Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 465
ราวกับว่าช่วงเวลาที่หานซั่วได้เสพสุขกับคู่รักหลายคนจนอิ่มเอมนั้นได้ล่วงเลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อสิ่งที่เขาปรารถนามากที่สุดภายในใจได้รับการปลดปล่อยอย่างเต็มที่ และไม่หลงเหลือซึ่งอาการผิดปกติใด ๆ จากผลของเวทย์ปีศาจ เพราะแทนที่จะเป็นเช่นนั้น ยิ่งนับวัน การฝึกฝนของเขาก็ยิ่งพัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ
เรื่องที่หานซั่วกลับมายังนครออซเซ็น นอกจากจักรพรรดิลอว์เรนซ์และสมาชิกระดับสูงบางคนขององครักษ์ชุดดำแล้ว ก็ไม่มีใครรู้อะไรอีกเลย ทำให้ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ขณะที่หานซั่วกำลังสุขสำราญอยู่กับหญิงคนรักทั้ง 3 คนในคฤหาสน์ของตนเอง ก็ไม่มีพวกขุนนางหรือผู้มีอิทธิพลคนใดแวะมาเยี่ยมเยียนอันจะเป็นการรบกวนให้เขาต้องขุ่นข้องหมองใจเลยแม้แต่น้อย
แต่งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา เมื่อเอมิลี่มาหาเขาในครั้งนี้ เธอก็รายงานหานซั่วว่าลอว์เรนซ์ได้เตรียมแผนการรุกรานแคว้นทั้งเจ็ดไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว หานซั่วจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเดินทางออกจากนครออซเซ็นอีกครั้ง
โชคดีที่วงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายซึ่งเชื่อมต่อระหว่างนครออซเซ็นและนครเบรทเทลนั้นสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และหญิงสาวทั้ง 3 คนต่างก็มีตำแหน่งอันทรงเกียรติ พวกเธอจึงสามารถใช้วงเวทย์มิติเคลื่อนย้ายเพื่อเดินทางไปหาหานซั่วได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นแล้ว การจากไปของหานซั่วในครั้งนี้จึงไม่ได้ทำให้พวกเธอต้องรู้สึกโศกเศร้าเสียใจกันมากนัก
หลังจากที่ได้พูดคุยในบทสรุปกับลอว์เรนซ์และคานไดด์เป็นครั้งสุดท้าย หานซั่วก็เดินทางจากนครออซเซ็นไปยังนครเบรทเทลทันที
เมื่อหานซั่วมาถึงนครเบรทเทล เขาก็รู้จากดอร์คัสและคนอื่น ๆ ว่านครเบรทเทลเองก็เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน เมื่อกองทัพสนับสนุนของจักรวรรดิเดินทางมาถึง พวกเขาก็สามารถมุ่งหน้าไปยังแคว้นทั้งเจ็ดได้ทันที
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
ในเมื่อยุทธวิธีทางการทหารไม่ใช่ความถนัดของหานซั่ว เขาจึงมอบอำนาจในการบัญชาการรบทั้งหมดให้กับดอร์คัสที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้มากที่สุด หลายต่อหลายปีที่มีนครเบรทเทลเป็นสมรภูมิ ดอร์คัสได้แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ด้านกลยุทธ์ทางการทหารอันยอดเยี่ยมให้เป็นที่ประจักษ์ จนทำให้ทหารของนครเบรทเทลทุกคนต่างยอมรับภายใต้การนำของเขาอย่างเต็มใจ
“ศิษย์พี่!”
