Great Demon King – กำเนิดราชันย์ปีศาจ - ตอนที่ 496
‘อสุรกายเขมือบสมอง’ เป็นสัตว์ประหลาดในทะเลชนิดหนึ่งที่มีร่างกายอ่อนนุ่ม และมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินสมองของมนุษย์และสัตว์อื่น ๆ โดยเจาะเข้าไปในสมองของเหยื่อผ่านลูกตา จมูก หรือหู
พวกมันจะปรากฏตัวในส่วนที่ลึกที่สุดของท้องทะเลเท่านั้น และร่างกายที่ทั้งอ่อนนุ่มและยืดหยุ่นของพวกมันก็สามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างรวดเร็วแม้ถูกฟันจนขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย นอกเหนือจากพลังการเผาไหม้ของไฟแล้ว การโจมตีส่วนมากก็แทบจะไม่ส่งผลใด ๆ ต่อพวกมันเลย และเป็นเพราะพวกมันอาศัยอยู่ในทะเลลึก จึงไม่ใช่ภารกิจที่ง่ายสำหรับคนทั่วไปที่จะทำอันตรายพวกมันได้ด้วยการใช้ไฟโจมตี
เท่าที่หานซั่วรู้มา สัตว์หายากที่รู้จักกันในนาม ‘อสุรกายเขมือบสมอง’ นั้นเต็มไปด้วยประโยชน์สารพัด หากนำมาใช้เป็นยา ก็จะสามารถสกัดเป็นยาเพิ่มพูนสติปัญญาได้ หรือหากใช้เป็นยาทาภายนอก แขนขาที่ขาดก็จะเชื่อมต่อกันได้ใหม่อีกครั้ง และยิ่งไปกว่านั้น หากใช้เวทย์ปีศาจร่วมกับวัตถุดิบพิเศษอีกเล็กน้อย ก็ถึงกับสามารถสร้างอาวุธปีศาจที่สามารถระเบิดสมองของสิ่งมีชีวิตใด ๆ ได้ด้วยการปล่อยพลังคลื่นเสียงเท่านั้น
** Please note : หากท่านไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้จากบล็อก https://gdk-th.blogspot.com/ แปลว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับคนที่กำลังสุขสบายกับการหาเงินง่าย ๆ ด้วยการใช้นิ้วคลิกก๊อบผลงานแปลของเพจไปขายอีกต่อหนึ่ง **
และแน่นอนว่า ประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดของมันคือการฟื้นฟูพลังสมองของมนุษย์และสัตว์ต่าง ๆ หานซั่วคาดเดาว่า การที่อสุรกายเขมือบสมอง กินสมองของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เข้าไปนี้เองที่ทำให้เนื้อของพวกมันมีพลังการฟื้นฟูที่น่าทึ่งต่อสมองของมนุษย์ สำหรับผู้ฝึกฝนเวทย์ปีศาจอย่างหานซั่วแล้ว การใช้ประโยชน์จากพลังร่างกายของอสุรกายเขมือบสมอง ทำให้เขาสามารถคิดค้นและสร้างสมองที่คัดลอกมาจากสมองของตัวเขาเองได้เลยทีเดียว ซึ่งการทำเช่นนั้น แม้ว่าศีรษะของเขาจะเสียหายอย่างหนักระหว่างการต่อสู้ ตราบใดที่จิตของเขายังไม่ถูกทำลายจนสูญสลายไป เขาก็สามารถนำสมองใหม่ที่หล่อหลอมขึ้นมาจากอสุรกายเขมือบสมองมาแทนที่ และใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างอิสระเหมือนเช่นที่ผ่านมา
สำหรับภารกิจในการสร้างร่างกายใหม่ให้กิลเบิร์ต สิ่งที่ทำให้หานซั่วปวดหัวมากที่สุดก็คือการหล่อหลอมสมองนั่นเอง และอสุรกายเขมือบสมองก็ถูกจัดอยู่ในประเภทสัตว์ทรงคุณค่าที่หาได้ยากอย่างยิ่ง ซึ่งคนที่จะได้พบต้องนับว่าโชคดีมาก ๆ เท่านั้น หานซั่วจึงไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้อสุรกายเขมือบสมองมาง่าย ๆ อันที่จริงแล้ว เขาถึงกับวางแผนไว้ว่าจะหาวัตถุดิบอื่นมาใช้หล่อหลอมสมองใหม่ให้กิลเบิร์ตด้วยซ้ำ การที่อยู่ดี ๆ ก็บังเอิญได้พบกับวัตถุดิบที่มีค่าเช่นนี้จึงทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
และเป็นเพราะเหตุผลเหล่านี้เองที่ทำให้ระหว่างโฆษกการประมูลอธิบายสรรพคุณอันน่าอัศจรรย์ของอสุรกายเขมือบสมองให้ฟังเสียยืดยาว หานซั่วจึงไม่ได้สนใจท่าทีเว้าวอนขอใบไม้มรกตของลิเลียนเลยแม้แต่น้อย
“ตัวกินสมอง… เริ่มต้นที่ 10,000 เหรียญทอง ขอให้ผู้ที่ประมูลด้วยราคาสูงที่สุดเป็นผู้ชนะ!”
