฉันรู้ เธอพูดถูกเสมอแหละ ฉันจะฟังเธอนะ”
กั๋วรุ่ยพูดพลางดึงมือฉินหลัวลง เขาดูจนปัญญาตอนที่พูด แต่อันที่จริงเขากำลังพูดด้วยท่าทางเปี่ยมรัก
ฉินหลัวพยักหน้าเป็นคำตอบพร้อมยิ้มกว้าง
นี่คือวิธีการที่พวกเขามักจะใช้สื่อสารกัน พวกเขาจะไม่ใช้สัญญาณมือตามปกติแต่ไม่ว่าฉินหลัวจะทำไม้ทำมืออย่างไร กั๋วรุ่ยก็สามารถเข้าใจเธอได้
พวกเขาช่างเป็นคู่ที่สวรรค์สรรสร้างจริงๆ
หลังจากกั๋วรุ่ยกับฉินหลัวจากไปแล้ว หยวนโจวก็มาหน้าร้านพร้อมเก้าอี้เนื่องจากเขาเตรียมที่จะเริ่มการแกะสลักอีกครั้ง
“เจ้าสองคนนี้มันกระหนุงกระหนิงกันจริงๆเลย” หยวนโจวตัวสั่นเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนทำตัวกระหนุงกระหนิงกันขนาดไหนจากระยะไกล
“ลืมไปเสียเถอะ ฉันจะต้องมีสมาธิกับการแกะสลัก” หยวนโจวพึมพำพลางจ้องมองหัวผักกาดในตะกร้า
“โคมไฟเปล่าๆน่าจะเหมาะแก่การแกะสลัก” หยวนโจวตัดสินใจว่าจะแกะสลักอะไรได้ในทันที
อันที่จริงแล้ว หยวนโจวกำลังแกะสลักบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายโคมที่มีรูปแบบอันแสนวิจิตรบรรจงอยู่ตรงกลาง
พูดง่ายๆก็คือหยวนโจวกำลังพยายามที่จะแกะสลักบางสิ่งบางอย่างที่ยากยิ่ง ถึงอย่างไรเขาทำเช่นนี้ก็เพื่อพัฒนาฝีมือการแกะสลักของตนเอง
“ฉันจะไม่เริ่มจากเสาโคมหรอก แต่ฉันจะเริ่มจากด้านในที่ว่างเปล่าเสียก่อน” หยวนโจววางแผนพลางศึกษาหัวผักกาดที่เขาถืออยู่ไปด้วย
เขาเริ่มแกะสลักทันทีที่วางแผนเสร็จแล้ว
ระหว่างที่หยวนโจวกำลังคร่ำเคร่งกับการแกะสลักของตัวเองอยู่นั้นก็มีเรื่องเกิดขึ้นในอินเตอร์เน็ต
ต้นเหตุของเรื่องนี้ก็คือเมิ่งเมิ่งกับผู้ชมของเธอนั่นเอง
ทีแรกรูปภาพของเมิ่งเมิ่งแค่แพร่กระจายอยู่ในวงแคบ แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป ผู้คนก็ยิ่งแพร่กระจายออกไปเรื่อยๆ
สาเหตุของเรื่องนั้นก็ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย มีคนสุ่มแชร์รูปภาพก่อนที่เมิ่งเมิ่งจะถูกลอตเตอรี่ขึ้นมา เรื่องนี้เกิดขึ้นกับคนทั้งสองที่แตกต่างกัน
และเมื่อผู้คนเริ่มแชร์ให้ผู้อื่นมากขึ้นก็ชักจะเริ่มดุเดือดมากเรื่อยๆ
[ฉันนึกว่าโลมาสีชมพูหรือหนุ่มหล่อเป็นที่นิยมแค่ในอินเตอร์เน็ตเสียอีก? แล้วทำไมข้าวขาวธรรมดาถึงได้เป็นที่นิยมมากกว่าเสียได้เล่า?] สี่โมง
[พวกนายมันหลังเขาเสียจริง ฉันรู้ว่ามีไม่กี่คนหรอกนะที่จะถูกลอตเตอรี่หลังจากแชร์รูปภาพ แถมพรุ่งนี้ฉันยังมีสอบด้วยล่ะ ฉันจะพยายามแชร์รูปภาพเพื่อความโชคดีเหมือนกัน ได้ยินมาว่าการแชร์รูปภาพจะทำให้โชคดีจริงๆนะ] uut2527
[เหลวไหลทั้งเพ ตอนสอบคราวที่แล้ว ฉันแชร์รูปปลาไนไปสองสามรูปเพื่อความโชคดีแต่ก็ยังสอบตกเลยอ่ะ] เดินคนเดียว
ในอดีตเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่อินเตอร์เน็ตติดเทรนด์เรื่องการแชร์รูปภาพปลาไนเพื่อความโชคดี ตอนนี้เรื่องในทำนองเดียวกันกำลังจะเกิดขึ้นกับข้าวนึ่งของร้านหยวนโจว เพราะเหตุนี้ทำให้ร้านหยวนโจวมีชื่อเสียงขึ้นมาอีกครั้งและดึงดูดลูกค้าใหม่ๆได้อีกเป็นจำนวนมาก
แม้แต่ผู้ที่กำลังจีบสาวก็พยายามที่จะแชร์รูปภาพเพื่อความโชคดีด้วย
แน่นอนว่าอินเตอร์เน็ตย่อมสุ่มตามเทรนด์ อันที่จริงแล้วมีผู้คนอีกมากมายที่แชร์รูปภาพโดยไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังแชร์อะไรอยู่กันแน่
[เวรเอ้ย จริงเหรอเนี่ย? นายโชคดีจากการแชร์รูปภาพน้ำข้าวงั้นเหรอ?] คล้อยตามเธอ
มีบางคนให้คำอธิบายที่สร้างความเข้าใจผิดเป็นอย่างยิ่งเป็นต้นว่า นายคิดว่านี่คือน้ำข้าวธรรมดาๆงั้นเหรอ? น้ำข้าวถ้วยนี้เป็นถ้วยเดียวกันกับที่ช่วยชีวิตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาเอาไว้เมื่อตอนที่เขายังอดอยากและยากไร้อยู่เชียวนะ
คนผู้นี้ให้คำอธิบายราวกับเป็นเรื่องจริงไปเสียหมด แน่นอนว่าเรื่องต่างๆในอินเตอร์เน็ตไม่อาจหลับหูหลับตาเชื่อได้ ถ้ามีคนเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นในอินเตอร์เน็ต คนผู้นั้นก็ออกจะไร้เดียงสาไปสักหน่อยแล้ว มีผู้คนมากมายในอินเตอร์เน็ตและไม่ว่าใครก็สามารถพูดอะไรก็ได้ที่อยากจะพูดตรงนั้นก็ได้
แต่บางสิ่งบางอย่างที่กลายเป็นที่นิยมในอินเตอร์เน็ตก็ดึงดูดให้เกิดการสนทนาในโลกแห่งความเป็นจริงเช่นเดียวกัน ดังนั้นผู้คนที่แวะเวียนมาร้านหยวนโจวบ่อยๆก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ รวมไปถึงญินยาด้วย
“ยาน้อย พักนี้เธอได้ไปร้านหยวนโจวไหม?” เพื่อนร่วมงานของเธอที่นั่งอยู่ตรงหน้าถามขึ้น
ที่นั่งของญินยาถูกเลื่อนไปข้างหน้าในขณะที่เพื่อนร่วมงานของเธอคนนี้เป็นลูกจ้างเก่าของที่นี่ เป็นเรื่องหาได้ยากที่เพื่อนร่วมงานคนนี้จะมาร่วมวงซุบซิบนินทาแบบนี้
“อืม แต่ฉันยุ่งๆเลยไม่ได้ไปที่นั่นมาสัปดาห์นึงแล้วล่ะ” ญินยาตอบพลางยิ้มบาง
“เธอรู้จักข้าวนึ่งไหม?” เพื่อนร่วมงานถามขึ้นพลางพยายามซุกซ่อนความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองเอาไว้
“ข้าวนึ่งงั้นเหรอ? หนึ่งในเมนูข้าวร้อยอย่างสินะ?” ญินยาถามด้วยความอยากรู้
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ถูกต้องเลย เป็นเรื่องจริงหริอเปล่าอ่ะ?” เพื่อนร่วมงานพยักหน้าซ้ำๆแล้วถาม
“เรื่องจริงอะไรงั้นเหรอ?” ญินยารู้สึกสับสน
“โชคดีไง ฉันดูวิดีโอมาน่ะ สตรีมเมอร์คนนั้นถูกลอตเตอรี่ 100,000 หยวนหลังจากแชร์รูปภาพเลยนะ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของคนที่ได้แฟนในวันเดียวกันกับที่พวกเขาแชร์รูปภาพด้วยล่ะ” เพื่อนร่วมงานคนนั้นกล่าว
“โอ้ ฉันรู้ว่าอาหารที่ร้านหยวนโจวอร่อยนะ แต่ฉันไม่รู้ว่ามันนำโชคหรือเปล่า” ญินยายักไหล่อย่างจนปัญญา ถึงอย่างไรอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่นแฟนเก่าอาจจะหวนคืนมาหลังจากทิ้งเจ้าชายรูปงามของตัวเองไป
“ดีล่ะ งั้นฉันจะลองดูบ้าง” เพื่อนร่วมงานคนนั้นไม่ได้ถามอะไรอีกแล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมา เห็นได้ชัดว่าเธอเตรียมที่จะแชร์รูปภาพเช่นกัน
ญินยาขจัดเรื่องแฟนเก่ากับเจ้าชายรูปงามออกไป เธอจ้องมองเพื่อนร่วมงานของตัวเองแล้วยิ้ม ถ้าหากแชร์รูปภาพแล้วทำให้โชคดีจริงๆ โลกนี้ก็คงไม่มีคนยากจนอีกแล้วล่ะ
แน่นอนว่าเธอยังตัดสินใจที่จะไปเยือนร้านหยวนโจวระหว่างมื้อค่ำด้วย
นอกเหนือไปจากญินยาแล้ว ลูกค้าขาประจำคนอื่นๆของร้านหยวนโจวอย่างอู๋โจวกับจ้าวอิ๋งจวินก็ถูกถามเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
ในขณะเดียวกัน หยวนโจวกำลังแกะสลักอย่างคร่ำเคร่ง ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถบอกได้ว่าเขาไม่ทำอะไรเลยเว้นแต่จะโดนพายุเฮอร์เคนพัดไปเท่านั้นแหละ
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ติ๊ง ยินดีด้วยนะเจ้านายที่ได้อาหารชื่อดังทางอินเตอร์เน็ตมาแล้ว หัวข้อภารกิจใหม่: ยึดครองอินเตอร์เน็ต”
หยวนโจวที่ไม่เคยถูกรบกวนขณะแกะสลักซ้ำยังเป็นคนที่รักษาความสงบนิ่งขณะแกะสลักได้เสมอมาจู่ๆก็เกิดตัวสั่นขึ้นมาจนแกะสลักล้มเหลว
เขาตั้งสติก่อนที่จะมองดูประกาศ อาหารชื่อดังทางอินเตอร์เน็ตบ้าบออะไรกันเนี่ย?
แล้วภารกิจใหม่นี่มันอะไรกัน? ยึดครองอินเตอร์งั้นเหรอ?
753 มนุษย์เสนอ เทพเซียนสนอง
ในขณะที่หยวนโจวกำลังรู้สึกสับสนอยู่นั้น ข้าวนึ่งที่เจ้าระบบเรียกว่าอาหารชื่อดังกลับกลายเป็นที่นิยมมาก
มันเป็นที่นิยมมากเสียจนแม้แต่จวงซินมู่ก็ยังอยากจะกินเช่นกัน
“คืนนี้ไปกินข้าวโชคดีกันเถอะ” จวงซินมู่กล่าวขึ้นทันทีหลังจากรับสาย
“ข้าวโชคดีงั้นเหรอ?” อู๋โจวดูเหมือนจะสับสนเข้าเสียแล้ว
จวงซินมู่ส่ายหน้าแล้วอธิบาย “ก็ข้าวนึ่งไงเล่า”
“ข้าวนึ่งเป็นหนึ่งในเมนูข้าวร้อยอย่างไม่ใช่เหรอ? แล้วมันกลายเป็นข้าวโชคดีไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะเนี่ย?” อู๋โจวทำงานล่วงเวลามาสองสามวันแล้วจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในอินเตอร์เน็ต
จวงซินมู่ยินดีอธิบายทุกอย่างให้เขารู้
อู๋โจวถึงกับพูดไม่ออกไปเลยเมื่อได้ยินคำอธิบาย “เธอเชื่อเรื่องนั้นจริงๆเหรอ?”
