Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 111
เพราะแบบนี้ไหมนะ ตอนที่เขาบอกให้ฮาจุนย้ายบ้าน เจ้าตัวถึงได้พูดออกมาว่ากำลังเก็บเงินอยู่ ถ้าเป็นบ้าน ราคาก็น่าจะประมาณหนึ่ง แถมยังไม่ใช่ของชิ้นเล็กๆ ด้วย เหมาะที่จะให้เป็นของขวัญเลยละ
“นั่นเป็นบ้านที่พ่อออกแบบเองเลยค่ะ เราโดนยึดไปช่วงที่ท่านเสีย หนูก็จำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เพราะตอนอยู่ที่นั่นหนูยังเด็กมากๆ แต่พี่ฮาจุนเคยบอกค่ะ ว่าจะต้องเก็บเงินซื้อบ้านหลังนั้นคืนมาให้ได้ แต่เงินเดือนโค้ช เก็บไปแล้วปีไหนจะซื้อได้ล่ะคะบ้านในโซลน่ะ เหมือนกำลังมองเด็กหยอดเหรียญใส่กระปุกหมู แล้วบอกว่าจะเอาเงินที่เก็บได้ไปซื้อบ้านเลยค่ะ แถมพี่ฮาจุนยังบอกอีกว่าไม่อยากเป็นหนี้ แล้วก็ไม่อยากไปกู้เงินเยอะแยะด้วย”
มินคยองถอนหายใจยาวเหยียด
“บ้านน่าจะแพงพอตัวเลยค่ะ เพราะละแวกนั้นราคาที่ดินสูง ถึงไม่มองเรื่องราคา แต่พี่ฮาจุนเขาก็กังวลมากเลย ด้วยความที่มันเป็นบ้านเดี่ยว พี่เขาเลยกลัวว่าจะมีคนมาทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่”
มูคยอมมองมินคยอง ก่อนจะเอ่ยชมออกมา
“เธอนี่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่มากเลยนะ”
“คนในครอบครัวหนูมีดีทุกคนแหละค่ะ อย่างหนูนี่ก็เรียนเก่ง หนูเลยตั้งใจว่าจะหาเงินเยอะๆ ทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จ แล้วมาช่วยสร้างฐานะให้ครอบครัวค่ะ”
“เท่จังเลย นี่มันเสือในโพรงกระต่ายนี่นา”
“กระต่ายเหรอคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก รีบๆ กินดีกว่า เธอช่วยบอกที่อยู่ของบ้านหลังนั้นให้ฉันหน่อยได้ไหม”
“ได้ค่ะ หนูรู้ค่ะ”
มินคยองพยักหน้ากลับมา หลังจากได้รับที่อยู่ผ่านทางข้อความมูคยอมก็ส่งต่อไปให้กับผู้จัดการส่วนตัวของตน เพื่อให้ช่วยหาช่องทางการซื้อบ้านหลังนั้น เสร็จแล้วเขาก็กระตุกยิ้มขึ้นและวางโทรศัพท์ลง จากนั้นเขาจึงสามารถกลับมาจัดการอาหารตรงหน้าด้วยใจที่โล่งขึ้นได้
* * *
‘ต่อให้มันสามารถรีโนเวทได้ หรือช่วงนี้เริ่มมีการขยายพื้นที่ย่านการค้า แต่บ้านหลังนั้นก็ไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างที่เราควรจะต้องรีบซื้อ แถมเจ้าของบ้านก็ยังไม่คิดจะขายทิ้ง เพราะตอนนี้เขายังอาศัยอยู่ นายจะต้องซื้อมันให้ได้เลยเหรอ’