โบลแลนด์ทำความเคารพหานซั่วอย่างนอบน้อมบริเวณประตูทางเข้าเมื่อเขากลับไปถึงคฤหาสน์เจ้าเมือง
“หืม? ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
หานซั่วแปลกใจเมื่อเห็นโบลแลนด์จึงร้องถามออกไป
หลังจาก 3 ปีผ่านไป จิตสังหารและกลิ่นคาวเลือดที่เคยคละคลุ้งอยู่รอบกายโบลแลนด์มาโดยตลอดก็ได้จางหายไปจนหมดสิ้น หานซั่วเข้าใจว่านี่ไม่ใช่สัญญาณที่บ่งบอกถึงความไร้พัฒนาการในวิถีเทพพิฆาตมารที่เขาถ่ายทอดให้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม จากที่หานซั่วสัมผัสได้ถึงออร่าที่แผ่ออกมาจากโบลแลนด์ เขาก็รู้ว่าโบลแลนด์ได้ประสบความสำเร็จในการฝึกฝนตามวิถีเทพพิฆาตมารจนถึงระดับที่เขาสามารถอำพรางจิตสังหารของตนเองได้แล้ว
ในระดับนี้ โบลแลนด์ยังสามารถนำจิตสังหารมาใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว แม้แต่ตอนที่เขาติดพันอยู่ในการต่อสู้กับศัตรู ก็จะไม่มีไอของจิตสังหารเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย เมื่อเทียบกับสภาพของร่างกายที่มีแต่จิตสังหารคละคลุ้งตั้งแต่หัวจรดเท้าของเขาเมื่อก่อนนี้แล้ว ความสามารถในการอำพรางจิตสังหารของโบลแลนด์นับว่ามีพัฒนาการที่รวดเร็วมากทีเดียว
“ศิษย์พี่ ตลอด 3 ปีมานี้ ข้าได้ผ่านสมรภูมิรบมามากมาย และค่อย ๆ ดูดกลืนจิตสังหารที่อบอวลอยู่ในอากาศอย่างลับ ๆ ด้วยศาสตร์ต่อสู้ที่ท่านสอนข้า หลังจากนั้น ข้าก็ย่อยสลายพลังงานเหล่านั้นด้วยวิธีที่ท่านสอนด้วยเหมือนกัน ศิษย์พี่เองก็หายตัวไปฝึกฝนอย่างไร้ร่องรอยจนข้าไม่มีโอกาสได้พบ พอรู้ข่าวมาว่าศิษย์พี่กลับมาปรากฏตัวที่นครเบรทเทลอีกครั้ง ข้าก็เลยรีบเดินทางมาที่นี่ทันทีเลย!”
ขณะที่โบลแลนด์อยู่ต่อหน้าหานซั่ว ท่าทีของเขาก็มีความนอบน้อมอย่างผิดหูผิดตา อีกทั้งยังสุภาพมากกว่าตอนที่เขารับใช้คาเรล นายคนก่อนของเขาเสียอีก
หานซั่วรู้ดีว่านี่เป็นเพราะเขาสามารถให้โบลแลนด์ในสิ่งที่คาเรลไม่มีทางทำได้นั่นเอง
หลังจากผ่านไป 3 ปี เมื่อพิจารณาจากออร่าที่แผ่ออกมาจากร่างของโบลแลนด์ หานซั่วก็มั่นใจว่าการฝึกฝนในวิถีเทพพิฆาตมารของเขาได้ผลิดอกออกผล เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งในระดับปรมาจารย์ดาบในอดีตของเขาแล้ว โบลแลนด์ในตอนนี้นั้นถือว่าแข็งแกร่งขึ้นมากทีเดียว
“มากับข้า!”
หานซั่วพยักหน้า ก่อนจะออกคำสั่งโบลแลนด์และเดินตรงเข้าไปภายในคฤหาสน์เจ้าเมือง
หลังจากที่เขามาถึงลานฝึกซ้อมภายในคฤหาสน์ หานซั่วก็ยืนเตรียมพร้อม ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังโบลแลนด์และออกคำสั่ง
“จู่โจมข้าด้วยพลังทั้งหมดที่มี ข้าอยากเห็นว่า 3 ปีที่ผ่านมา ท่านก้าวหน้าไปมากแค่ไหน!”
“ตกลง!”