“ก็ไม่เชิงนะ แต่ในเมื่อทุกคนกำลังจะไปกิน ฉันก็อยากลองชิมดูบ้างน่ะ” จวงซินมู่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น
“เธอก็รู้จักเมิ่งเมิ่งเหมือนกันนี่ ฉันเชื่อว่าเธอก็แค่โชคดี อย่าได้หลงเชื่อข่าวลือเป็นอันขาดเชียว ไม่งั้นเธอจะต้องเสียใจตอนที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องไม่จริง” อู๋โจวยังครองสติเอาไว้ได้จึงเตือนจวงซินมู่ล่วงหน้า
“จ้า จ้า ฉันรู้แล้ว เรื่องเดียวที่ฉันสนใจก็มีแต่เรื่องกินเท่านั้นแหละ” จวงซินมู่ตอบก่อนที่จะวางสายไป
ในเวลางาน อู๋โจวไม่มีเวลาว่างมากพอ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เดินออกจากสำนักงานระหว่างคุยโทรศัพท์ เพราะแบบนั้นเอง จ้าวอิ๋งจวินจึงไม่คุยกับเขาอีก
“แม้แต่ข่าวลือนายก็ยังจะเชื่ออีกเหรอ?” จ้าวอิ๋งจวินถาม
“ท่าจะเป็นงั้น” อู๋โจวกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
“เถ้าแก่หยวนไม่เคยทำเรื่องธรรมดาๆหรอก ทุกครั้งที่เขาได้รับความนิยมก็เพราะเหตุผลประหลาดๆบางอย่าง” จ้าวอิ๋งจวินนึกถึงเหตุการณ์ตอนห่านย่างขึ้นมาได้
ระหว่างเหตุการณ์ครั้งนั้น การสั่งห่านหนึ่งในสี่ส่วนกลายเป็นเทรนด์มาจนถึงตอนนี้เลย ส่วนข้าวนึ่งก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของโชคดีไปเสียแล้ว ทั้งสองเหตุการณ์เป็นเรื่องที่แปลกเอามากๆเลย
ตอนนี้เมิ่งเมิ่งผู้เป็นตัวการของเรื่องทั้งหมดนี้กำลังเคี้ยวขนมปังแครกเกอร์ตุ้ยๆพลางสังเกตทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไปด้วย หลังจากกลืนขนมปังแครกเกอร์ลงไปแล้ว เธอก็พึมพำว่า “การโปรโมทโดยไม่ตั้งใจของฉันทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ค่อนข้างน่าพึงพอใจทีเดียว เถ้าแก่หยวนน่าจะเลี้ยงอาหารเป็นการตอบแทนฉันสำหรับเรื่องนี้สักมื้อนะ”
เมิ่งเมิ่งมีสีหน้าทั้งน่าเอ็นดูและเจ้าเล่ห์แสนกลยามที่เธอกล่าวออกมาเช่นนั้น
เมิ่งเมิ่งหารู้ไม่ว่ายามนี้หยวนโจวกำลังรู้สึกจนปัญญาเอามากๆ
“เจ้าระบบ เดี๋ยวนี้แกเรียนรู้การท่องเน็ตด้วยเหรอ? อาหารชื่อดังทางอินเตอร์เน็ตอะไรกันล่ะเนี่ย?” หยวนโจวถามขึ้นหลังจากสูดหายใจลึกๆ
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เจ้านายจะค้นหาดูก่อนหรือยอมรับภารกิจเลยก็ได้”
“โฮ่โฮ่ ภารกินงั้นเหรอ? ฉันยังไม่ได้เอารางวัลเมื่อคราวที่แล้วมาใช้ด้วยซ้ำไป ทำไมถึงได้มีภารกิจใหม่เสียแล้วล่ะ? ดูเหมือนกับว่าพอฤดูใบไม้ผลิมาเยือน แกเองก็มีผลงานเหมือนกันนี่นาเจ้าระบบ แถมแกยังมอบภารกิจสองอย่างให้ฉันทำในช่วงเวลาสั้นๆแค่นั้นอีกต่างหาก” หยวนโจวกล่าว
ควรรู้ว่าหยวนโจวยังไม่เคยใช้รางวัลการเดินทางที่ได้มาเลย ตอนนี้เขาได้รับภารกิจมาอีกอย่างแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนว่าภารกิจนี้จะสำเร็จไปกว่าครึ่งแล้วด้วย สิ่งนี้ช่างทำให้รู้สึกค่อนข้างน่าเหลือเชื่อ
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “อาจจะได้รับภารกิจรอง ภารกิจที่ซ่อนอยู่และภารกิจหลักเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ โดยไม่มีลำดับที่จำเพาะเจาะจงระบุเอาไว้ในภารกิจ เจ้านายสามารถรับภารกิจนี้ได้โดยไม่ต้องกังวลเลย”
“อืม ขอฉันคิดดูก่อนนะ” หยวนโจวตอบพลางขมวดคิ้ว เขายังไม่รับภารกิจในทันที
“แต่แกก็ต้องบอกฉันมาก่อนสิว่าอาหารชื่อดังทางอินเตอร์เน็ตคืออะไร?” หยวนโจวกล่าว
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “คำว่าชื่อดังทางอินเตอร์เน็ตมักจะถูกนำมาใช้กับคนที่เป็นที่นิยมในอินเตอร์เน็ต คนที่ได้รับความนิยมในอินเตอร์เน็ตด้วยเหตุผลใดๆก็แล้วแต่”
“ส่วนใหญ่คนพวกนี้จะกลายเป็นที่นิยมก็ต่อเมื่อมีอุปนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอกซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญในอินเตอร์เน็ต พวกเขาจะรู้สึกพึงพอใจกับความต้องการต่างๆที่คนๆหนึ่งสามารถมีได้ เช่น รูปลักษณ์ภายนอก ความบันเทิง ความตื่นเต้น ความแปลกใหม่หรือแม้แต่แนวโน้มที่จะถูกถ้ำมอง และนั่นก็คือวิธีการที่คนดังในอินเตอร์เน็ตสามารถได้รับความสนใจจากผู้คนในอินเตอร์เน็ต”
“เช่นเดียวกับอาหารชื่อดังทางอินเตอร์เน็ตในคราวนี้ เนื่องจากความบังเอิญบางอย่าง อาหารจึงกลายเป็นที่นิยมในอินเตอร์เน็ตขึ้นมา”
“หลังจากอธิบายมาเสียยืดยาวขนาดนั้นแล้ว แกยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าจริงๆแล้วอาหารจานไหนที่เป็นอาหารชื่อดังทางอินเตอร์เน็ตกันแน่” หยวนโจวกล่าว
ใช่แล้วล่ะ เจ้าระบบยังไม่ได้บอกเขาเลยว่าอาหารจานไหนที่เป็นอาหารชื่อดังทางอินเตอร์เน็ตหลังจากอธิบายมาเสียยืดยาว
“ห่านย่างงั้นเหรอ?” หยวนโจวนึกถึงเหตุการณ์ตอนห่านย่างขึ้นมาได้แล้วคาดเดา
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ข้าวนึ่งกลายเป็นอาหารชื่อดังทางอินเตอร์เน็ตหรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งในอินเตอร์เน็ตว่าข้าวโชคดี”
“อาหารจานนั้นเองน่ะเหรอ? น่าแปลกชะมัดเลย” หยวนโจวรู้สึกประหลาดใจ
ถึงอย่างไรข้าวนึ่งก็เป็นอาหารที่ง่ายที่สุดจากเมนูข้าวร้อยอย่าง นี่ก็คืออาหารจานล่าสุดที่หยวนโจวคาดว่าน่าจะได้รับความนิยม
“ฉันต้องรู้ให้ได้เลยว่ามันกลายเป็นข้าวโชคดีได้ยังไงกัน” หยวนโจวตัดสินใจ
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เจ้านาย คุณสามารถรับภารกิจได้เลยนะ”
“ในฐานที่เป็นสุดยอดเชฟในอนาคต นับเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ฉันต้องรอบคอบเอาไว้ ดังนั้นฉันต้องแน่ใจบางเรื่องเสียก่อน แล้วภารกิจยึดครองอินเตอร์เน็ตในคราวนี้ยังต้องการให้ฉันทำให้ร้านเป็นที่นิยมมากขึ้นอีกใช่ไหม?” หยวนโจวคาดเดาไปเรื่อยเปื่อย
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เจ้านายจะรู้เองหลังจากรับภารกิจแล้ว”
“ดูเหมือนฉันจะพลาดไปเสียแล้ว” หยวนโจวพึมพำกับตัวเอง
หยวนโจวรู้จักเจ้าระบบดีและเกรงว่าหากเขาเดาถูก เจ้าระบบก็คงจะบอกเขาทันที แต่หากเขาเดาผิด เจ้าระบบก็คงจะเร่งเร้าให้เขารับภารกิจแทน
“ฉันต้องทำอาหารชื่อดังทางอินเตอร์เน็ตอีกงั้นเหรอ?” หยวนโจวถาม
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เจ้านายจะได้รู้วิธีบรรลุภารกิจและรางวัลหลังจากรับภารกิจแล้ว”
“ฉันพูดถูกสินะ” หยวนโจวพึมพำด้วยท่าทีครุ่นคิดก่อนจะเงียบไป
ขณะที่หยวนโจวกำลังนั่งเงียบๆอยู่หน้าร้านพลางถือมีดอยู่นั้น จู่ๆอู๋ไห่ก็ส่งเสียงพูดมาจากชั้นบน
“เถ้าแก่หยวน กำลังฝันกลางวันอยู่งั้นเหรอ?” อู๋ไห่ถามจากหน้าต่างชั้นสองด้วยความประหลาดใจพลางลูบหนวดเคราของตนเองไปด้วย
“เปล่าหรอก ฉันกำลังนึกถึงเรื่องบางอย่างอยู่น่ะ” หยวนโจวตอบพร้อมเงยหน้าขึ้น
“ไม่มีทางเสียหรอก นายนั่งเหม่ออยู่ตรงนั้นมาได้สักครู่แล้วแล้ว” อู๋ไห่โต้แย้ง
แต่หยวนโจวกลับก้มหน้าลงหลังจากบอกสิ่งที่อยากจะพูดออกไปแล้ว หลังจากอู๋ไห่ตอบมาแล้ว เขาก็ไม่พูดอะไรออกมาอีกและยังเอาแต่นั่งเงียบต่อไป
“เถ้าแก่หยวน! เถ้าแก่หยวน! นายฝันกลางวันอีกแล้วงั้นเหรอ?” อู๋ไห่ตะโกนเรียก
“เปล่าสักหน่อย” หยวนโจวตอบโดยไม่เงยหน้ามองสักนิด
“แล้วทำไมนายถึงไม่ตอบฉันล่ะ?” อู๋ไห่ถาม
“ก็แค่ขี้เกียจเงยหน้าตอนคุยน่ะ” หยวนโจวกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวฉันลงไปหา” อู๋ไห่กล่าวแล้วหายตัวไปจากหน้าต่างทันที ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ชั้นล่าง
อู๋ไห่มักจะเป็นคนที่ทำอย่างที่พูดเสมอ อย่างไรเสียก้นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากที่วันนี้หยวนโจวไม่ได้กำลังแกะสลักอยู่แต่กลับนั่งฝันกลางวันแทน ดังนั้นอู๋ไห่จึงถือโอกาสเข้ามาคุยกับหยวนโจวเสียเลย
“ทำไมนายถึงลงมาเสียเล่า?” หยวนโจวถาม
“ก็นายบอกว่าขี้เกียจเงยหน้าไม่ใช่หรือไง? ฉันก็เลยลงมาเสียเลย” อู๋ไห่ตอบ
“ฉันไม่ได้บอกสักหน่อยว่าอยากคุยนะ” หยวนโจวกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ดูสิ วันนี้อากาศดีชะมัดเลย เรามาคุยเรื่องเมนูอาหารค่ำไม่ก็อาหารจานใหม่ที่นายกำลังจะเตรียมกันเถอะ” อู๋ไห่เสนออย่างใจกว้าง
“ถึงเวลาฝึกแกะสลักแล้ว” หยวนโจวกล่าวพลางยกมีดขึ้นมา
“ถึงยังไงนายก็ต้องพักบ้างนะ เถ้าแก่หยวน เรื่องเดียวที่นายนอกเหนือจากงานก็เห็นจะมีแต่การฝึกแกะสลักนี่แหละ แล้วมันจะต่างอะไรกับซากศพกันเล่า?” อู๋ไห่กล่าวอย่างจริงจัง
“ต่างสิ” หยวนโจวกล่าวด้วยความมั่นใจ
“ต่างกับผีน่ะสิ” อู๋ไห่กล่าว
“ซากศพไม่หล่อเท่าฉันหรอกและซากศพก็ไม่รู้จักวิธีทำอาหารด้วย” หยวนโจวตอบพลางจับจ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย
สิ่งนี้ทำเอาอู๋ไห่ถึงกับพูดไม่ออกไปเลยทีเดียว
และนี่ก็คือสนทนาที่อาจจะทำให้ถูกฆ่าตายเอาได้ และนี่คือสาเหตุที่ทำให้อู๋ไห่จับตาดูความสามารถในการมีส่วนร่วมกับการสนทนาของหยวนโจวด้วยความดูถูกดูแคลน
ตอนที่ 754
ตามฉันมาเสียดีๆ ตอนที่ 1
“เถ้าแก่หยวน นายมันคุยไม่เก่งเลยจริงๆ” อู๋ไห่กล่าวเหยียดหยัน
“งั้นเหรอ?” หยวนโจวสวนกลับด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ก็เออน่ะสิ” อู๋ไห่พยักหน้าโดยไม่ลังเล
“โฮ่โฮ่” หยวนโจวก้มหน้าลงแล้วไม่ตอบอะไรอีก
คนที่ไม่มีอีคิวเลยจะกล้าบอกว่าตัวเองคุยเก่งได้อย่างไรกันเล่า? หยวนโจวนึกดูถูกอยู่ในใจโดยไม่พยายามปกปิดเรื่องนั้นเลยสักนิด
“นายค่อยแกะสลักทีหลังได้ไหม? ฉันมีเรื่องจะบอกนาย” อู๋ไห่กล่าวอย่างจริงจัง
“เรื่องอะไรงั้นเหรอ?” หยวนโจวเงยหน้าขึ้นมาถามเมื่อได้ยินคำพูดของอู๋ไห่
“ก็ตับดิบไง นายคงไม่ลืมไปแล้วหรอกนะ?” อู๋ไห่กล่าว
“เปล่า” หยวนโจวส่ายหน้ายืนยัน
“ไปกันวันนี้เลยดีไหม? ยังไงเป็นวันที่สดใสแถมเหลือเวลาตั้งสามชั่วโมงก่อนมื้อค่ำอีกต่างหากแน่ะ” อู๋ไห่ตรวจสอบเวลาแล้วกล่าวออกมา
“ก็ได้ งั้นฉันจะไปที่นั่นด้วย” หยวนโจวกล่าว
“ฉันจะรอนะ นายก็ไปเก็บข้าวเก็บของได้แล้ว” อู๋ไห่พยักหน้าแล้วกล่าวออกมาทันที
“นายจะไปทั้งแบบนั้นน่ะเหรอ?” หยวนโจวลุกขึ้นถามเขาพลางมองดูเสื้อผ้าที่อู๋ไห่สวมใส่อยู่
“ผิดถนัดเลยล่ะ นายไปเก็บของของนายเหอะส่วนฉันจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ใช้เวลาไม่นานหรอก” อู๋ไห่ส่ายหน้า
“รีบๆหน่อยนะ ฉันมีเวลาไม่มากนัก” หลังจากกล่าวเช่นนั้นแล้ว หยวนโจวก็ยกม้านั่งกลับเข้าไปในร้าน
ใช้เวลาแค่ไม่นานชายทั้งสองคนก็เก็บข้าวของเสร็จ หยวนโจวเปลี่ยนเป็นกางเกงกีฬาสีเทาซึ่งทำให้เขาไม่อึดอัด และอู๋ไห่ก็สวมใส่ชุดสูทผ้าขนสัตว์เบาบางแบบไม่เป็นทางการซึ่งทำให้เหมือนไม่ใช่ตัวเขาเลย
“ดูเหมือนว่านายก็มีเสื้อผ้าดีๆกับเขาด้วย” หยวนโจวอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา
“แหงอยู่แล้ว เจิ้งเจียเว่ยเป็นคนซื้อแล้วก็จัดเตรียมเสื้อผ้าทุกตัวของฉันนี่นา” อู๋ไห่พยักหน้าด้วยความภาคภูมิใจ
“เจิ้งเจียเว่ยเก่งจริงๆ” หยวนโจวรู้สาเหตุที่เจิ้งเจียเว่ยต้องเอาใจใส่มากขนาดนี้ได้โดยไม่ต้องถามเหตุผลเลย
เขาคงจะถูกการชื่นชมความงามของอู๋ไห่เคี่ยวกรำอย่างหนักเป็นแน่ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะชื่นชมความงามอันแสนอ่อนช้อยและสง่างามเช่นนั้น นี่คือสิ่งที่หยวนโจวมั่นใจมากทีเดียว
“พวกเราจะไปที่นั่นกันยังไงอ่ะ?” เมื่อพวกเขาเดินมาถึงสี่แยกถนน อู๋ไห่ก็หันมาถามหยวนโจว
“ฉันจะตรวจสอบเส้นทางดูก่อน ก่อนอื่นต้องขึ้นรถประจำทางไปถนนอู๋หูแล้วค่อยไปหาผู้เชี่ยวชาญตามที่ปรากฏในแผนที่ที่ตาแก่คนนั้นให้มา” หยวนโจวตอบทันที เขาต้องเตรียมการล่วงหน้าให้เรียบร้อย
“เยี่ยมไปเลย พวกเราจะขึ้นรถประจำทางสายไหนดีอ่ะ? แล้วพวกเราจะไปทางนั้นหรือทางนี้ดี?” อู๋ไห่เดินไปที่ป้ายรถประจำทางทันที เขาถามขึ้นมาขณะที่กำลังอ่านข้อมูลตรงป้ายรถประจำทาง
“พวกเราจะไม่ไปที่นั่นด้วยรถประจำทางหรอกนะ พวกเราจะขึ้นรถแท็กซี่กัน
“รถประจำทางก็ดีนะ” อู๋ไห่เดินกลับไปแล้วเสนอแนะขึ้นมา
“นายไม่มีเซ้นส์เรื่องทิศทางเอาเสียเลย เลิกอวดสักทีเถอะน่า” หยวนโจวขัดคอเขาขึ้นมาทันที