ล่าสุดมานี้มูคยอมได้กำไรมาเยอะพอสมควรกับการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในหลายๆ แห่ง เช่น การซื้อคอนโดในฮาวาย แค่เขาเอ่ยปากบอกว่าจะซื้อบ้านเดี่ยวย่านที่พักอาศัยในโซล ทั้งผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนและผู้จัดการส่วนตัวต่างก็ค้านหัวชนฝา แต่ในครั้งนี้จุดมุ่งหมายของเขาไม่ใช่เพื่อการลงทุน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นยังไงเขาก็ว่าดีหมด ต่อให้เจ้าของบ้านจะเรียกราคาเท่าไหร่ ขอแค่เป็นสิ่งที่ฮาจุนต้องการ ไม่ว่าเท่าไหร่ เขาก็เต็มใจจ่าย
ในตอนแรกเจ้าของบ้านปฏิเสธการขายโดยบอกว่าตนไม่มีความคิดที่จะย้ายบ้าน แต่เขากลับเปลี่ยนใจอย่างรวดเร็วเมื่อมูคยอมเสนอราคาที่มากกว่าราคาประเมินในตลาดถึงสองเท่า ในวันนี้ที่เป็นวันหยุด มูคยอมจึงได้ตัดสินใจมาดูบ้านด้วยตาของตัวเอง และตอนนี้เขาก็มาถึงละแวกที่บ้านหลังนั้นตั้งอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้จะเป็นย่านของคนมีฐานะ แต่บรรยายกาศกลับดูล้าสมัยอยู่เล็กน้อย หากมีการสร้างสถานีรถไฟหรือมีคอนโดสักแห่งผุดขึ้นมา พื้นที่แบบนี้หลายแห่งมักจะเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว จนบ้านพักอาศัยต้องถูกทุบทิ้งและเต็มไปด้วยตึกอาคารให้เช่า เพราะแบบนี้มูคยอมเลยพอจะเข้าใจความกังวลของฮาจุน ที่กลัวว่าบ้านหลังนี้จะหายไป
ทั้งๆ ที่น่าจะเป็นละแวกที่ไม่เคยมาเยือน แต่ทิวทัศน์ที่แปลกใหม่กลับดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด พอลองมาคิดดู ที่นี่ก็ไม่ได้ไกลจากสถานเลี้ยงเด็กที่เขาเคยอยู่เมื่อตอนเด็กๆ มากนัก เพราะว่าในตอนนั้นเขาขึ้นรถไฟใต้ดินหรือรถบัสร่อนไปขโมยเงินที่นู่นทีที่นี่ที จึงอาจจะเป็นไปได้ที่เขาเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง แต่นี่ก็ผ่านมานานกว่า 10 ปีแล้ว ทุกอย่างก็คงจะเปลี่ยนไปมาก
“บ้านเลขที่ 367…”
มูคยอมจอดรถทิ้งไว้ และออกเดินไปตามที่อยู่ เดินไปบนถนนใหญ่ได้ไม่นานเขาก็เลี้ยวเข้าซอยกว้างที่เป็นทางลาดชันขึ้นเล็กน้อย บรรยากาศนั้นเงียบสงบ แม้จะเต็มไปด้วยที่พักอาศัยหลายหลัง
เดินต่อไปไม่กี่ก้าวมูคยอมก็หยุดเท้าลง ไม่รู้เพราะอะไร แต่เขารู้สึกเหมือนเคยเห็นภาพนี้มาก่อน หลังกวาดตามองรอบตัวช้าๆ มูคยอมก็เคลื่อนฝีเท้าไปข้างหน้าอีกครั้ง