โบลแลนด์ค่อย ๆ ชักดาบยาวของเขาออกมา พร้อมกันกับที่จิตสังหารอันทรงพลังรุนแรงก็ถูกปลดปล่อยออกมาด้วย ความยาวแต่ละนิ้วที่ดาบถูกชักออกจากฝัก จิตสังหารที่แผ่ออกมาก็จะชัดเจนขึ้นและรุนแรงขึ้น ตอนนั้นเอง ท่าทีแปลก ๆ ที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิตก็ปรากฏขึ้นที่ดวงตาของโบลแลนด์
วิถีเทพพิฆาตมาร เป็นศาสตร์ของเวทย์ปีศาจอย่างหนึ่งที่มีจุดประสงค์เพื่อการสังหารโดยเฉพาะ ยิ่งผู้ฝึกฝนถลำลึกลงไปมากเท่าใด จิตสังหารของเขาก็จะทวีความน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นเท่านั้น และอาจมากจนถึงขนาดส่งผลกับตัวของผู้ฝึกฝนเองได้เลยทีเดียว
หานซั่วมีความเข้าใจในวิถีเทพพิฆาตมารนี้เป็นอย่างดี และเหตุผลที่เขาสอนสิ่งนี้ให้กับโบลแลนด์ ก็เพื่อที่จะให้โบลแลนด์กลายเป็นอาวุธสนับสนุนอีกแรงหนึ่งให้กับเขา เช่นนั้นแล้ว เมื่อเขาเห็นความบ้าคลั่งในดวงตาคู่นั้น หานซั่วไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ แต่กลับดีใจอย่างที่สุด เพราะเขารู้ทันทีว่าโบลแลนด์เกือบจะบรรลุถึงระดับที่ยอดเยี่ยมที่สุดของการฝึกฝนในวิถีเทพพิฆาตมารแล้วนั่นเอง
ขณะที่หานซั่วคอยจับตามองอยู่โดยตลอด จากเดิมที่ดาบยาวของโบลแลนด์ค่อย ๆ ถูกดึงออกมาจากฝักทีละน้อย จู่ ๆ มันก็ถูกชักออกมาด้วยความเร็วราวสายฟ้า และในเวลาเดียวกัน จิตสังหารปริมาณมหาศาลที่แทบทำลายมิติในอากาศก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างของโบลแลนด์อย่างรุนแรง
ตอนนั้นเอง ภาพลวงตาของดาบนับแสน ๆ ราวกับฝูงอสรพิษที่หายใจเป็นจิตสังหารก็คืบคลานและพุ่งเข้าใส่หานซั่ว
หานซั่วผายมือซ้ายขึ้นมา แก่นมนตราหมุนวนอย่างรวดเร็วและก่อร่างขึ้นมาเป็นใบหน้าของปีศาจ แม้ว่ามันจะมีขนาดเพียง 1 ฝ่ามือ แต่เมื่อภาพลวงตาของดาบและมวลจิตสังหารมาถึงตรงหน้าหานซั่ว ใบหน้าปีศาจอันชั่วร้ายนั้นก็มีขนาดใหญ่ขึ้นแผ่ปกคลุมจนมืดฟ้ามัวดิน ทันใดนั้นเอง มันก็อ้าปากอันใหญ่โตของมันกลืนกินดาบลวงตาเหล่านั้นเข้าไปทั้งหมด
นิ้วมือทั้ง 5 ของหานซั่วงุ้มลงเป็นรูปตะขอ ราวกับว่านิ้วเหล่านั้นเชื่อมโยงกับใบหน้าปีศาจโดยตรงผ่านเส้นใยนับล้านที่มองไม่เห็น และการขยับนิ้วมือก็คือการควบคุมใบหน้านั้น ทันใดนั้นเอง ใบหน้าปีศาจก็พุ่งเข้าใส่โบลแลนด์ราวกับหมาป่าที่หิวโหย ก่อนที่เขาจะทันได้ตั้งตัว มันก็กลืนกินโบลแลนด์เข้าไปแล้ว
ขณะที่โบลแลนด์กำลังสติแตกกระเจิงด้วยความกลัว ใบหน้าปีศาจนั้นก็ระเบิดออกทันที ภายในชั่วพริบตา มันก็จางหายไปในอากาศ ราวกับว่าทุกสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นเพียงภาพในจินตนาการที่โบลแลนด์สร้างขึ้นมาเอง ส่วนหานซั่วก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างไร้รอยขีดข่วน พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูสงบ
หลังจากที่หายจากอาการตื่นตกใจแล้ว ความบ้าคลั่งภายในดวงตาของโบลแลนด์ก็จางหายไป เขาโค้งคำนับให้หานซั่วอย่างนอบน้อม และพูดขึ้น
“ศาสตร์ต่อสู้ของศิษย์พี่ยังคงยอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบเช่นเคย!”