“ก็ได้ๆ” อู๋ไห่ยักไหล่เพื่อบอกว่าเขาไม่สนใจเรื่องนั้นสักนิด
สาเหตุที่ว่าทำไมหยวนโจวถึงไม่ขึ้นรถประจำทางนั้นง่ายมากๆเลยล่ะ เขาไม่สามารถบอกได้เลยว่าต้องขึ้นรถประจำทางที่ป้ายไหนจึงจะถูกต้อง
พวกเขาขึ้นรถแท็กซี่แล้วลงรถเมื่อมาถึง หยวนโจวจ่ายค่าแท็กซี่ด้วยความมั่นใจ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่พาอู๋ไห่มาที่นี่เองนี่นา
“น่าจะเป็นที่นี่แหละ” หยวนโจวที่กำลังยืนอยู่ตรงสี่แยกถนนหยิบแผนที่ที่ได้มาจากชายชราออกมายืนยัน
“เอาไงต่ออ่ะ?” จากนั้นอู๋ไห่ก็จ้องมองไปที่ริมถนนตรงหน้า
ถนนอู๋หูเป็นถนนสายหลักซึ่งทั้งสองข้างทางต่างเป็นตึกสูง ทางด้านซ้ายเป็นประตูหลังของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยซูเปอร์มาร์เก็ตในขณะที่ทางด้านขวาเป็นเป็นร้านอาหาร โดยที่ร้านอาหารจะเป็นสีแดงเสียส่วนใหญ่และประตูหลายๆบานก็เปิดออก พวกมันดูเหมือนร้านหม้อไฟหรืออะไรทำนองนั้น
นอกจากนี้ยังมีซอยอยู่ทั้งสองข้างทางถนน บางแห่งมีแผงลอยขนาดเล็กในขณะที่บางแห่งอยู่นอกเขตที่อยู่อาศัย
“ตรงไป 0.75 กิโลเมตรแล้วเลี้ยวซ้าย เลี้ยวซ้ายอีกครั้งหลังจากนั้นตรงไปอีก 200 เมตร จากนั้นนายก็จะมาถึงตลาดสดแล้วคนๆนั้นก็น่าจะอยู่ที่นั่นแหละ” หยวนโจวกล่าวอย่างเอาจริงเอาจังขณะมองแผนที่
“เยี่ยมไปเลย รู้สึกว่าอีกไม่ไกลแล้วล่ะนะ” อู๋ไห่พยักหน้าแล้วเดินตามหยวนโจวไป
“0.5 กิโลเมตรเท่ากับ 500 เมตร งั้น 0.75 กิโลเมตรก็เท่ากับ 750 เมตร รองเท้าของฉันเบอร์ 40 ก็น่าจะยาวประมาณ 25 เซนติเมตร และช่วงก้าวของฉันก็น่าจะยาว 37 เซนติเมตร ผนวกกับเท้าของฉันเองก็ยาว 25 เซนติเมตร ทั้งสองก้าวก็เป็นความยาวทั้งสิ้น 114 เซนติเมตร แต่ฉันต้องหักลบความยาวของเท้าตัวเองที่ซ้ำกันในทั้งสองก้าวจึงมีความยาวเหลือเพียง 1 เมตร ฉะนั้นฉันก็น่าจะเดินได้ 1500 ก้าว” หยวนโจวคำนวณย่างก้าวที่ต้องเดินอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว
ถูกต้องแล้วล่ะ อันที่จริงแล้วหยวนโจวไม่สามารถหาทางที่ถูกต้องได้หรอก แต่เขารู้สึกได้ว่าด้วยแผนที่ในมือการจะหาให้เจอกลับไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก นอกเหนือไปจากนี้เขาก็สามารถคำนวณตำแหน่งที่แน่นอนได้ ฉะนั้นเขาจึงเชื่อว่าน่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด
หยวนโจวสังเกตย่างก้าวของตัวเองแล้วพยายามตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกย่างก้าวขณะที่เดินไปข้างหน้าสม่ำเสมอกัน เขาคำนวณจำนวนย่างก้าวที่เดินไปข้างหน้าอยู่เงียบๆทั้งยังดูเหมือนคร่ำเคร่งและจริงจังราวกับเขากำลังทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์บางอย่างอยู่
“ตึก ตึก ตึก” เสียงฝีเท้าที่สม่ำเสมอของหยวนโจวดังขึ้นเบาๆในซอย
“1499 ถึงเวลาเลี้ยวตรงหัวมุมแล้ว” หยวนโจวอ่านเงียบๆแล้วหันกลับไปโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเขาทำเช่นนั้นแล้ว หยวนโจวก็ไม่ได้หยุดเดินตามความเคยชินของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงเลี้ยวตรงหัวมุมเอาง่ายๆเมื่อตอนที่เขาหันกลับมา
“อืม เดินไปตามทางจะเป็นทางตรงความยาวประมาณ 200 เมตร ดูเหมือนจะง่ายขึ้นเยอะเลย” หยวนโจวรู้สึกโล่งอกโล่งใจแล้วคำนวณต่อไป
“ช้าก่อน ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดพลาดนะ” จู่ๆหยวนโจวก็ชะงักไปแล้วพึมพำกับตัวเอง
ในขณะที่เขากำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดและใคร่ครวญให้รอบคอบอยู่นั้น เขาก็หันหน้าไปเห็นผู้คนที่กำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่ทางด้านหลัง เขาหลงทางเข้าเสียแล้ว
ท่ามกลางผู้คนพวกนั้น มีคุณย่าที่กำลังดูแลหลานสาวที่ออกไปเดินช็อปปิ้งทั้งยังเป็นเด็กมัธยมที่กำลังเล่นไปพลางล้อเล่นไปพลาง
“ดูเหมือนจะมีบางอย่างหายไปนะ” หยวนโจวกล่าวกับตัวเอง
“โอใช่ อู๋ไห่ไปไหนล่ะนี่?” จู่ๆหยวนโจวก็ตบมือและจำได้ว่าอู๋ไห่น่าจะเดินตามเขามา แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ทางด้านหลังของเขาเลย
“เจ้าเด็กน้อยคนนี้หายไปไหนเสียแล้วนะ?” หยวนโจวนิ่งเฉยแล้วเริ่มรอคอยเขา
หยวนโจวมีความอดทนดีมากทีเดียว เขายืนรออยู่เงียบๆมาห้านาทีแล้ว แต่อู๋ไห่ก็ยังไม่ปรากฏตัวเลย
“เขาคงจะไม่หายตัวไปหรอกใช่ไหม?” หยวนโจวขมวดคิ้วแล้วคลายออก เขาเดินไปเดินกลับเพื่อมองหาเขา เขาถึงกับเดินเข้าไปในซอยใกล้เคียงเพื่อตามหาเขาด้วย
“เขาหายตัวไปเสียดื้อๆเลย เป็นเด็กสามขวบหรือไงกัน?” หยวนโจวบ่น
หลังจากนั้นแน่นอนว่าเขาย่อมต้องโทรหาอู๋ไห่อยู่แล้ว หยวนโจวหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเริ่มโทร
โชคดีที่อู๋ไห่ทิ้งเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ในรายชื่อผู้ติดต่อของหยวนโจวอย่างไร้ยางอาย มิฉะนั้นหยวนโจวก็คงไม่รู้ว่าจะติดต่ออู๋ไห่ได้อย่างไร
“ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด” หลังจากผ่านไปสักครู่ก็มีคนรับสาย
“อู๋ไห่ นายอยู่ที่ไหน?” หยวนโจวถามเข้าประเด็นสำคัญ
“ฉันกำลังตามหานายอยู่เลย” อู๋ไห่เสียงดังเล็กน้อยในตอนท้าย แต่เขาก็ตอบมาตามตรง
“นายอยู่ที่ไหนกันเนี่ย?” หยวนโจวเตรียมมองหาเจ้าโง่จอมหลงทางผู้นี้ด้วยตัวเอง
“ฉันอยู่ตรงตำแหน่งที่พวกเราพลัดหลงกันอ่ะ ฉันก็เลยไม่เดินให้ไกลจากที่นั่น นายจะได้หาฉันเจอไงเล่า” อู๋ไห่มองไปรอบๆและกล่าวพลางลูบหนวดเคราตัวเองไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของอู๋ไห่บ่งบอกว่าไม่มีเรื่องอะไร ส่วนหยวนโจวไม่รู้ว่าพวกเขาพลัดหลงกันตรงไหนแน่
“มีจุดสังเกตใกล้ตัวนายบ้างไหม?” หยวนโจวขมวดคิ้วแล้วถาม
“บ้านสีแดง แถมเป็นร้านหม้อไฟด้วย แล้วก็มีเสาไฟฟ้าอยู่ข้างๆ” อู๋ไห่อธิบายอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หยวนโจวมองไปรอบๆตามคำอธิบายของอู๋ไห่และพบว่าเหมือนกันไปหมด ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลยสักนิดเดียว
“บอกสิ่งอื่นที่ดูโดดเด่นสะดุดตามาหน่อยซิ” หยวนโจวถามอีกครั้ง
“มีโคมไฟสีแดงที่วาดรูปตัวเฟิ่งอยู่นอกประตู แล้วฉันก็เห็นโคมไฟอีกดวงที่วาดรูปตัวหวงทำให้จดจำได้ง่ายๆเลยล่ะ” อู๋ไห่กล่าว
หยวนโจวหัวเราะเหยียดหยัน ตลกสิ้นดี! เขาเป็นเชฟนะไม่ใช่นักชีววิทยาสักหน่อย ระหว่างเฟิ่งกับหวงมีอะไรแตกต่างกันเล่า?
เฟิ่งหวงหมายถึงหงส์ในภาษาอังกฤษ จากความหมายของคำนั้น เฟิ่งหมายถึงหงส์ตัวผู้ในขณะที่หวงหมายถึงหงส์ตัวเมียนั่นเอง
ตอนที่ 755
ตามฉันมาเสียดีๆ ตอนที่ 2
หยวนโจวคาดไว้แล้วว่าอู๋ไห่เชื่อถือไม่ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้เขาหายตัวไป หยวนโจวก็ต้องถามต่อไป
เขาอ้าปากถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “พูดตามปกติ บอกอาคารที่เป็นจุดสังเกตชัดๆที่ฉันสามารถหาได้ง่ายๆมาทีซิ”
คราวนี้หยวนโจวกล่าวอย่างเคร่งขรึมจริงจังจนแม้แต่สีหน้าก็ยังกลับกลายเป็นเข้มงวด ถึงอย่างไรก็เป็นตัวเขาเองที่พาอู๋ไห่มาที่นี่ แต่ตอนนี้เขากลับหายตัวไปก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทางของพวกเขาเสียอีก แล้วเขาจะอธิบายเรื่องน่าอายแบบนี้ให้ผู้อื่นฟังได้อย่างไรกันเล่า?
“ยังไม่ชัดพออีกเหรอ? ดูที่โคมไปนอกประตูสิ พวกมันออกจะโดดเด่นสะดุดตาอย่างเห็นได้ชัดเลย แถมยังมีเฟิ่งตัวผู้กับหวงตัวเมียที่ทำให้จดจำได้ง่ายพอสมควรอีกด้วย…” อูไห่ลูบหนวดเครากระจุ๋มกระจิ๋มของตัวเองแล้วเงยหน้ามองโคมไปอีกครั้ง
“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้” หยวนโจวขัดจังหวะคำพูดของอู๋ไห่อย่างรวบรัดตัดตอน
“ทำไมนายถึงไม่ยอมบอกตำแหน่งให้ฉันรู้เล่า ฉันจะได้หานายพบสักที?” อู๋ไห่มองไปรอบๆแล้วก็ไม่เจอสิ่งใดเลยที่พอจะอ้างอิงได้จริงๆ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลยนอกเสียจากบ้านจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนไปใช้วิธีการพูดอีกแบบหนึ่ง
“ก็ได้” หยวนโจวนึกอยู่สักครู่แล้วก็รู้สึกว่าแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน เขาสามารถคำนวณจำนวนย่างก้าวได้จึงไม่น่าจะมีปัญหานักหรอก
“แล้วตอนนี้นายอยู่ที่ไหนอ่ะ? มีจุดสังเกตอะไรบ้างไหม?” อู๋ไห่กล่าว
เมื่ออู๋ไห่ถามมา หยวนโจวก็หันไปมองรอบๆ
มันเป็นถนนสายหนึ่งที่โอบล้อมรอบตัวเขา จากที่เห็นนั้น ถนนค่อนข้างแคบกว่าตอนที่เขาเพิ่งจะเข้ามาเสียอีก แต่เขาแน่ใจอย่างหนึ่งว่าเลี้ยวเข้ามาตรงหัวมุม
แต่สำหรับตำแหน่งที่จำเพาะเจาะจงนั้น — หยวนโจวพับแผนที่ที่ชายชราวาดแล้วกล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “เดี๋ยวฉันจะโทรหานะ” จากนั้นเขาก็วางสายไป
“เป็นบ้าอะไรของนายอีกล่ะเนี่ย?” อู๋ไห่ถือโทรศัพท์แล้วชักจะสับสนเล็กน้อยโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลังจากวางสายไปแล้ว หยวนโจวก็เริ่มค้นหาเส้นทาง ในฐานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์โชกโชน เขาต้องแสดงฝีมือขั้นสุดยอดในการในการค้นหาเส้นทางเสียแล้วล่ะ
“เมื่อกี๊ฉันมาจากตรงนี้ เป็นซอยนี้ไม่ใช่เหรอ?” หยวนโจวลุกขึ้นแล้วหันกลับไปมอง มีซอยอยู่สามซอยทางด้านหลังของเขา
“ซอยนี้หรือซอยที่อยู่ข้างๆกันนะ? ตอนที่โทรไปเมื่อกี๊ ฉันไม่ได้ขยับเท้าไปไหนเลยนะ ฉะนั้นทิศทางของปลายนิ้วเท้าฉันจึงบ่งบอกว่าเมื่อกี๊ฉันไม่ได้หันกลับมาเลย” หยวนโจวขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิดอย่างรอบคอบ เขาก้มหน้าลงไปมองนิ้วเท้าตัวเอง
“เมื่อกี๊ฉันเดินไปกี่ก้าวกันแน่นะ?” หยวนโจวพึมพำแล้วถอยหลังไปสองสามก้าว
เมื่อสักครู่หยวนโจวไม่ได้คำนวณย่างก้าวของตัวเองขณะที่ตามหาอู๋ไห่ ดังนั้นการคำนวณก่อนหน้านี้ของเขาจึงเปล่าประโยชน์
แต่หลังจากเขาเดินถอยหลังมาได้สองสามก้าว หยวนโจวก็พบว่าซอยนี้กลับไม่ใช่ซอยที่เขามั่นใจเมื่อสักครู่อีกแล้ว จากนั้นเขาก็รู้สึกลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
เขาเดินกลับไปกลับมาอยู่ตรงนั้นอย่างน้อยสิบนาที แต่เขาก็ยังไม่เจอตำแหน่งที่เขาชะงักลงเมื่อสักครู่เลย
ในสายตาของผู้อื่น การกระทำของหยวนโจวค่อนข้างโง่มากทีเดียว นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่มีวันเข้าใจความรันทดของเจ้าโง่จอมหลงทางหรอกหากไม่พวกเขาไม่พลัดหลงเสียเอง
แม้แต่ถนนสายเดียวกันก็ยังแตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล เมื่อเทียบกับตอนเช้าแล้วก็จะมีความแตกต่างในตอนเย็น และดูเหมือนจะแตกต่างกันในหนึ่งนาทีต่อมา
ดังนั้นจึงอย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องเกินจริงอะไรเลยที่หยวนโจวจะมองนิ้วเท้าตัวเองแล้วนับจำนวนย่างก้าว มันเป็นเพียงวิธีเดียวที่คนไม่มีเซ้นส์เรื่องทิศทางแต่ก็ยังอยากนำทางสามารถนึกออกได้แล้ว
หลังจากนั้นเขาก็วิ่งมาได้สักพัก หยวนโจวก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“คงไม่ใช่ว่าฉันหลงทางหรอกนะ” หยวนโจวนึกถึงคำถามนี้ด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง
“ต้องโทษเจ้าอู๋ไห่ เขาไม่ยอมอยู่ใกล้ๆฉันก็เลยหลงทาง เห็นไหมเล่า? ตอนนี้เขาหลงทางเสียแล้ว แถทเขายังมาทำให้ฉันสับสนกับก้าวย่างของตัวเองเพียงเพราะออกตามหาเขาอีก” หยวนโจวรู้สึกดูถูกดูแคลนคนที่ทำร้ายทั้งผู้อื่นและตัวเองอย่างอู๋ไห่เอามากๆเลยล่ะ
หยวนโจวไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องที่พลัดหลงได้อย่างไรตอนที่อู๋ไห่เรียกเขาเป็นครั้งแรก
“เถ้าแก่หยวน นายโอเคมั้ย? นายเจออาคารที่เป็นจุดสังเกตหรือเปล่า?” อู๋ไห่ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” คำพูดของหยวนโจวช่างแสนสั้นกระชับ
เขายังนึกวิธีแก้ปัญหาเรื่องที่พลัดหลงต่อไป ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากตำรวจได้ จะเป็นเรื่องน่าอายขนาดไหนกันที่ผู้ใหญ่สองคนไปหาตำรวจแล้วบอกว่าพวกเขาพลัดหลงกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังอยากขอความช่วยเหลืออีกต่างหาก! สถานการณ์ช่างน่าอับอายเสียจนหยวนโจวไม่อยากจะนึกถึงอีกต่อไปแล้ว