หลังจากที่เข้ามาในซอย มูคยอมก็เดินตรงดิ่งเข้ามาเรื่อยๆ เดินไปได้สองสามนาทีเขาก็มาถึงที่หมาย มูคยอมยืนอยู่หน้าประตูไม้หลังใหญ่และตรวจสอบที่อยู่อีกครั้ง เขาถอยหลังกลับไปสองสามก้าวเพื่อสำรวจตัวบ้าน
“…”
เป็นเพราะรู้สึกไปเองหรือเปล่านะ
มูคยอมยืนมองต้นไม้สองสามต้นที่โผล่พ้นเหนือกำแพงออกมา เพราะเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง บนกิ่งไม้จึงมีเพียงใบที่สีเขียวเริ่มจืดจางลง และไร้วี่แววของดอกไม้สีม่วงอ่อนที่อยู่ในความทรงจำ
กระนั้นโครงสร้างที่นี่ก็เหมือนกับบ้านหลังนั้นอย่างแน่นอน ขณะที่หวนนึกถึงความทรงจำอันเลือนราง มูคยอมก็ค่อยๆ ย่างกรายเข้าใกล้บานประตูและกดออด เจ้าของบ้านที่ดูเหมือนกำลังรอการมาเยือนของผู้ซื้อวิ่งออกมาในทันที เมื่อเห็นว่านักเตะดาวเด่นตัวเป็นๆ มาดูบ้านเอง เจ้าตัวก็ตกอกตกใจและต้อนรับมูคยอมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ค่อยๆ เดินดูได้เลยนะครับ ละแวกนี้เหมาะกับการอยู่อาศัยมากเลยครับ แถมตัวบ้านก็สร้างมาอย่างแข็งแรง จนทีแรกผมคิดว่าจะอยู่ไปยาวๆ เลยล่ะครับ นี่ถ้าไม่รู้ว่าคนซื้อเป็นนักเตะคิมมูคยอม ผมคงไม่ยอมปล่อยบ้านหลังนี้ให้หลุดมือไปแน่ๆ”
เมื่อก้าวเท้าผ่านบานประตูเข้ามาด้านใน ไม่ว่าจะเปรียบเทียบในมุมไหน ภาพของสวนที่ได้ลอบมองก่อนหน้าก็ต่างจากภาพในความทรงจำที่ไม่ชัดเจนอย่างลิบลับ เอาจริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องใช้เวลาดูอะไรนานเลยด้วยซ้ำ เพราะสิ่งที่มูคยอมต้องการจะดูในตอนนี้ มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
“คือว่าต้นไม้ต้นนั้น”
“อ๋อ ว่าไงเหรอครับ”
“ใช่ต้นไลแลคไหมครับ”
“ใช่ครับ มันสวยมากเลยนะครับ ปกติเขาจะนิยมปลูกต้นไลแลคแค่สักต้นในสวนในฤดูใบไม้ผลิ แต่บ้านหลังนี้ปลูกไว้สามต้นเลยละครับ พอย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ ฤดูใบไม้ผลิผมก็แทบไม่ออกไปดูดอกพอดกดข้างนอกเลย ลานบ้านก็สวยน่ามองไปหมดเลยครับ”
เจ้าของบ้านที่ตอบคำถามด้วยความชื่นมื่นกำลังเดินนำอยู่ ก่อนจะหันกลับมามองด้านหลัง
“นักเตะคิมมูคยอมครับ”
“…อ่า”
มูคยอมที่ยืนมองต้นไม้จนใจลอยไปครู่หนึ่งหันกลับมามองเจ้าของบ้านราวกับว่าลืมสิ่งที่จะพูด ก่อนจะเปิดปากออกมา
“ผมว่าไม่ต้องดูเพิ่มแล้วละครับ”
“อะไรนะครับ แล้วเรื่องซื้อ…”
“ถ้าคุณตกลงเรื่องราคาก็จัดการได้เลยครับ เซ็นสัญญาเรียบร้อยเมื่อไหร่ ผมจะส่งหลักฐานการฝากเงินให้ทันที”