เสียงตะโกนของโฆษกประกาศให้การประมูลเริ่มต้นขึ้นด้วยท่าทีกระตุ้นให้เหล่าผู้ชมลุกฮือ
มีคนที่สนใจในสินค้าชิ้นนั้นมากมายหลายคนทีเดียว ทันทีที่สิ้นสุดเสียงร้องแหลมของโฆษก ไฟสีแดงที่เรียงเป็นทิวแถวบนชั้น 2 และชั้น 3 ก็พากันสว่างวาบขึ้นเมื่อผู้คนใส่ตัวเลขลงไปบนอุปกรณ์การประมูลราวกับชีวิตขอองพวกเขาขึ้นอยู่กับมัน และบางที อาจเป็นเพราะไม่สามารถข่มความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ได้ เสียงสูดหายใจอย่างรัวเร็วถึงกับดังออกมาจากห้องพิเศษบางห้อง เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะประมูลสินค้าชิ้นนั้นมาให้จงได้
“ทั้งลูกชายของรัฐมนตรีการคลัง และหลานของรัฐมนตรีกลาโหม โอ้ จริงสิ มีลูกสาวของหัวหน้านักเวทย์แห่งจักรวรรดิด้วย ท้าทายกันแบบนี้ เล่นสงครามประสาทกันอยู่รึไงนะ!”
โซฟีส่งเสียงโอดครวญเบา ๆ ราวกับรู้สึกเหนื่อยหน่ายเหลือเกินกับคนที่น่าสมเพชเหล่านั้น
ไม่แปลกใจหรอก! หานซั่วคิดในใจ เพราะเขารู้ดีว่าต้องมีการต่อสู้ที่ป่าเถื่อนเกิดขึ้นอีกในวันนี้ หานซั่วจึงอดไม่ได้ที่จะเพ่งสมาธิไปยังอสุรกายเขมือบสมองที่แสดงอยู่บนเวที ขณะฟังราคาประมูลที่กำลังสูงขึ้นเรื่อย ๆ และรอจังหวะเหมาะที่จะแทรกเข้าไป
ทันใดนั้นเอง หานซั่วก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่บ่งบอกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง และสัมผัสนี้ก็ไม่ได้แผ่มาจากราชาหกเขาแห่งเผ่าวิญญาณที่กำลังใกล้เข้ามาแต่อย่างใด เขาค่อย ๆ สัมผัสมันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง และจู่ ๆ อุณหภูมิทั่วทั้งสำนักประมูลก็ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว
หานซั่วขมวดคิ้ว และรู้สถานการณ์ทุกอย่างภายในเสี้ยววินาที เขาจึงรีบแผ่จิตออกไปให้ไกลที่สุด ราวกับใยแมงมุมที่คืบคลานออกไปโดยมีตัวเขาเองเป็นจุดศูนย์กลาง แล้วทั่วทั้งบริเวณ แม้ความเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยที่สุดก็มิอาจรอดพ้นจากการรับรู้ของหานซั่วไปได้
จ้าวแห่งเวทมนตร์ธาตุน้ำทิอาน่า ครึ่งเทพในชุดคลุมเวทมนตร์สีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ปรากฏตัวขึ้นเหนืออาคารสำนักประมูลตั้งแต่เมื่อใดก็มิอาจรู้ได้ เธอมีสีหน้าเด็ดเดี่ยวจริงจังขณะที่มวลไอน้ำลอยวนเวียนปกคลุมร่างของเธอ ผมสีเงินยวงของเธอปลิวไสวล้อไปกับสายลม เธอถือคทาเวทมนตร์อยู่ในมือ ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท ขณะกำลังร่ายเวทมนตร์ออกมาเบา ๆ
ส่วนที่ด้านนอกทางเข้าของสำนักประมูล คือน้ำแข็งสวรรค์โครีย์ที่กำลังถือดาบยาวและยืนตระหง่านอยู่ด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม ศีรษะของเขาเงยหน้าขึ้นมองหิมะสวรรค์ทิอาน่าที่กำลังยืนอยู่ด้านบนสุดของอาคารสำนักประมูล ราวกับว่ากำลังสื่อสารบางอย่างต่อกันโดยไม่ใช้เสียง
น้ำแข็งสวรรค์โครีย์ และหิมะสวรรค์ทิอาน่า ครึ่งเทพทั้งสองคนคือผู้ที่แข็งแกร่งและทรงพลังที่สุดในจักรวรรดิคาซี การที่อยู่ดี ๆ พวกเขาก็มาปรากฏตัวที่สำนักประมูลพร้อมกัน ก็เห็นได้ชัดว่า… ตำแหน่งของหานซั่วถูกเปิดเผยเสียแล้ว!