“เถ้าแก่หยวน นายคงไม่เจอผู้เชี่ยวชาญคนนั้นแล้วเริ่มทานอาหารไปแล้วหรอกใช่ไหม?” น้ำเสียงของอู๋ไห่เปี่ยมไปด้วยการกล่าวโทษ
“ยัง ก็ฉันรอนายอยู่ไงเล่า” หยวนโจวนิ่งเฉย
“โอเค ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน? ฉันจะไปหานายเอง” อู๋ไห่กล่าวอีกครั้ง
“ไม่เอาน่า! ด้วยความสามารถของนายจะมาถูกงั้นเหรอ? ลืมมันไปเสียเถอะ” หยวนโจวมองสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยแล้วปฏิเสธ
“ตอนนี้พวกเราจะเอาไงดีอ่ะ?” อู๋ไห่ลูบหนวดเครากระจุ๋มกระจิ๋มของตัวเองแล้วมองภาพเขียนเฟิ่งบนโคมไฟ
“นายโทรหาตัวแทนของนายซิ นายมีสมาร์ทโฟนไม่ใช่เหรอ? ส่งโลเคชั่นไปให้เขาด้วย” หยวนโจวอดจะชื่นชมในไหวของตัวเองไม่ได้
“อืม เป็นความคิดที่ดี แล้วฉันจะส่งโลเคชั่นไงอ่ะ?” อู๋ไห่เห็นด้วยกับเขาแล้วก็ถามขึ้นมา
“ฉันเป็นแค่เชฟนะเว้ย” หยวนโจวกล่าวอย่างสุภาพ
การส่งโลเคชั่นอยู่นอกเหนือความสามารถของหยวนโจวผู้แทบไม่เคยใช้สมาร์ทโฟนเลย
“ขอถามเจิ้งเจียเว่ยก่อนนะ” คราวนี้อู๋ไห่รีบวางสายทันที
หยวนโจวพบข้อเสียของตัวเองอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเขามีแค่ไม่กี่วิธีในการขอความช่วยเหลือ ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะไม่มีทางเลือกนอกจากขอให้คนอื่นส่งโลเคชั่นมาให้เขาแล้ว
“ฉันควรจะถามเจียงฉางซี่หรือญินยาดีนะ?” หยวนโจวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วนึกถึงปัญหาสำคัญขึ้นมาได้
หยวนโจวเปิดรายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์ของเขา —
พี่เจียง สุดสวยญิน ฉูน้อย อู๋สามขวบ โจวเจีย — รวมแล้วมีคนน้อยกว่าโหลนึงเสียอีก
หยวนโจวกำลังคัดกรองตัวแทนที่เหมาะสมอยู่ในใจ ถึงอย่างไรการติดแหง็กอยู่ที่นี่ก็หาใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดี เขายังต้องเปิดร้านในตอนเย็นอยู่นะ
ส่วนเรื่องที่จะขอให้หยวนโจวถามทางนั้นคงต้องเข้าตาจนจริงๆแล้วเท่านั้นแหละ ถึงอย่างเขาก็เป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กน้อย
ปัญหาที่สำคัญก็คือเขาจะไม่ยอมเป็นเจ้าโง่จอมหลงทางหรอกหากเขาสามารถค้นหาความช่วยเหลือได้จากแผนที่และคำแนะนำของคนอื่นๆ
“ฉันโทรหาโจวเจียดีกว่า” หยวนโจวใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วเลือกคนที่เหมาะสมแก่การขอความช่วยเหลือ
ในความคิดของเขานั้น เขาเคยขอความช่วยเหลือเจียงฉางซี่ไปครั้งหนึ่งแล้วเขาจึงรู้สึกอายที่จะขอความช่วยเหลือเธออีก สำหรับญินยานั้น เขาไม่อยากรบกวนเธอตอนนี้เพราะเรื่องหยุมหยิมพรรค์นั้น
ส่วนโจวเจีย เขาไม่ต้องกังวลเลย ไม่ใช่เพียงเพราะเธอเป็นลูกจ้างของเขาหรอกแต่ยังเป็นเพราะโจวเจียมักจะมีอุปนิสัยสงบสำรวมจึงค่อนข้างวางใจได้มาก
“เถ้าแก่เหรอคะ?” โจวเจียค่อนข้างประหลาดใจตอนที่รับสาย
“อืม เธอรู้วิธีเปิดใช้บริการจีพีเอสไหม?” น้ำเสียงของหยวนโจวฟังดูค่อนข้างเคร่งขรึมราวกับกำลังพูดเรื่องการวิจัยทางวิทยาศาสตร์บางอย่างอยู่ก็ไม่ปาน
“ฉันรู้แต่วิธีส่งโลเคชั่นวีแชทไปให้คนอื่นนะคะ คุณกำลังพูดถึงเจ้าสิ่งนั้นใช่ไหม?” โจวเจียตอบอย่างจริงจัง
แต่เธอก็ไม่ได้ถามสาเหตุที่หยวนโจวถามคำถามนี้ขึ้นมา
“มีอะไรอีกไหม?” หยวนโจวไม่รู้วิธีส่งโลเคชั่นวีแชทจึงถามขึ้นมาตรงๆ
“ฉันว่าน่าจะใช่นะ ก่อนอื่นเปิดอินเตอร์เฟซของวีแชท…” โจวเจียอธิบายขั้นตอนอีกครั้งอย่างรอบคอบและจริงจังแล้วรอคำตอบของหยวนโจว
ความสามารถในการเรียนรู้ของหยวนโจวช่างเหนือล้ำอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ดังนั้นเขาจึงจัดการเรื่องหยุมหยิมพรรค์นี้อย่างการส่งโลเคชั่นให้คนอื่นได้อย่างง่ายดายยิ่ง
“อืม แค่นั้นนะ แล้วเจอกันเย็นนี้” หยวนโจวกล่าว
“โอเค บายค่ะ เถ้าแก่” โจวเจียกล่าวอำลาเขาอย่างสุภาพอ่อนโยน
เมื่อวางสายแล้ว หยวนโจวก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วนึกถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นก็คือเขาไม่ได้ใช้วีแชทนี่นา ก่อนที่เขาจะมีเจ้าระบบเข้ามา เขามักจะใช้แต่คิวคิว แต่หลังจากมีเจ้าระบบเข้ามาแล้ว เขาก็หมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาการทำอาหารแล้วก็ไม่ได้ใช้คิวคิวมากเท่าแต่ก่อนอีก
ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางส่งโลเคชั่นให้คนอื่นได้เลยแม้ว่าเขาจะทราบขั้นตอนแล้วก็ตามที
หยวนโจวชักจะอารมณ์เสียขึ้นมานิดหน่อยแล้ว ทำไมเรื่องยุ่งยากถึงได้ทยอยเข้ามาไม่ได้ขาดสายเลยนะ? แต่ในทางกลับกัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับอู๋ไห่กลับดำเนินไปได้ด้วยดี
“เจิ้งเจียเว่ยนายยุ่งอยู่หรือเปล่า? ฉันมีเรื่องด่วน” อู๋ไห่อ้าปากถามขึ้นมา
ตอนที่ 756
จิตสำนึกของหยวนโจว
“ถ้านายไม่ยุ่งก็มารับฉันแล้วก็เถ้าแก่หยวนด้วย พวกเราพลัดหลงกันโดยบังเอิญน่ะ” อู๋ไห่กล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ
“ไม่มีปัญหา ตอนนี้นายอยู่ไหนล่ะ?” เจิ้งเจียเว่ยถามอย่างชัดเจน
ดังนั้นอู๋ไห่จึงบอกตำแหน่งของตัวเองให้เจิ้งเจียเว่ยทราบ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ได้ละเลยโคมไฟที่มีภาพเขียนตัวเฟิ่งไป
“สถานที่แห่งนี้ใช่ว่าจะหาเจอกันได้ง่ายๆ ยังมีอย่างอื่นอีกไหมอย่างเช่นชื่อร้านในละแวกข้างเคียงน่ะ?” เจิ้งเจียเว่ยไม่รู้สึกแปลกใจกับคำอธิบายของอู๋ไห่เลยสักนิด ดูเหมือนว่าเขาจะคุ้นเคยกับเรื่องแบบนั้นอยู่แล้วจึงเพียงแค่ถามหาสิ่งนำทางเพิ่มเติม
“โอ้ ใช่ ฉันสามารถส่งโลเคชั่นเพื่อให้นายมาหาฉันก็ได้นี่นา” อู๋ไห่นึกถึงคำพูดของหยวนโจวขึ้นมาได้จึงตอบขึ้นมาทันที
“โอเค งั้นฉันจะสอนนายส่งโลเคชั่นของตัวเองนะ” เจิ้งเจียเว่ยกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติขณะที่กำลังออกไป
หลังจากเจิ้งเจียเว่ยต้องสอนถึงห้าครั้ง ในที่สุดอู๋ไห่ก็ส่งโลเคชั่นของตัวเองสำเร็จ ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้คงได้แต่รอเจิ้งเจียเว่ยเท่านั้นแล้ว
ส่วนหยวนโจวนั้น เขาเพียงแค่ยืนรออยู่เงียบๆ เขาจะรออย่างอดทนจนกว่าอู๋ไห่จะโทรบอกให้เจิ้งเจียเว่ยมารับ มิฉะนั้นเขาก็คงออกไปไม่ได้หรอก
ถึงตอนนั้นก็ออกไปได้ไม่ยากแล้ว เขาค่อนข้างชัดเจนในเรื่องที่อยู่ของร้านตัวเองจึงทำให้สามารถขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้านได้
ก่อนหน้านี้เขามักจะไปธนาคาร กรมสรรพากรหรือแม้แต่ไปซื้อเฟอร์นิเจอร์ด้วยรถแท็กซี่อยู่เสมอ มีตำแหน่งที่คนขับแท็กซี่ก็ยังหาไม่เจอ ถ้ามีทางเลือกเขาก็จะเปลี่ยนเป็นอีกคันหนึ่งแทน
เจิ้งเจียเว่ยมีประสบการณ์ในการตามหาตัวอู๋ไห่มานานหลายปี สำหรับเจ้าโง่จอมหลงทางขั้นรุนแรงอย่างอู๋ไห่อย่าได้ฟังเขาให้มากเกินไปเสียดีกว่า มิฉะนั้นก็คงจะไม่สามารถหาตัวเขาพบได้อีกถึงแม้ว่าเดิมทีน่าจะสามารถหาพบได้ก็ตาม
ไม่นานเจิ้งเจียเว่ยก็ไปรับตัวอู๋ไห่ จากนั้นอู๋ไห่ก็โทรหาหยวนโจวอีกครั้ง
“เจิ้งเจียเว่ยอยู่นี่แล้ว เถ้าแก่หยวน มากลับด้วยกันเถอะ” อู๋ไห่กล่าวราวกับเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดอยู่แล้ว หยวนโจวจะหายไปไม่ได้เป็นอันขาด มิฉะนั้นใครจะไปเปิดร้านกันเล่า?
“โอเค ตอนนี้นายอยู่ไหน? ร้านค้าชื่อว่าอะไร?” คราวนี้หยวนโจวถามอย่างแยบยล เขาถามชื่อร้านค้าทันที
“หม้อไฟจางน้อยบนถนนอู๋หูตะวันตก ฝั่งตรงข้ามประตู 3 ของหมู่บ้านจัดสรรว่านหลี่ คุณอยู่ที่ไหนครับเถ้าแก่หยวน? จะให้ผมไปรับคุณไหมครับ?” เสียงของเจิ้งเจียเว่ยดังลอดผ่านปลายสายโทรศัพท์มาจากอีกด้านหนึ่ง เขาแสดงตำแหน่งปัจจุบันของตัวเองได้อย่างชัดเจนมาก
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมไม่เหมือนกับอู๋ไห่ ผมสามารถหาตำแหน่งนี้ได้เดี๋ยวผมจะไปเองครับ ไม่ไกลนักหรอก” หยวรโจวปฏิเสธทันที
จากนั้นหยวนโจวก็วางสายไปทันทีก่อนที่เจิ้งเจียเว่ยจะทันได้พูดอะไรออกไป เขาเดินอยู่ประมาณห้านาทีก็เจอรถแท็กซี่
“คุณครับ ไปหม้อไฟจางน้อยบนถนนอู๋หูตะวันตก” หยวนโจวขึ้นรถแล้วบอกที่อยู่กับคนขับ
“หม้อไฟจางน้อยงั้นรึ?” คนขับแท็กซี่ขมวดคิ้ว ดูท่าเขาคงไม่ใช่นักชิมจึงไม่รู้จักร้าน
หยวนโจวกล่าวเสริมขึ้นมาอีกว่า “อยู่ฝั่งตรงข้ามประตู 3 ของหมู่บ้านจัดสรรว่านหลี่”
คนขับแท็กซี่มองหยวนโจวด้วยความประหลาดใจแล้วกล่าวว่า “น้องชาย ฉันไม่รู้หรอกว่าหม้อไฟจางน้อยอยู่ที่ไหน แต่ตอนนี้พวกเราอยู่บนถนนอู๋หูตะวันตกแล้ว เดินไปตามถนนสายนี้อีก 300 เมตรก็จะเห็นประตู 3 เองแหละ”
จริงๆแล้วคนขับแท็กซี่ยังมีอีกคำที่ไม่ได้พูดออกมาเพราะเกรงว่าจะทำลายความมั่นใจของหยวนโจวเข้าว่า “จริงๆแล้วบริเวณด้านหลังพวกเขาก็คือหมู่บ้านจัดสรรว่านหลี่”
หยวนโจวยังคงรักษาท่าทางสงบสำรวมเอาไว้แล้วกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติว่า “เพื่อนของผมรอนานมากแล้ว ผมจะเอากระดาษทิชชู่ไปให้เขา คุณก็รู้ใช่ไหมครับ?”
“โอ้ ใช่ ใช่ คุณต้องรีบจริงๆแล้วล่ะ” คนขับแท็กซี่แสดงสีหน้า “ฉันเข้าใจนะ” แล้วออกรถทันที
คนขับรถแท็กซี่ในเฉิงตูชอบการพูดคุยเอามากๆ ถึงแม้จะเป็นระยะทางที่สั้นมากๆ แต่พวกเขาก็ยังหาเรื่องมาคุยจนได้ ส่วนอู๋ไห่ที่กำลังรอกระดาษทิชชูอยู่นั้น เขาแค่รอให้หยวนโจวมาพร้อมกับเจิ้งเจียเว่ยโดยไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย
“ทางที่ดีคราวหน้าตอนออกไปข้างนอกก็พกกระดาษทิชชู่มาด้วยสิ ถ้าระยะทางสั้นมากๆคนขับแท็กซี่บางคนก็ไม่รับผู้โดยสารหรอกนะจะบอกให้” คนขับแท็กซี่กล่าวอย่างกระตือรือร้น
จากนั้นเขาก็บอกอีกว่าทุกวันนี้เพื่อนร่วมอาชีพของเขาหลายคนโดนลูกค้าพวกนั้นหลอกมาเยอะแล้ว เมื่อตอนที่การจราจรไม่ติดขัด พวกเขาจะคิดค่าบริการมากกว่า 30 หยวนส่วนระยะทางที่สั้นกว่านั้นก็จะคิดค่าบริการ 20 หยวน
หยวนโจวพยักหน้าเห็นด้วย ถังแม้ว่าเขาจะเป็นคนท้องถิ่น แต่เขาก็มีประสบการณ์โดนคนขับแท็กซี่เมินเฉยหรือหลอกมาเหมือนกัน
“ตอนผมไปสนามบินคราวที่แล้วเกือบไม่ทันเครื่องเลยล่ะ” หยวนโจวกล่าว
คนขับแท็กซี่กล่าวอย่างเป็นธรรมและตรงไปตรงมาทันทีว่า “คราวหน้าถ้าเจอเรื่องแบบนี้อีกให้ขอใบเสร็จรับเงินเอาไว้นะครับ ให้เงินเขาไปแล้วส่งเรื่องร้องเรียนเสียเลย ถ้าเขาไม่ยอมให้ใบเสร็จรับเงินกับคุณก็อย่าได้ให้เงินเข้าเป็นอันขาดเชียวล่ะ นี่เป็นกฏน่ะครับ พวกลูกค้าอย่างคุณต้องรู้จักปกป้องสิทธิ์ของตัวเองด้วยนะครับ”
เมื่อเห็นหยวนโจวพยักหน้าติดๆกัน คนขับแท็กซี่ก็หายขุ่นเคือง “คนขับแท็กซี่พวกนี้ก็ทำเกินไปจริงๆ ชื่อเสียงของวงการแท็กซี่ต้องโดนทำลายเพราะคนเลวพวกนี้ เป็นผลให้คนขับแท็กซี่ด้วยความซื่อสัตย์อย่างเราๆต้องเดือดร้อนเพราะจอมหลอกลวงพวกนั้น ทุกวันนี้ลูกค้าชอบเรียกแท็กซี่ผ่านสมาร์ทโฟนมากขึ้นเรื่อยๆ”
“จริงเหรอครับ? ผมยังไม่เคยเรียนรู้วิธีเรียกแท็กซี่ด้วยโทรศัพท์มาก่อนเลย” หยวนโจวไม่รู้วิธีตอบเขาจึงทำได้เพียงกล่าวเช่นนั้นเพื่อปลอบใจเขา และในตอนนี้เขามาถึงจุดหมายปลายทางของตัวเองแล้ว ระยะทางสั้นมากจริงๆ พูดง่ายๆก็คือเขาต้องข้ามไฟจราจรและถนนก่อนที่จะถึง
“นิสัยดีจัง พยายามเข้านะ” คนขับแท็กซี่กล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง
คำชื่นชมของคนขับแท็กซี่เกือบทำให้หยวนโจวสะดุดขณะที่เขากำลังลงจากรถ หมายความว่าอะไรกัน?
หยวนโจวเห็นป้ายร้านหม้อไฟจางน้อยก่อนที่จะลงจากรถแล้ว นอกจากนี้เขาก็ยังสังเกตเห็นเจิ้งเจียเว่ยกับอู๋ไห่ยืนอยู่ที่รถอีกด้วย
หยวนโจวยังไม่ได้ลงจากรถเลยตอนที่เจิ้งเจียเว่ยและอู๋ไห่เข้ามาหา
“คุณมาแล้ว” เจิ้งเจียเว่ยทักทายหยวนโจวก่อน
“มันไม่ไกลจริงๆแหละ นายมาถึงไวมากเลย” อู๋ไห่เองก็อ้าปากพูดเช่นกัน
คนขับแท็กซี่ที่ยังไม่จากไปมองเจิ้งเจียเว่ยกับอู๋ไห่ด้วยสีหน้าสับสนแล้วขับรถจากไป
สายตาของคนขับแท็กซี่ชัดเจนเสียจนแม้แต่อู๋ไห่ก็ยังสังเกตได้ เขาอ้าปากถามขึ้นมาทันทีว่า “คนๆนี้เป็นอะไรงั้นเหรอ?”
