Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 483
เมื่อมีเจ้าผีดิบธาตุโลหะชั้นยอดสร้างเส้นทางให้ด้วยการแยกกำแพงหินออกจนกลายเป็นอุโมงค์แคบ ๆ ทำให้มาตรการป้องกันอย่างแน่นหนาของอารามน้ำแข็งนั้นไร้ประโยชน์ไปอย่างสิ้นเชิง ขณะที่หานซั่วและเจ้าผีดิบธาตุน้ำตามหลังเจ้าผีดิบธาตุโลหะชั้นยอดไปติด ๆ และสามารถหนีออกไปได้อย่างรวดเร็ว
รูปสลักเทพีน้ำแข็งเป็นกุญแจสำคัญของแผนการสร้างเทพ ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าปรมาจารย์นักเล่นแร่แปรธาตุจำนวนมาก และน้ำแข็งสวรรค์โครีย์ก็ได้ฝากความหวังและความฝันทั้งหมดของเขาเอาไว้ การพังทลายของเธอจึงเป็นเหมือนกับดาบคมที่แทงทะลุหัวใจของโครีย์ ทำให้เขาไม่สามารถแบกรับความเจ็บปวดนี้ได้ไหว
เจ้าผีดิบธาตุโลหะชั้นยอดส่งกระแสจิตรายงานสถานการณ์ต่อหานซั่ว และบอกว่าเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่คอยดูแลรูปสลักเทพีน้ำแข็งถูกสังหารทั้งหมดแล้วด้วยฝีมือของมันเอง และในเมื่อสูญเสียเหล่าปรมาจารย์ซึ่งทำการศึกษาค้นคว้าแผนการนี้มานานหลายปี แผนการสร้างเทพของน้ำแข็งสวรรค์โครีย์ก็ไม่สามารถกู้คืนกลับมาได้อีกต่อไป
แม้ว่าร่างกายของหานซั่วจะได้รับความเสียหายอย่างหนักเพราะ “ระเบิดเยือกแข็ง” แต่เขาก็ยังสามารถข่มขวัญน้ำแข็งสวรรค์โครีย์และคนอื่น ๆ ได้โดยใช้ประโยชน์จากความกลัวของพวกเขาเองด้วยพลังของ ‘มนต์เสียงเพรียกปีศาจ’ เมื่อหานซั่วเห็นว่าน้ำแข็งสวรรค์โครีย์เริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้งเพราะรูปปั้นเทพีน้ำแข็งได้พังทลายลง เขาก็รู้ดีว่าความคลุ้มคลั่งของโครีย์ไม่ใช่สิ่งที่สามารถรับมือได้ง่าย ๆ เขาจึงไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านอกจากต้องหลบหนีไปก่อน
** Please note : หากท่านไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้จากบล็อก https://gdk-th.blogspot.com/ แปลว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับคนที่กำลังสุขสบายกับการหาเงินง่าย ๆ ด้วยการใช้นิ้วคลิกก๊อบผลงานแปลของเพจไปขายอีกต่อหนึ่ง **
หลังจากที่เดินมาตามอุโมงค์และห่างออกมาจากห้องโถงได้สักพัก หานซั่วก็หันไปมองเจ้าผีดิบธาตุน้ำชั้นยอดที่ได้ดูดกลืนพลังงานมาในปริมาณมหาศาล เมื่อเขามองไป เขาก็ต้องรู้สึกตกใจระคนดีใจกับความเปลี่ยนแปลงของเจ้าผีดิบธาตุน้ำชั้นยอด
เขาเห็นว่าเจ้าผีดิบธาตุน้ำ หลังจากที่ได้ดูดกลืนพลังงานน้ำอันเย็นเยียบที่อยู่ในรูปสลักเทพีน้ำแข็งเข้าไปแล้ว มันก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างผิดหูผิดตาจากรูปลักษณ์เดิมก่อนหน้านี้ คิ้วดกหนาของมันเรียวบางขึ้น จมูกโด่งเป็นสัน และผิวที่แห้งกร้านกลับชุ่มชื้นและเนียนเรียบราวกับผืนน้ำ แม้แต่ผมที่แห้งสากของมันก็เงางามขึ้น เจ้าผีดิบธาตุน้ำชั้นยอดที่เคยแลดูธรรมดาตนนี้ หลังจากได้ดูดกลืนพลังงานนั้นเข้าไป ในตอนนี้มันกลับดูราวกับชายหนุ่มที่ทั้งหล่อเหลาเอาการและงามสง่า อีกทั้งยังดูมีเสน่ห์และน่าหลงใหลไม่น้อย!