“ท่านเองก็ทำได้ดีมาก การที่สามารถบรรลุได้ถึงขั้นนี้ภายในเวลาแค่ 3 ปี แค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าท่านฝึกฝนมาอย่างหนักเลยสินะ!”
จากท่าจู่โจมของโบลแลนด์เมื่อครู่ หานซั่วสามารถบอกได้ทันทีว่าความแข็งแกร่งของโบลแลนด์ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้ เมื่อเทียบกับระดับพลังที่ถูกแบ่งแยกในอาณาจักรแห่งความลึกล้ำ เขาก็น่าจะพอรับมือกับผู้ที่เป็นถึงจอมดาบศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว
“นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว!”
เสียงของเอลิซาเบธดังขึ้นมาแต่ไกล ครู่ต่อมา เอลิซาเบธก็มาปรากฏตัวข้าง ๆ หานซั่ว
** Please note : โปรดอ่านนิยายเรื่องนี้ จากบล็อกของผู้แปล gdk-th.blogspot.com เท่านั้น หากท่านกำลังอ่านจากเว็บไซต์อื่น แสดงว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขโมยผลงานของนักแปลมาแสวงหาผลกำไรให้ตนเอง **
“ศิษย์พี่ ศาสตร์ต่อสู้เมื่อกี้มันคืออะไรกัน? เจ้าใบหน้าปีศาจนั่นใช่ของจริงรึเปล่า?”
โบลแลนด์รู้สึกตกตะลึงกับการจู่โจมของหานซั่วเมื่อครู่ เขาไม่ได้สนใจเอลิซาเบธเลย หากแต่จ้องมองหานซั่วอย่างไม่วางตาและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“มันเกิดขึ้นจากการรวบรวมแก่นมนตราน่ะ ฮะ ๆ ๆ ส่วนเรื่องที่ว่ามันจะเป็นของจริงหรือไม่ ท่านก็ไปค้นหาคำตอบด้วยตัวเองเถอะ เมื่อท่านบรรลุการควบคุมจิตสังหารถึงระดับหนึ่ง ท่านจะสามารถรวบรวมและสร้างมันขึ้นมาจากจิตสังหารได้เหมือนกัน ถึงตอนนั้นท่านก็จะเข้าใจเอง”
หานซั่วอธิบายพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง และเคลื่อนตัวไปข้าง ๆ โบลแลนด์อย่างกะทันหัน ก่อนที่เขาจะไหวตัวทัน หานซั่วก็เอามือของตนเองวางลงไปบนศีรษะของโบลแลนด์
ตอนนั้นเอง ความรู้ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับพื้นฐานของเวทย์ปีศาจก็หลั่งไหลจากฝ่ามือของหานซั่วและเข้าไปสู่สมองของโบลแลนด์ในทันที
ตั้งแต่ตอนที่บรรลุถึงอาณาจักรพลังแยกร่างปีศาจ หานซั่วก็สามารถแบ่งสรรและจัดการความทรงจำของตนเองได้ องค์ความรู้ที่หานซั่วถ่ายเทเข้าสู่จิตของโบลแลนด์นั้นเป็นข้อมูลพื้นฐานที่สุดเกี่ยวกับการฝึกฝนเวทย์ปีศาจ อาทิ คำอธิบายเกี่ยวกับความผิดเพี้ยนในการฝึกฝน ความสามารถแปลก ๆ อันน่าทึ่งของผู้ฝึกฝนเวทย์ปีศาจ ตลอดจนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่าง ๆ
และความรู้นี้ก็เป็นข้อมูลพื้นฐานที่ผู้ฝึกฝนเวทย์ปีศาจทุกคนควรทำความเข้าใจ หานซั่วเกรงว่าโบลแลนด์จะกระเหี้ยนกระหือรือฝึกเพื่อหวังเพียงผลลัพธ์อันรวดเร็ว โดยไม่สนใจกฎสำคัญที่จำเป็นต่อการฝึก ซึ่งจะทำให้เขาจมดิ่งลงสู่ความบ้าคลั่ง นี่เองจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหานซั่วจึงถ่ายทอดความรู้อันเป็นรากฐานนี้ให้แก่เขา เพื่อไม่ให้เขาสูญเสียการควบคุมตนเองจนกลายเป็นปีศาจที่รู้จักแต่การฆ่าเท่านั้น
“เอาล่ะ ศึกษาความรู้พวกนี้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้เลยนะ!”
