Gourmet Food Supplier อยากกินไหมล่ะ - ตอนที่ 789-790
บทที่ 789 อาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีไม่อาจล่าช้าได้
หลังจากคุณเฉิงกลับไปแล้ว หยวนโจวก็ไปตลาดเพื่อซื้อหาผักมาแกะสลักตามปกติ จากนั้นเขาก็กลับมาเตรียมตัวฝึกฝีมือ
อีกทางหนึ่ง หลิวจางก็ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่
“ตาเฒ่าจี้ วันนี้มีการแสดงสนุกๆให้เราดูกันด้วยล่ะ” หลิวจางมาถึงโรงแรมที่จี้อี้พักอาศัยอยู่แล้วชักชวนให้เขาไปดูเรื่องน่าสนใจด้วยกัน
ทุกวันนี้คำว่า “การแสดงสนุกๆ” จริงๆแล้วก็หมายถึง “เหตุการณ์อึกทึกครึกโครม” มากกว่าจะมีความหมายตามตัวมันเอง แต่เรื่องที่หลิวจางบอกกลับทีความหมายเดิมจริงๆ หลิวจางจองตั๋วอุปรากรเสฉวนเอาไว้แล้ว
มีอุปรากรที่แตกต่างกันมากกว่า 300 แบบทั่วประเทศในขณะที่มีการแสดงพื้นบ้านไม่น้อยกว่าหมื่นแบบ เนื่องจากไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้แวดวงอุปรากรถูกทิ้งร้าง อุปรากรทั้งหลายจึงไม่สามารถสืบทอดจากรุ่นก่อนได้ อุปรากรส่วนใหญ่สามารถพบได้เฉพาะในโรงน้ำชาขนาดเล็กท่ามกลางผู้สูงอายุมากมายเท่านั้น หลังจากคนรุ่นเก่าล้มหายตายจาไปแล้ว อุปรากรก็จะถูกกลบฝังไปด้วย
ตัวอย่างก็คือเพื่อนของหลิวจางกับจี้อี้ คนๆนี้ก็คือประธานสมาพันธ์อุปรากรส่านซีและทุ่มเทให้กับการแสดงตงก่วน การแสดงวานวานและการแสดงเหมยหู่ ทว่ากลับไม่ใคร่เป็นผลนัก
แน่นอนว่าย่อมมีความงดงามในอุปรากรที่สืบทอดกันมานับร้อยปี ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งสวยงามมากมายในโลกและยากที่ผู้คนจะได้เห็นสิ่งเหล่านั้นโดยใต้องเอ่ยซ้ำ แต่ช่างน่าเสียดายที่อุปรากรได้หายไปเสียก่อนที่ผู้คนจะทันได้เข้าใจถึงความงามของอุปรากร
“ฉันไม่สนหรอก” จี้อี้หาใช่คนสงบสำรวม กล่าวสั้นๆก็คือเขาไม่อยากพูดกับหลิวจางอีก
หลิวจางไม่ท้อใจ เนื่องจากในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ตอนที่พวกเขากำลังรอคอยให้เถ้าแก่หยวนกลับมานั้น เขาก็นึกความคิดใหม่ๆได้ทุกวันซึ่งหลังจากนั้นก็ถูกจี้อี้ปฏิเสธอย่างเย็นชา
“วันนี้เป็นวันที่แปดแล้วนะหลิวจาง นายบอกมาเถอะว่าเชฟหยวนคนนั้นร่วมมือกันหลอกฉันใช่ไหม?” จี้อี้อดทนรอคอยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งเขารอนานขึ้นมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเกิดความกังขาในหมั่นโถวไหมพันเส้นที่บอกว่าเหนือล้ำกว่าเขา
“ฉันเคยไปหลอกนายเสียเมื่อไหร่กัน? นายไม่เชื่อในความซื่อสัตย์ของฉันงั้นรึ?” หลิวจางถามขึ้น
ถ้าเขาไม่กล่าวเช่นนั้นก็ว่าไปอย่าง แต่ทันทีที่เขากล่าวขึ้นมา จี้อี้ก็ระเบิดออกมาทันทีว่า “บ่อยจะตายไป ตอนที่พวกเรายังเด็กนายหลอกเอาลูกอมของฉันไปจนเกลี้ยง พอพวกเราเริ่มโตขึ้นมา นายก็หลอกเอาเงินในกระเป๋าของฉันไปจนหมด”