ไอน้ำแผ่กระจายออกมารอบตัวของเจ้าผีดิบธาตุน้ำชั้นยอด ซึ่งเมื่อเทียบกับตัวมันเองในอดีตแล้ว เจ้าผีดิบธาตุน้ำในตอนนี้นั้นดูแตกต่างออกไปราวฟ้ากับเหว ไม่ว่าจะเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกหรือบุคลิกท่าทาง
แต่หานซั่วตกตะลึงอย่างที่สุดก็คือ — การเปลี่ยนแปลงนั้นยังคำดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ !
หานซั่วเข้าใจดีว่าพลังที่เจ้าผีดิบธาตุน้ำชั้นยอดดูดกลืนเข้าไปนั้นมากมายมหาศาลเพียงใด และกระบวนการย่อยสลายพลังนั้นก็ไม่สามารถกระทำได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ อย่างไรก็ตาม หานซั่วเชื่อว่าเมื่อใดที่มันย่อยสลายพลังงานทั้งหมดโดยสมบูรณ์ มันคงจะสร้างความประหลาดใจให้กับหานซั่วมากกว่านี้แน่นอน
“ข้าจะส่งเจ้ากลับไปก่อนก็แล้วกัน เจ้าน่าจะต้องย่อยสลายพลังงานพวกนั้นอย่างเงียบ ๆ สินะ”
หลังจากที่สัมผัสได้ถึงสภาพร่างกายของเจ้าผีดิบธาตุน้ำชั้นยอด หานซั่วก็ร่ายเวทมนตร์ออกมาเบา ๆ และส่งเจ้าผีดิบกลับไปยังโลกมิติมืด
หลังจากที่เจ้าผีดิบธาตุน้ำชั้นยอดจากไปแล้ว เจ้าผีดิบธาตุโลหะชั้นยอดก็ยังคงสร้างเส้นทางต่อไป จนพวกเขาสามารถกลับไปยังหน้าผาบริเวณช่วงกึ่งกลางของภูเขาที่พวกเขาเข้ามา
หานซั่วยืนอยู่บนหน้าผาด้านนอกอุโมงค์ พลางเงยหน้ามองไปยังยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะ และพูดกับตัวเอง
“อารามแห่งน้ำแข็งเอ๋ย… นี่แค่การเริ่มต้นการแก้แค้นของข้าเท่านั้นนะ!”
เมื่อเขาพูดจบ หานซั่วก็ส่งเจ้าผีดิบธาตุโลหะกลับไปยังมิติมืด และด้วยอาการบาดเจ็บทางร่างกายของเขา ก็ไม่ใช่เรื่องฉลาดนักที่เขาจะยังอยู่ที่นั่นต่อ เขาสบโอกาสเหมาะที่จะบินจากไป ทิ้งไว้เพียงลำแสงสว่างจ้าขณะที่เขาพุ่งตัวห่างออกจากแดนหิมะของอารามแห่งน้ำแข็ง
……………………..