“เอ่อ เอาตามนั้นเลยเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นเชิญเข้ามาก่อนครับ”
หลังยกกาแฟที่เจ้าของบ้านนำมาเสิร์ฟขึ้นดื่มตามมารยาท มูคยอมก็กรอกรายละเอียดในสัญญาพร้อมตรวจสอบค่ามัดจำ และบอกกับเจ้าของบ้านว่าตัวแทนของเขาจะเป็นคนจัดการในขั้นตอนที่เหลือ มูคยอมลุกจากที่นั่ง จากนั้นเขาได้ให้ลายเซ็นกับเจ้าของบ้านและถ่ายรูปกับเด็กๆ ต้องขอบคุณที่เจ้าของบ้านตัดสินใจขายบ้านให้ ทำให้เขาสามารถหาของขวัญที่คู่ควรมาให้ฮาจุนได้โดยไม่ใช่เรื่องยาก
บอกลากันเสร็จมูคยอมก็ก้าวออกมายืนนอกประตูบ้าน เขาเงยมองต้นไลแลคที่ยังไม่ออกดอกอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะไปยืนพิงหลังเข้ากับกำแพงและต่อสายหาใครบางคน
‘อื้อ คิมมูคยอม’
เพียงแค่เสียงปลายสายเรียกชื่อกันขึ้นมาโดยต้องไม่เอ่ยคำใด ความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ร่วงที่โอบล้อมตัวเขาไว้ก็ได้กลายเป็นกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิในชั่วพริบตา
มูคยอมที่ไม่สามารถตอบกลับไปได้ในทันทีจ้องมองวิวทิวทัศน์ของซอยตรงหน้าที่มีแสงแดดตกกระทบลงมา และก่อนที่คนปลายสายจะเรียกอีกครั้ง มูคยอมก็กลับมาสานต่อบทสนทนา
“คุณแฟน ทำอะไรอยู่เอ่ย”
‘เตรียมเอกสารงานวิจัย นายล่ะ’
“วันหยุดก็ยังยุ่งอีกเหรอเนี่ยคุณโค้ช ฉันออกมาซื้ออะไรข้างนอกนิดหน่อย”
‘ไปซื้อไอศกรีมหรือเปล่านะ’
มูคยอมหลับตาลง ราวกับว่าเสียงหัวเราะแผ่วเบาหลังคำพูดนั้นดังอยู่ข้างหู
“อีฮาจุน”
‘อื้อ’
“นายเคยบอกว่าตอนเด็กๆ ได้อยู่บ้านที่มีสวนด้วยใช่ไหม”
‘ใช่ ทำไมอยู่ๆ ถามขึ้นมาล่ะ’
“อยู่ที่บ้านหลังนั้นจนถึงอายุเท่าไหร่”
‘12 ขวบได้’
มูคยอมพยักหน้าอยู่คนเดียว
“โอเค”
‘อย่างนี้สินะ’ หลังเสียงพูดพึมพำคนเดียวดังขึ้น ฮาจุนก็ถามกลับด้วยความแปลกใจ
‘ถามทำไมเหรอ’
“แค่อยู่ๆ ก็นึกถึงขึ้นมาน่ะ ในอนาคตฉันอยากอยู่กับนายในบ้านที่มีสวนนะ”
‘พูดอะไรของนาย’ ฮาจุนพูดขึ้นและขำกลบเกลื่อนอาจเพราะกำลังเขิน และมูคยอมก็หยุดเสียงนั้นลงอีกครั้ง
“มากินข้าวเย็นด้วยกันไหม”
‘เอ่อ… ขอโทษนะมูคยอม วันนี้น่าจะต้องเตรียมเอกสาร เหมือนช่วงนี้ฉันจะเล่นเยอะไปหน่อย งานค้างเพียบเลย’
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปหาหน้าบ้าน ขอเจอหน้าแค่แป๊บเดียวได้ไหม”