“ตาเฒ่าจี้ นายยังถือสาเรื่องเงินหลายเซนต์พวกนั้นมาจนอายุปูนนี้เชียวรึนี่? นายคิดเล็กคิดน้อยเกินไปแล้วนะ” แม้ว่าสิ่งที่หลิวจางบอกจะถูกหักล้างไปแล้ว ทว่าเขากลับไม่รู้สึกกระดากอายเลยสักนิด แต่เขากลับโต้แย้งเรื่องที่จี้อี้เป็นคนคิดเล็กคิดน้อยเกินไปแทนเสียได้
“โอเค งั้นไม่เป็นไร นายบอกว่าฉันคิดเล็กคิดน้อย แต่สิ่งที่นายบอกน้องสาวของเราล่ะ? เดิมทีเธอก็หวั่นไหวระหว่างนายกับฉัน แต่นายบอกฉันว่าไม่น่าจะเอาชนะใจเธอได้เพราะเธอหลงรักคนๆหนึ่งอยู่ นายไม่คิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมงั้นเหรอ?” ยิ่งจี้อี้พูดออกมา เขาก็ยิ่งโกรธหนักขึ้นไปอีก
“เอาล่ะ เรื่องนี้ค่อนข้างสลับซับซ้อน ในความหมายอย่างแคบคือฉันหลอกนาย แต่ในความหมายอย่างกว้างคือฉันช่วยนายอยู่นะ ดูนายตอนนี้สิ นายมีครอบครัวที่แสนมีความสุขและกลมเกลียวแถมยังมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองอีก แล้วนายดูฉันสิยังเป็นพ่อหม้ายแก่ๆคนหนึ่งอยู่เลย” ดูท่าแล้วหลิวจางจะกำลังสับสนถูกผิดอยู่จริงๆ
จี้อี้ไม่อยากเสวนากับเจ้าคนไร้ยางอายผู้นี้อีกแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงความโกรธที่จางหายไปมากเมื่อเขาได้ยินว่าหลิวจางเป็นพ่อหม้ายแก่ๆคนหนึ่งเลย
หลิวจางที่ดูมีท่าทีใจเย็นกล่าวต่อไปว่า “คราวนี้อาจารย์เหมยหย่งเกอเป็นคนจัดอุปรากรเสฉวนเอง”
จี้อี้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเสียแล้ว เหมยหย่งเกอ
เนื่องจากแวดวงอุปรากรถูกทิ้งร้างมาเมื่อไม่กี่ปี ทุกวันนี้รัฐบาลจึงมีแนวโน้มที่จะรักษาวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะมีคนอยู่ไม่มากนักที่อยากจะชมดูก็ตามที อุปรากรทั้งหลายเป็นที่นิยมมาตั้งแต่สมัยโบราณ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าเป็นอุปรากรเสฉวนขนาดใหญ่และสุดยอดปรมาจารย์ด้านอุปรากรเสฉวนที่จะขึ้นแสดงในคราวนี้เลย ตั๋วทั้งหลายต่างถูกส่งออกมาในรูปของคำเชิญ
หลิวจางดูค่อนข้างยากจน อันที่จริงแล้วเขาก็ยากจนจริงๆนั่นแหละ แต่ภายนอกเขากลับมีชื่อเสียงด้านดีจึงทำให้ได้ตั๋วมาสองใบ
“เฒ่าจี้ นายสนใจไหมล่ะ? ฉันจำได้ว่าตอนพวกเรายังเด็กอยู่ นายอยากดูการแสดงของอาจารย์เหมยนี่นา” ในขณะที่กล่าวถึงเรื่องนั้นออกมา หลิวจางก็หยิบตั๋วออกมาจากกระเป๋าและโบกไปมาตรงหน้าจี้อี้
จี้อี้ที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาราวกับเมฆหมอกรู้สึกค่อนข้างลังเลใจอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ยังไม่สามารถต้านทานต่อความเย้ายวนใจของห้าเสาหลักของเหมยหย่งเกอและตอบตกลงไปอย่างแกนๆ “ฉันตอบตกลงรับข้อเสนอของนายเพราะความเคารพที่มีต่ออาจารย์เหมยหรอกนะ”