ณ นครเยือกแข็ง หานซั่วเข้าพักในโรงแรมเล็ก ๆ ที่ดูธรรมดาแห่งหนึ่ง
เขาขังตัวเองอยู่ในห้องทั้งวันทั้งคืน ระหว่างนั้น เขาพยายามจัดการกับอาการบาดเจ็บทางร่างกายที่ได้รับจากอารามแห่งน้ำแข็ง
ความเสียหายระดับนี้ แม้ระหว่างกระบวนการฟื้นฟูจะไม่ได้ใช้เวลามากนัก แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็ต้องใช้หยดเลือดและแก่นมนตรามากทีเดียว ซึ่งทั้ง 2 อย่างก็ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลานานในการบ่มเพาะกว่าที่จะสร้างให้ได้ปริมาณที่มากพอ และยิ่งใช้ไปมากเท่าไหร่ พลังความแข็งแกร่งของหานซั่วก็จะได้รับผลกระทบมากเท่านั้น
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน อาการบาดเจ็บภายในของหานซั่วก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง แต่ก็โชคร้ายที่เขาต้องใช้หยดเลือดและแก่นมนตราในปริมาณมาก หลังจากเข้าฌานอยู่หลายวัน เขาก็สามารถฟื้นฟูแก่นมนตราส่วนหนึ่งขึ้นได้ใหม่ และต้องระวังไม่ใช้เลือดมากเกินไปในช่วงนี้
เมื่อบาดแผลทั้งหมดของหานซั่วฟื้นตัวดีแล้ว เขาจึงนึกขึ้นมาได้ว่าวิญญาณของกิลเบิร์ตยังคงอยู่ภายในคมมีดพิชิตมาร ซึ่งเป็นที่ที่สงบเงียบและเหมาะสมแก่การพำนักพักพิง อันที่จริงแล้ว วิญญาณดวงใดก็ตามที่เข้าไปอยู่ในคมมีดพิชิตมาร จะถูกพลังในคมมีดกัดกร่อนจนสูญสลายไป แม้ว่าเขาจะเว้นที่ว่างสำหรับลี้ภัยให้วิญญาณของกิลเบิร์ตไว้เป็นพิเศษแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถเก็บวิญญาณไว้ในนั้นนานเกินไปได้อยู่ดี
หานซั่วใช้ประโยชน์จากบรรดาวัตถุดิบมากมายที่อยู่ในแหวนมิติของเขา หลังจากใช้เวลา 2-3 วัน เขาก็สามารถสร้าง ‘แหวนกักวิญญาณ’ ออกมาเป็นแหวนเงางามสำหรับสวมนิ้วหัวแม่มือได้วงหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติในการเก็บกักวิญญาณโดยเฉพาะ
ภายในห้อง เขาก็ได้ร่ายเขตแดนป้องกันเสียง และอัญเชิญเจตภูตจำนวนหนึ่งเพื่อเฝ้ายามด้านนอกประตู ก่อนจะเรียกเอาคมมีดพิชิตมารออกมา
ขณะที่แหวนกักวิญญาณถูกวางไว้บนฝ่ามือ หานซั่วก็ค่อย ๆ เข้าไปภายในคมมีดพิชิตมารอย่างช้า ๆ ด้วยจิตของเขา สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้ก็คือวิญญาณแท้จริงที่อยู่ภายในคมมีดพิชิตมาร ซึ่งกำลังผสานเข้ากับคริสตัลแห่งการทำลายล้าง หลังจากนั้น ด้วยความที่เข้าใจโครงสร้างภายในของคมมีดพิชิตมารอย่างลึกซึ้ง เขาก็เดินทางผ่านวิญญาณจำนวนมหาศาลที่อัดแน่นอยู่ภายใน และเสาะหาออร่าของกิลเบิร์ตที่เขาคุ้นเคย
เมื่อดูดกลืนวิญญาณของกิลเบิร์ตเข้าไปเก็บกักไว้ในคมมีดพิชิตมารแล้ว หานซั่วก็สร้างที่ว่างภายในคมมีดพิชิตมารขึ้นเพื่อเก็บวิญญาณของกิลเบิร์ตไว้โดยเฉพาะ หลังจากจิตของเขาเข้าไปในคมมีดพิชิตมาร เขาจึงพบที่ว่างที่กิลเบิร์ตอาศัยอยู่ภายในนั้นได้อย่างรวดเร็ว
ภายในคมมีดพิชิตมาร มีวิญญาณมากมายหลายประเภท รวมทั้งพลังงานด้านลบในปริมาณมาก พลังงานเหล่านี้บ้างก็แข็งแกร่ง บ้างก็อ่อนแอ แต่ทั้งหมดล้วนมีพลังในการกร่อนทำลายอย่างมหาศาล แม้แต่มังกรดำอย่างกิลเบิร์ต หากหานซั่วไม่เว้นที่ไว้สำหรับเขาแล้วล่ะก็ วิญญาณของเขาคงถูกย่อยสลายไปเพราะพลังเหล่านี้ หรืออาจจะผสานเข้ากับพวกมันและกลายเป็นขุมพลังมหาศาลสำหรับการพัฒนาคมมีดพิชิตมารต่อไปก็เป็นได้