“เขาน่าจะจำได้ว่านายเป็นจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ไงล่ะ” หยวนโจวกล่าวอย่างที่เตรียมพร้อมเอาไว้
“จริงด้วย ถึงยังไงฉันก็มีชื่อเสียงพอตัวนี่นะ” อู๋ไห่ลูบหนวดเครากระจุ๋มกระจิ๋มของตัวเองแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ตอนนี้ทุกคนอยู่ที่นั่นและยังพอมีเวลาเหลือ หยวนโจวไม่อยากเสียเวลาไปเปล่าๆปลี้ๆจึงเสนอให้ค้นหาตลาดสดแห่งนั้นต่อไป
ถึงตอนนี้ อู๋ไห่อดไม่ได้ที่จะเห็นด้วยส่วนเจิ้งเจียเว่ยเพียงทำตามคำสั่งของอู๋ไห่เท่านั้น ดังนั้น ด้วยการนำทางของหยวนโจวและความช่วยเหลือของเจิ้งเจียเว่ย ในที่สุดพวกเขาก็เจอตลาดสดตามที่ชายชราขับรถลากบอก อย่างที่เขากล่าวเอาไว้ ตลาดสดไม่สะดุดตานักถึงแม้จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ก็ตามที ก่อนอื่นพวกเขาต้องเข้าไปในซอยก่อนถึงจะสามารถเห็นทางเข้าตลาดสดได้
รถยนต์ไม่สามารถเข้าไปที่นั่นได้และพวกเขาก็ไม่สามารถไปถึงด้วยรถแท็กซี่ได้จริงๆ
“ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้ หาเจอได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ” อู๋ไห่มองทางเข้าตลาดสดแล้วถอนหายใจ
“ไม่เลวนี่” หยวนโจวได้แต่รักษาท่าทีสงบนิ่งเอาไว้
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพบสถานที่เหมาะสมแล้ว แต่กลับไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมและชายชราที่เชี่ยวชาญในการทำตับดิบก็ไม่ปรากฏตัวในตอนนี้ ดังนั้นพวกเขาทั้งสามจึงเตรียมตัวที่จะกลับบ้านแล้ว
“ไว้มาใหม่คราวหน้าเถอะ พวกเรามีเวลาไม่มากแล้ว” หยวนโจวตรวจสอบเวลาอย่างเป็นธรรมชาติ
“อืม นายพูดถูก ได้เวลาอาหารมื้อค่ำแล้ว” คำพูดของอู๋ไห่มักจะเกี่ยวข้องกับอาหารอยู่เสมอ
“ให้ผมขับรถไปส่งเถอะครับ” เจิ้งเจียเว่ยโบกมือ
“ขอบคุณมากครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วกล่าวอย่างสุภาพ
“ด้วยความยินดี มาทานอาหารมื้อค่ำด้วยกันเถอะน่า” อู๋ไห่โบกมือเบาๆแล้วบอกกับเจิ้งเจียเว่ย
“โอเค งั้นวันนี้ไปทานอาหารมื้อค่ำที่บ้านเสี่ยวไห่กันเถอะ” เจิ้งเจียเว่ยพยักหน้าอย่างมีความสุข
“ผิดแล้ว พวกเราจะไปทานอาหารที่ร้านของเถ้าแก่หยวนต่างหากเล่า” อู๋ไห่แก้ไขความเข้าใจผิดให้เขาเสียใหม่
“ใช่ครับ ผมเลี้ยงเอง” หยวนโจวนึกถึงบทสนทนาระหว่างคนขับแท็กซี่ขึ้นมาได้จึงกล่าวขึ้นมาด้วยความถือดีในทันที
“การเดินทางครั้งนี้ช่างคุ้มค่าจริงๆ” อู๋ไห่พยักหน้าทันทีเพราะเกรงว่าหยวนโจวจะปฏิเสธคำพูดของเขา
“ขอบคุณมากครับ เถ้าแก่หยวน” เจิ้งเจียเว่ยกล่าวขอบคุณเขาทันที
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ” หยวนโจวยังคงเป็นเช่นเดิม เขาเพียงแค่มีท่าทีสงบสำรวมตามปกติและขึ้นรถอย่างเป็นธรรมชาติ
ระหว่างอาหารมื้อค่ำ แน่นอนว่าอู๋ไห่ย่อมโม้ให้ใครต่อใครในร้านหยวนโจวฟังเป็นวรรคเป็นเวร นับเป็นเรื่องยากกว่าถูกลอตเตอรี่เสียอีกที่ได้ไปตามหาอาหารอร่อยพร้อมกับเถ้าแก่หยวน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องเลี้ยงอาหารมื้อคำเลย
และแน่นอนว่าเขาย่อมไปกระตุ้นต่อมอิจฉาของลูกค้าคนอื่นๆในร้านเข้า อู๋ไห่เป็นคนที่ฉลาดมาก หลังจากอาหารมื้อนี้ เขามักจะมาหาหยวนโจวแล้วออกไปพร้อมกันเพื่อตามหาชายชราผู้นั้น
หยวนโจวเองก็มักจะโชคดีอยู่เสมอ หลังจากไปที่นั่นแล้วคว้าน้ำเหลวได้ประมาณห้าครั้งหกครั้ง ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบเจอคนที่อยากจะพบเสียที
อาหารที่แม้แต่เจ้าระบบเองก็เชื่อว่าไม่มีทางทำได้กำลังจะอุบัติขึ้นในที่สุดแล้ว!
ตอนที่ 757
หลิวจางจอมพิลึก
ชายชราบอกว่าคนผู้ที่ทำตับนั้นจดจำได้ง่ายมาก นั่นเป็นเรื่องจริง อย่างน้อยก็ในกรณีของหยวนโจวแหละนะ
เมื่อหยวนโจวกับอู๋ไห่ไปถึงตลาดสด ช่วงเย็นก็ยังไม่เริ่มขึ้นเลย ลูกค้าไม่กี่คนแถวนั้นและแม้แต่พ่อค้าแม่ขายต่างพากันปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างเกียจคร้าน
ในการที่จะได้ตับดิบๆมา คงต้องมาแต่เช้าเพราะจะมีการเชือดสัตว์ในตอนนั้นเอง
แต่ตามคำบอกเล่าของชายชรา คนผู้นี้จะมาขายตับเฉพาะก่อนช่วงเริ่มขึ้นเท่านั้น นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หยวนโจวกับอู๋ไห่มาถึงเอาป่านนี้
“เลือกเวลาได้แปลกชะมัด” หยวนโจวถอนหายใจอยู่ภายในใจ
ในขณะที่หยวนโจวกับอู๋ไห่ต่างจับจ้องไปตรงทางเข้าตลาดสดอย่างเร่าร้อนก็มีคนมาถึง
เขาแต่งกายในชุดเครื่องแต่งกายสมัยราชวงศ์ถังสีฟ้าโดยมีเสื้อคลุมสีดำคลุมทับอยู่ด้านบน ผมเผ้าของเขาหวีเสยไปข้างหลังเสียเรียบแปล้และสวมรองเท้าสีดำคู่หนึ่ง ตอนที่เขาเดินมานั้น ฝีเท้าของเขามั่นคง รอยยิ้มที่ประดับอยู่ยนใบหน้าตลอดเวลาให้ความรู้สึกเป็นมิตรยิ่ง
สาเหตุที่ทำให้จดจำคนผู้นี้ได้ง่ายดายมากๆก็เพราะเขามีเครางาม ส่วนเครายาวถึงหน้าอกโดยมีส่วนบนสีขาวและส่วนล่างสีดำ
ดูเหมือนใบหน้าของเขาจะไม่แก่เกินไปแถมเคราของเขาก็สะอาดเรียบร้อยอีกต่างหาก
“น่าจะเป็นเขาแหละนะ” หยวนโจวหันกลับมาบอกอู๋ไห่ก่อนที่จะเดินไปหาผู้มาใหม่
ถ้าเป็นเวลาอื่น หยวนโจวก็น่าจะรู้สึกอายเกินกว่าที่จะพูดกับคนแปลกหน้าเช่นนี้ในทันที
แต่คนผู้นี้เป็นคนที่สามารถทำปลาที่แม้แต่เจ้าระบบยังอ้างว่าไม่มีทางทำได้หรอก ดังนั้นหยวนโจวจึงกล่าวขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
“สวัสดีครับ ผมหยวนโจว นี่คืออู๋ไห่ คุณปู่ที่ขับรถลากแนะนำให้พวกเรามาที่นี่ครับ” หยวนโจวแนะนำตัวเอง
หยวนโจวได้แต่พูดขึ้นทันทีที่ยืนอยู่ต่อหน้าคนผู้นั้น ดูเหมือนคนผู้นั้นจะอดทนอดกลั้นมากพอดูเนื่องจากเขายืนยิ้มระหว่างรอให้หยวนโจวกับอู๋ไห่พูดให้จบ
“โอ้ ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่าคุณจะต้องมาแน่ๆ ผมหลิวจางครับ” เขากล่าวพร้อมยิ้มพลางลูบเคราตัวเองไปด้วย
“คุณเป็นเถ้าแก่ร้านอาหารที่ยอดเยี่ยมมากทีเดียวแถมยังเชี่ยวชาญในการทำอาหารอีกต่างหาก แล้วคุณก็คงเป็นไอ้เจ้าหนวดคนนั้นสินะ” คนผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น คงเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาอายุของเขาจากน้ำเสียงเพียงอย่างเดียว
“ขอโทษที่รบกวนด้วยนะครับ” หยวนโจวกล่าว
“คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเราจะมาล่ะครับ?” อู๋ไห่รู้สึกสงสัยเล็กน้อยจึงถามขึ้นมาหลังจากคาดเดาขนาดเคราของหลิวจางแล้ว
หลิวจางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ง่ายๆเลยนะ เขาเป็นเชฟส่วนคุณเป็นนักชิม ฉันเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคุณสองคนมาเยอะเชียวล่ะ”
คุณปู่ที่ขับรถลากเป็นคนที่ชอบเล่าเรื่องเอามากๆเลย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาจะเคยเล่าเรื่องของร้านหยวนโจวขณะที่กำลังทานอาหารกับหลิวจาง
“ว้าว งั้นคุณก็รู้จักผมน่ะสิครับ” อู๋ไห่ลูบหนวดเคราของตนเอง
“คุณหลิว วันนี้คุณจะให้ผมเตรียมอาหารมื้อค่ำเหรอครับ?” หยวนโจวถาม
หยวนโจวตัดสินใจแล้ว เขาจะมาทานตับฟรีๆก่อนที่จะเลี้ยงอาหารคนผู้นี้กลับคืน
“ผมไม่ขออะไรมากหรอก ตาแก่นั่นบอกว่ารสชาติอาหารของคุณสมกับราคาที่ต้องจ่ายให้ร้านของคุณเลยล่ะ” หลิวจางกล่าว
“งั้นพวกเราไม่เกรงใจแล้วนะครับ” หยวนโจวไม่มัวอ้อมค้อมให้เสียเวลาแล้วกล่าวพลางพยักหน้า
“เข้าไปข้างในกันเถอะ ผมคิดว่าตับแกะน่าจะพร้อมแล้วล่ะครับ” หลิวจางกล่าวพลางก้าวเดินไปข้างหน้า
หยวนโจวเริ่มเผยท่าทีของนักเรียนออกมาขณะที่เขาเตรียมตัวที่จะเฝ้าสังเกตและเรียนรู้ ส่วนอู๋ไห่นั้น เขากำลังมองไปทุกหนทุกแห่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น สายตาของเขาหยุดลงตรงเคราของหลิวจางเป็นครั้งคราว
ควรรู้ว่าเคราของหลิวจางโดดเด่นสะดุดตามากจริงๆ ไม่ว่าผู้ใดที่ได้พบเห็นก็ย่อมรู้ได้เลยว่าหลิวจางต้องดูแลเคราเป็นอย่างดี
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่มีอะไรให้เรียนรู้หรอกนะ คุณจะรู้เองหลังจากได้ลองลงมือทำดูน่ะ” หลิวจางกล่าวพร้อมยิ้มเมื่อเขาเห็นท่าทีเอาจริงเอาจังของหยวนโจว
หยวนโจวตอบอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ผมไม่รู้วิธีทำอาหารจานนี้เลย หวังว่าจะมีโอกาสได้เรียนรู้จากคุณนะครับ”
“ไม่รู้จะพูดยังไงดี เดี๋ยวคุณก็รู้เองนั่นแหละครับ” หลิวจางกล่าวอย่างเฉยเมย
จากน้ำเสียงของเขา หยวนโจวก็รู้ได้เลยว่าหลิวจางไม่พยายามที่จะไขข้อสงสัยแถมเอาแต่พูดตามที่ตัวเองคิดอีกต่างหาก ดังนั้นหยวนโจวจึงต้องสงบสติอารมณ์ลง
“อย่าไปถือสาเขาเลย เขามักจะคร่ำเคร่งอยู่ตลอดเวลา แต่แน่นอนว่าความคร่ำเคร่งก็จะช่วยให้แน่ใจได้ว่าคนๆนั้นจะทำงานออกมาได้ดี ถึงยังไงผมก็เป็นคนที่คร่ำเคร่งคนหนึ่งเหมือนกันนะครับ” อู๋ไห่กล่าว
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลิวจางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
หยวนโจวแสร้งทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งใด
“เจ้าหนุ่ม หนวดเคราของนายมันน่าสนใจจริงๆเลยนะ ส่วนตัวนายก็เป็นคนที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน” หลิวจางกล่าว
“แน่นอนครับ ก็ผมเป็นคนฉลาดแถมยังมีเสน่ห์อีกต่างหากนี่นา” อู๋ไห่กล่าวพลางลูบหนวดเคราตัวเองไปด้วย
“โฮ่โฮ่” หยวนโจวเกิดความเข้าใจใหม่ๆในความไร้ยางอางของอู๋ไห่ขึ้นมาแล้ว
ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็มาถึงส่วนของตลาดที่ขายเนื้อแกะ
ตลาดแห่งนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่โต มีแผงลอยยาวเหยียดอยู่สามแถวที่ขายเฉพาะเนื้อหมูเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีแผงลอยยาวเหยียดอีกแถวที่ขายเฉพาะเนื้อวัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นี่ก็คือสิ่งที่พบได้ยากในตลาดแห่งอื่น
ถึงอย่างไรเฉิงตูก็ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ผู้คนที่นี่รับประทานเนื้อหมูมากกว่าเนื้อวัวเสียอีก ตามปกติแล้วจะมีแผงลอยอยู่แค่แผงสองแผงเท่านั้นที่ขายเนื้อวัวอยู่ในตลาด ส่วนแผงลอยขายเนื้อแกะจะปรากฏในช่วงฤดูหนาวแค่แผงสองแผงเท่านั้น ในฤดูกาลอื่นๆจะไม่มีผู้ใดพบแผงลอยขายเนื้อแกะเลย
แต่ที่นี่กลับมีแผงลอยขายเนื้อแกะถึงสามแผง หลิวจางพาพวกเขาไปยังแผงลอยริมตลาด
“คนผู้นี้ซื่อสัตย์กับการทำธุรกิจเอามากๆเลยล่ะ แกะของเขาเลี้ยงด้วยหญ้าเพื่อให้แน่ใจได้ว่ารสชาติของเนื้อจะแรงยิ่งขึ้นในขณะที่กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเนื้อแกะกลับอ่อนลง ในแต่ละวันเขาจะฆ่าแกะสองตัว ตัวหนึ่งในตอนเช้าและอีกตัวในตอนเย็น” หลิวจางอธิบายขณะที่เขาเดินอยู่
คำอธิบายเช่นนี้มีความหมายต่อหยวนโจวอย่างเห็นได้ชัด
“อืม” หยวนโจวพยักหน้าแล้วเดินตามหลังหลิวจางราวกับนักเรียน
ผู้ใดก็ตามที่มอบความรู้ให้ก็ย่อมคู่ควรที่จะได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นอาจารย์
ส่วนอู๋ไห่นั้น เขาอยากรู้เรื่องความแตกต่างระหว่างเนื้อแกะกับเนื้อวัวเอามากๆเลยทีเดียว
“ตาเฒ่าหลิวอยู่นี่เอง มาๆนี่คือตับแกะสดไงล่ะ” ชายตรงแผงลอยหน้าหลิวจางที่สามารถพูดอะไรก็ได้กล่าวขึ้น
“ขอบใจนะ” หลิวจางหยิบกระเป๋าสานออกมาแล้วรับตับแกะเอาไว้
“ด้วยความยินดี เมื่อไหร่นายจะไปเตรียมตับให้ฉันเสียทีเล่า? จะให้ดีต้องมีเหล้าด้วยล่ะ” ชายผู้นั้นถามอย่างตรงไปตรงมา
“ได้เลย เก็บไว้ให้ฉันพรุ่งนี้ด้วยล่ะเดี๋ยวฉันจะไปเตรียมถ้วยมาให้นายเอง” หลิวจางตอบตกลงทันที
“ตกลง พรุ่งนี้ฉันจะไปหานายก็แล้วกัน” ชายผู้นั้นกล่าว