‘ถ้าแป๊บเดียวจริงๆ ก็พอจะได้อยู่’
พูดจบฮาจุนก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง เสียงหัวเราะนั้นสร้างรอยยิ้มขึ้นบนหน้าของมูคยอมโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ทันได้ล่วงรู้ หลังนัดหมายว่าจะไปเจอกันตอนเย็น เขาก็วางสายลง มูคยอมมองไปที่ไหนสักแห่งข้างหน้า ราวกับว่ามีเด็กชายในความทรงจำยืนอยู่ตรงนั้น
ใบหน้าที่เลือนรางไปตามกาลเวลากลับปรากฏชัดเจนขึ้นตรงหน้าเหมือนกับว่าเพิ่งเห็นไปเมื่อวาน แต่บางทีนี่อาจเป็นใบหน้าที่เขาสร้างขึ้นมาเพราะได้รู้จักกับฮาจุนในตอนนี้ และอาจต่างออกไปจากหน้าตาจริงๆ ของเด็กชายก็ได้
เด็กตัวน้อยใบหน้าขาวใสที่เคยคว้าข้อมือของเขา พาเดินผ่านประตูเข้าไป เด็กคนนั้นอาศัยในบ้านที่มีดอกไม้สวยเบ่งบาน และมีแม่คอยทายาให้ในยามที่เจ็บตัว
แม้จะไม่สามารถพบกันได้อีก แต่มูคยอมก็มั่นใจว่าเด็กคนนั้นจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ที่ไหนสักแห่งอย่างแน่นอน
หากในตอนนั้นเขาไม่ยอมแพ้ และตามหาต่อไปอีกสักหน่อย…
ขณะที่ความรู้สึกสำนึกผิดกำลังห่อพันตัวเขาอย่างแผ่วเบาเหมือนกับผ้าคลุมที่ไม่สามารถจะสัมผัสได้ง่ายๆ ในตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ย่างกรายเข้ามาช้าๆ แม้จะยืนอยู่บนพื้น แต่มูคยอมกลับรู้สึกล่องลอยราวกับว่าได้ย้อนกลับไปหาเด็กคนนั้น ทว่าเสียงเท้าที่ดังขึ้นดึงมูคยอมให้กลับมายังโลกความเป็นจริงอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะหันไปหาที่มาของเสียง
เด็กคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในซอยพร้อมสะพายกระเป๋านักเรียนราวกับว่าอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน บนใบหน้าบูดบึ้งของเด็กน้อยมีรอยแผลเล็กๆ ปรากฏอยู่ และในมือก็ถือลูกบอลเอาไว้ เมื่อมูคยอมสบสายตาเข้ากับเด็กชาย ดวงตาของที่ก่อนหน้าเต็มไปด้วยความโมโหและเศร้าเสียใจ ก็เบิกโตขึ้นด้วยความตกใจในทันที
“โอ๊ะ…”
ไม่รอให้เด็กน้อยได้ตื่นตระหนกหรือถามอะไรออกมา มูคยอมก็ยกมือขึ้นเรียกเป็นเชิงว่าให้เดินเข้ามาหา
“ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว เอาบอลมาสิ เดี๋ยวฉันเซ็นให้”
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่เด็กน้อยกลับไม่เดินเข้ามาใกล้ และยังยืนลังเลอยู่ตรงที่เดิม เด็กชายเหมือนกำลังพิจารณาว่าชายตรงหน้าใช้คิมมูคยอมตัวจริงหรือเปล่า จากนั้นจึงหันมองรอบตัว