หลิวจางพยักหน้าเพื่อบ่งบอกว่าเขาเข้าใจแล้ว แต่เมื่อพินิจจากสีหน้าของเขาแล้ว จี้อี้ก็อยากจะกระโดดถีบยอดหน้าของเขาเสียจริงๆ น่าเสียดายที่เขาอายุเกิน 50 ปีไปแล้วถึงจะมีความตั้งใจอันแน่วแน่ทว่ากำลังวังชากลับเสื่อมถอย จี้อี้พึมพำอยู่ในใจว่า “ถ้าฉันเด็กกว่านี้สักห้าปีสิบปีล่ะก็ฉันคงตีเขาจนตายไปแล้ว”
คนทั้งสองเตรียมตัวที่จะขึ้นรถแท็กซี่ตรงนั้น พูดให้ถูกก็คือพวกเขาจะต้องไปสถานีขนส่งก่อนเพื่อขึ้นรถโดยสาร เพราะที่อยู่นั้นเป็นเขตที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของเฉิงตู
สุดยอดปรมาจารย์ด้านอุปรากรเสฉวนจะไม่เชิญคนมากเกินไปตอนที่เขาขึ้นแสดงจึงทำให้สถานที่ไม่ใคร่ใหญ่โตนัก ขณะที่หลิวจางกับจี้อี้กำลังจะขึ้นรถไปสถานีขนส่งจู่ๆเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น
หลิวจางรับสายแล้วเอาแต่พยักหน้ากันติดๆโดยไม่พูดอะไร ในที่สุดเขาก็วางสายแล้วจู่ๆก็หันไปมองจี้อี้ซึ่งทำให้เขารู้สึกตกใจกลัวเอามากๆ
จี้อี้เดินเข้ามาหาแล้วจ้องตอบอย่างเหี้ยมเกรียมพลางถามว่า “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
“ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากจะบอกนาย แต่คิดดูแล้ว ฉันตัดสินใจที่จะไม่บอกนายดีกว่า” หลิวจางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
อะไรวะเนี่ย! คนที่พูดไม่จบประโยคก็น่ารังเกียจพอๆกับพวกที่บอกตอนจบล่วงหน้าก่อนที่หนังจะจบนั่นแหละ
หลิวจางยักไหล่แล้วกล่าวว่า “แม้ว่าเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย แต่นอกเหนือจากความเป็นห่วงเพื่อนของฉันแล้ว ฉันไม่คิดว่าการให้นายรับรู้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องดีเลย”
จี้อี้มองหลิวจางตาค้างทั้งยังเชื่อว่าหลิวจางจงใจกล่าวเช่นนั้นออกมาเป็นแน่ เขาพูดแบบนั้นมีเจตนาอะไรกัน “เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาย แต่นายไม่รู้จะดีกว่าไหม”? นั่นเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ ผลก็คือทำให้เขากลับยิ่งอยากจะรู้เรื่องนี้มากขึ้นไปอีก ดังนั้นจี้อี้จึงโพล่งออกมาว่า “บอกฉันมาเร็วเข้า”
“จริงๆก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก เมื่อกี๊นี้เพื่อนฉันโทรมาบอกว่าเถ้าแก่หยวนกลับมาแล้ว แถมวันนี้เขายังทำอาหารเช้าด้วยล่ะ” หลิวจางกล่าว
เถ้าแก่หยวนกลับมาแล้วนั่นก็หมายความว่าในที่สุดพวกเขาก็จะได้กินหมั่นโถวไหมพันเส้น