“ได้เลย ได้เลย” หลิวจางกล่าวขึ้นขณะที่เขาเดินออกห่างจากตับแกะ
“ตับแกะนี่ก็เล็กเสียจริง” อู๋ไห่กล่าวขึ้นหลังจากเปรียบเทียบกับตับวัว
“แต่ตับแกะจะสดกว่านะ” หลิวจางกล่าว
“อืม แต่มันก็มีกลิ่นเหมือนกันอยู่ดีนั่นหละ” หยวนโจวขมวดคิ้ว
“นี่คือตับแกะที่เพิ่งจะถูกเชือดสดๆไงล่ะ มันสดมากเลยเชียวล่ะแต่ถ้าหากคุณใส่มันลงในภาชนะอื่นก็จะทำให้เกิดการปนเปื้อนด้วยกลิ่นของภาชนะ การใช้กระเป๋าสานจึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการฆ่าเชื้อและกำจัดกลิ่นออกไป เลือดจะหยดออกมาแล้วเมื่อถึงบ้านฉันก็แค่ทำความสะอาดตับเท่านั้นเอง” หลิวจางอธิบาย
“ขอบคุณครับ อาจารย์หลิว” หยวนโจวกล่าวขอบคุณอย่างจริงจัง
หลิวจางรับตำแหน่งอาจารย์เอาไว้ เขาไม่รู้จักหยวนโจวแต่เขาก็ยังเต็มใจที่จะบอกหยวนโจวเรื่องความลับของอาหารตัวเองโดยเจาะลึกลงรายละเอียดอีกเล็กน้อย
มีคำกล่าวที่ว่าศิษย์คิดล้างครูหลังจากได้รับการอบรมทุกสิ่งทุกอย่างไปจนหมดสิ้นแล้ว ดังนั้นตอนที่สอนอาจารย์จึงจำเป็นที่จะต้องปิดบังเอาไว้ด้วย ถ้าหากนั่นเป็นในกรณีของอาจารย์กับศิษย์คงจะยิ่งเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากขึ้นเมื่อกำลังสอนคนแปลกหน้าอยู่ เห็นได้ชัดว่าหลิวจางผู้นี้เป็นคนใจกว้างมากทีเดียว
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ผมเองก็กำลังตั้งตารอคอยอาหารของคุณอยู่เหมือนกัน” หลิวจางกล่าวขณะที่เขาเดินไปเรื่อยๆ
ต้องใช้เวลาเดินเท้าเจ็ดนาทีกว่าจะมาถึงบ้านของหลิวจาง พวกเขาคุยกันไปพลางเดินกันไปพลางไม่นานก็มาถึง
บ้านของหลิวจางตั้งอยู่ในละแวกใกล้เคียง เขาอาศัยอยู่ในบ้านชั้นเดียวที่มีสนามเล็กๆ ในสนามมีโต๊ะไม้ตัวเล็กๆ บริเวณโต๊ะมีวัตถุดิบบางอย่างที่ปลูกเอาไว้ทำให้สนามหญ้าแลดูเขียวขจีและอุดมสมบูรณ์
ในขณะที่กำลังเดินอยู่ในละแวกใกล้เคียงอยู่นั้น ก็เห็นผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนกำลังเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้โยกพลางโยกเก้าอี้ไปมาด้วยสีหน้าสบายๆและสงบนิ่ง
“ฉันเป็นคนปลูกต้นหอม ขิงและกระเทียมทั้งหมดเองเลยนะ แบบนี้พอผมอยากจะใช้ก็แค่เก็บมาง่ายๆเลย” หลิวจางอธิบายเมื่อเขาสังเกตเห็นหยวนโจวมองไปที่พืชพรรณทั้งหลาย
“คุณคงจะสามารถควบคุมรสชาติเจ้าพวกนี้ได้สินะครับ” หยวนโจวพยักหน้า
บ้านหลังนี้อยู่ไม่ไกลทั้งยังเงียบสงบอีกต่างหาก นอกจากนี้ยังมีพื้นที่มากพอให้ปลูกพืชผักได้อีกนิดหน่อยด้วย นับได้ว่านี่คือรูปแบบการดำเนินชีวิตในฝันเลยก็ว่าได้
“นั่งก่อนสิ อยากดื่มอะไรก็ตามสบายนะ แต่ตับแกะรอไม่ได้หรอก” หลิวจางกล่าวขณะที่เขาเข้าครัวมาพร้อมตับ
“ไม่มีปัญหาครับ” อู๋ไห่นั่งลงทันที เขาไม่ได้มองไปรอบๆอีกแต่กลับคอยอาหารอยู่เงียบๆ
นี่เป็นอุปนิสัยที่ดีของอู๋ไห่ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีอาหารให้กิน เขาก็จะนั่งลงตรงนั้นอย่างเชื่อฟัง อาจจะบอกได้เลยว่าพฤติกรรมนี้ช่างราวกับสุนัขก็ไม่ปาน
ส่วนหยวนโจวนั้น เขาไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกเนื่องจากสายตาของเขาพุ่งเป้าไปที่ครัว เขามักจะคนที่อยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่เขาไม่รู้เป็นอันมาก
ตอนที่ 758
ความลับของตับดิบ
นั่นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างประหลาดมากทีเดียว จากการที่หลิวจางไม่เคยปิดบังสิ่งใดจากหยวนโจวเลย เขาก็น่าจะอนุญาตให้หยวนโจวเข้าไปในครัวกับเขาเพื่อดูวิธีการเตรียมตับ แต่เขากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
ทว่าเขาทิ้งให้หยวนโจวกับอู๋ไห่รออยู่ในสนาม
“อาจารย์หลิวคนนี้ช่างเป็นคนที่น่าสนใจทีเดียว” อู๋ไห่กล่าวด้วยความรู้สึกเพลิดเพลินกับวัตถุดิบที่ปลูกอยู่ทั่วทั้งสนามอย่างเห็นได้ชัด
“ก็เขาเป็นอาจารย์นี่นา” หยวนโจวกล่าว
“อืม เขาไม่เคยปกปิดอะไรเลยสักอย่างเดียว” อู๋ไห่พยักหน้าเห็นด้วยก่อนกล่าวเสริมว่า “นี่เป็นสิ่งที่ฉันคงไม่สามารถทำได้หรอก”
ยกตัวอย่างเช่น ภาพเขียนหัวกลับของเขาดึงดูดให้จิตรกรหลายต่อหลายคนอยากแลกเปลี่ยนวิชากับอู๋ไห่ แต่เขาไม่สามารถสอนคนแปลกหน้าได้ทุกอย่างโดยไม่ไตร่ตรองได้
เมื่อตัดสินจากการที่หลิวจางสอนทุกสิ่งทุกอย่างให้หยวนโจวตั้งแต่วิธีการเลือกตับดีๆไปจนถึงวิธีการซื้อตับดีๆ หลิวจางก็ควรค่าแก่การถูกเรียกว่าอาจารย์จริงๆ
อันที่จริงแล้ว ตับดิบทำไม่ยากเลย ลำพังแค่หยวนโจวคนเดียวก็รู้วิธีการเตรียมหลายแบบแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น ตับดิบที่ชาวอี้ใช้เสิร์ฟให้แขกของพวกเขา
ก่อนอื่นพวกเขาจะผสมตับแกะเข้ากับกล้วยก่อนจะบด ต่อมาก็จะผสมพริกป่นกับเกลือในปริมาณที่พอเหมาะพอดีลงไป หลังจากนั้นให้หมักทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที ส่วนเลือดหมู กระเพาะหมูและลำไส้ที่ผ่านการต้มแล้วจะถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก่อนผสมเข้าด้วยกัน จากนั้นอาหารก็พร้อมที่จะรับประทานได้แล้ว
วิธีการเตรียมแบบนั้นได้พัฒนาเป็นวิธีการเตรียมตับทั้งหลาย เช่น ตับหมู ตับไก่ ตับเป็ดหรือแม้แต่ตับวัว แต่วิธีการเตรียมของพวกนี้จำเป็นที่จะต้องทำให้ตับสุกเสียก่อน
ดังนั้นนี่จึงเป็นอาหารที่มีคำว่า “ดิบ” เป็นส่วนหนึ่งของชื่อแต่อันที่จริงตับหมูผ่านการปรุงสุกมาแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่าเจ้าระบบอาจจะไม่ยอมรับอาหารที่เป็นอาหารดิบและตัดสินให้เป็นอาหารที่รับประทานโดยไม่ต้องอุ่นแทน แม้แต่หยวนโจวเองก็รู้สึกว่านี่ออกจะมีความแตกต่างกว่าตับดิบๆที่เขานึกไว้มากเกินไปแล้ว
“ฉันจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยตับดิบของอาจารย์หลิว” อู๋ไห่กล่าวด้วยความหมายมาดปรารถนา
“อืม” หยวนโจวพยักหน้า
“ในเมื่อพวกคุณต่างก็กำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอยอยู่ก็มาเริ่มกินกันเลย ผมขอบอกพวกคุณก่อนเลยนะว่าผมไม่มีอาหารจานอื่นๆอีกหรอกนะ” หลิวจางกล่าวขณะที่เขาออกมาพร้อมกับถาด
“ไม่เป็นไรครับ แค่ตับดิบก็พอแล้วล่ะ” อู๋ไห่กล่าว
“ขอบคุณครับ อาจารย์หลิว” หยวนโจวลุกขึ้นเพื่อรับถาดจากเขาไป
“คุณไม่ต้องช่วยผมหรอกครับ ผมยังต้องทดสอบคุณอีก” หลิวจางกล่าวพลางหลบเลี่ยงหยวนโจว
“ถามมาได้เลยครับ อาจารย์หลิว” หยวนโจวกล่าว
หลายปีมานี้ ฝีมือการทำอาหารของหยวนโจวดีขึ้นในทุกๆด้าน ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวคำถามของหลิวจางเลยสักนิดเดียว
“ทานก่อนเถอะครับ ผมจะถามหลังจากทานอาหารแล้ว” หลิวจางวางถาดลงแล้วกล่าวขึ้น
“ก็ได้ครับ” หยวนโจวพยักหน้า
จากนั้นหลิวจางก็หยิบตะเกียบสามคู่ออกมาจากบ้านของเขา
ไม่มีเรื่องวิเศษใดๆเกิดขึ้นบนโต๊ะทั้งนั้น มีเพียงถาดสีขาวบริสุทธิ์กับตะเกียบสามคู่วางไว้บนนั้น พวกเขาทั้งสามคนนั่งอยู่รอบโต๊ะเพื่อรอให้หลิวจางบอกให้เริ่มทานอาหารได้
ตับแกะดิบบนโต๊ะยังไม่ได้ผ่านกรรมวิธีใดๆมาก่อนเลย หยวนโจวรู้ได้โดยมองไปที่อาหารเพียงปราดเดียว แต่อาหารจานนี้กลับดูแปลกเอามากๆเพราะถูกหั่นเป็นเส้นๆ
หลายๆเส้นทั้งบางและเรียวยาว อีกทั้งเมื่อมองแวบแรกก็ดูงดงามยวนตายวนใจ ซ้ำยังดูเหมือนว่าจะมีสาเหตุที่ทำให้ดูคล้ายกับดอกกุหลาบอีกด้วย เพราะตับแกะดิบจานนี้ส่งกลิ่นหอมฟุ้งที่คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมของดอกกุหลาบ
มันมีกลิ่นหอมกรุ่นทั้งยังเผ็ดเอามากๆในขณะเดียวกันด้วย
“กลิ่นหอมมากเลย” อู๋ไห่กล่าว
“ใช่ กลิ่นคล้ายดอกกุหลาบเลย แถมกลิ่นยังซ่อนอยู่ท่ามกลางกลิ่นเผ็ดอีกต่างหาก” หยวนโจวกล่าว
“เริ่มทานได้แล้วครับ ทานเข้าไปเดี๋ยวก็รู้เองแหละ” หลิวจางหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเชิญชวนให้พวกเขาตักอาหาร
“งั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะครับ” อู๋ไห่เป็นคนที่ไม่เคยลังเลใจใดๆทั้งสิ้น เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินทันที
ส่วนหยวนโจวนั้น เขารอให้หลิวจางคีบตับขึ้นมาสักชิ้นเสียก่อนเขาจึงจะเริ่มกิน
หยวนโจวรู้สึกสนใจมากจึงคีบขึ้นมาแค่เส้นเดียวก่อน
ตับดิบชิ้นบางๆสีแดงเข้มถูกตะเกียบสีเขียวแก่คีบขึ้นมา สีสันที่ตัดกันทำให้ดูค่อนข้างสบายตา
ทั้งดูน่าอร่อยและกลิ่นหอมยั่วใจหยวนโจวเป็นอันมาก ดังนั้นเขาจึงรีบยัดเข้าปากทันที
ไม่ต้องเอ่ยถึงตับแกะดิบเพียงอย่างเดียวเลย แม้แต่ตับแกะธรรมดาๆก็น่าจะมีกลิ่นบางอย่าง นั่นเป็นกลิ่นที่แรงมากเสียจนยากจะทานลงได้ แต่กลับไม่มีร่องรอยของกลิ่นดังกล่าวปรากฏอยู่ในอาหารจานนี้ที่หลิวจางยกมาเสิร์ฟเลย
หยวนโจวรู้สึกตกตะลึงกับสิ่งนี้มากทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังอีกต่างหาก
ทันทีที่ตับดิบเข้าปาก หยวนโจวก็ต้องตกใจสุดขีด
“โอ เส้นเล็กมากเลย แถมเนื้อสัมผัสก็นุ่มอีกต่างหาก พอผสมผสานทั้งสองอย่างนี้เข้ากับรสชาติเผ็ดร้อนก็จะช่วยแสดงความสดใหม่ของตับออกมาได้อีกด้วย ความเปรี้ยวปริมาณเล็กน้อยที่อยู่ภายในจะช่วยเพิ่มความหวานตามธรรมชาติที่มีอยู่ให้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีความขมในปริมาณอันน้อยนิดอยู่ภายในอีกด้วย ฉันเข้าใจแล้วล่ะ มันเป็นความขมที่เข้ากับกลิ่นจากตับได้ดีเชียวล่ะ” หยวนโจววิเคราะห์ไปด้วยขณะที่เขาทานอาหารอยู่
หลังจากกินหมดไปชิ้นหนึ่งแล้ว หยวนโจวก็คีบอีกชิ้นหนึ่งขึ้นมา คราวนี้เขาคีบชิ้นที่อยู่ส่วนล่างของถาดเนื่องจากมีน้ำซุปบางส่วนนอนก้นอยู่ตรงนั้น
อันที่จริงน้ำซุปแบบนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากเครื่องปรุงรสเป็นจำนวนมากที่ไหลลงตับหลายๆชิ้นก่อนที่จะมากองรวมกันตรงส่วนล่าง ดังนั้นรสชาตอของตับชิ้นนี้จึงแตกต่างออกไป
“ทีนี้ความเปรี้ยวและความเผ็ดก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นไปอีก แต่ความสดใหม่ตามธรรมชาติและความนุ่มของตับกลับไม่เด่นชัดเท่าชิ้นก่อนอีกแล้ว” หยวนโจวสรุป
“ช้าก่อนนะ ฉันนึกว่ากลิ่นคล้ายกุหลาบงั้นเหรอ? แล้วกลิ่นนั่นหายไปไหนเสียแล้วล่ะ?” หยวนโจวขมวดคิ้วแล้วเริ่มครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
ในขณะเดียวกัน เขาเคี้ยวชิ้นตับในปากเสร็จแล้วค่อยกลืนลงไป รสชาติที่ยังกรุ่นในปากคงจะเป็นความเปรี้ยวและความเผ็ดร้อนหรือแม้แต่ความสดใหม่ของตับ แต่กลิ่นกุหลาบที่แสนจะชัดเจนกลับปรากฏขึ้นแทน
ในขณะที่หยวนโจวครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่นั้น อู๋ไห่ก็กำลังเพลิดเพลินอย่างถึงที่สุด
“อร่อยมากเลย ฉันไม่คิดว่าตับแกะดิบจะอร่อยได้ขนาดนี้มาก่อนเลย” อู๋ไห่พึมพำ
ตับแกะชิ้นไม่ใหญ่เท่าไหร่นัก ดังนั้นแม้แต่หลิวจางเองก็ไม่ได้ทานมากนัก อาหารเกือบหมดเกลี้ยงหลังจากการสวาปาทด้วยความตะกละตะกรามของอู๋ไห่เพียงชั่วครู่
“อีกไม่นานก็หมดแล้ว เถ้าก่หยวน คุณคิดว่ายังไงครับ?” หลิวจางถามพร้อมยิ้มกว้าง
“อร่อยมากเลยครับ” หยวนโจวพยักหน้า
“ผมเจตนาให้คุณรออยู่ตรงนี้ระหว่างที่ผมเตรียมอาหาร แต่ผมมั่นใจว่าคุณสามารถรู้ได้ว่าอาหารจานนี้เตรียมขึ้นมาได้ยังไงจากการกินเป็นแน่” หลิวจางกล่าวด้วยความมั่นใจ
หลิวจางเคยได้ยินได้ฟังเรื่องของหยวนโจวมาจากคุณปู่ขับรถลากมาบ้างแล้ว จะพูดให้ถูกก็คือเขาได้ยินเรื่องของหยวนโจวเมื่อตอนที่คุณปู่ขับรถลากมาทานตับแกะที่นี่เพราะคุณปู่ขับรถลากจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพูดคุยเรื่องของหยวนโจวเสียมาก
คุณปู่ทำให้หยวนโจวกลายเป็นตัวเอกของเรื่องที่มีฝีมือการทำอาหารขั้นเทพแถมยังมีชื่อเสียงเอามากๆอีกด้วย ดังนั้นหลิวจางจึงค่อนข้างอยากรู้เรื่องของหยวนโจวมากทีเดียว
นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้หลิวจางตัดสินใจมอบแบบทดสอบครั้งนี้แก่หยวนโจวนั่นเอง
“คุณพูดถูกแล้วครับ ผมขอชื่นชมสูตรอาหารและการใช้เครื่องปรุงของคุณ แล้วผมก็ไม่เคยนึกถึงเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย คุณเป็นเชฟที่ยอดเยี่ยมมากเลยล่ะครับ” หยวนโจวกล่าวอย่างจริงจัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณก็พูดเกินไปนะ เถ้าแก่หยวน” หลิวจางกล่าวเรียบๆ
“เถ้าแก่หยวน นายเลิกพูดเป็นปริศนาเสียทีเถอะน่า ตับจานนี้เตรียมขึ้นมาได้ยังไงกันแน่?” อู๋ไห่ถามด้วยความอยากรู้
“นายทำแบบนี้ไม่ได้หรอก” หยวนโจวกล่าว แค่มองอู๋ไห่เพียงปราดเดียวเขาก็รู้ได้เลยว่าอู๋ไห่กำลังคิดจะเตรียมอาหารเอง
“เรื่องนั้นมันก็ไม่แน่หรอกนะ ฉันก็แค่ต้องตัดตับออกเป็นเส้นๆก่อนที่จะผสมเครื่องปรุงลงไป มันจะไปยากสักแค่ไหนกันเชียว?” อู๋ไห่กล่าว
หยวนโจวเมินเขาไปในทันทีแล้วหันกลับไปมองหลิวจางแทน
“น้ำที่คุณใช้ล้างตับเป็นน้ำที่แช่ดอกกุหลาบไว้ ระหว่างการล้างในครั้งแรก คุณเติมน้ำดอกกุหลาบพร้อมดอกกุหลาบที่บดแล้วลงไปด้วย ส่วนการล้างในครั้งที่สอง คุณก็ลอกชั้นแผ่นเยื่อบริเวณตับออกก่อนที่จะล้างด้วยน้ำกอดกุหลาบอีกครั้ง” หยวนโจวกล่าว
หลิวจางเหลือบมองหยวนโจวพร้อมยิ้มพลางแสดงท่าทางให้เขาพูดต่อ
“หลังจากล้างแล้ว คุณก็หั่นให้เป็นเส้นๆ นั่นจะทำให้ผสมกับเครื่องปรุงรสได้ง่ายขึ้น สุดท้าย คุณก็ใช้พริกกับผักไผ่น้ำในการกำจัดกลิ่นออกไปจากตับ” หยวนโจวกล่าวด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด
นั่นก็เพราะหยวนโจวรู้ชัดอยู่แล้วว่าผักไผ่น้ำที่หลิวจางนำมาใช้ไม่ใช่ส่วนลำต้นอย่างที่เจ้าระบบได้บันทึกเอาไว้
สิ่งที่หลิวจางใช้คือส่วนหน่อนั่นเอง
หน่อของผักไผ่น้ำมีรสชาติทั้งสดใหม่และขมปร่า แต่ความขมนี้ค่อนข้างแตกต่างไปจากรสชาติขมตามปกติ เมื่อทานเดี่ยวๆจะมีรสชาติแย่มาก แต่ความขมอันเป็นเอกลักษณ์นี้กลับสามารถเข้ากับกลิ่นตับแกะได้ดีทีเดียว
และเพื่อตรวจสอบปริมาณผักไผ่น้ำที่นำมาใช้ในครั้งนี้จึงจำเป็นต้องมีการทดสอบนับครั้งไม่ถ้วน
“ฮ่าฮ่า นั่นเป็นอาหารเพียงอย่างเดียวที่ฉันรู้จักเชียวนะ เถ้าแก่หยวนกลับสามารถเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่งเอาง่ายๆเสียได้” หลิวจางหัวเราะและพูดต่อไปว่า “เถ้าแก่หยวนช่างเป็นเชฟที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
“ขอบคุณที่อนุญาตให้ผมได้ลองลิ้มรสอาหารของคุณนะครับ” หยวนโจวกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
“เจ้าระบบ ตอนนี้ตับดิบถือว่าเป็นอาหารได้หรือยัง?” หยวนโจวถาม
ตอนที่ 759
อาหารที่สาบสูญไปแล้ว
หยวนโจวได้แต่พูดคำถามของตัวเองอยู่ในใจ ขณะที่ภายนอกเขายังคงรักษาสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังเอาไว้
คราวนี้เจ้าระบบตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว เจ้าระบบใช้เวลาเพียงไม่นานระหว่างที่แสดงคำพูดในหัวของหยวนโจว
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ตับแกะดิบ อาหารจานใหม่ได้รับการลงทะเบียนแล้ว”
“พัฒนาสูตรอาหารอีกได้ไหม?” หยวนโจวถามด้วยความอยากรู้
หยวนโจวรู้จักเจ้าระบบดี แต่ละครั้งที่อาหารจานใหม่ได้รับการลงทะเบียนแล้ว เจ้าระบบก็จะทำการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างจนกลายเป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ตอนนี้ไม่มีทางพัฒนาสูตรอาหารได้เลย”
“อืม” หยวนโจวพยักหน้า
“แน่นอนอยู่แล้วก็เถ้าแก่หยวนเป็นเชฟที่ยอดเยี่ยมเลยนี่ครับ” อู๋ไห่พยักหน้าให้หยวนโจวซึ่งเป็นตัวจริงที่ได้รับคำชมเสียจนสามารถพูดอะไรก็ได้
“ฮ่าฮ่า ใช่แล้ว เถ้าแก่หยวนเป็นเชฟที่ยอดเยี่ยมเชียวล่ะ” หลิวจางพยักหน้า
“คุณก็เป็นเชฟที่ยอดเยี่ยมเหมือนกันครับ อันที่จริงแล้วตับแกะดิบจานนี้เป็นอาหารที่สาบสูญไปแล้ว แต่คุณก็ทำให้มันกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” หยวนโจวกล่าวอย่างจริงจัง
ควรจดจำไว้ว่าถึงแม้เจ้าระบบจะคิดว่าอาหารจานนี้ไม่มีทางทำขึ้นมาได้ แต่หลิวจางกลับสามารถทำขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังสมบูรณ์แบบเสียจนไม่สามารถพัฒนาได้อีกแล้ว นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่หยวนโจวเจอคนที่เอาชนะเจ้าระบบได้
จากนั้นทั้งสามก็คุยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่หยวนโจวกับอู๋ไห่จะกลับไป
“อาจารย์หลิวจางครับ คืนนี้อย่าลืมมาที่ร้านนะครับ” หยวนโจวเตือนเมื่อมาถึงประตู
“ผมรู้แล้วน่า ผมยังต้องไปต่อคิวเข้าร้านเหมือนกันนะครับ” หลิวจางทราบกฎของร้านหยวนโจวดี ถึงอย่างไรตอนนี้หยวนโจวก็เป็นถึงคนดังในเสฉวนแล้วนี่นา
“ครับ” หยวนโจวพยักหน้า
“ผมคิดว่าคุณคงเป็นเถ้าแก่เพียงคนเดียวแหละที่ต้องการให้คนมาเข้าคิวถึงแม้ว่าคุณจะเลี้ยงอาหารใครสักคนก็เถอะนะ” หลิวจางกล่าว
“ช่วยไม่ได้นี่ครับ ก็เถ้าแก่หยวนเป็นเจ้าเข็มทิศนี่นา” อู๋ไห่ยักไหล่
“ฮ่าฮ่า เข็มทิศตัวจริงเสียงจริงเลยล่ะ เขาคงจะปฏิบัติตามกฏอย่างเคร่งครัดแน่ๆเลยเชียว” หลิวจางเห็นด้วยพลางพยักหน้า
ขากลับหยวนโจวไม่ได้นับจำนวนย่างก้าวของตัวเองอีกต่อไป ทว่ากลับจับจ้องไปที่อู๋ไห่ในระยะประชิดเพื่อกันมิให้เขาพลัดหลงอีก
ทันทีที่พวกเขามาถึงที่ไหนสักแห่งก็จะสามารถขึ้นรถแท็กซี่กลับร้านได้
แน่นอนว่าหยวนโจวยังคงเป็นคนจ่ายค่าบริการ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ตกลงเรื่องนั้นกันแล้ว
“ไว้เจอกันมื้อค่ำนะ” อู๋ไห่โบกไม้โบกมือให้หยวนโจว
“อืม ลาก่อนนะ” หยวนโจวพยักหน้า
ทันทีที่หยวนโจวเข้าร้านผ่านทางประตูหลัง เจ้าระบบก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “มีภารกิจสำหรับเจ้านายอยู่นะ”
“แกหมายถึงภารกิจยึดครองอินเตอร์เน็ตใช่ไหมล่ะ?” หยวนโจวถามขึ้นมา
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ใช่แล้ว”
“ในฐานที่เป็นสุดยอดเชฟในอนาคต ฉันจะต้องรอบคอบเข้าไว้” หยวนโจวตอบ
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เนื่องจากเจ้านายเสร็จสิ้นภารกิจขั้นแรกเรียบร้อยแล้ว เจ้านายน่าจะแลกรางวัลอาหารที่สาบสูญไปแล้วในขั้นแรกเสียเลยนะ”
“ช้าก่อนนะ อาหารที่สาบสูญไปแล้วงั้นเหรอ?” หยวนโจวถูกกระตุ้นความสนใจขึ้นมาเสียแล้ว
ถึงแม้จำนวนอาหารที่หยวนโจวรู้จักจะไม่มากนัก ทว่าแต่ละอย่างก็เป็นของชั้นยอดทั้งนั้น ในฐานที่เป็นเชฟ เขาก็ต้องมีระดับความเข้าใจประวัติความเป็นมาที่แน่นอนเช่นเดียวกัน
และผู้ที่รู้ประวัติความเป็นมาก็มักจะเกรงว่าอาหารมากมายหลายชนิดจะไม่มีเหลืออยู่อีกจนกลายเป็นอาหารที่สาบสูญไปแล้ว แน่นอนว่าหยวนโจวย่อมเคยสงสัยว่าในภายภาคหน้าเจ้าระบบจะตกรางวัลเขาด้วยอาหารที่สาบสูญไปแล้วหรือไม่กัน
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “มีรางวัลที่สามารถรับได้”
เจ้าระบบไม่ตอบเขา แต่เจ้าระบบกลับแสดงข้อความซ้ำ
“ฉันจะรับ” หยวนโจวแลกรางวัลทันทีโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ภารกิจและรางวัลออกมาแล้ว เจ้านายลองตรวจดูสิ”
“แสดงให้ฉันดูหน่อยสิ” หยวนโจวกล่าว
[ขั้นแรกของการยึดครองอินเตอร์เน็ต] มีอาหารจานหนึ่งที่แพร่หลายไปทั่วอินเตอร์เน็ตและเป็นที่ยอมรับของผู้คนจนกลายเป็นอาหารชื่อดังทางอินเตอร์เน็ต
(เคล็ดลับในการทำภารกิจ: ในฐานที่เป็นสุดยอดเชฟในอนาคต เจ้านายต้องยึดอินเตอร์เน็ตมาให้ได้เพื่อให้อาหารเป็นที่รู้จักไปทุกหนทุกแห่งบนอินเตอร์เน็ต ไปเถอะเจ้าหนุ่ม ไปครองโลกกันเถอะ)
[รางวัลภารกิจ] อาหารที่สาบสูญไปแล้ว: หางไก่ย่างเห็ด
(เคล็ดลับในการได้รางวัล: นี่คืออาหารอร่อยที่เคยเอาชนะจิตรกรเลื่องชื่ออย่างจางต้าเฉียนมาแล้ว เจ้านายน่าจะถือโอกาสเข้าสู่ขั้นแรกในการเอาชนะเขาเสียตอนนี้เลยนะ)
“หางไก่ย่างเห็ดงั้นเหรอ? ฉันไม่เห็นเคยได้ยินชื่ออาหารจานนั้นมาก่อนเลย” หยวนโจวกล่าวขณะที่เขาศึกษาภารกิจอยู่
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “นี่คือสูตรอาหารฉบับฟื้นฟูแทนที่จะเป็นสูตรอาหารดั้งเดิม”
“ถึงแม้ว่าการมีสูตรอาหารฉบับฟื้นฟูจะเป็นเรื่องดี แต่ยุคสมัยของจางต้าเฉียนก็ใช่ว่าจะห่างจากยุคสมัยของฉันสักเท่าไหร่นัก ก็แค่ 118 ปีนับตั้งแต่เขาถือกำเนิดมาเท่านั้นแหละน่า” หยวนโจวกล่าวขณะที่เขานึกถึงวันเกิดของจางต้าเฉียนขึ้นมาได้
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ตอนที่จิตรกรผู้ยิ่งใหญ่จางต้าเฉียนจากไป เจ้านายยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำไปนะ”
“แค่ก แค่ก แกกำลังประชดฉันอยู่ใช่ไหมเนี่ย?” หยวนโจวรู้สึกตะลึงงันกับสิ่งที่เจ้าระบบกล่าว
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดนะ เจ้านายจงอย่าได้ละเลยการฝึกเสียเล่า”
“โฮ่โฮ่ ฉันก็เป็นคนมีกล้ามเนื้อหน้าท้องนะจะบอกให้” หยวนโจวดึงเสื้อผ้าขึ้นทันทีเพื่อตอบโต้สิ่งที่เจ้าระบบกล่าว
กล้ามเนื้อหน้าท้องของเขาสามารถเห็นได้ชัดเจนเชียวล่ะ
หลังจากการพิสูจน์ตัวเองแล้ว เจ้าระบบก็เงียบไป ดังนั้นหยวนโจวจึงหันกลับไปให้ความสนใจกับอาหารอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากทราบประวัติความเป็นมาของอาหารจานนี้แล้ว หยวนโจวก็เบนความสนใจของตัวเองไปยังคำอธิบายภารกิจ
“ขั้นแรกงั้นเหรอ? เจ้าระบบ นี่คือภารกิจที่มีหลายขั้นตอนใช่ไหม?” หยวนโจวถามขึ้นโดยไม่คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบแต่อย่างใด ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังรอคอยคำตอบด้วยความผ่อนคลายสบายใจอยู่ดี
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ใช่แล้วล่ะ นี่คือภารกิจที่มีหลายขั้นตอน ในขั้นต่อไป เจ้านายต้องสร้างสรรค์อาหารชื่อดังทางอินเตอร์เน็ตขึ้นมา”
“เวรเอ้ย เจ้าระบบมีวิญญาณมาเข้าสิงแกหรือถูกสับเปลี่ยนวิญญาณไปแล้ว? หรือว่าแกถึงขั้นรู้แจ้งไปแล้ว?” หยวนโจวร้องออกมาด้วยความตกใจ
ควรรู้ว่าเมื่อก่อนนั้น แต่ละครั้งที่หยวนโจวถามอะไรก็ตามเกี่ยวกับภารกิจต่อไป เจ้าระบบก็มักจะพูดเหมือนเดิมว่า: ระดับของเจ้านายยังไม่เพียงพอ ต้องพยายามให้หนักหรืออะไรทำนองนั้นแหละนะ
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เจ้าระบบยอมบอกเรื่องภารกิจต่อไปให้เขารู้มาตามตรง ถึงจะไม่ได้เอ่ยถึงรางวัลก็เถอะ
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ตอนนี้เจ้านายเป็นเชฟขั้นกลางแล้ว”
“ดูเหมือนการเลื่อนระดับขั้นก็มีประโยชน์เหมือนกันนะเนี่ย” หยวนโจวกล่าวเมื่อเริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาแล้ว
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “รางวัลสำหรับขั้นที่สองของการยึดครองอินเตอร์เน็ตก็คืออาหารที่สาบสูญไปแล้ว”
“จึ๊ จึ๊ นี่เป็นรางวัลชั้นยอดเชียวล่ะ ฉันพอใจมากเลย” หยวนโจวพยักหน้า
“แต่ว่านะอาหารจานนี้มันคืออะไรกันล่ะ?” หยวนโจวถามขึ้นมา
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เจ้านาย ระดับของคุณยังไม่สูงพอที่จะล่วงรู้สิ่งนี้ได้ พยายามเลื่อนระดับเข้านะ”
“โฮ่โฮ่ ฉันแค่ชมนายไปครั้งเดียวนายก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมเสียแล้ว งั้นคำชมนั้นก็คงเสียเปล่าซะแล้วล่ะ” หยวนโจวกล่าว
เจ้าระบบไม่ตอบเขาแต่อย่างใด หยวนโจวรออยู่สักครู่และเมื่อเขาเห็นว่าเจ้าระบบไม่คิดจะตอบเลยสักนิดเดียว เขาจึงเริ่มศึกษาสูตรอาหารใหม่ๆแทน