จากประสบการณ์ต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้หานซั่วเข้าใจสถานการณ์ทุกรูปแบบเป็นอย่างดี ซึ่งแม้เรื่องราวจะมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ไม่ได้แสดงออกถึงความกังวลให้เห็นแม้แต่นิดเดียว เขายังคงมีรอยยิ้มที่สงบอยู่บนใบหน้า เขาหันหน้ามา มองลึกเข้าไปในตาของโซฟี และพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาที่สุดจนมีเพียงเธอที่ได้ยิน
“โซฟี ออกไปให้ห่างจากข้าเดี๋ยวนี้เลย หาห้องน้ำสักห้องและแปลงโฉมกลับเป็นสภาพเดิมของเจ้าด้วย”
“ทำไมล่ะ?”
โซฟีสับสนอย่างที่สุด
“ถ้าเจ้าเชื่อใจข้า ทำตามที่ข้าบอกก็พอ ไม่งั้นเจ้าจะสร้างปัญหาให้ข้าแน่ ๆ”
หานซั่วรู้ดีว่าโซฟีไม่ใช่คนที่ยอมนิ่งเฉยหากเพื่อนของเธอกำลังเดือดร้อน หากเขาบอกไปว่า เป็นเขาเองที่จะสร้างปัญหาให้เธอ โซฟีก็คงไม่ยอมอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม หานซั่วก็ประเมินความเฉลียวฉลาดของโซฟีต่ำเกินไป
“ศัตรูของเจ้าอยู่ที่นี่เหรอ?”
เธอเพียงจ้องมองอย่างเลื่อนลอยครู่หนึ่ง ก่อนจะตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และมองสอดส่ายไปทั่วทุกทิศทาง ราวกับจะช่วยหานซั่วค้นหาศัตรู
หานซั่วได้แต่ถอนใจกับตัวเอง เขารู้ดีกว่าถ้าไม่ใช้วิธีที่สุดโต่งจริง ๆ ล่ะก็ คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้โซฟียอมจากไปแต่โดยดี
ขณะที่ฝูงชนกำลังเสนอราคาประมูลอสุรกายเขมือบสมองกันอย่างบ้าระห่ำ หานซั่วที่นั่งอยู่เงียบ ๆ มานาน อยู่ ๆ ก็ลุกยืนขึ้นอย่างกะทันหัน
“โอ้! สหายหมายเลข 83 วันนี้ข้ายังไม่เห็นมือของท่านเลย! ฮ่า ๆ ๆ จะเริ่มเคลื่อนไหวกับเขาแล้วงั้นรึ?”
เมื่อโฆษกเห็นหานซั่วยืนขึ้นมา เขาก็นึกว่าหานซั่วคงจะอดรนทนไม่ได้และเริ่มที่จะประมูลบ้าง จึงร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
เพราะโฆษกได้เห็นความกล้าบ้าบิ่นของหานซั่วกับตาตัวเองแล้วเมื่อ 2 วันก่อน เขาเป็นผู้ที่ดูแลรับผิดชอบการประมูลในเทศกาลที่จัดขึ้นทุก 3 ปี และแทบไม่เคยได้พบใครที่กล้าประมูลในแต่ละรอบสูงถึงครั้งละ 50,000 เหรียญทองเช่นนี้มาก่อน ดังนั้น เมื่อเห็นว่าหานซั่วกลับมาปรากฏตัวที่นี่อีกครั้ง โฆษกจึงแอบจับตามองหานซั่วอย่างลับ ๆ อันที่จริง เขาถึงกับเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นหานซั่วที่ยืนขึ้น จึงรีบตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง
“ใช่แล้วล่ะ! ข้าจะเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!”
หานซั่วเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา
โฆษกตอบด้วยเสียงหัวเราะร่า แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรบางอย่างเพื่อสร้างบรรยากาศให้ครึกครื้นขึ้น ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็แข็งทื่อขึ้นมาทันที เขามองไปยังหานซั่วด้วยความมึนงงสุดขีด
“เดี๋ยวก่อน ท่านจะทำอะไรน่ะ?”
