Gourmet Food Supplier อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 785-788
บทที่ 785 ขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้า
อินเตอร์เน็ตเต็มไปด้วยข้อมูลของหยวนโจว แต่เสี่ยวซิ่งกลับอ่านข้อมูลได้ช้ามากเนื่องจากเขาไม่ค่อยถนัดภาษาจีน
มีข่าวซุบซิบ วิดีโอสัมภาษณ์ บทความที่กล่าวเกินจริงจนน่าเหลือเชื่อและอื่นๆบนอินเตอร์เน็ต คล้ายกับว่าหยวนโจวเป็นคนดังแทนที่จะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงอย่างที่เสี่ยวซิ่งคาดเอาไว้
“นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นคนดังจริงๆ” เสี่ยวซิ่งรำพึง
เสี่ยวซิ่งกำลังรำพึงรำพันเพราะเขารู้สึกได้ว่าหยวนโจวเป็นคนดีมากจริงๆและไม่ทะนงตนเลยแม้แต่น้อย ถึงภายนอกจะดูเย็นชาทว่าภายในกลับอุ่นอุ่น
เขาเลื่อนเมาส์ไปทั่วขณะที่ยังคงอ่านข้อมูลต่อไป ยิ่งเขาได้เห็นเขาก็ยิ่งตกตะลึง เมื่อเขาเห็นราคาอาหารที่ร้านหยวนโจว เขารู้สึกสะดุ้งตกใจเสียจนลูกตาแทบพลัดออกจากเบ้าอยู่แล้ว
“นั่นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจมากเลยทีเดียว หยวนน้อยช่างเป็นนักธุรกิจที่ไร้ศีลธรรมจริงๆ” เสี่ยวซิ่งทาบอกด้วยความตกใจ
เขารู้สึกตกใจเนื่องจากราคาอาหารในประเทศไทยโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 20 บาทซึ่งหลังจากแปลงสกุลเงินแล้วได้ประมาณ 2 หรือ 3 หยวน ถึงแม้ว่าเสี่ยวซิ่งจะใช้ชีวิตสบายๆ แต่เขาก็ยังจ่ายเงินค่าอาหารมื้อละไม่เกิน 100 บาทอยู่ดี
เขาเองก็เคยทานข้าวผัดมาก่อนจึงนึกไม่ออกเลยว่าข้าวผัดที่มีราคาเกือบ 1,000 บาทจะมีรสชาติเป็นอย่างไร
จู่ๆเสี่ยวซิ่งก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ อันที่จริงแล้วอาหารกลางวันที่เขาทานถือว่าเป็นกำไรอันมหาศาลแก่ตัวเขาเองเชียวล่ะ
“โจ๊กสามถ้วย เนื้อหนึ่งจาน ผักหนึ่งจาน จากที่เห็นคงจะเป็นอาหารจานใหม่เพราะไม่พบอยู่ในเมนูของเขาเลย” เสี่ยวซิ่งเริ่มคำนวณในใจ
“เวรเอ้ย ฉันรู้สึกเหมือนกินเงินเดือนทั้งเดือนของตัวเองเข้าไปเลย” เสี่ยวซิ่งเริ่มปวดหัวจากการคำนวณเสียแล้ว เขากำลังดีใจที่หยวนโจวไม่ได้คิดค่าอาหารกับเขา มิฉะนั้น เขาจะทำงานไปเพื่ออะไรกันเล่า
“ฝีมือของหยวนโจวคนนี้ยอดเยี่ยมมาก ไม่แปลกใจเลยที่กิจการของเขาถึงไปได้สวยขนาดนี้ ถ้าเพียงแค่ฉันสามารถเรียนรู้จากเขาได้ล่ะก็นะ” เสี่ยวซิ่งอดไม่ได้ที่จะคิดแบบนั้นอันเผยให้เห็นสีหน้าท่าทางหลงใหลได้ปลื้ม
ทางที่ดีต้องมีข้อมูลเพิ่มเติม ทีแรกเสี่ยวซิ่งเจอแค่ข้อมูลของหยวนโจวเท่านั้น ต่อมาจะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง เขาได้พบวิดีโอสตรีมของเมิ่งเมิ่งเข้า
เป็นที่กล่าวขวัญกันว่านับตั้งแต่เมิ่งเมิ่งเริ่มสตรีมร้านของหยวนโจว ความนิยมของเธอก็ดีขึ้นมากขณะที่อุปกรณ์ที่ใช้สตรีมของเธอก็เปลี่ยนไปด้วยเพื่อเพิ่มคุณภาพสตรีมของเธอให้มากขึ้นนั่นเอง
ภาพชัดแจ๋วของอาหารอร่อยของหยวนโจวผ่านสตรีมคุณภาพสูง เมิ่งเมิ่งที่กำลังกินโดยไม่เกรงใจและหน้าตาของอาหารที่ยั่วน้ำลายกำลังกระตุ้นความอยากอาหารของเสี่ยวซิ่งเข้าอย่างจัง
ราวกับเสี่ยวซิ่งได้เปิดประตูสู่โลกใบใหม่จนทำให้เขาถึงกับลืมเวลาไปเลย
วันรุ่งขึ้น
เสี่ยวซิ่งมาถึงล็อบบี้ในโรงแรมด้วยขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้า
หยวนโจวไม่ได้จองทริปไปสนามบินกับเขา ดังนั้นเสี่ยวซิ่งจึงต้องมาก่อนเพื่อมิให้คลาดกับหยวนโจว
หยวนโจวเก็บของเสร็จตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เมื่อเขาได้รับสายของเสี่ยวซิ่ง เขาจึงไม่ประหลาดใจเลยสักนิด ตอนที่ลากกระเป๋าออกมา เขาก็เห็นขอบตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าของเสี่ยวซิ่งในทันทีที่ขึ้นรถ
“เมื่อคืนคุณไปทำ… อะไรมางั้นเหรอครับ?” หยวนโจวอยากจะบอกเสี่ยวซิ่งว่าเขาควรจะลดการเที่ยวกลางคืนในฐานชายหนุ่มลงเสียบ้าง แต่เขากลับสะกดกลั้นเอาไว้แล้วเปลี่ยนคำถามแทน
เสี่ยวซิ่งโบกมือดูเหมือนว่าจะไม่เต็มใจที่จะพูดถึงเรื่องที่ผ่านมา “เมื่อคืนผมดูวิดีโอเสียจนลืมเวลาน่ะสิ”
“คุณขยันจังเลยนะครับ” หยวนโจวตอบ
เสี่ยวซิ่งอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ลังเลเนื่องจากเขาไม่อยากจะเปิดเผยตัวตนออกมา
“หยวนน้อย คุณต้องไม่รู้แหงๆเลยว่าห้องน้ำแห่งนี้ถูกสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ปูชนียบุคคล” เสี่ยวซิ่งเริ่มคุยระหว่างขับรถ
เยี่ยมไปเลย สร้างห้องน้ำเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ปูชนียบุคคล หยวนโจวรู้สึกสับสนในบางเรื่อง เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ว่าเมื่อตอนที่พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ก่อนเสด็จสวรรคตไปก็จะมีภาพพระบรมฉายาลักษณ์ติดอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ทำไมพวกเขาจึงทำเช่นเดียวกันกับพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ด้วยเล่า?
จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม?