เมื่อเขาพบวิญญาณของกิลเบิร์ต หานซั่วก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง เขารีบห่อหุ้มวิญญาณของกิลเบิร์ตไว้ด้วยจิตของตัวเอง เพื่อที่กิลเบิร์ตจะไม่ได้รับความเสียหายจากการย่อยสลายของพลังที่อยู่ภายในคมมีดพิชิตมาร และค่อย ๆ พากิลเบิร์ตออกมาจากคมมีดพิชิตมารอย่างช้า ๆ
จิตของหานซั่วสามารถสัมผัสถึงความดีใจของวิญญาณของกิลเบิร์ตได้อย่างชัดเจน และเมื่อกิลเบิร์ตสัมผัสได้ถึงออร่าของผู้เป็นนาย วิญญาณของเขาจึงเชื่อฟังและไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย เขาติดตามจิตของหานซั่วไปเพื่อออกจากคมมีดพิชิตมาร
** Please note : หากท่านไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้จากบล็อก https://gdk-th.blogspot.com/ แปลว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับคนที่กำลังสุขสบายกับการหาเงินง่าย ๆ ด้วยการใช้นิ้วคลิกก๊อบผลงานแปลของเพจไปขายอีกต่อหนึ่ง **
มวลแสงสลัวราวกับดวงไฟวิญญาณลอยออกมาจากด้ามของคมมีดพิชิตมารทันที เมื่อมวลแสงนั้นหลุดออกมาได้สำเร็จ หานซั่วก็ร่ายเวทย์ขึ้น 2 ครั้ง บทหนึ่งสำหรับแหวนกักวิญญาณ และอีกบทหนึ่งสำหรับวิญญาณของกิลเบิร์ต
ทันใดนั้น มวลแสงสลัวนั้นก็หลั่งไหลเข้าสู่แหวนกักวิญญาณราวกับความเคลื่อนไหวของใยไหมอันวิจิตร แล้วแหวนก็สว่างวาบขึ้นมาเป็นแสงสีเขียวจาง ๆ แล้วเส้นใยนั้นก็ม้วนตัวและเกี่ยวกระหวัดกันอยู่ภายในแหวน หลังจากเวลาผ่านไปได้เพียงชั่วครู่ เงาทะมึนจาง ๆ เงาหนึ่งก็ได้ก่อร่างขึ้นมา
“นายท่าน นายท่าน นั่นท่านใช่มั้ย?”
เสียงเล็ก ๆ ที่แผ่วเบาราวกับเสียงมดดังขึ้นจากภายในแหวน แหวนกักวิญญาณวงนี้ไม่เพียงแต่สามารถกักเก็บวิญญาณไว้แต่ แต่ด้วยวิธีการหล่อหลอมของหานซั่ว มันยังสามารถส่งผ่านความคิดของวิญญาณเหล่านั้นได้อีกด้วย
“กิลเบิร์ต ไอ้ตัวแสบ ทำไมถึงได้ดื้อด้านไม่เชื่อฟังแบบนี้นะ!”
เมื่อเสียงที่คุ้นเคยของกิลเบิร์ตดังขึ้น ในใจของหานซั่วก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“นายท่าน! นายท่านผู้ยอดเยี่ยมของข้า! ดีใจจังเลย! ข้าได้พบท่านอีกครั้งแล้ว! นี่มันน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ฮ่า ๆ ๆ …. !!”
เมื่อเขาได้ยินเสียงหานซั่วพูด กิลเบิร์ตก็ตะโกนออกมาจากแหวนเก็บวิญญาณ แต่ในเมื่อมีเพียงวิญญาณของเขาเท่านั้นที่คงอยู่ แม้ว่าเสียงตะโกนของเขาจะถูกส่งผ่านมาทางแหวน มันก็ยังฟังดูเหมือนเสียงมดคุยกันอยู่นั่นเอง
เสียงที่คุ้นเคยของกิลเบิร์ตทำให้หานซั่วนึกถึงช่วงเวลาหลายปีที่พวกเขามีร่วมกันก่อนหน้านี้ แต่ในตอนนี้ หานซั่วมีทั้งร่างกายและวิญญาณ ในขณะที่กิลเบิร์ตกลับเหลือเพียงวิญญาณเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะหานซั่วใช้วิธีที่พิเศษนี้เก็บวิญญาณของกิลเบิร์ตไว้ ในโลกนี้ก็คงไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว
“เจ้าโง่เอ้ย! พอได้แล้ว เงียบไปเลย!”