อย่างที่กล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ สถานที่จัดแสดงของอาจารย์เหมยอยู่ในเขตที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของเฉิงตู หากนั่งรถยนต์ไปที่นั่นก็จะใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงและกำหนดการแสดงคือบ่ายสามโมง ถ้าหากพวกเขาออกเดินทางกันเสียแต่ตอนนี้ก็พอจะไปทันการแสดงอยู่บ้าง แต่หากพวกเขาอยากไปทานอาหารกลางวันที่ร้านหยวนโจวก็คงไม่มีเวลาพอและอาจจะไปที่นั่นไม่ทันเป็นแน่
ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังต้องตามหาโรงละครและตรวจตั๋วหลังจากมาถึงเขตแล้ว
แต่ถ้าหากพวกเขากลับไปทานอาหารค่ำหลังจากการแสดงจบลงตอนหกโมงครึ่ง พวกเขาก็อาจจะมาไม่ทันตอนสามทุ่ม แม้ว่าพวกเขาจะรีบขับรถกลับไปทันทีด้วยความเร็วเต็มสปีดและไม่มีรถติดก็ตามที แต่ก็น่าจะไม่ทันอยู่ดี
พูดง่ายๆก็คือพวกเขาสามารถเลือกสิ่งที่จะทำได้เพียงอย่างเดียวระหว่างการทานอาหารค่ำในร้านหยวนโจวและการชมการแสดงของอาจารย์เหมย
ถ้าหากหลิวจางกับจี้อี้ไม่รู้ว่าหยวนโจวกลับมาแล้วก็คงจะดีอยู่หรอก พวกเขาก็คงจะสามารถชมการแสดงของอาจารย์เหมยด้วยกันในวันนี้แล้วค่อยไปกินหมั่นโถวไหมพันเส้นเอาวันพรุ่งนี้ ถึงอย่างไรเถ้าแก่หยวนก็อยู่ที่นั่นตลอด แต่ปัญหาสำคัญก็คือจี้อี้ผู้นั้นก็ดันมารู้เรื่องนั้นเข้าด้วย สำหรับจี้อี้แล้ว อาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีมีความสำคัญที่สุด แม้ว่าการแสดงของอาจารย์เหมยนานๆทีจะมีสักหนก็เถอะนะ
จี้อี้มักจะพูดอยู่เสมอว่าอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีไม่อาจล่าช้าได้ ดังนั้นทันทีที่เขาได้ข่าว เขาก็รีบกลับเฉิงตูทันที จะว่าไปแล้วจี้อี้ก็ค่อนข้างหัวดื้อทีเดียว เขาสามารถรออีกวันและไปชมการแสดงของอาจารย์เหมยก่อนแล้วค่อยกลับไปร้านหยวนโจวก็ยังได้เลย ทั้งๆที่มีโอกาสที่จะทำแบบนั้นแท้ๆ แต่เขากลับไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงลำดับความสำคัญของตัวเองเลย
แต่บางทีสาเหตุที่เขากลายเป็นเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นจากข้าวสาลีก็คงสืบเนื่องมาจากจิตวิญญาณอันแสนดื้อดึงของเขาเป็นแม่นมั่น
ก็เหมือนที่หลิวจางพูดไปนั่นแหละนะ ถ้าจี้หากอี้ไม่รู้เรื่องนั้นก็คงจะดีกว่า แต่เมื่อถูกหลิวจางทำให้โมโหเข้าแล้ว ในที่สุดจี้อี้ก็ขึ้นรถแท็กซี่แล้วเดินทางไปร้านหยวนโจวอย่างรวดเร็ว อย่างไรเสียอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีก็เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
“ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปร้านหยวนโจวกัน ฉันขอเดาว่าพวกเราจะไปถึงที่นั่นประมาณสิบโมงครึ่งจากนั้นค่อยไปเข้าคิวรอ เท่านี้ก็น่าจะทานอาหารกลางวันที่นั่นได้โดยไม่มีปัญหาแล้วล่ะ” หลิวจางคำนวณเวลา