รถบึ่งไปตามทางไปสนามบิน
ในกรุงเทพมหานครมีสนามบินอยู่สองแห่ง แห่งแรกเป็นสนามบินแห่งใหม่ส่วนอีกแห่งเป็นสนามบินแห่งเก่า เที่ยวบินระหว่างประเทศส่วนใหญ่จะถูกระบุเอาไว้ที่สนามบินแห่งใหม่ขณะที่สนามบินแห่งเก่าจะถูกนำมาใช้กับเที่ยวบินภายในประเทศ
เมื่อหยวนโจวมาถึงกรุงเทพมหานคร เขาก็ลงเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิอันเป็นสนามบินแห่งใหม่ หยวนโจวไม่ทราบความหมายของคำว่าสุวรรณภูมิหรอก เขาทราบแต่ว่านี่คือสนามบินขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเพียงเท่านั้น ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นสนามบินที่ใช้เวลานานที่สุดกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ทั้งยังเป็นสิ่งปลูกสร้างระหว่างประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงเทพมหานครอีกด้วย
มันมีขนาดใหญ่มากที่สุดและใช้เวลานานที่สุดกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของคนไทยเลยก็ว่าได้
หลังจากหยวนโจวได้ยินคำแนะนำแล้ว เขาก็พึมพำขึ้นมาว่า “มันก็สมกับความภาคภูมิของสนามบินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดจริงๆแหละนะ แต่ว่าเรื่องที่ใช้เวลานานที่สุดกว่าจะเสร็จสมบูรณ์นี่มันอะไรกัน? ทำไมเรื่องแบบนั้นถึงถึงได้น่าภาคภูมิใจได้เล่า? นั่นมิเท่ากับพิสูจน์ให้เห็นถึงความด้อยประสิทธิภาพของการก่อสร้างหรอกหรือไง?”
“คุณคิดว่าสุวรรณภูมิฟังกูแปลกๆไหมครับ? ในภาษาไทย…”
เสี่ยวซิ่งให้คำแนะนำรายละเอียดและคำอธิบายเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างขับรถ แม้คำอธิบายเกี่ยวกับสนามบินจะยาวและมีรายละเอียดมากเท่าใดก็ตาม ก่อนที่เขาจะทันได้อธิบายจนจบก็ถูกหยวนโจวขัดขึ้นมา หลังจากเงินทุนสำหรับอาหารหมดลงแล้ว หยวนโจวก็ไม่สนใจอะไรในประเทศไทยอีกแล้ว เขาไม่ตั้งใจที่จะซื้อของฝากกลับไปด้วย
“คุณจะไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยเหรอครับ? ยังมีอีกตั้งหลายที่ที่คุณยังไม่ได้ไปเยือนเลย” เสี่ยวซิ่งกล่าวคำถามนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งแล้ว
หยวนโจวไม่สะทกสะท้าน กว่าเขาจะรอดพ้นจากการเดินทางในครั้งนี้มาได้ลำบากเลือดตาแทบกระเด็นขนาดไหน เขาจะไปเต็มอกเต็มใจอยู่ต่อได้อย่างไรกันเล่า?
เมื่อเสี่ยวซิ่งเห็นท่าทีตอบสนองของหยวนโจวแล้ว เขาก็ถามด้วยความคาดหวังขึ้นมาว่า “เถ้าแก่หยวน เมื่อไหร่คุณจะมาเปิดสาขาในประเทศไทยบ้างล่ะครับ?”
“ผมไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกครับ” หยวนโจวตอบตามตรง
การเปิดสาขาหรือแฟรนไชส์เป็นเรื่องที่ร้านอาหารส่วนใหญ่เสาะแสวงหา แต่กลับไม่ใช่กับหยวนโจว ลูกค้าขาประจำของเขาอย่าง อู๋ไห่ เจียงฉางซี่ หลิงหง เว่ยเว่ยกับบิดา และคนอื่นๆมาเยือบร้านของเขาก็เพราะฝีมือการทำอาหารของเขา ถ้าหากเชฟเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าเขาจะสอยทุกอย่างให้เชฟแล้ว แต่ลูกค้าขาประจำก็อาจจะเลิกมาร้านของเขาก็ได้
“ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ หยวนน้อย คุณสอนผมได้นะ ผมจะตีตลาดเมืองไทยด้วยอาหารจีนแทนคุณเอง” เสี่ยวซิ่งรู้สึกว่าเขาต้องรุกเสียบ้างแล้ว
“ผมไม่รับศิษย์หรอกครับ” หยวนโจวกล่าว
เขาไม่แม้แต่จะรับคุณเฉิงเป็นศิษย์ ยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวซิ่งยังเป็นคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำอาหารอีกต่างหาก
เสี่ยวซิ่งมองกระเป๋าเดินทางของหยวนโจวแล้วกล่าวว่า “ไม่รับศิษย์งั้นเหรอ? เอางี้นะ คุณซ่อนผมเอาไว้ในกระเป๋าเดินทางก็ได้ ยังไงก็ตามผมอยากไปประเทศจีนครับ”
หยวนโจวเหลือบมองเขา “คุณจะทิ้งแฟนงั้นเหรอครับ?”
“คุณสามารถพาทั้งผมกับแฟนไปด้วยได้นี่ครับ พวกเราจะไปช่วยงานในร้านของคุณเอง พวกเราไม่ต้องการเงินเดือนหรอกครับ คุณแค่จัดหาที่พักกับอาหารให้เราก็พอแล้วล่ะ” เสี่ยวซิ่งยื่นข้อเสนอ
“ว้าว คุณมีเงื่อนไขเยอะทีเดียวเลยนะครับ” หยวนโจวตอบ
“?” เสี่ยวซิ่งรู้สึกมึนงงด้วยความสับสน
ถ้าหากหยวนโจวจัดหาที่พักกับอาหารให้จริงๆ ลำพังแค่อาหารอย่างเดียวก็ปาเข้าไปมื้อละ 376 หยวนแล้วถึงแม้ว่าเขาจะจัดหาให้เพียงแค่ข้าวผัดไข่ก็เถอะนะ เงินเดือนพร้อมอาหารวันละสองมื้อของบริกรคนนี้ก็จะได้ถึงห้าหลักแล้ว
“งั้นแค่จัดหาอาหารอย่างเดียวไม่ต้องมีที่พักก็ได้เป็นยังไงครับ?” เสี่ยวซิ่งลดราคาลง
หยวนโจวส่ายหน้า “ตอนนี้ผมยังไม่อยากจ้างคนเพิ่มน่ะครับ”
“เอาล่ะ ผมต้องขึ้นเครื่องแล้วครับ” หยวนโจวโบกมือ
เสี่ยวซิ่งชำเลืองมองแผ่นหลังที่ห่างออกไปของหยวนโจว สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความถวิลหา เขาอยากจะทานอาหารของหยวนโจวอีกสักครั้ง
“ช้าก่อนนะ หยวนน้อย อยู่ตรงนั้นก่อน”
เสี่ยวซิ่งตะโกนขณะที่ไล่ตามหยวนโจวมา หยวนโจวจึงหยุดเดินแล้วหันไปมองเขา เขาพยายามที่จะทำอะไรอีกล่ะเนี่ย?