“นี่ไม่ใช่รายการซ่อนกล้องเหรอครับ”
“ไม่ใช่สักหน่อย”
เด็กสมัยนี้นี่ฉลาดดีจริงๆ และตอนนั้นเองเด็กชายถึงได้เริ่มเดินเข้ามา แล้วยื่นลูกฟุตบอลให้กับมูคยอม
เพราะก่อนหน้านี้ตอนให้ลายเซ็นเจ้าของบ้าน เขาเผลอเอาปากกาเมจิกติดใส่ประเป๋าเสื้อมาด้วย มูคยอมเลยหยิบปากกานั้นออกมาใช้เซ็นลงบนลูกฟุตบอล เพื่อให้ได้ความสูงที่ต้องการมูคยอมจึงคุกเข่าลงนั่ง แล้วยื่นลูกฟุตบอลคืนให้กับเด็กน้อย ก่อนจะถามออกไป
“หน้าไปโดนอะไรมาน่ะ”
“ทะเลาะกับเพื่อนมาครับ”
“ทำไมทะเลาะกันล่ะ”
“ไม่รู้สิครับ ผมไม่รู้ว่าเขาไม่พอใจอะไรกันหรือเปล่า ช่วงนี้พวกเขาไม่ยอมให้ผมเข้ากลุ่มด้วยเลย ตั้งใจว่าจะซื้อบอลลูกใหม่ไปเตะเล่นด้วยกันแท้ๆ”
เด็กน้อยมองลูกบอลในมือ กระพริบตาปริบๆ แล้วถามออกมา
“ถ้าเอาลูกบอลนี้ไปให้ พวกนั้นจะให้ผมเข้ากลุ่มไหมครับ”
“…ไม่รู้สิ ก็อาจจะให้ หรืออาจจะไม่ก็ได้”
มูคยอมเหม่อมองไปในอากาศ แล้วเปล่งเสียงออกมาเหมือนกำลังพูดอยู่คนเดียว
“บางทีคนที่อยากสนิทกับนายอาจจะเป็นเด็กคนอื่น ที่ไม่ใช่เพื่อนสนิทในตอนนี้ก็ได้… คิดแบบนี้เข้าไว้ สักวันอาจจะได้เจอคนที่เข้ากับนายจริงๆ”
มูคยอมไม่รอฟังคำตอบจากเด็กน้อย
“ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งหรอกนะ ที่ฉันคิดว่า ‘ทำไมชีวิตของฉันถึงได้ห่วยแตกแบบนี้’ … แต่ฉันก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป และคิดว่าวันพรุ่งนี้จะต้องดีกว่าเดิม จนสุดท้ายโอกาสก็เข้ามาหาฉัน แต่ถ้าเลือกที่จะยอมแพ้และใช้ชีวิตต่อไป ฉันก็อาจจะปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านไปโดยที่ไม่รู้อะไรเลยก็ได้… ดังนั้นนายก็ต้องห้ามยอมแพ้ แล้วก็อย่าปล่อยโอกาสให้หลุดมือด้วย”
“โอ้… ได้เลยครับ…”
เด็กน้อยที่ได้ฟังคำพูดยืดยาวของมูคยอมโดยไม่ทันตั้งตัวทำเพียงกระพริบตา และถามกลับ
“ผมเอาไปลงในแชทหรือโพสต์บนอินเทอร์เน็ตได้ไหมครับ ว่าวันนี้เจอนักเตะคิมมูคยอมระหว่างทาง”
“…ตามใจนายสิ”
“แล้วก็ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมครับ”
พูดเสร็จเจ้าตัวเล็กก็หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วไปยืนประกบข้างมูคยอม เมื่อกดถ่ายรูปเสร็จไปหนึ่งแชะ ก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมา
“ขอบคุณครับ!”