หานซั่วพูดพลางมองไปยังโบลแลนด์พร้อมกับถอนมือกลับมา
“ขอบคุณ ศิษย์พี่ ข้าจะไม่มีวันลืมความเมตตาที่ได้รับจากท่านไปจนชั่วชีวิต!”
โบลแลนด์รู้สึกตื้นตันจนร้องไห้ออกมา ก่อนจะคุกเข่าลงเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ
“พอเถอะ ท่านก็แค่ฝึกฝนให้ดีก็พอแล้วล่ะ!”
หานซั่วพูดพร้อมกับยิ้ม
ทันใดนั้นเอง อยู่ดี ๆ มังกรดำกิลเบิร์ตก็โผล่ออกมาจากที่ใดมิอาจทราบได้
“นายท่าน ช่วยข้าด้วย ท่านต้องช่วยข้านะ!”
กิลเบิร์ตอ้อนวอนอย่างวิตกกังวลจนมิอาจข่มอาการไว้ได้
“เจ้ามังกรดำ เกิดอะไรขึ้นรึ?”
หานซั่วจ้องมองมังกรดำกิลเบิร์ตอย่างฉงนสงสัย โดยไม่รู้เลยว่าอะไรทำให้เขาดูตื่นตระหนกเช่นนี้
“นายท่าน! นายท่านที่เคารพรักของข้า! ท่านต้องช่วยข้านะ! ไม่งั้นท่านปู่ของข้า หรือแม้แต่เผ่าพันธุ์มังกรดำทั้งหมดจะต้องสูญสิ้นแน่ ๆ!”
กิลเบิร์ตสติแตก ทันทีที่เขามาอยู่ตรงหน้าหานซั่ว เขาก็คุกเข่าอ้อนวอนทันที ซึ่งแตกต่างจากท่าทีสบาย ๆ ตามเดิมของเขาอย่างสิ้นเชิง
หานซั่วนิ่วหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ลุกขึ้นเถอะ แล้วเล่ามาให้หมดว่าเกิดอะไรขึ้น”
กิลเบิร์ตมีสีหน้าเด็ดเดี่ยว เขาจ้องมองลึกเข้าไปในตาของหานซั่ว และวิงวอน
“นายท่าน ถ้าท่านไม่ยอมรับปากว่าจะช่วย… ข้า… ข้าจะไม่ยอมลุกขึ้น!”
หลายต่อหลายปีมานี้ มังกรดำกิลเบิร์ตได้ผ่านร้อนผ่านหนาวกับหานซั่วมามากมาย และไม่เคยแสดงให้เห็นว่าจะคิดคดทรยศเขาแต่อย่างใด โดยเฉพาะเมื่อตอนที่อยู่ในดินแดนต้องห้ามของป่าทมิฬ กิลเบิร์ตเกือบจะยอมตายเพื่อหานซั่ว
และในตอนนี้ มังกรดำกิลเบิร์ตคงจะเจอปัญหาที่หนักหนาสาหัสเอาการ จนถึงขั้นทำให้เขาต้องทำตัวผิดแผกไปเช่นนี้ เมื่อกิลเบิร์ตพูดจบในที่สุด หานซั่วก็พยักหน้าอย่างไม่ลังเลใจและพูด
“ลุกขึ้น ข้าสัญญา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ข้าจะช่วยเจ้า!”