“หยวนน้อย ร้านของคุณอยู่ที่ไหน? คุณส่งพิกัดมาให้ผมทางวีแชทได้ไหมครับ? จู่ๆผมก็นึกขึ้นได้ว่าเดือนหน้าผมจะไปทำงานที่ประเทศจีน” เสี่ยวซิ่งกล่าว
หยวนโจวส่งที่อยู่ให้เขาแล้วคุยกันอีกนิดหน่อยก่อนที่จะจากไป
ในที่สุดทุกอย่างเรียบร้อยเสียที ยังไงเขาก็ไม่อยากพานักชิมกลับประเทศจีนไปกับเขาด้วยหรอกนะ
บทที่ 786 รางวัลธรรมดา
“เถ้าแก่หยวน ยอดเชฟหยวน ลาก่อนนะครับ” เสี่ยวซิ่งโบกมือขณะที่ยืนอยู่ข้างป้อมยาม
หยวนโจวหันไปพยักหน้าก่อนที่จะหันหลังกลับแล้วจากไป
เสี่ยวซิ่งได้แต่จากไปเมื่อเขามองไม่เห็นหยวนโจวอีก
“เฮ้อ ฉันก็ยังหลอกเอาอาหารจากยอดเชฟหยวนมาไม่ได้อยู่ดี” เสี่ยวซิ่งถอนหายใจพลางขมวดคิ้ว
ส่วนหยวนโจวนั้น เขามุ่งหน้าไปที่อุโมงค์พิเศษสำหรับผู้โดยสารในห้องโดยสารชั้นหนึ่ง
“สังคมทุนนิยมเสียหายกันหมดพอดี” หยวนโจวแสดงความคิดเห็นออกมาตามตรงแต่เขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไป
เขากำลังเพลิดเพลินกับผลประโยชน์ของเงินทุนที่เจ้าระบบจัดหามาให้เขาอย่างเห็นได้ชัด
ระหว่างเที่ยวบินขากลับ จุดตรวจจะเข้มงวดเฉพาะหลังจากเครื่องลงจอดในประเทศจีนเท่านั้น ขั้นตอนนี้ในประเทศไทยไม่ยุ่งยากสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นหยวนโจวจึงมาถึงห้องรับรองผู้โดยสารขาออกได้อย่างง่ายดาย
“ทันเวลาพอดี” หยวนโจวพึมพำด้วยความพึงพอใจเมื่อได้รับการยืนยันว่าเหลือเวลาอีก 40 นาทีก่อนขึ้นเครื่อง
นี่เป็นเวลาที่เพียงพอให้เขาได้พักผ่อนแล้วล่ะ ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เขาก็ยังมีอาการท้องเสียจึงจำเป็นที่เขาต้องทานยาและพักผ่อนให้มาก
“พรุ่งนี้ก็วันที่แปดแล้ว ฉันต้องเตรียมเปิดร้านวันพรุ่งนี้” หยวนโจวคิดถึงบรรดาลูกค้าขาประจำของเขาเสียแล้วสิ
“ฉันสงสัยจังว่าเจ้าบรอธจะกินเนื้อแผ่นหมดแล้วหรือยังนะ” จู่ๆหยวนโจวก็นึกถึงเจ้าบรอธขึ้นมา
เมื่อตอนที่เขาจากมา เขาไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นแต่มาตอนที่เขากำลังจะกลับไป เขากลับเริ่มคิดถึงบ้านและเตียงนอนบนชั้นสองของร้านขึ้นมาเสียแล้ว
ถึงแม้ว่าเตียงนอนของโรงแรมระดับห้าดาวจะสบายมาก แต่หยวนโจวก็ยังคิดถึงเตียงนอนของตัวเองอยู่ดีนั่นแหละ
“ถึงจะไม่มีใครเฝ้าร้านเอาไว้ตอนที่ฉันไม่อยู่ แต่ร้านก็ยังสะอาดอยู่ ขอบใจนะเจ้าร้าน” หยวนโจวยิ้มและกล่าวคำขอบคุณอันเป็นเรื่องที่เขาแทบจะไม่เคยทำมาก่อนเลย
เจ้าระบบก็ยังเงียบต่อไป หยวนโจวคุ้นเคยกับความเงียบเช่นนี้อยู่แล้วจึงไม่พูดอะไรอีก เขานั่งรออยู่ตรงนั้นอยู่เงียบๆเพื่อรอเวลาขึ้นเครื่อง
เขากำลังเพลิดเพลินกับผลประโยชน์ของสังคมทุนนิยมเป็นอย่างยิ่งซึ่งในกรณีนี้ก็คือบริการชั้นเลิศที่จัดเตรียมให้แก่ผู้โดยสารในห้องโดยสารชั้นหนึ่ง เมื่อเข้ามาในห้องรับรองผู้โดยสารขาออกแล้ว เขาก็ใช้อุโมงค์พิเศษสำหรับผู้โดยสารในห้องโดยสารชั้นหนึ่ง แบบนี้เมื่อขึ้นเครื่อง เขาก็จะเจอเฉพาะผู้โดยสารในห้องโดยสารชั้นหนึ่งคนอื่นๆเท่านั้น
“ยินดีต้อนรับสู่สายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ค่ะ คุณหยวน” แอร์โฮสเตสสาวสวยทักทายขณะที่พูดภาษาจีนได้อย่างไร้ที่ติ
“ขอบคุณครับ” ทันใดนั้นหยวนโจวก็รู้สึกเหมือนได้ฟังคนพูดภาษาจีนอย่างไร้ที่ติดอยู่กับบ้านเลย
“ด้วยความยินดีค่ะ คุณฝากกระเป๋าไว้ตรงนี้ก็ได้นะคะ” แอร์โฮสเตสกล่าวพลางหัวเราะขณะที่เปิดพื้นที่เก็บสัมภาระ
“โอเคครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วเก็บกระเป๋า
“นี่เป็นทางไปห้องโดยสารของคุณนะคะ” แอร์โฮสเตสเกิดประตูที่ซ่อนอยู่แล้วเชื้อเชิญให้หยวนโจวเข้าไป
หยวนโจวพยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องโดยสารไป เนื่องจากเมื่อตอนที่กำลังมาประเทศไทยเขาก็นั่งห้องโดยสารชั้นหนึ่งมาแล้ว เขาจึงไม่รู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นห้องที่ทั้งหรูหราและสะดวกสบาย แต่เขากลับนั่งลงอย่างสงบนิ่ง
“ต้องการเครื่องดื่มอะไรดีคะ คุณหยวน?” แอร์โฮสเตสถามหลังจากหยวนโจวนั่งลง
“น้ำอุ่นก็แล้วกันครับ” หยวนโจวตอบ
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” แอร์โฮสเตสพยักหน้าแล้วปิดประตูก่อนที่จะออกไปเอาน้ำอุ่นมาให้
“สมกับที่เป็นห้องโดยสารชั้นหนึ่งจริงๆ โซฟาสบายมากเลย” หยวนโจวเอนหลังขณะที่สีหน้าของเขาผ่อนคลายโดยสิ้นเชิง
“เฮ้อ ท้องฉันยังปวดอยู่เลย โชคดีที่พวกเขามีห้องน้ำอยู่ที่นี่ด้วย” ทันทีที่หยวนโจวเอนหลัง ท้องของเขาก็เริ่มปวดขึ้นมาอีกแล้ว
“ไม่เอาน่า ฉันรู้ว่าสองสามวันที่ผ่านมาทำให้แกต้องลำบากมากเลย พอกลับถึงบ้านเมื่อไหร่ฉันจะเลี้ยงของอร่อยแกเองนะ” หยวนโจวพูดอย่างจนปัญญาพลางลูบท้องไปด้วย
“เอาน่า แอร์โฮสเตสกำลังจะกลับมาแล้ว รออีกนิดอย่างเพิ่งปวดเชียวนะ” หยวนโจวขมวดคิ้วและเจรจาต่อรองกับท้องของตัวเองที่ดูเหมือนจะเรียกร้องให้เขาต้องเข้าห้องน้ำเสียให้ได้
โชคดีที่หยวนโจวมีความอดทนเป็นเลิศ เขารอจนแอร์โฮสเตสกลับไปเอาน้ำอุ่นและสั่งอาหารกลางวันอย่างสงบนิ่ง เขาได้แต่รีบพุ่งเข้าห้องน้ำหลังจากแอร์โฮสเตสจากไปแล้วเท่านั้น
“ฟู่ โชคดีที่ฉันสามารถกลั้นเอาไว้ได้” หยวนโจวถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ไม่มีใครสมบูรณ์แบบไร้ที่ติหรอก ตอนนี้หยวนโจวดูเหมือนคนบ้าที่เพลิดเพลินกับการคุยกับตัวเองไปเสียแล้ว
ตอนที่หยวนโจวออกจากห้องน้ำ เครื่องบินก็กำลังวิ่งผ่านเส้นทางเพื่อเตรียมที่จะขึ้นบินแล้ว
เสียงเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัยดังขึ้นผ่านลำโพง หยวนโจวนั่งลงอย่างเชื่อฟังและคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนที่จะทนรอให้เครื่องขึ้นบิน
ทันใดนั้นก็มีเสียงเตือนของเจ้าระบบดังขึ้นในหัว
นอกเหนือไปจากเสียงเตือนแล้วก็ยังมีข้อความแจ้งเตือนปรากฏขึ้นในหัวของเขาขึ้นมาทันทีอีกด้วย
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ติ๊งต่อง”
“เจ้าระบบ แกทำให้ฉันกลัวนะ เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?” หยวนโจวตบหน้าผากลางถามออกมา ถึงอย่างไรเขาก็ค่อนข้างกลัวเจ้าระบบที่มีนิสัยแปลกๆ
เจ้าระบบไม่สนใจคำบ่นของหยวนโจวและเริ่มแสดงคำพูดออกมา
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ยินดีที่บรรลุภารกิจการลิ้มรสอาหารต่างชาติครั้งแรกด้วยนะ เจ้านาย”
“ขอบใจนะ” หยวนโจวตอบพลางรู้สึกว่าเก้าอี้สะเทือนอยู่นิดหน่อย
หยวนโจวรออยู่สักพักแต่เจ้าระบบก็ยังเงียบอยู่เลย จากนั้นเขาก็ถามขึ้นมาว่า “งั้นแกแค่กำลังจะแสดงความยินดีกับฉันงั้นเหรอ? มีรางวัลเนื้อหาอีกไหม?”