“วัตถุดิบสำคัญที่ใช้ในอาหารจานนี้ส่วนใหญ่จะเป็นของแปลกๆทั้งนั้นเลย ไม่สงสัยเลยว่าทำไมอาหารจานนี้ถึงได้หายสาบสูญไปน่ะ” หยวนโจวรำพึงหลังจากที่เขาได้ศึกษาสูตรอาหารดูแล้ว
ถูกต้องแล้ว อันที่จริงแล้วหางไก่ก็คือหางไก่นั่นแหละ ในยุคใหม่ผู้คนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจึงไม่มีใครเต็มใจที่จะกินตูดเป็ดและตูดไก่ที่พวกเขาซื้อมาอีกต่อไปแล้ว
ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นจะมีการจัดการและเตรียมเนื้อไก่ที่เหมาะสมแล้วก็ตามที แต่สิ่งที่จะกินก็มักจะเป็นส่วนตูดแทนที่จะเป็นหาง อีกทั้งผู้คนก็ยังไม่เต็มใจที่จะกินส่วนนั้นของไก่ด้วย
แต่นี่กลับเป็นสิ่งที่จางต้าเฉียนชอบกิน
“ตอนที่ฉันนึกถึงมันขึ้นมา ฉันก็กินส่วนนั้นของไก่ไม่ลงเหมือนกันแหละ” หยวนโจวพึมพำพลางขมวดคิ้วนิ่วหน้าหลังจากนึกถึงมันขึ้นมาได้
“แต่ก็อีกนั่นแหละ หางไก่จะให้รสชาติที่ดีจริงๆหลังจากการเตรียมอย่างเหมาะสม ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของไก่ที่ได้รับการออกกำลังกายมาเยอะ ดังนั้นเนื้อจึงมีความแข็งและอร่อยมากเลยทีเดียว” หยวนโจวไม่กลัวว่าอาหารจะรสชาติไม่อร่อยเลยสักนิดเดียว
สิ่งเดียวที่เขากลัวก็คือไม่มีใครยอมรับมันได้ต่างหาก ถึงอย่างไรไม่ว่าใครที่รู้ว่าส่วนนั้นเป็นหางไก่มากกว่าหางไก่
“คืนนี้ฉันจะลองทำดูก็แล้วกัน มันคงเข้ากันได้ดีกับเหล้าเชียวล่ะ” หยวนโจวตัดสินใจที่จะลองทำอาหารที่สาบสูญไปแล้วจานนี้ขณะที่ดื่มเหล้าในคืนนี้ไปด้วย
“จวนได้เวลาแล้วสินะ หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฉันก็ต้องเริ่มเตรียมมื้อค่ำเสียแล้วล่ะ” หยวนโจวตรวจสอบเวลาก่อนขึ้นไปชั้นบน
ตอนที่ 760
เลี้ยงอาหารหลิวจาง
หลังจากหยวนโจวชำระล้างสะสางตัวเองจนเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลงไปข้างล่างแล้วเริ่มเตรียมวัตถุดิบ บรรดาลูกค้าที่อยู่นอกร้านต่างเริ่มเข้าคิวรอร้านเปิด
“วันนี้ฉันมาที่นี่เพื่อทำตามสัญญา แต่แน่นอนว่าฉันยังวางแผนที่สั่งข้าวโชคดีอีกที่นึงด้วยล่ะ” เมิ่งเมิ่งกล่าวพร้อมชูโทรศัพท์ขึ้นระหว่างการสตรีมสด
“แน่นอนว่าหลังจากทานอาหารมื้อนี้แล้ว ฉันก็ขอให้ทุกคนได้มีโอกาสที่จะมาทานอาหารร้านหยวนโจวด้วยนะคะ” เมิ่งเมิ่งตอบข้อความบนหน้าจอ
“จ้า จ้า จ้า ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องห่วงนะพรรคพวก” เมิ่งเมิ่งคุยกับผู้ชมของเธอต่อไป
เมิ่งเมิ่งมาที่นี่เพราะก่อนหน้านี้เธอเคยบอกว่าถ้าถูกรางวัล 100,000 หยวนแล้วล่ะก็เธอจะมาตอบแทนหยวนโจว คนเราจะมีกำลังวังชาก็ต่อเมื่อเกิดเรื่องดีๆขึ้น ดังนั้นสภาพของเมิ่งเมิ่งจึงดีขึ้นมากตอนที่มีการตรีมเมื่อเร็วๆนี้ นอกจากนี้จำนวนผู้ชมก็ยังเพิ่มขึ้นด้วย อีกทั้งการผสมผสานกันของทั้งสองฝ่ายก็ก่อให้เกิดวงจรการเติบโตในเชิงบวก
โชคดีที่น้ำข้าวไม่สามารถขายแยกต่างหากได้ มิฉะนั้นเมิ่งเมิ่งคงจะมาที่นี่ทุกวันเพื่อกินน้ำข้าวเป็นอาหารเช้าเป็นแน่แท้
ในขณะที่เมิ่งเมิ่งคุยกับผู้ชมของเธออยู่นั้น ร้านก็เปิดแล้ว
หยวนโจวเปิดร้านตามเวลาปกติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเตรียมวัตถุดิบหรือเรื่องอื่นๆเกี่ยวกับกิจการ หยวนโจวก็มักจะระดับความเสมอต้นเสมอปลายเอาไว้อยู่เสมอ ร้านเปิดให้บริการมากว่าปีและไม่เคยเกิดความผิดพลาดใดๆทั้งสิ้น
ถ้าหากมีก็คงจะเป็นสิ่งเดียวที่หยวนโจวกำลังจะทำต่างออกไปในวันนี้ซึ่งก็คือการเชิญหลิวจาง อย่างที่เขาว่ากันไว้ว่าเมื่อโยนลูกท้อไปก็จะได้ลูกไหนกลับคืนมา หลังจากทานตับดิบและรู้วิธีการเตรียมแล้ว เขาก็ต้องตอบแทนหลิวจางกลับคืน นั่นก็เลยเป็นสาเหตุว่าทำไมหลังจากปรึกษาหารือกับอู๋ไห่แล้ว พวกเขาจึงตัดสินใจให้อู๋ไห่เป็นคนสั่งและจ่ายเงินค่าอาหารที่หลิวจางอยากจะกิน หลังจากนั้นหยวนโจวก็จะจ่ายเงินคืนให้อู๋ไห่
สำหรับหยวนโจวแล้ว นี่เป็นวิธีการทำงานตามที่เจ้าระบบตั้งกฎเอาไว้ แต่อู๋ไห่กลับคิดว่าหยวนโจวกำลังทำเรื่องไม่เป็นเรื่องไปเสียได้
ตามปกติแล้ว เมิ่งเมิ่งสตรีมอยู่ขณะกำลังทานอาหารหลังจากเธอเข้ามาในร้านแล้ว ลูกค้าคนอื่นๆต่างคุ้นเคยกับเรื่องนี้เสียแล้ว ถึงอย่างไรเมิ่งเมิ่งก็ไม่ได้ถ่ายลูกค้าคนอื่นๆโดยไม่ได้ขออนุญาตพวกเขาก่อนเสียเมื่อไหร่กันเล่า ดังนั้นทุกคนจึงทานอาหารกันอย่างสมัครสมานกลมเกลียวโดยไม่มีความขัดแย้งแต่อย่างใด
ระหว่างมื้ออาหาร มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้น เชฟหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเข้าวงการและอยากเหยียบย่ำหยวนโจวเพื่อให้มีชื่อเสียงขึ้นมาบ้างก็มาขอท้าแข่งกับหยวนโจวพร้อมนักข่าวไม่นานหลังจากร้านเปิด
คนแบบนี้จะไม่หยุดนิ่ง แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ย่อมจัดการได้อย่างรวดเร็ว หยวนโจวยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย เชฟผู้นั้นยังกล่าวไม่ทันจบตอนที่ฉูเสี่ยวปรากฏตัวออกมาจากที่ไหนไม่อาจทราบได้และเริ่มโยนคำสบประมาทใส่เชฟหน้าใหม่คนนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดก็จบสิ้นลงเพียงเท่านั้นเอง
เชฟหน้าใหม่พ่ายแพ้เสียแล้ว ส่วนนักข่าวที่เขาพามาด้วยกลับอยากจะสัมภาษณ์หยวนโจวไม่ก็ฉูเสี่ยวแต่เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นว่าบรรดาลูกค้ากำลังจ้องมองมาทางพวกเขาด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร พวกเขาก็รู้ได้เลยว่าเรื่องราวคงจะกลับกลายเป็นเลวร้ายเป็นแน่แท้หากพวกเขายังคงขัดจังหวะมื้ออาหารต่อไป
“ทำไมพักนี้ถึงไม่มีอาหารจานใหม่บ้างเลยเล่า?”
นับตั้งแต่ฉูเสี่ยวมาถึงที่นี่ เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะเข้าคิวเพื่อทานอาหารเช่นกัน แต่เมื่อเขาเห็นเมนูแล้ว เขาก็ค่อนข้างไม่พอใจเอาเสียเลยที่เห็นว่าไม่มีอาหารจานใหม่ๆเลย ฉูเสี่ยวไม่ได้สนใจอาหารท้องถิ่นเฉิงตูตำหรับเสฉวนเป็นพิเศษหลังจากได้ลิ้มลองอาหารชื่อดังไม่กี่อย่างในตำหรับนี้ ส่วนอาหารจานอื่นๆที่ร้านหยวนโจวนั้น เขาได้ลิ้มลองมาจนเกลี้ยงแล้ว ดังนั้นเขาจึงรอให้หยวนโจววางจำหน่ายอาหารจานใหม่ออกมา
บังเอิญว่าหยวนโจวกำลังถือโอกาสพักสักครู่หลังจากทำอาหารเสร็จ ดังนั้นเขาจึงตอบว่า “ฉันกำลังศึกษาค้นคว้าอาหารที่สาบสูญไปแล้วอยู่น่ะสิ”
สาบสูญไปแล้วงั้นเหรอ? อาหารงั้นเหรอ?
คำๆนี้ดึงดูดความสนใจของลูกค้าหลายต่อหลายคน อาหารจานใหม่จานใดก็ตามของหยวนโจวเพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของพวกเขาแล้ว ตอนนี้บรรดาลูกค้าต่างเกิดความอยากรู้อยากเห็นเรื่องอาหารที่สาบสูญไปแล้วมากขึ้นเรื่อยๆ
ปฏิกิริยาตอบสนองของอู๋ไห่รุนแรงเป็นพิเศษ ลูกตาของเขาแทบถลนออกมาอยู่แล้วขณะที่ภาพอาหารต่างๆที่สาบสูญไปแล้วปรากฏขึ้นในหัว เนื่องจากเขานึกภาพอาหารอยู่จึงยัดข้าวเข้าไปสองคำเพื่อกันตัวเองน้ำลายหก
“เป็นเนื้อหรือผักกันล่ะ? เป็นอาหารอะไรงั้นเหรอ?” ฉูเสี่ยวถามขึ้นมา
“เมื่อไหร่จะพร้อมเสียทีเล่า?” อู๋ไห่มักจะสนใจสนใจเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวอยู่เสมอ
“ฉันกำลังศึกษาค้นคว้าอาหารจานนี้อยู่ น่าจะวางจำหน่ายได้พรุ่งนี้แหละ” หยวนโจวตอบ อันที่จริงแล้วเขารู้วิธีทำหางไก่ย่างเห็ดแล้ว แต่เขาจะวางจำหน่ายอาหารหลังจากที่เขาปรุงและทานอาหารในคืนนี้แล้วเท่านั้น
“เป็นอาหารที่สาบสูญไปแล้วจริงๆงั้นเหรอ เถ้าแก่หยวน?”
“นายไปเอาอาหารที่สาบสูญไปแล้วมาจากไหนกัน เถ้าแก่หยวน?”
“ฉันรอไม่ไหวแล้วนะ”
“เถ้าแก่หยวนเป็นเชฟที่ยอดเยี่ยมจริงๆเลย เขาสามารถทำอาหารที่มีอยู่เดิมให้ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้แล้วตอนนี้เขาก็จะเริ่มทำอาหารที่สาบสูญไปแล้วด้วย ช่างเป็นวันดีของเราเสียจริง”
บรรดาลูกค้าต่างเริ่มปรึกษาหารือกันพลางตั้งหน้าตั้งตารอคอย นอกจากนี้ลูกค้าหลายต่อหลายคนก็ยังภาวนาของให้ราคาอย่าได้แพงนักเลย มิฉะนั้นพวกเขาก็คงไม่สามารถกินได้มากอย่างที่ต้องการหรอก
อาหารส่วนใหญ่สาบสูญไปด้วยเหตุผลสามประการ ประการแรกวิธีการทำอาหารซับซ้อนเกินไปจนไม่สามารถสืบทอดกันได้ ประการที่สอง การผสมผสานของส่วนผสมที่ซับซ้อนเกินไปจนไม่สามารถสืบทอดได้ ประการที่สาม ผู้สร้างสรรค์สูตรอาหารไม่ถ่ายทอดสูตรอาหารให้ผู้ใดทั้งสิ้น นอกเหนือไปจากสถานการณ์ที่สองที่ไม่รู้จักแม้แต่ส่วนผสมแล้วก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะคืนชีพมาได้ ส่วนอีกสองสถานการณ์แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากของการฟื้นฟูเป็นอย่างมาก
ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อว่าจะมีเชฟคนใดที่กล้าอวดอ้างว่าจะคืนชีพอาหารที่สาบสูญไปแล้วขึ้นมาได้ แต่ในเมื่อเป็นหยวนโจว สิ่งเดียวที่ลูกค้ารู้สึกได้ก็คือความคาดหวัง
“ฉันแค่เกรงว่าจะไม่มีใครกล้ากินตอนที่ออกวางจำหน่ายนี่สิ” หยวนโจวพึมพำก่อนที่เขาจะเริ่มทำอาหารตามออเดอร์ใหม่ที่โจวเจียเอามาให้เขา
ก็ใครมันจะกล้าไปกินกันเล่า?
บรรดาลูกค้าต่างเริ่มคาดเดากันไปต่างๆนานา หมายความว่าอย่างไรกัน? อาหารแพงมากเลยงั้นเหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้น เขาก็คงต้องพูดแบบเดียวกับบรรดาลูกค้าว่าไม่เต็มใจที่จะกินมากกว่าที่จะไม่กล้ากินเสียอีก
อู๋ไห่เป็นคนแรกที่ประกาศจุดยืนของตัวเองว่า “ไม่มีอาหารอะไรที่ฉันไม่กล้ากินหรอก” อู๋ไห่เป็นจิตรกรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแต่ก็ยังเป็นนักชิมที่มีคุณสมบัติเหมาะสมด้วย
ฉูเสี่ยวเหลือบมองไปทางอู๋ไห่ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เป็นมิตรกับอู๋ไห่สักเท่าไหร่นัก แต่เขาก็พบว่าตัวเองเห็นด้วยกับอู๋ไห่ในเรื่องนี้เช่นกัน
หยวนโจวหั่นเนื้อเป็นชิ้นๆพร้อมก้มหน้าลง ตอนนี้เขากำลังเตรียมหมูแผ่นอวี่เซียงอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีใครทันสังเกตรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่กำลังประดับอยู่บนใบหน้าของเขา
ฉูเสี่ยวสั่งอาหารเซ็ตข้าวผัดไข่แล้วออกไปหลังจากทานเสร็จแล้ว ส่วนอู๋ไห่นั้น เขาเดินไปที่ประตูแล้วยืนอยู่ตรงนั้นหลังจากรับสาย
เรื่องหนึ่งที่ควรสังเกตก็คือเขากำลังยืนอยู่ที่ประตูแทนที่จะออกไป ถึงอย่างไรอาหารที่เขาสั่งก็ยังไม่หมด เขาไม่อาจปล่อยให้ใครมารายงานว่าเขาทานอาหารไม่หมดและลงท้ายด้วยการขึ้นบัญชีหรอกนะ
อู๋ไห่รออยู่สักพักกว่าเจิ้งเจียเว่ยจะมาถึงพร้อมกับหลิวจาง ทำไมถึงมีเจิ้งเจียเว่ยเข้ามาเกี่ยวข้องกันได้เล่า? เรื่องมันก็ง่ายๆ อู๋ไห่หวังว่าเขาจะเป็นคนหลิวจางมาที่นี่ด้วยตัวเอง น่าเสียดายที่เขามันเป็นจอมหลงทางอย่างร้ายกาจเชียวล่ะ
ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถบอกได้ว่าคนโง่มีอยู่สี่ประเภท ประเภทแรกคือพวกที่ไม่รู้จักทิศเหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตก แต่ก็ยังมีความสามารถในการนำทางตัวเองด้วยแผนที่ ประเภทที่สองคือพวกที่ไม่รู้จักทิศเหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตกที่ไม่รู้วิธีอ่านแผนที่แต่ก็ยังรู้วิธีใช้แอพพลิเคชั่นจีพีเอส ส่วนอู๋ไห่ เขาจัดอยู่ในประเภทที่สาม เขาไม่รู้ไม่รู้จักทิศเหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตก เขาไม่รู้จักวิธีอ่านแผนที่แถมยังไม่รู้วิธีใช้แอพพลิเคชั่นจีพีเอสอีกด้วย
ส่วนประเภทที่สี่ก็คือคนประเภทที่โง่เง่าโดยสมบูรณ์ที่จะหายตัวไปทันทีที่ขาดคนคอยดูแล ร่ำลือกันว่ามีคนแบบนี้อยู่จริงๆ แต่ตอนนี้ไม่มีคนแบบนั้นอยู่ในร้านหยวนโจวหรอกนะ