เด็กน้อยวิ่งออกไปด้วยความร่าเริง ราวกับว่าความเศร้าก่อนหน้าได้มลายหายไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นการทะเลาะกันในหมู่เด็กๆ ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร มูคยอมลากสายตามองตามไปจนเบื้องหลังของเด็กน้อยลับหายไป แล้วจึงหันกลับไปเบื้องหน้าหน้าอีกครั้ง เขาเงยมองร่มเงาของต้นไม้ที่ยังคงไร้ดอกเบ่งบาน
เวลาของการเป็นเด็กนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว สำหรับตัวเขาในช่วงวัยนั้น 1 วินาทีข้างหน้า 1 นาทีข้างหน้า 1 ชั่วโมงข้างหน้า หรือแม้แต่วันพรุ่งนี้ คืออนาคตที่ยาวไกลจนเหมือนจะต้องเฝ้ารอไปตลอดกาล แม้ในตอนนี้จะยุ่งเหยิงไปสักหน่อย แต่ใครจะรู้ว่า 10 นาทีหลังจากนี้อาจจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นก็ได้
เพราะมัวแต่ฝันถึงช่วงเวลา 1 วินาที 1 นาที 1 ชั่วโมงข้างหน้า และวันพรุ่งนี้ จึงไม่มีเวลาให้ได้ย้อนนึกไปถึง 1 วินาทีก่อน 1 นาทีก่อน 1 ชั่วโมงก่อน หรือเมื่อวานเลย เพราะแบบนี้ไหมนะ ความขุ่นเคืองที่เคยโดนพ่อแท้ๆ และครูใหญ่กลั่นแกล้งจึงแทบจะไม่เหลือให้เห็นอีกต่อไป มูคยอมก็แค่ไม่อยากจะเป็นเหมือนคนพวกนั้น
อนาคตคือสิ่งที่เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ หากมีสัตว์ประหลาดหรือหมูที่มาร้องอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ 10 วินาทีหลังจากนั้น มันอาจจะล้มพับไปเพราะไม่สามารถเอาชนะความโกรธของเขาได้ หรือ 30 วินาทีหลังจากนั้น อาจมีใครบางคนที่เที่ยงธรรมและแข็งแรงมากพอ เข้ามาช่วยชีวิตพวกเราไว้ก็ได้
แม้วันนี้จะทำพลาด แต่วันพรุ่งนี้เขาอาจจะขโมยกระเป๋าสตางค์ของเศรษฐีสักคนได้สำเร็จ หรือในวันมะรืนเขาอาจจะเจอกล่องสมบัติสักใบ ซึ่งมันอาจจะทำให้เขาได้ไปที่ไหนสักแห่ง แทนที่จะเป็นที่ตรงนี้ก็ได้
เขาเองก็ไม่รู้ว่าที่นั่นจะเป็นที่แบบไหน เพราะไม่เคยได้ย่างกรายเข้าไปสักครั้ง เลยทำให้ไม่สามารถวาดภาพถึงมันได้อย่างชัดเจนนัก แต่ก็เคยจินตนาการเอาไว้ลางๆ ว่าคงจะเป็นสถานที่ที่มีความสุขตลอดกาลและมีแสงงดงามรอคอยเราอยู่
แม้สิ่งที่เขาเคยวาดฝันไว้จะไม่เป็นจริงเลยสักอย่าง แต่ก็ใช่ว่ามันจะไร้ค่า เพราะท้ายที่สุดเส้นทางนี้ก็พาให้เขามาพบกับผู้จัดการทีมพัคจุนซอง และมาได้เป็นดาวเด่นในวงการฟุตบอล ทำให้ตัวเขาในช่วงเวลาหนึ่งก่อนหน้านั้นได้พบกับเด็กชายคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในบ้านที่มีดอกไลแลคเบ่งบาน และได้รับความช่วยเหลืออย่างหวุดหวิดจากสถานการณ์ที่เกือบจะพรากชีวิตของเขาไป
จนถึงตอนนั้น ทั้งหมดที่เขาทำมีเพียงการโอบกอดความหวังลมๆ แล้งๆ โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ฮ่าๆ