หยวนโจวร้องขอรางวัลไปตามเรื่องตามราว ถึงอย่างไรก็มีคำกล่าวเอาไว้ว่าล้อที่ลั่นต้องหยอดน้ำมันฉันใด คนที่บ่นดังที่สุดก็ย่อมจะได้รับความสนใจมากที่สุดฉันนั้น หยวนโจวรู้สึกว่าเขาร้องขอรางวัลได้ถูกต้องแล้ว
เจ้าระบบยังเงียบต่อไปอีกนาน บางทีเจ้าระบบคงจะรู้สึกเห็นใจที่หยวนโจวต้องฝืนทนทานอาหารถึงแม้ว่าจะมีอาการท้องเสียมาสองสามวันแล้วก็ตามที แต่เจ้าระบบก็ตอบรับคำขอของเขา เมื่อเครื่องบินกำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆผ่านความสูงเหนือระดับน้ำทะเล เจ้าระบบจึงค่อยตอบออกมา
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เนื่องจากเจ้านายบรรลุภารกิจการลิ้มรสอาหารต่างชาติครั้งแรกแล้ว เจ้านายจะได้รับอนุญาตให้สุ่มราคาได้ เชิญรับรางวัลได้เลย”
“ขอบใจนะ เจ้าระบบ” หยวนโจวตอบ
[ภารกิจ] บรรลุภารกิจการลิ้มรสอาหารต่างชาติครั้งแรก
(เคล็ดลับในการทำภารกิจ: ภารกิจการลิ้มรสอาหารต่างชาติครั้งแรกและใช้เงินทุนสำหรับอาหารที่เจ้าระบบจัดหามาให้จนหมด)
[รางวัล] จับฉลากหนึ่งครั้ง
(เคล็ดลับในการได้รางวัล: รางวัลได้มาจากอาหารต่างๆที่เจ้านายได้ลิ้มลองในประเทศไทย เจ้านายอาจจะสุ่มรางวัลเพื่อให้ได้ต้นฉบับสูตรอาหารฉบับหนึ่งเป็นรางวัลก็ได้)
“ฉันมั่นใจในทักษะการอ่านของตัวเองมาโดยตลอด เจ้าระบบ แกกำลังพยายามที่จะตกรางวัลให้ฉันด้วยอาหารไทยใช่ไหม?” หยวนโจวตรวจสอบคำอธิบายอยู่สามครั้งก่อนที่จะถาม
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ใช่แล้วล่ะ เจ้านาย คุณเริ่มสุ่มได้เลยนะ”
“รางวัลธรรมดาชะมัดเลย” หยวนโจวต่อว่า ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำอาหารที่เขากินเข้าไปได้ถูกต้อง 100% แต่เขาก็ยังสามารถทำได้บางส่วนแหละน่า รู้สึกว่ารางวัลนี้ออกจะเปล่าประโยชน์แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
เขาหยุดคิดและเหลือบมองไปทางรางวัลที่เป็นรายชื่อของอาหารไทยที่เขากินมาเมื่อสองสามวันก่อน เจ้าระบบจึงไม่จำเป็นต้องสร้างอาหารจานใหม่เพื่อรางวัลนี้เลย
“เป็ดปักกิ่งที่เสิร์ฟเฉพาะส่วนหนังเป็นส่วนหนึ่งของรางวัลรวมหรือเปล่าน่ะ?” หยวนโจวถาม
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ใช่แล้ว”
มีอาหารห้าจานที่อยู่ในรางวัลรวมซึ่งทั้งหมดต่างก็เป็นอาหารจีนที่เขาเคยทานในประเทศไทย แต่อาหารพวกนี้เป็นอาหารท้องถิ่นและต่างออกไปเมื่อเทียบกับแบบดั้งเดิมในประเทศจีน
เป็ดปักกิ่ง ผักบุ้งจีนกระเทียมสับ ผัดผักบุ้งจีน เนื้อต้ม ข้าวผัดไข่แบบไทยที่ทำขึ้นมาทั้งห้าจานล้วนแล้วแต่อยู่ในรางวัลรวมทั้งสิ้น
ท่ามกลางอาหารพวกนั้น หยวนโจวก็ตัดสินใจแล้วว่าข้าวผัดไข่แบบไทยนั้นดีที่สุด นอกเหนือไปจากไข่ สับปะรดและผลไม้แห้งตามปกติที่เติมลงในอาหารจานนี้แบบไทยแล้ว มันก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกับข้าวอบสับปะรดเลยทีเดียว
อาหารที่ใกล้เคียงกับแบบดั้งเดิมในประเทศจีนมากที่สุดก็คือผักบุ้งจีนกระเทียมสับเพราะวิธีการทำอาหารจานนี้ค่อนข้างง่าย ความต่างเพียงอย่างเดียวที่หยวนโจวรู้สึกได้ก็คือความแตกต่างอันน้อยนิดของวัตถุดิบ
จากข้อมูลที่เขารวบรวมได้ พืชผักในประเทศไทยรสหวานกว่าที่พวกเขาทานในประเทศจีน นี่ก็เพราะตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยนั่นเอง
อันที่จริงแล้วหยวนโจวได้ทำการค้นคว้าหาข้อมูลระหว่างการเดินทางในประเทศไทยของเขาไปด้วย
บทที่ 787 ภารกิจระดับประเทศ
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ หยวนโจวก็มุ่งความสนใจไปที่รางวัลรวมอีกครั้งหนึ่ง
“โอเค งั้นมาเริ่มสุ่มกันเลยเถอะ” หยวนโจวพูดด้วยท่าทีไม่แยแสอย่างเห็นได้ชัด เขาคร้านจะหันหน้าไปเพื่อเริ่มการสุ่มเสียด้วยซ้ำ
ด้วยการหมุนเร็วจี๋และทันใดนั้นเองก็เกิดภาพเบลอ ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่หยวนโจวจะเดาออกว่าลูกศรจะไปหยุดอยู่ตรงไหน เขาจึงสุ่มเรียกให้หยุดแล้วการหมุนก็เริ่มช้าลง
หลังจากนั้นไม่นานลูกศรก็หยุดอยู่ตรงเป็ดปักกิ่งอย่างที่หยวนโจวกล่าวเอาไว้เลย ภาพของเป็ดปักกิ่งที่เสิร์ฟแค่หนังปรากฏขึ้นในหัวของเขา
เยี่ยมไปเลย นี่จะต้องเป็นอะไรสักอย่างที่เจ้าระบบทำขึ้นมาแน่ๆเลย
“โอเค ก็ยังดีกว่าไม่อะไรเลยแหละนะ” หยวนโจวกล่าวขึ้นหลังจากชำเลืองมองรางวัลเพียงแวบเดียวเท่านั้น
หลังจากหยวนโจวรับรางวัลไปแล้ว เจ้าระบบก็พูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “ขอแสดงความยินดีที่ได้รับอาหารไทยด้วยนะ เจ้านาย”
หยวนโจวไม่ตอบ เจ้าระบบจึงพูดต่อไป
เจ้าระบบแสดงผลออกมาว่า “เนื่องจากเจ้านายเกิดความเข้าใจในอาหารจีน ฝรั่งเศส เดนมาร์ก สวีเดนและไทยแล้ว ด้วยเหตุนี้ภารกิจระดับประเทศจึงถูกปลดล็อคแล้ว”