ขณะที่ทุกคนกำลังจับตามอง ด้วยความเร็วที่ไม่เข้ากันกับรูปลักษณ์ภายนอกของเขาอย่างสิ้นเชิง หานซั่วก็พุ่งตัวข้ามห้องโถงไป และไปยืนอยู่บนเวทีด้วยความเร็วราวสายฟ้า ก่อนที่ทุกคนจะมีปฏิกิริยาอะไรออกมา อสุรกายเขมือบสมองที่ถูกบรรจุไว้ในภาชนะพิเศษก็มาอยู่ในมือของหานซั่วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขามองเห็นหานซั่วถือมันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บเข้าแหวนมิติของตัวเองไป ราวกับว่าอสุรกายเขมือบสมองเป็นเพียงของชิ้นหนึ่งในสำนักประมูลที่ร่วงหล่น และเขาก็เก็บขึ้นมาเองง่าย ๆ ด้วยท่าทีที่ลื่นไหลและเป็นธรรมชาติอย่างไม่น่าเชื่อ
** Please note : หากท่านไม่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้จากบล็อก https://gdk-th.blogspot.com/ แปลว่าท่านกำลังจ่ายเงินให้กับคนที่กำลังสุขสบายกับการหาเงินง่าย ๆ ด้วยการใช้นิ้วคลิกก๊อบผลงานแปลของเพจไปขายอีกต่อหนึ่ง **
“แบบนี้มันผิดกฎชัด ๆ เลยนี่นา!”
ทันใดนั้น ทั้งชั้น 2 และชั้น 3 ก็ระเบิดเสียงตะโกนออกมาดังอื้ออึง บรรดาผู้ปกครองของลูกชายและหลานชายที่ประมูลกันอยู่เมื่อครู่ต่างส่งเสียงเอะอะโวยวายอย่างบ้าคลั่งราวกับจะถูกส่งตัวไปสถานบำบัดจิตเสียให้ได้
“เจ้านี่มันราคากี่เหรียญทองเหรอ?”
หานซั่วถามโฆษกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ขณะถูกทุกคนที่อยู่บนเวทีและนอกเวทีจ้องมองเป็นตาเดียว
“สหาย ถึงท่านจะมีเหรียญทองมากมายมหาศาล แต่สิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่ก็ไม่ใช่เรี่องเหมาะสมเลยนะ ท่านว่ามั้ย?”
บรากที่อยู่บนชั้น 3 ยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องพิเศษของตน แม้ว่าสีหน้าของเขาจะดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ท่าทีการพูดจาของเขานั้นก็กำลังข่มกลั้นเอาไว้ด้วยมารยาทของชนชั้นสูงที่สั่งสมมานานหลายปี
หานซั่วเงยหน้าขึ้นมองบรากที่อยู่บนชั้น 3 และบรากผู้หยิ่งจองหองนั้นก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย เช่นนั้นแล้ว เขาจึงดึง ‘พุงใหญ่ ๆ’ ที่ปลอมตัวไว้ออกมา ก่อนจะเผยรอยยิ้มซื่อ ๆ และพูดกับบรากอย่างหยาบคาย
“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้าสักหน่อย!”
แล้วฝูงชนต่างก็ส่งเสียงเซ็งแซ่อันวุ่นวายสับสนออกมาทันที
เมื่อเทียบกับวิธีที่อาจหาญและไม่ยับยั้งชั่งใจเรื่องการเงินที่หานซั่วประมูลเมื่อครั้งที่แล้ว ความสับสนวุ่นวายที่เขาก่อขึ้นในครั้งนี้นั้นดุเดือดกว่ามาก ผู้ชมส่วนใหญ่ได้แต่จ้องมองหานซั่วอย่างเลื่อนลอย โดยไม่รู้เลยว่าชายร่างอ้วนที่ดูใจดีจะแสดงกิริยาที่บ้าระห่ำเช่นนี้ออกมาได้
ท่ามกลางผู้ชมทั้งหมด โซฟีเฝ้ามองหานซั่วแสดงท่าทีแปลก ๆ และไร้เหตุผลนี้อยู่เงียบ ๆ เธอไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไร เธอมองไปยังสีหน้าบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดน่ากลัวของบรากอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะหันหน้ามามองท่าทีหยิ่งผยองและไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใดของหานซั่ว ในตอนนั้น โซฟีรู้สึกปลาบปลื้มใจมาก แต่ก็เป็นกังวลไม่น้อยด้วยเช่นกัน