เสียงหัวเราะแผ่วเบาหลุดจากปากของมูคยอม เขายันตัวออกจากกำแพง แล้วเดินห่างไปสองสามก้าว ก่อนจะหันกลับไปมองที่ตัวบ้านอีกครั้ง บ้านที่เหมือนกับภาพวาดในหนังสือนิทาน บ้านที่เขาเพิ่งซื้อไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ และอีกไม่นานมันก็กำลังจะกลายเป็นของฮาจุน
อีฮาจุน
ความรู้สึกที่เรียกว่ารักจะมั่นคงสักแค่ไหน จะดำเนินตลอดไปจริงไหม แล้วคนอย่างฉันจะไม่สร้างบาดแผลให้นายไปจนสุดทางได้หรือไม่ เพราะแบบนี้ฉันเลยไม่รู้ว่านายจะอยู่เคียงข้างกันไปเรื่อยๆ หรือเปล่า… แม้จะทุ่มเททั้งหมดที่มี แต่พูดตามตรง ว่าฉันก็ยังไม่เชื่อมั่นในตัวเอง
เพราะว่าหัวใจของนายไม่ใช่สิ่งที่ฉันได้รับมา แต่มันคือสิ่งที่นายเป็นคนมอบให้ และเพราะว่าจนถึงตอนนี้นายยังไม่เคยคาดหวังอะไรจากฉันเลยด้วยซ้ำ เมื่อไหร่ที่รักซึ่งอยู่เพียงคนเดียวไม่ได้ลำบากอะไร หรือความรักของนายที่ต้องอยู่ข้างฉันกลายเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยใจ นั่นขึ้นอยู่กับใจของนายเพียงคนเดียวแล้ว เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่นายก็สามารถที่จะเก็บมันกลับไปได้เลย
แต่ความจริงที่นายช่วยชีวิตฉันไว้ก็ยังไม่เปลี่ยนผันและจะคงอยู่ไปตลอดกาล เรื่องนั้นไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอันขาด นายได้ช่วยชีวิตฉันไว้ ฉันเป็นหนี้บุญคุณนาย และมนุษย์เราก็ต้องรู้จักทดแทนบุญคุณคน
ช่างโชคดี ที่ต่อให้วันที่นายไม่ได้รักฉันจะมาถึง ฉันก็ยังคงมีเหตุผลที่จะรักนายและอยู่ติดกับนายต่อไปได้อีก
เย็นวันนี้ในตอนที่ได้เจอกัน เขาจะบอกฮาจุนว่าจะมอบสิ่งที่เจ้าตัวอยากได้ที่สุดให้ ในทีแรกฮาจุนอาจจะตกใจและบอกปฏิเสธ แต่ก็คงไม่สามารถบอกปัดของขวัญแบบนี้ไปได้จนจบแน่ๆ แค่ยืนกรานบอกไปว่าซื้อมาแล้ว จะให้ทำยังไงล่ะ ขอเงินคืนก็ไม่ได้หรอกนะ สุดท้ายฮาจุนก็คงจะยอมรับมันไว้ ไม่แน่ฮาจุนอาจจะบอกขอบคุณพร้อมพวงแก้มที่แดงระเรื่ออย่างน่ารัก หรืออาจจะโชว์ใบหน้าที่เคยบอกว่าจะให้ดูแค่แป๊บเดียว ให้เขาได้ดูนานกว่าเดิมก็ได้
นี่คือของขวัญที่เขาเตรียมอย่างสุดความสามารถ แม้จะแอบเสียดายที่ไม่สามารถนำมันกลับมาในสภาพเดิมทั้งหมดได้ก็ตาม มูคยอมค่อยๆ เคลื่อนเท้าเดินห่างจากตัวบ้าน ถ้าจะรอให้ดอกไม้บาน จะต้องใช้เวลาอีกครึ่งปีเลยสินะ
เมื่อดอกไลแลคเบ่งบาน ในตอนนั้นเขาคงจะต้องถามฮาจุนสักหน่อยว่าจำกันได้หรือเปล่า แต่ไม่ว่าคำตอบจะใช่หรือไม่ เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย เพราะต่อให้ฮาจุนจะจำกันไม่ได้ มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป
ในที่สุดมือขาวที่คว้าจับข้อมือของเขาไว้ ก็ได้พาเขามาถึง ‘ที่นั่น’ สถานที่ซึ่งเขาเคยเฝ้าฝันถึงมาตั้งแต่ยังเด็ก และในอนาคตข้างหน้าก็ถึงทีของเขาแล้วที่จะเป็นฝ่ายจับมือของฮาจุนบ้าง โชคดีเหลือเกิน ที่มันยังไม่สายเกินไป