“อะไรนะ? ภารกิจระดับประเทศงั้นเหรอ? อะไรกันล่ะนั่น?” หยวนโจวถามด้วยความประหลาดใจ
เจ้าระบบอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทนว่า “เจ้านายจะได้รู้เองหลังจากภารกิจประกาศออกมาแล้ว”
“งั้นฉันจะต้องไปเยือนประเทศพวกนี้สำหรับภารกิจในอนาคตด้วยงั้นเหรอ?” หยวนโจวคาดเดา
แต่เจ้าระบบกลับเอาแต่เงียบและปฏิเสธที่จะเปิดเผยความลับใดๆไม่ว่าหยวนโจวจะขอร้องสักขนาดไหนก็ตาม
ขณะที่หยวนโจวพรั่งพรูคำถามมากมายใส่เจ้าระบบอยู่นั้น เครื่องบินก็มาถึงจุดต่อเครื่อง หยวนโจวผ่านจุดตรวจแล้วขึ้นเครื่องไปเฉิงตูได้อย่างง่ายดาย
ใช่แล้วล่ะ เพื่อให้ได้ขึ้นเครื่องของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ระหว่างเที่ยวบินขากลับ หยวนโจวจึงเต็มใจที่จะต่อเครื่องที่เซี่ยงไฮ้ก่อนที่จะกลับเฉิงตู
การเดินทางขากลับเป็นไปด้วยความราบรื่น เมื่อเขามาถึงเฉิงตู ท้องฟ้ายังมืดอยู่เลย หยวนโจวจึงเรียกรถที่จองไว้ล่วงหน้า
“ฉันกลับมาแล้ว!” หยวนโจวตะโกนพลางสูดลมหนาวของเฉิงตู
ในขณะที่เขากำลังตะโกนอยู่นั้น คนขับก็โทรหาเขา
หยวนโจวรับสายหลังจากประสานงานกันเรียบร้อยแล้ว หยวนโจวก็เจอคนขับ เขาวางกระเป๋าเดินทางเอาไว้ในกระโปรงหลังรถก่อนที่จะขึ้นรถไป จากนั้นคนขับก็เหยียบคันเร่งแล้วรถก็พุ่งทะยานออกไป
มีคำกล่าวเอาไว้ว่า “แค่มีเสียงปรบมือดังกึกก้อง ฉันก็จะปรากฏตัวบนเวทีภายใต้สายตาของผู้คนอย่างเจิดจรัส”
แต่สำหรับหยวนโจวนั้นกลับกลายเป็น “ถึงแม้จะไม่มีเสียงปรบมือดังกึกก้องและไม่ได้อยู่ภายใต้สายตาของผู้คน แต่เขาก็ยังคงปรากฏตัวอยู่บนเวทีอยู่ดี”
เมื่อเขามาถึงถนนเถ่าซือก็ค่อนข้างดึกมากแล้ว ในขณะที่ร้านหยวนโจวปิดร้านอยู่นั้น ยามค่ำคืนของถนนเถ่าซือกลับเงียบสงัดเป็นอย่างยิ่ง ปกติแล้วตอนนี้น่าจะเป็นเวลาที่ผับของเขาจะเปิดอยู่ นอกจากนี้ยังมีแผงขายเนื้อย่างบาร์บีคิวตามท้องถนนด้วย
ผู้คนมากมายยังคงเดินเอ้อระเหยกินบาร์บีคิวและดื่มเบียร์เพราะพวกเขาต่างได้กลิ่นของเหล้าอยู่ในอากาศแม้ว่าจะไม่ได้เอามาด้วยก็ตามที
หยวนโจวคิดจะขยับตัวให้เงียบและเบา แน่นอนว่าหาใช่เพราะเขากลัวว่าจะถูกพบเข้าแล้วโดนทำร้านหรอก ที่สำคัญเขาเกรงว่าจะทำให้เกิดเสียงดังมากเกินไปจนรบกวนการนอนหลับของคนอื่นๆได้ ดูเหมือนว่าเขาจะคิดมากเกินไปแล้วเพราะถนนสายนี้ช่างร้างไร้ผู้คนโดยสิ้นเชิง
“ฉันแค่ใช้ทางลัดแล้วเข้าทางประตูหน้า ทำไมถึงไม่มีใครอยู่ที่นี่กันเลยเล่า?” หยวนโจวบ่นพึมพำ
ถ้าหากไม่ใช่เพราะโคมไฟที่แขวนอยู่หน้าร้านทั้งหลาย หยวนโจวก็คงคิดว่าตัวเองมาผิดที่เสียแล้วล่ะ
“จะเกิดอะไรขึ้นกับบรรดาหญิงสาวที่ต้องเดินทางผ่านถนนสายนี้กันเล่า?” จู่ๆหยวนโจวก็นึกถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ ในเมื่อถนนเงียบเชียบออกขนาดนี้ บรรดาหญิงสาวจะไม่กลัวแย่เลยเหรอเมื่อพวกพวกเธอต้องผ่านมาทางนี้คนเดียว?
นอกเหนือไปจากกระดาษ A4 ที่เขาแปะเอาไว้แล้วก็ยังมีกระดาษ A4 และสติกเกอร์อีกหลายแผ่นแปะเอาไว้บนประตู
“หา?”
อะไรกันล่ะนี่? มันมืดเกินไปจนเขามองไม่ชัดเอาเสียเลย เขาจึงต้องดึงพวกมันออกจากประตูก่อนที่จะเข้าไปแล้วปิดประตู
“บ้านแสนสุข” หยวนโจวยืดเส้นยืดสายพลางวิเคราะห์ร้านไปด้วยว่าต้องขอบคุณเจ้าระบบที่คอยทำความสะอาดให้จนเอี่ยมอ่องขนาดนี้
หยวนโจวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและตัดสินใจว่าจะทำความสะอาดพรุ่งนี้เช้าก่อนที่จะขึ้นห้องไป
เขาไม่อยู่แค่อาทิตย์เดียวแต่รู้สึกราวกับผ่านไปเป็นปีๆ ดังนั้นระหว่างเสื้อผ้า อาหาร ที่พักและเครื่องบินโดยสาร อาหารย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด เสื้อผ้าหลายๆชุดของเขาเอาจากประเทศจีนไปประเทศไทยส่วนที่พักและเครื่องบินโดยสารล้วนมีคุณภาพชั้นยอดเนื่องถูกเจ้าระบบหลอกเอามา
ถึงอย่างนั้นแล้วเขาก็ยังรู้สึกไม่สบายเนื่องจากอาหารอยู่ดี จากสิ่งนี้ก็จะเห็นได้ว่าอาหารมีความสำคัญขนาดไหน จู่ๆหยวนโจวก็รู้สึกราวกับว่าเขามีความสำคัญมากในฐานเชฟ เพื่อผู้คนในแผ่นดินเกิดแล้ว เขาตัดสินใจที่จะไม่พักผ่อนและเปิดร้านมันวันพรุ่งนี้เสียเลย
หลังจากมาถึงห้องตัวเองแล้ว เขาก็หยิบกระดาษที่ดึงออกมาก่อนหน้านี้แล้วเริ่มอ่าน
[เถ้าแก่หยวน จิตสำนึกของคุณอยู่ที่ไหนกัน? ทำไมถึงได้ออกไปพักร้อนยาวขนาดนั้นเล่า?]
[เถ้าแก่หยวนหายตัวไปงั้นเหรอ? ฉันรู้สึกแปลกๆหลังจากไม่ได้ทานอาหารของเถ้าแก่หยวนมาหลายวัน]
[นายลาหยุดไปแค่เจ็ดวันเองนะ เจ้าเข็มทิศ นายคงไม่กล้าพักนานเกินไปหรอกนะ ไม่งั้นถ้าฉันไม่ตีนายให้ตายก็นับว่าโชคดีแล้ว]
หยวนโจวตัวสั่นเทาด้วยความกลัวแล้วโยนกระดาษลงถังขยะ พวกมันน่ากลัวเกินไปแล้ว
[กรุณาเปิดร้านด้วย เถ้าแก่หยวน ถ้าคุณเปิดร้านอีกครั้ง ฉันจะยอมเป็นแฟนคุณก็ได้เลยเอ้า ฉันมีหน้าอกใหญ่และขาเรียวยาวด้วยนะ ได้โปรดเถอะ!]
นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้โดยสิ้นเชิง! หยวนโจวตบโต๊ะดังปัง ใครสักคนแปะสิ่งชี้นำพวกนี้ลงบนประตูได้อย่างไรกัน? ไม่ว่าใครก็คงไม่ลืมหรอกว่าหยวนโจวเป็นคนที่สุภาพ ขยันขันแข็งและสัตย์ซื่อที่รักแผ่นดินเกิดเป็นอย่างยิ่ง!
คนพวกนี้พยายามที่จะทำให้เขาลังเลใจด้วยสิ่งนี้งั้นเหรอ?
เป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้หยวนโจวรู้สึกรำคาญมากขึ้นไปอีกก็คือไม่มีเบอร์โทรศัพท์หรือข้อมูลติดต่อทางวีแชททิ้งไว้บนกระดาษเลย หยวนโจววิเคราะห์กระดาษอย่างละเอียดถี่ถ้วนและบ่นไม่รู้จักหยุดจักหย่อน คนพวกนี้จะไม่ทิ้งวิธีติดต่อเอาไว้บนกระดาษกันเสียหน่อยหรือไง? หยวนโจววิเคราะห์กระดาษอย่างเอาเป็นเอาตายจนเขาแทบจะแทงทะลุกระดาษด้วยสายตาเพียงอย่างเดียวก่อนที่จะยอมแพ้อย่างหมดปัญญาในที่สุด จากนั้นเขาก็วางกระดาษลงบนโต๊ะ
ส่วนกระดาษแผ่นอื่นๆที่ต่อว่าต่อขานเขายกใหญ่ ของพวกนี้หาใช่สิ่งสลักสำคัญอะไร หยวนโจวจึงโยนพวกมันลงถังขยะไปจนหมด
ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะไม่ใช่คนที่สามารถหลับได้เฉพาะบนเตียงของตัวเองเท่านั้น แต่เขายังรู้สึกได้ว่าสภาพจิตใจดีขึ้นมากเมื่อกลับเข้าห้องไปแล้ว หลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาก็ล้มตัวลงบนเตียงแล้วหลับไปไม่นานหลังจากนั้น
หยวนโจวไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุกเพราะเขามีนาฬิกาชีวภาพที่แม่นยำมากอยู่แล้ว พอถึงเวลาตีห้าครึ่งเป๊ะ เขาก็ตื่นนอนขึ้นมาแล้ว เขาไม่ได้ออกไปวิ่งจ็อกกิ้งตามปกติ แต่เขากลับใช้เวลาไปกับการทำความสะอาดครัว ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเจ้าระบบได้จัดการทำความสะอาดทุกอย่างไปแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าอย่างไรก็ต้องทำความสะอาดครัวด้วยตัวเองอยู่ดีนั่นแหละ
ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่รอให้เขาไปทำอยู่ หลังจากทำความสะอาดครัวแล้ว เขาก็เริ่มเตรียมวัตถุดิบสำหรับอาหารมื้อเช้า
ร้านเปิดในที่สุด
วันนี้เมนูอาหารมื้อเช้าคือก๋วยเตี๋ยวน้ำใส ทันทีที่เขาเปิดประตูหรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือขณะที่เขากำลังจะเปิดประตูอยู่นั้นก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นนอกร้าน
“เถ้าแก่หยวนเปิดร้าน! ร้านเปิดจริงๆด้วย!”
“หลีกหน่อย! ฉันต้องได้ทานอาหารมื้อเช้าเป็นคนแรกหลังจากเถ้าแก่หยวนกลับมา!”
“ไสหัวไปเลยนะ! ทำไมนายต้องเป็นคนแรกด้วยเล่า?”
“เร็วเข้า ถ่ายรูปแล้วแชร์เลย นี่เป็นเรื่องใหญ่เชียวนะ!”
“ฉันกำลังวางแผนที่จะประหยัดเงินเอาไว้ไปซื้อเครื่องสำอางแต่ตอนนี้เถ้าแก่หยวนกลับมาแล้ว งั้นเรื่องนั้นพักไว้ก่อนแล้วกัน เรื่องกินสำคัญกว่า”
“ซาลาเปา วันนี้ขอให้เป็นซาลาเปาเถอะนะ ถ้าเป็นซาลาเปาจริงล่ะก็ฉันจะรวบรวมความกล้าไปสารภาพรักกับแม่เทพธิดาของฉันเลยล่ะ!”
วันนี้เป็นวันที่แปดนับตั้งแต่หยวนโจวลาหยุดไป ถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่าร้านน่าจะเปิดวันนี้ แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่ดีเมื่อได้เห็นร้านกำลังเปิด
และทันใดนั้นเองก็มีแถวยาวเหยียดตั้งอยู่หน้าร้าน แถวตั้งได้เร็วมากเสียจนหยวนโจวยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองอะไรเลย
มีคนจะมาสารภาพรักหากวันนี้เสิร์ฟซาลาเปางั้นเหรอ? รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมก่อตัวขึ้นบนใบหน้าของหยวนโจวขณะที่เขาตะโกนออกมาว่า “อาหารมื้อเช้าวันนี้คือก๋วยเตี๋ยวน้ำใสและเซ็ตก๋วยเตี๋ยวน้ำใส”
สารภาพงั้นเหรอ? ฝันไปเถอะน่า!
บทที่ 788 ลูกศิษย์แต่เพียงในนาม
ทันทีที่หยวนโจวกลับมา บรรดาลูกค้าที่เข้าแถวต่างก็ตอบสนองเขาอย่างกระวีกระวาดและกระตือรือร้น
“อรุณสวัสดิ์ เถ้าแก่หยวน ฉันคิดถึงคุณแทบตายแน่ะ”
“ไปเที่ยวประเทศไทยสนุกไหม? การเดินทางไปที่นั่นของคุณเป็นยังไงบ้างล่ะ เถ้าแก่หยวน?”
“มองทางนี้หน่อยสิ เถ้าแก่หยวน ฉันจะถ่ายรูปของคุณแล้วโพสต์ลงในโมเมนต์นะ อย่าเพิ่งไปไหนอีกเสียล่ะ คุณต้องเปิดร้านแล้วก็หาเงินนะ”
เมื่อเห็นว่ามีคนกำลังจะถ่ายรูปเขา หยวนโจวจึงยืดหลังตรงตามความเคยชินด้วยสีหน้าที่ยังคงเคร่งขรึมตามเคย นั่นก็คือสไตล์ของเขา
“เถ้าแก่หยวน เถ้าแก่หยวน ไม่คิดว่าผิวคุณไหม้แดดไปหน่อยเหรอ?”