จี้อี้ไม่อยากพูดกับหลิวจางแม้แต่คำเดียว เขาเอาแต่หลับตาเพื่อคลายความว้าวุ่นใจ ในขณะเดียวกัน เขาก็บ่นพึมพำกับตัวเองในใจว่า “ฉันล้มเลิกการชมการแสดงของอาจารย์เหมยเพื่อแลกเปลี่ยนกับการลิ้มรสหมั่นโถวไหมพันเส้นเชียวนะ”
หวังว่าหมั่นโถวจะไม่ทำให้เขาต้องผิดหวังก็แล้วกัน
บทที่ 790 ฝีมือการใช้มีดอันห่วยแตก
เวลาตรงตามอย่างที่หลิวจางประมาณการณ์เอาไว้จริงๆ พวกเขามาถึงตรงริมถนนหน้าร้านหยวนโจวตอนสิบโมงครึ่ง
“วันนี้ค่อนข้างคึกคักกันจังนายว่าไหม?” หลิวจางกล่าวขึ้นทันทีที่ลงจากรถ
“อืม ดูมีชีวิตชีวากันจริงๆ” จี้อี้ตอบอย่างเฉยเมย เมื่อตอนที่เขาทำธุรกิจขายซาลาเปาก็มีคนมากมายมารอต่อคิวอยู่ทุกวัน
เห็นได้ชัดเลยว่าความโกรธของจี้อี้มุ่งไปที่หลิวจางแทนที่จะเป็นหยวนโจว ดังนั้นเขาจึงเดินตรงไปที่ร้านหยวนโจว
“เดินช้าๆหน่อยสิ นายคิดว่าตัวเองยังเป็นคนหนุ่มอายุสิบหกอยู่หรือไง?” หลิวจางเดินตามเขาไปแล้วกล่าวขึ้นมา
“ถึงฉันจะไม่ใช่คนหนุ่มอายุสิบหก แต่ฉันก็แข็งแรงกว่านายก็แล้วกันนะตาเฒ่า” จี้อี้กล่าวออกมาตามตรงโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ามา
“เพื่อตัวนายเอง ฉันไม่อยากให้นายฝืนตัวเองเกินไปนะ” หลิวจางรีบเดินตามมาจนไล่เขาทัน
ขณะที่จี้อี้เตรียมอ้าปากเอ่ยคำเหน็บแนมใส่เขานั้น จู่ๆหลิวจางก็หล่าวขึ้นมาว่า “อย่ามัวแต่คุยกันอยู่เลย ดูนั่นสิ ฝีมือการใช้มีดของนายดีเท่าเขาไหมล่ะ?”
แน่นอนว่าหลิวจางย่อมหมายถึงหยวนโจวที่นั่งแกะสลักน้ำแข็งอยู่ตรงประตูนั่นเอง
“แหงล่ะ ฉันทำไม่ได้หรอก ก็นั่นเป็นแค่น้ำแข็งก้อนหนึ่งไม่นับเป็นอะไรได้เลย” จี้อี้ทอดสายตามองมือไม้ของหยวนโจวแล้วกล่าวขึ้นด้วยความโกรธ คงจะรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลยที่ต้องถือน้ำแข็งก้อนหนึ่งเอาไว้ในมือ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการแกะสลักเลยด้วยซ้ำไป
“น้ำแข็งงั้นรึ?” หลิวจางเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วก็พบว่าเป็นน้ำแข็งจริงๆ
น้ำแข็งในมือซ้ายของหยวนโจวมีขนาดเท่ากำปั้น และในมือขวาของเขาคือมัดแกะสลักขนาดเล็ก ใช่แล้วล่ะ คราวนี้เขาไม่ได้ใช้มีดทำครัว
นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกเลยที่หยวนโจวใช้น้ำแข็งมาแกะสลักจึงทำให้คราวนี้เขาไม่กล้าวางท่ามากนัก
“เจ้าเด็กคนนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆที่พยายามแกะสลักน้ำแข็ง เขาไม่ต้องการมือของตัวเองแล้วหรือไง?” จี้อี้ขมวดคิ้วแล้วกล่าวเช่นนั้นออกมา
“เขาบ้าจริงๆนั่นแหละ” หลิวจางพยักหน้าเห็นด้วย