แม้หานซั่วจะดุพร้อมรอยยิ้ม แต่หัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น หลังจากนั้น กิลเบิร์ตก็หยุดพูดพล่ามอยู่ภายในแหวน หานซั่วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“กิลเบิร์ต ตามทฤษฎีแล้ว เจ้าน่ะ ได้ตายไปแล้ว แต่ข้าใช้วิธีพิเศษเก็บวิญญาณของเจ้าไว้”
“นายท่าน ข้าเข้าใจดี”
กิลเบิร์ตพูดขึ้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง
ทันใดนั้น เหมือนกับว่ากิลเบิร์ตจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เงาในแหวนหัวแม่มือเคลื่อนไหวไปมา กิลเบิร์ตถามขึ้นด้วยความสงสัย
“โอ้ จริงสิ นายท่าน เกิดอะไรขึ้นกับท่านปู่และเผ่ามังกรดำของข้าบ้าง? พวกเขาหนีรอดจากการซุ่มโจมตีอันป่าเถื่อนของพวกอารามแห่งน้ำแข็งได้รึเปล่า?”
“สบายใจได้ ปู่ของเจ้าและเผ่ามังกรดำคนอื่น ๆ เป็นอิสระจากกรงหยกน้ำแข็งแล้ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่หุบเขามังกรดำ และอีกอย่าง…….”
หานซั่วรู้ดีว่ากิลเบิร์ตกังวลเรื่องอะไร ดังนั้น เขาจึงอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากวิญญาณของกิลเบิร์ตเข้าไปอยู่ในคมมีดพิชิตมารแล้ว
“วะฮะฮ่า! ….. สุดยอดเลย นายท่าน! ท่านสังหารทุกคนในอารามแห่งน้ำแข็งเพื่อข้า เหอะ! นี่ถ้าไม่ใช่เพราะข้าตายไปแล้วหรอกนะ ข้านี่แหละจะทำให้พวกมันต้องชดใช้ และกำจัดพวกอารามแห่งน้ำแข็งทุกคนให้สิ้นซากไปเลย!”
มังกรดำกิลเบิร์ตตะโกนลั่น
“กิลเบิร์ต เหตุผลที่ข้ารักษาวิญญาณของเจ้าไว้ในแหวนกักวิญญาณ และมาพูดคุยด้วย ก็เพื่อจะให้ทางเลือกกับเจ้า วิญญาณของเจ้าในตอนนี้ ข้ามี 2 วิธี ที่จะทำให้เจ้าได้กลับมามีตัวตนในโลกนี้ได้อีกครั้ง วิธีแรก คือการใช้เวทมนตร์ศาสตร์แห่งความตายและเปลี่ยนเจ้าเป็นมังกรกระดูก และอีกวิธีหนึ่ง คือการใช้เวทปีศาจหล่อหลอมเจ้าให้กลายเป็น ขุนพลปีศาจ ข้าให้เจ้าตัดสินใจเลือกเองได้เลย”
หานซั่วอธิบาย
“พวกมันต่างกันยังไงเหรอ?”
กิลเบิร์ตถาม
“ถ้าเจ้าเลือกมังกรกระดูก เจ้าก็จะมีเพียงโครงกระดูกเท่านั้น ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นมังกรล่ะนะ แต่ถ้าเจ้าเลือกขุนพลปีศาจ เจ้าก็จะไม่ได้เป็นมังกรอีกต่อไป”
หานซั่วพูดต่อ
“อืมมม….. แล้วอย่างไหนแข็งแกร่งกว่ากันล่ะ?”
กิลเบิร์ตถามอีกครั้ง
“ข้าคิดว่าขุนพลปีศาจน่าจะแข็งแกร่งกว่านะ”
หานซั่วตอบ
“งั้นก็เอาขุนพลปีศาจแล้วกัน ข้าอยากจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม!”
กิลเบิร์ตตอบด้วยความเด็ดเดี่ยว
**********************