“แต่เขาเป็นแบบนี้ก็หล่อมากเหมือนกันนะ”
“ใช่แล้วล่ะ เถ้าแก่หยวนเป็นคนที่หล่อเหลาที่สุดคนหนึ่งเชียวล่ะ”
เนื่องจากพวกเขาไม่เจอหยวนโจวมาทั้งอาทิตย์แล้ว ลูกค้าหญิงใจกล้าบางคนจึงเริ่มล้อเขาเล่น
แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่มีกำลังรบมากเท่ากับเจียงฉางซี่ที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ หยวนโจวเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าและยอมรับคำชมด้วยความเต็มอกเต็มใจ จากนั้นเขาก็หันหลังกลับเข้าร้าน
ในตอนนั้นเอง โจวเจียก็เดินมาหาพวกเขาได้เวลาพอดีแล้วกล่าวว่า
“อรุณสวัสดิ์ค่ะทุกคน เวลาอาหารมื้อเช้าเริ่มขึ้นแล้วนะคะ โปรดเข้าร้านและทานให้อร่อยนะคะ” โจวเจียกล่าว
เมื่อเธอกล่าวเช่นนั้นออกมา จู่ๆลูกค้าสองสามคนแรกก็รีบพุ่งตัวเข้าร้านไปในทันที
คนๆนั้นก็คือหม่าจื้อต๋าที่ยืนอยู่หัวแถวในวันนี้ ทันทีที่เขาได้ที่นั่ง เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ว้าว แปลกจังวันนี้ฉันมาเป็นแรกเลย ไม่ใช่เจ้าคนหน้าไม่อายอู๋”
“ใช่แล้วล่ะ ฉันก็ไม่คาดคิดเลยว่าจนป่านนี้เจ้าคนหน้าไม่อายอู๋ก็ยังไม่กลับมาเลย” ม่านม่านเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก ฉันหิวแทบตายแล้ว เจียเจีย ขอก๋วยเตี๋ยวน้ำใสมาให้ฉันสักที่สิ” ลูกค้าที่อยู่ข้างๆกล่าวกับโจวเจีย
“ใช่ ใช่ มาทานกันก่อนเถอะ ขอก๋วยเตี๋ยวน้ำใสให้ฉันที่นึงนะ” ลูกค้าอีกคนก็เริ่มสั่งอาหารของเขาเช่นกัน
“วันนี้ฉันจะทุ่มสุดตัวสักครั้ง นอกจากนี้แล้วฉันก็อยากทานเซ็ตก๋วยเตี๋ยวน้ำใสด้วยล่ะ” ลูกค้าที่ไม่ได้ทานมาเสียนานตัดสินใจที่จะมาละลายทรัพย์เอาวันนี้
เพียงไม่นาน ลูกค้าสิบสิบสองคนแรกก็สั่งอาหารเรียบร้อยและได้แต่รออยู่ที่นั่นด้วยความร้อนใจ ทันใดนั้นก็ไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้นนอกจากเสียงน้ำกำลังเดือด ช่างเงียบเหลือเกิน
พวกเขาเหมือนกับเด็กๆที่กำลังรอคอยอาหารอร่อยอยู่เงียบๆ ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่างใจจดใจจ่อที่จะได้ทานอาหารมื้อแรกที่หยวนโจวเป็นคนทำหลังจากกลับมา
ในช่วงหลายวันที่หยวนโจวไม่อยู่นั้น เว่ยเว่ยก็ทะเลาะกับบิดาของเธอ และตอนนี้พวกเขาก็ยังคงทำสงครามประสาทกันอยู่
มีคนบอกว่าเรื่องแบบนั้นคงจะไม่เกิดขึ้นหากร้านหยวนโจวเปิด แต่อีกคนกลับบอกว่าร้านหยวนโจวไม่ใช่ศาลเจ้าเสียหน่อยและดูเหมือนจะไม่เข้าไปก้าวก่ายในทุกๆเรื่องด้วย
มันอาจจะเป็นคำพูดที่หยาบคายทว่าก็เป็นเรื่องจริง ร้านหยวนโจวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแต่ชีวิตหาได้มีแค่ร้านหยวนโจวเสียหน่อย
แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าร้านหยวนโจวเป็นส่วนที่สำคัญมากในชีวิตของบรรดาลูกค้า
ยกตัวอย่างเช่น โจวเจีย
นอกเหนือไปจากหยวนโจวกับโจวเจียที่มาทำงานในร้านแต่เช้าตรู่ก็มีคุณเฉิงที่กำลังศึกษาอย่างขยันขันแข็ง เขายืนอยู่ตรงที่ประจำแล้วมองดูหยวนโจวทำบะหมี่อย่างเอาจริงเอาจัง
ดังนั้นเขาจึงได้รับสมญานามว่าเทพทวารบาลเฉิง
เนื่องจากได้เตรียมของเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว บะหมี่กว่าครึ่งของทั้งสิบสองคนแรกจึงแล้วเสร็จในเวลาไม่เกิน 5 นาที
“เถ้าแก่หยวน นายทำอาหารไวมากเลย” หม่าจื้อต๋าที่ได้รับอาหารเป็นคนแรกถึงกับถอนหายใจ
“แหงอยู่แล้ว เถ้าแก่หยวนว่องไวที่สุดเลยล่ะ” ม่านม่านซดน้ำซุปเข้าไปคำหนึ่งด้วยความอิ่มอกอิ่มใจแล้วกล่าวยืนยัน
แต่เมื่อม่านม่านกล่าวออกมาเช่นนั้น หม่าจื้อต๋าเกือบพ่นน้ำซุปที่เขาเพิ่งจะซดเข้าไปออกมาอยู่แล้ว
“ม่านม่าน เธอจะไปรู้ว่าเถ้าแก่หยวนว่องไวขนาดไหนได้ยังไงกัน? อย่าเอาเรื่องจริงมาพูดส่งๆนะ” ชายที่อยู่ข้างเธอลืมตาขึ้นทันทีแล้วมองม่านม่านด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้วล่ะ เขาพูดถูก เรื่องจริงไม่สามารถพูดส่งๆได้นะ ในฐานที่เป็นลูกผู้ชาย เขาอาจจะตัวเตี้ยและอาจจะผอมแต่เขาไม่มีทางว่องไวได้หรอก” ลูกค้าอีกคนเปล่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา
นอกจากนี้ยังมีลูกค้าคนอื่นๆที่จ้องมองหยวนโจวแล้วหัวเราะคิกคัก
เมื่อเห็นบรรดาลูกค้าในร้านต่างพากันล้อเธอเล่น ในที่สุดม่านม่านก็เข้าใจความหมายที่พวกเขาต้องการจะสื่อแล้ว ทันใดนั้นเธอก็หน้าแดงแล้วอธิบายให้พวกเขาฟัง
“พวกนายคิดว่ายังไงล่ะ? สิ่งที่ฉันหมายถึงก็คือเถ้าแก่หยวนทำอาหารได้อร่อยแถมยังรวดเร็วอีกต่างหาก” ม่านม่านกล่าวเสียงดัง
“โอ้ ใช่แล้วล่ะ พวกเรารู้เรื่องนั้นแล้วแหละน่า ยังไงเถ้าแก่หยวนก็ยอดเยี่ยมมากอยู่แล้วล่ะ” หม่าจื้อต๋าพยักหน้า
เดิมทีหม่าจื้อต๋าก็อยากจะล้อเธอเล่นอยู่เหมือนกัน แต่หลังจากเขามองหยวนโจวกับก๋วยเตี๋ยวน้ำใสที่อยู่ตรงหน้าแล้ว เขาก็เลิกคิดไป อย่างไรการรกินก็เหนือกว่าสิ่งอื่นใด ดังนั้นเขาจึงกล่าวด้วยความเชื่อฟัง
ส่วนหยวนโจวนั้น เขาแค่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินการสนทนาพวกนี้แล้วทำบะหมี่ไปเงียบๆ แน่นอนว่าจะน่าเชื่อถือมากกว่านี้หากเขาไม่พยายามที่จะเติมพริกผีลงไปในชามของม่านม่าน
โชคดีที่ม่านม่านเป็นคนที่สองจากสิบสองคนแรกจึงทำให้เธอเริ่มทานก๋วยเตี๋ยวน้ำใสของตัวเองแล้ว
หยวนโจวเชื่อว่าเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรวดเร็วหรือไม่ก็ตามที
มีอาหารมื้อเช้าแค่ 100 ที่เท่านั้น เมื่อเทียบกับอาหารมื้อเที่ยงและมื้อค่ำย่อมสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว และบรรดาลูกค้าที่ได้รับประทานอาหารมื้อเช้าก็จากไปพร้อมความพอใจ