ถึงแม้ทั้งสองคนจะพูดแบบนั้น ทว่าพวกเขาก็หาได้เข้าไปพยายามยับยั้งเขาไว้ แต่พวกเขากลับเอาแต่มองดูเงียบๆ
หยวนโจวหาได้มีความรู้สึกพิเศษแต่อย่างใดที่ถูกจ้องมอง ตอนนี้เขากำลังพินิจพิเคราะห์ก้อนน้ำแข็งในมืออย่างระมัดระวังเพื่อค้นหาตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะเริ่มการแกะสลัก
“เย็นชะมัดเลย” หยวนโจวถือก้อนน้ำแข็งเอาไว้ในมือแล้วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
น้ำแข็งเย็นเฉียบขณะที่มือของหยวนโจวอุ่น หลังจากนั้นไม่นานน้ำแข็งก็ละลายลงเล็กน้อย แต่มือของหยวนโจวกลับเริ่มซีดลงทีละน้อย
“งั้นฉันก็จะแกะสลักมันทั้งแบบนี้แหละ” มือขวาของหยวนโจวเริ่มขยับไปมาบนน้ำแข็ง
“แซ่กแซ่ก” มีเสียงดังเสียดแทงดังขึ้นมาจากการสัมผัสกันระหว่างมีดแกะสลักกับก้อนน้ำแข็ง เศษน้ำแข็งที่ร่วงหล่นลงมาจากก้อนน้ำแข็งในมือค่อยๆกลายเป็นรูปร่างของกระต่ายตัวหนึ่ง
ทั้งลักษณะและรูปร่างของมันช่างสมจริงราวกับมีชีวิตก็ไม่ปาน
หยวนโจวมักจะแกะสลักอย่างรวดเร็วอยู่เสมอ และวันนี้เขาก็แกะสลักอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นเนื่องจากเป็นก้อนน้ำแข็ง เขาจึงไม่มีเหตุผลเลยที่จะไม่แกะสลักอย่างรวดเร็ว ยิ่งได้รับความอุ่นมากขึ้นเท่าไหร่น้ำแข็งก็ยิ่งละลายได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าฉันยังต่อฝึกฝีมือการแกะสลักอีกนานเชียวล่ะ” หยวนโจวมองกระต่ายในมือที่มีเนื้อสัมผัสตรงส่วนขนที่ยังดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติแล้วโยนลงถังขยะโดยไม่ลังเล
มีคนที่เห็นหยวนโจวแกะสลักก้อนน้ำแข็งมากกว่าหนึ่งคน ลูกค้าบางคนก็เห็นเหตุการณ์นี้ด้วย พวกเขาไม่มีทางเลือกนี่นา ก็ร้านหยวนโจวมีขนาดเล็กและยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่รับจองอีกต่างหาก ถ้าหากพวกเขาอยากไปทานอาหารที่นั่นก็ต้องมาเสียแต่เนิ่นๆ
“จึ๊ เจ้าหนุ่มคนนี้มีเงื่อนไขเยอะเสียจริง” หลิวจางถอนหายใจ
“โอ้ จริงสิ! กระต่ายตัวนั้นไม่มีแม้แต่รูปร่างพื้นฐานเสียด้วยซ้ำไป จริงๆแล้วฝีมือการใช้มีดของเขาก็สักไม่ดีเท่าไหร่เลยนี่” จี้อี้เย้ยหยัน
“นายมีอคติน่ะสิถึงได้พูดออกมาแบบนั้น เถ้าแก่หยวนก็แค่ฝึกฝีมือเท่านั้นเอง” หลิวจางกล่าวอย่างจริงจัง
“ถึงเขากำลังฝึกฝีมืออยู่ก็เถอะนะ แต่ฝีมือการใช้มีดกลับน่าผิดหวัง” จี้อี้ยืนกรานที่จะกล่าวออกมาเช่นนั้น
“นายลืมไปแล้วเหรอว่าเขาใช้น้ำแข็งอยู่นะ?” หลิวจางเตือน
“ถึงจะเป็นงั้นก็เหอะ แต่ฝีมือการใช้มีดของเขาก็น่าผิดหวังอยู่ดีนั่นหละ” จี้อี้ชี้ไปทางกระต่ายที่ถูกโยนลงถังขยะแล้วกล่าวขึ้นมา
“ฉันไม่อยากเสียเวลามาเถียงกับนาย หลังจากทานอาหารเสร็จก็ไม่ต้องอยู่เฉิงตูมันต่อแล้ว” เป็นเรื่องพบได้ยากที่หลิวจางจะไม่ค่อยพอใจนัก