“ขอบคุณ นายท่าน!”
มังกรดำกิลเบิร์ตร้องบอกอย่างซาบซึ้งและยืนขึ้น ก่อนจะรีบอธิบายอย่างรัวเร็ว
“ท่านปู่ของข้าทิ้ง กระดูกวาทะมังกร ไว้ให้ มันเป็นกระดูกที่มาจากกระดูกของตัวท่านเอง และด้วย กระดูกวาทะมังกร นั่น ต่อให้ข้ากำลังคุกเข่าต่อหน้านายท่านอยู่ตรงนี้ ข้าก็จะยังได้ยินคำพูดของท่านปู่ของข้าได้อย่างชัดเจน
นานมาแล้ว ท่านปู่ของข้าบอกว่า สักวันหนึ่ง เผ่ามังกรดำของข้าจะต้องพบกับหายนะครั้งยิ่งใหญ่ในระดับที่ทั้งเผ่าพันธุ์อาจหนีไม่รอด พวกเราจะถูกกวาดล้างจากโลกใต้พิภพไปตลอดกาล ข้านึกมาตลอดว่าท่านปู่ก็แค่พูดเพื่อคอยย้ำเตือนเฉย ๆ แต่เมื่อเช้านี้เอง ท่านปู่ของข้าก็สื่อสารผ่านกระดูกวาทะมังกรนั่น และบอกว่าหายนะครั้งใหญ่กำลังใกล้เข้ามาแล้ว และขอร้องให้ข้าอย่ากลับไปที่โลกใต้พิภพอีกเป็นอันขาด ยิ่งข้าอยู่ห่างไกลออกไปเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
แต่ไม่ใช่แค่นั้น ท่านปู่ถึงกับพูดจาสั่งเสียกับข้าด้วย! ข้ารู้ว่ามันต้องมีเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ เกิดขึ้นกับเผ่ามังกรดำของเราแน่ ๆ หรือบางทีก็อาจจะเกิดขึ้นไปแล้วด้วยซ้ำ! นายท่าน ข้าขอร้องล่ะ ได้โปรดช่วยเผ่ามังกรดำของเราด้วยเถอะ!”
มังกรดำกิลเบิร์ตคุกเข่าลงแทบเท้าของหานซั่วอีกครั้ง และจ้องมองหานซั่วด้วยดวงตาวิงวอน
“ข้าก็ให้สัญญาไปแล้วไง!”
หานซั่วประคองมังกรดำให้ยืนขึ้น และพูดต่อ
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าข้าจะช่วยอะไรได้จริงรึเปล่า แต่ข้าจะเดินทางไปที่โลกใต้พิภพกับเจ้าด้วย”
“ขอบคุณนายท่าน! ขอบคุณนายท่าน! ข้ารู้ว่าถ้ามีท่านคอยช่วยล่ะก็ เผ่ามังกรดำของเราจะพลิกสถานการณ์กลับมาปลอดภัยและหลีกเลี่ยงหายนะคัร้งนี้ได้แน่ ๆ!”
“โบลแลนด์ ช่วงนี้ท่านพักอยู่ที่ห้องของกิลเบิร์ตไปก่อนชั่วคราว คอยติดตามดอร์คัสและปกป้องเขาอยู่ในเงามืด ส่วนเอลิซาเบธ เจ้าอยู่ที่นี่ คอยช่วยงานดิคแล้วก็ดูแลนครเบรทเทลให้ปลอดภัย!”