ส่วนคนที่ยังไม่ได้รับประทานอาหารมื้อเช้าต่างก็รู้สึกโล่งใจเช่นกัน ขอแค่เพียงเถ้าแก่หยวนกลับมาแล้วพวกเขาย่อมได้ทานอาหารไม่ช้าก็เร็ว เลวร้ายที่สุดพวกเขาก็แค่ต้องมาเข้าแถวอีกทีตอนเที่ยงวันก็เท่านั้นเอง
นั่นก็คือความคิดของบรรดาลูกค้าคนอื่นๆ
บางทีพวกเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาทานอาหารที่นี่หรอก พวกเขาจะมีความรู้สึกพึงพอใจตราบเท่าที่ได้เห็นว่าร้านเปิดอยู่ทุกวัน
ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้วที่ได้เห็นร้านหยวนโจวเปิด คนที่ศึกษาเรื่องการทำนายโชคชะตาถึงกับบอกว่าร้านหยวนโจวเป็นกิจการแห่งความโชคดี เขาวิเคราะห์อยู่สักพักและในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าเขาจะมีโชคดีตราบใดที่ยังเปิดร้านอยู่นั่นเอง
เรื่องนี้ยากเกินกว่าที่จะตรวจสอบได้ แม้ว่าความโชคดีจะเป็นเรื่องที่ดีมาก แต่ก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วได้หรอก
หลังจากอาหารมื้อเช้าสิ้นสุดลง โจวเจียก็บอกลาหยวนโจวพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าในขณะที่คุณเฉิงยังอยู่ต่อ
“มีอะไรงั้นเหรอครับ?” หยวนโจวถามเขาเมื่อเห็นว่าคุณเฉิงยังไม่กลับไป
“อาจารย์หยวนครับ คุณรู้สึกว่าประเทศไทยเป็นยังไงบ้าง?” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าใจดีมีเมตตาและซื่อตรงของคุณเฉิง
“ก็ไม่เลวนะครับ” หยวนโจวนึกถึงอาการปวดท้องที่หายไปสองสามวันแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“เร็วๆนี้จะมีการประชุมสัมมนาด้านอาหารในประเทศเวียดนาม คุณจะไปที่นั่นไหมครับ?” คุณเฉิงถามขึ้น
“ไม่ครับ” หยวนโจวปฏิเสธทันควัน
ตลกสิ้นดี! ท้องของเขาเพิ่งจะฟื้นคืนสู่สภาพปกติ ถ้าตอนนี้เขาไปประเทศที่ไม่มีอาหารอร่อยเลยอีกครั้ง เขาอาจจะรู้สึกแย่ไปตลอดทั้งปีนี้เลยก็ได้
“คุณได้รับคำเชิญมางั้นเหรอครับ?” จู่ๆหยวนโจวก็ถามขึ้นมา
“ใช่ครับ ผมเป็นผู้ตัดสินหลักของการประชุมสัมมนาน่ะครับ” คุณเฉิงกล่าวด้วยความลำบากใจ
ถึงอย่างไรเขาก็รู้สึกลำบากใจอยู่นิดหน่อยที่ต้องบอกว่าเขาเป็นผู้ตัดสินหลักของการประชุมสัมมนาต่อหน้าหยวนโจว ราวกับกำลังสอนปลาให้ว่ายน้ำอย่างไรอย่างนั้นเลย
อย่างที่ทุกคนต่างทราบกันดี หยวนโจวทำได้ดีกว่าเขาในแง่ของฝีมือและความเข้าใจในวัตถุดิบอาหาร
“ยอดเยี่ยมมากเลยครับ” หยวนโจวพยักหน้า
“ขอบคุณครับ” คุณเฉิงกล่าวขอบคุณเขา
“มันเป็นความสามารถของคุณเองนี่ครับ” หยวนโจวกล่าวอย่างจริงจัง
“คุณสอนผมได้ดีเชียวล่ะครับ ขอบคุณมากเลยครับ” คุณเฉิงดูมีท่าทางค่อนข้างเอาจริงเอาจังเมื่อตอนที่เขากล่าวเช่นนั้นออกมา และเมื่อเขากล่าวขอบคุณแล้ว เขาก็โค้งคำนับลำตัวตั้งฉากอย่างจริงจัง
หยวนโจวหาได้หลบเลี่ยงการโค้งคำนับและการแสดงความรู้สึกขอบคุณของคุณเฉิงแต่อย่างใด เขาสมควรจะได้รับมันอยู่แล้ว
“อืม สองสามวันนี้ยังไม่มีอาหารจานใหม่หรอกนะครับ” จู่ๆหยวนโจวก็กล่าวขึ้นมา
“ขอบคุณครับ อาจารย์หยวน” คุณเฉิงรู้สึกดีใจมากทีเดียว
ใช่แล้วล่ะ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณเฉิงลังเลใจว่าเขาจะไปประเทศเวียดนามดีหรือไม่ ถ้าหากเขาไปประเทศเวียดนามแล้วหยวนโจวเกิดเสิร์ฟอาหารจานใหม่ขึ้นมา เขาก็จะได้รับความสูญเสียครั้งใหญ่เชียวล่ะ
แต่เขาก็ไม่กล้าบอกหยวนโจวเรื่องความกังวลของเขาหรือเรื่องที่เขาสามารถบอกได้ ถึงอย่างไรหยวนโจวก็เคยบอกเขาแล้วว่าเขาไม่ใช่ลูกมือฝึกหัด แต่ตอนนี้หยวนโจวกลับมาบอกเขาตรงๆว่าช่วงหลายวันนี้จะยังไม่เสิร์ฟอาหารจานใหม่ซึ่งทำให้คุณเฉิงรู้สึกค่อนข้างประทับใจมาก
“เอาล่ะครับ ไปได้แล้วล่ะ” หยวนโจวขมวดคิ้วแล้วโบกมือ
“โอเคครับ ถึงตอนนั้นผมจะซื้อของจากประเทศเวียดนามมาฝากนะครับ” มีรอยยิ้มกว้างอยู่บนใบหน้าของคุณเฉิง
“ไม่ต้องหรอกครับ แค่เตรียมตัวไปประชุมสัมมนาให้ดีก็พอแล้วล่ะครับ” หยวนโจวกล่าว
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมไม่ยอมขายหน้าแน่ๆ” คุณเฉิงรับรอง
“อืม” หยวนโจวพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรอีก
“อาจารย์หยวน ช่วงสองสามวันนี้ถ้าคุณอยากออกไปไหนสามารถโทรเรียกให้เขามารับคุณได้เลยนะครับ” คุณเฉิงหยิบเบอร์โทรศัพท์มาวางลงบนโต๊ะ
หยวนโจวมองดูเบอร์โทรศัพท์บนโต๊ะและมองไปที่คุณเฉิงแล้วไม่พูดอะไร
“นี่เป็นเบอร์โทรศัพท์ของลูกศิษย์ผมเองครับ ช่วงสองสามวันนี้เขาว่างอยู่พอดี แค่บอกเขาว่าคุณอยากให้เขาขับรถพาคุณไปที่ไหน เขาขับรถค่อนข้างนุ่มเชียวล่ะครับ” คุณเฉิงกล่าวอย่างจริงจัง
“โอเคครับ” หยวนโจวพยักหน้าและไม่ปฏิเสธความหวังดีของเขา
“โอเค งั้นผมไปแล้วนะ ลาก่อนครับ อาจารย์หยวน” คุณเฉิงค่อนข้างมีความสุขมากทีเดียวเมื่อเขาเห็นว่าหยวนโจวไม่ปฏิเสธ
“เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ” หยวนโจวกล่าว
“โอเคครับ ลาก่อน” คุณเฉิงหันมาโบไม้โบกมือให้หยวนโจวอีกครั้งเมื่อเขาเดินไปถึงประตู
จนกระทั่งคุณเฉิงกลับไปแล้วหยวนโจวจึงหยิบเบอร์โทรศัพท์ขึ้นมาแล้วขึ้นชั้นบนไป
“เขาช่างมีน้ำใจมากเสียจริง” หยวนโจวหย่อนเบอร์โทรศัพท์ลงในลิ้นชักของตู้ข้างเตียงแล้วบ่นพึมพำ
ถึงแม้ว่าหยวนโจวจะไม่โทรเรียกลูกศิษย์ของเขาให้ทำอะไรเลย แต่ท่าทางของคุณเฉิงก็ค่อนข้างน่าประทับใจทีเดียว เขาไม่ใช่ลูกมือฝึกหัดของหยวนโจวจริงๆ แต่เขาก็ถือว่าหยวนโจวเป็นอาจารย์ของเขาและเคารพนับถือหยวนโจวจริงๆ