“ฮึ ฉันยังไม่ได้ชิมอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีเลยนะ” จี้อี้กล่าว
“เอาล่ะ ได้เวลาไปต่อคิวแล้ว ไปกันเถอะ” หลิวจางชี้ไปที่เครื่องจัดคิวสีเงินที่มีคนกำลังยืนรออยู่
“นายจ่ายนะ” จู่ๆจี้อี้ก็กล่าวขึ้นมา
“ว่าไงนะ? ท่านประธานอย่างนายขาดเงินมากขนาดนั้นเชียวรึ?” หลิวจางเอามือกุมกระเป๋าสตางค์ของตัวเองเอาไว้และคอยระแวดระวัง
“ในเมื่อนายชวนฉันมาที่นี่ แน่นอนอยู่แล้วว่านายต้องเป็นคนจ่าย” จี้อี้กล่าวอย่างเห็นสมควรแล้ว
ถ้าเป็นคนอื่น ตอนนี้เขาคงตอบตกลงที่จะจ่ายให้ไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีเหตุผลให้ผู้อื่นมาจ่ายหากเขาเป็นคนเสนอที่จะเลี้ยงอาหารผู้อื่น แต่หลิวจางเป็นคนอื่นงั้นหรือ? เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ ดังนั้นเขาจึงกล่าวเช่นนั้นออกมาได้อย่างค่อนข้าเป็นธรรมชาติ
“แต่นายรวยกว่าฉันนี่นา ฉันยังไม่คิดเงินนายสำหรับข่าวนี้เลยนะ” หลิวจางกล่าว “พวกเราออกจะสนิทกัน ฉะนั้นฉันก็เลยยกสิทธิพิเศษในการจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ให้นายโดยเฉพาะอย่างไรเล่า”
“โอเค ก็ได้ๆ ถ้าหากหมั่นโถวไม่อร่อยขึ้นมาล่ะก็เลิกคิดเรื่องที่จะมาทานอาหารที่บ้านฉัน ไม่เว้นแม้แต่ช่วงปีใหม่ไปได้เลย” จี้อี้หัวเราะด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เรื่องนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอก” หลิวจางกล่าวขึ้นโดยปราศจากความวิตกกังวล
“ไปต่อคิวเถอะ” หลังจากกล่าวเช่นนั้นออกมา จี้อี้ก็เดินไปตรงหน้าของหลิวจาง
และหลิวจางก็แสร้งทำเป็นเกรงใจแล้วหลีกทางให้เขา
“โฮ่โฮ่” จี้อี้ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา ไม่สามารถตัดสินหนังสือจากปกได้จริงๆ เขาไม่เคยพบเคยเจอใครไร้ยางอายได้อย่างเขามาก่อนเลย
“ดูเหมือนว่าฉันยังต้องฝึกฝีมือแกะสลักน้ำแข็งให้มากขึ้นเสียแล้วสิ” หยวนโจวมองไปทางบรรดาลูกค้าที่เห็นเขาแกะสลักน้ำแข็งอย่างยากลำบากเมื่อสักครู่แล้วลุกขึ้น
เขามองกระต่ายในถังขยะอีกครั้งแล้วมองมือตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็เก็บมีดแกะสลักโดยไม่ลังเลแล้วกลับเข้าครัวและเริ่มเตรียมวัตถุดิบสำหรับอาหารมื้อเที่ยง
หยวนโจวเปิดก๊อกน้ำแล้วน้ำเย็นก็ไหลออกมา จากนั้นเขาก็ยื่นมือไปใต้ก๊อกน้ำเพื่อล้างแล้วถ่างแผ่ออกทีละน้อยอย่างเป็นธรรมชาติ
มือของเขากลับกลายเป็นซีดเซียวเนื่องจากความเย็นของน้ำแข็ง ไม่ใช่เรื่องดีเลยที่จะล้างมือด้วยน้ำอุ่นตรงๆ การล้างด้วยน้ำเย็นก่อนสามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตได้