หานซั่วกำชับ
ในช่วงเวลาที่ใกล้จะเกิดสงครามเต็มที ถ้าพูดกันตามหลักแล้ว หานซั่วก็ไม่ควรออกไปไหนไกล ๆ แต่อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างหานซั่วและกิลเบิร์ตก็ไม่ได้เป็นเพียงเจ้านายและข้ารับใช้ธรรมดา ๆ เมื่อเผ่ามังกรดำมีโอกาสที่จะต้องพบกับภัยคุกคามจนเสี่ยงต่อการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ และโดยเฉพาะเมื่อได้รับคำวิงวอนจากกิลเบิร์ต หานซั่วก็ไม่สามารถหาข้ออ้างใด ๆ เพื่อมาปฏิเสธได้
โชคดีที่ ปีศาจเฒ่าสตรัทโฮล์ม ผู้พิทักษ์แห่งแคว้นทั้งเจ็ด กำลังไร้ซึ่งกำลังที่จะปกป้องตนเองได้ ณ ตอนนี้ เรียกได้ว่าเขาจะไม่อยู่ในแคว้นทั้งเจ็ดไปอีกนาน ด้วยกองทัพขนาดใหญ่ของจักรวรรดิ แม้หานซั่วจะไม่อยู่ ซึ่งตัวเขาเองก็ไมได้เชี่ยวชาญเรื่องการบัญชาการรบเลยจริง ๆ ก็คงช่วยทำอะไรในสถานการณ์สงครามเช่นนี้ไม่ได้มากอยู่ดี
เมื่อตัดสินใจถี่ถ้วนดีแล้ว หานซั่วก็เรียกพบดอร์คัส แจ็ค และคนอื่น ๆ อีกครั้ง เพื่อชี้แจงรายละเอียดและภาพรวมของสถานการณ์หลัก ๆ ให้ฟัง
“นายท่าน วางใจเถอะ ถ้าได้รับการสนับสนุนจากจักรวรรดิอย่างเต็มที่ แถมยังมีแคว้นเฮลอนกับแคว้นบูเลทคอยให้ความร่วมมืออยู่อย่างลับ ๆ ข้ามั่นใจว่าข้าจะโค่นแคว้นทั้งเจ็ดนั่นได้จริง ๆ แน่!”
ดอร์คัสพูดอย่างมั่นใจที่สุด เมื่อหานซั่วยืนอยู่ต่อหน้า ความทะเยอทะยานอันบ้าคลั่งในดวงตาของเขาก็มิอาจปิดบังไว้ได้
“เจ้าเองก็ไม่ได้อยู่ในนครเบรทเทลมาตั้งหลายปี อันที่จริง ต่อให้ไม่มีเจ้า นครเบรทเทลก็สามารถดำเนินงานได้ตามปกติอยู่แล้วนี่นา!”
ในนครเบรทเทล คงไม่มีใครอีกแล้วนอกจากแจ็คที่กล้าพูดจากับหานซั่วเช่นนี้
หานซั่วยิ่งเงียบไปเพราะความช็อก ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็กราดเกรี้ยวขึ้นมาเพราะถูกเหยียดหยาม
“เจ้าอ้วนเอ๊ย ถ้าเจ้าทำให้เศรษฐกิจของนครเบรทเทลดีขึ้นไม่ได้ล่ะก็ เจ้าจะต้องชดใช้อย่างสาสมแน่ ๆ!”
“ฮ่า ๆ ๆ ดูให้ดี ๆ ซะก่อนสิว่าภายใต้การดูแลของข้า นครเบรทเทลเจริญรุ่งเรืองมากแค่ไหน เจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก!”
ว่าแล้วแจ็คก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น
“โอ้ จริงสิ!”
หานซั่วนึกอะไรขึ้นมาได้ และรีบหันไปกำชับดอร์คัสทันที
“ตอนที่เจ้าบุกแคว้นทั้งเจ็ดน่ะ ปฏิบัติกับประชาชนของที่นั่นให้ดี ๆ นะ คอยระวังอย่าฆ่าใครถ้าไม่จำเป็น!”
“อย่าห่วงเลย นายท่าน ข้ารู้ว่าต้องทำยังไง!”
ดอร์คัสให้คำมั่น
“งั้นข้าก็ค่อยวางใจหน่อย!”
หานซั่วหันไปมองมังกรดำกิลเบิร์ตที่ดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และพูด
“ไปที่โลกใต้พิภพกันเถอะ!”
***********************************