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา บรากไม่เคยถูกหมิ่นเกียรติเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณชนมาก่อน ในฐานะบุคคลสำคัญคนหนึ่งในราชวงศ์พิลลอน ใครก็ตามที่ได้พบกับเขาล้วนแล้วแต่มีท่าทีประจบสอพลอ ไม่ว่าจะเป็นสามัญชน หรือหัวขโมยทั่วไป ไม่ว่าจะไร้มารยาทหรือกักขฬะเพียงใด ก็มักจะปกปิดสันดานโดยธรรมชาติของตนเองเมื่ออยู่ต่อหน้าบรากเสมอ
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึง คาดไม่ถึงอย่างที่สุด ในสำนักประมูลที่ซึ่งเหล่าชนชั้นสูงมารวมตัวกัน ชายร่างอ้วนท่าทางซื่อ ๆ คนหนึ่งที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า กลับพูดคำว่า ‘ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า’ ใส่เขาต่อหน้าธารกำนัลเหล่านี้ หน้ากากแห่งความสง่างามและอ่อนโยนที่บรากสวมใส่มาโดยตลอดก็จางหายไปจากใบหน้าของเขาอย่างสิ้นเชิง แม้แต่รอยยิ้มที่ซ่อนคมมีดเอาไว้ก็พังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี ด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวนั้น เขาก็ชี้ไปที่หานซั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เจ้า… เจ้าพูดว่าอะไรนะ? แน่จริงก็พูดออกมาอีกครั้งสิ!”
“ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า! ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า! ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า!”
หลังจากนั้น หานซั่วก็ยกมือชู 3 นิ้วและยื่นไปทางบราก
“ข้าให้ 3 ครั้งเลย!”
โฆษกมองไปทางบรากอย่างขวัญหนีดีฝ่อ และพูดขึ้น
“ท่านครับ ถึง 2 วันก่อนจะเกิดข้อผิดพลาดกับสินค้าของท่านเพราะความหละหลวมของเราก็จริง แต่ท่านทำอย่างนี้กับพวกเราไม่ได้นะครับ!”
“ธูรัม! ไปฆ่ามันให้ข้าที! ไม่ว่ามันจะเป็นใคร แต่มันก็ทำผิดในข้อหาเป็นปฏิปักษ์ต่อราชวงศ์พิลลอน!”
บรากไม่สามารถข่มความกราดเกรี้ยวของตนเองไว้ได้อีกแล้ว เขาชี้ไปยังหานซั่วและออกคำสั่งสังหารกับองครักษ์ที่อยู่ข้างกาย
“น้อมรับบัญชา นายท่าน!”
ธูรัมตอบเพียงสั้น ๆ เขาชักดาบยาวออกมา และกระโดดลงไปจากชั้น 3 พร้อม ๆ กันกับที่ออร่าต่อสู้สีเงินแผ่กระจายออกมาอย่างงดงามตระการตา
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่การโจมตีของธูรัมจะส่งผล หานซั่วที่ยิ้มและจ้องมองไปยังบรากมาโดยตลอด จู่ ๆ ก็ปล่อยหมัดออกไปจากเวที รัศมีแสงสีแดงสว่างวาบขึ้นเป็นทางและปะทะเข้ากับใจกลางของออร่าต่อสู้สีเงินที่กำลังฟาดฟันลงมาเข้าอย่างจัง ชั่วขณะนั้นเอง เสียงโลหะปะทะกันก็ระเบิดขึ้น ทำให้ธูรัมและดาบยาวของเขากระเด็นลอยขึ้นไปในอากาศ ตรงไปยังชั้น 3 ที่บรากกำลังยืนอยู่ทันที
ความเร็วที่ธูรัมกระเด็นขึ้นไปนั้นเร็วกว่าตอนที่เขากระโดดลงมาเสียอีก เมื่อเห็นว่าธูรัมกำลังจะกระแทกเข้ากับร่างของบราก เงามนุษย์ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นและรีบคว้าตัวของธูรัมไว้ได้ทัน เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้บรากได้รับบาดเจ็บ
ผู้ที่พุ่งตัวมารับธูรัมไว้ได้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอัศวินศักดิ์สิทธิ์ซูโล พ่อของโซฟี ขณะที่เขาประคองร่างของธูรัมไว้ เขาก็พบว่าธูรัมมีซี่โครงหักหลายจุดทีเดียว รวมทั้งยังมีพลังมหาศาลที่แฝงอยู่ในร่างของธูรัมที่ทำให้เขารู้สึกไม่สู้ดีนัก
สีหน้าของซูโลเปลี่ยนไปทันที พลางนึกในใจ หมอนี่เป็นใครกัน? ทำไมถึงมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงขนาดนี้?
************************