สำหรับเชฟแล้ว ความสำคัญของมือเขาจะบอกด้วยตัวมันเอง
ในขณะที่หยวนโจวกำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหารในครัวอยู่นั้น นอกร้านของเขาก็มีลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาต่างต่อคิวกันยาวเหยียดเสียจนหักเลี้ยวได้หลายหัวถนน
“คนเยอะมากเลย” จี้อี้ขมวดคิ้ว
“แหงล่ะ นายคงไม่นึกเสียใจถ้าฟังที่ฉันบอกให้รีบมาก่อน” ลูกค้าอย่างหลิวจางไม่ลืมที่จะชมตัวเอง
ท่าทีในตอนนี้ของหลิวจางค่อนข้างต่างไปจากอารมณ์ของยอดปรมาจารย์อย่างหยวนโจวหรืออู๋ไห่ น่าจะกล่าวได้ว่าไม่มีอะไรเหมือนกันเลยเสียด้วยซ้ำไป
จี้อี้ค่อนข้างเคยชินกับการคุยโวโอ้อวดของหลิวจางผู้ไร้ยางอายอยู่แล้วจึงเพียงแค่หันกลับไปมอง
ผู้คนที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ แต่โชคดีที่มีคณะกรรมการจัดคิวคอยรักษาความสงบเรียบร้อยอยู่ทางด้านข้างและบางคนก็แจกจ่ายน้ำอุ่นออกมา ดูไปแล้วช่างเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างสมัครสมานสามัคคีกันทีเดียว
“ยังมีคนอีกตั้งเยอะแน่ะ ทำไมนายยังรออยู่ตรงนี้อีกเล่า? วันนี้คงไม่ถึงคิวนายแล้วล่ะ” ลูกค้าคนหนึ่งบอกลูกค้าอีกคนตรงหน้า
“ถ้าฉันไม่ได้คิว นายก็ไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ แล้วทำไมนายยังรอเข้าคิวอยู่อีกล่ะ?” ลูกค้าตรงหน้าหันหน้ามากล่าว
“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อกินอะไรสักหน่อย ฉันแค่มาดูเถ้าแก่หยวนก็เท่านั้นแหละ” ลูกค้าที่อยู่ข้างหลังกล่าวอย่างสงบเสงี่ยม
“อืม อืม ถูกต้อง เท่าที่ฉันสามารถบอกได้ ผู้คนที่นี่ต่างเกินกว่าจำนวนตั๋วที่มีอยู่ทั้งหมดในยามปกติ ฉันคิดว่าวันนี้เราคงหมดโอกาสได้กินเสียแล้วล่ะ” ทันใดนั้นลูกค้าอีกคนก็เริ่มทำให้คนอื่นๆเกิดความสับสน
“ไปเถอะ ฉันมาที่นี่เพื่อเยี่ยมเถ้าแก่หยวนก็เท่านั้น พวกนายที่อยู่ข้างหลังสามารถหยุดรอเสียตอนนี้เลยก็ได้ ยังไงวันนี้นายก็ไม่เจอเขาแน่ๆล่ะ”
“จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงเล่า? ฉันเป็นนักข่าวที่จะมาสัมภาษณ์เขาเชียวนะ”
“ฉันเป็นแฟนตัวยงของเขาและมาเชียร์เถ้าแก่หยวน”
“ฉันมาที่นี่เพื่อมาดูอาหารเพื่อความโชคดี”
หลังจากลูกค้ารายแรกเริ่มหัวข้อนี้ขึ้นมา คนอื่นๆที่รอแถวอยู่ข้างหลังก็เริ่มโต้เถียงเช่นนั้นออกมา พวกเขาต่างหวังว่าคนอื่นๆจะออกไปเร็วๆเพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสได้ทานอาหารในร้านหยวนโจว
แต่ผู้คนก็เอาแต่พูดหาได้มีผู้ใดออกไปเลยสักคนเดียว พวกเขาทุกคนก็แค่คิดจะไปดูอาหารต่างๆแม้จะไม่ได้ทานอะไรเลยก็ช่างเถอะ
ยามเที่ยงวันแรกของร้านหยวนโจวค่อนข้างคึกคักและมีชีวิตชีวามากทีเดียวหลังจากเขากลับมาเลยก็ว่าได้..