Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 114
ขอบใจนะ คิมมูคยอม ที่เสียใจกับการไม่มีอยู่ของฉัน ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ขอบใจนะที่บอกว่าฉันเป็นพาร์ทเนอร์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับนาย แล้วก็ขอบใจนะที่บอกว่าเสียดายและคิดถึงช่วงเวลาที่เราเคยได้ลงสนามด้วยกัน ถึงจะไม่สามารถไปวิ่งข้างๆ นายได้อีก แต่ฉันก็หวังว่าตำแหน่งใหม่ที่นายมอบให้กัน จะมีความหมายสำหรับนายเหมือนกันนะ
จุดเริ่มต้นและจุดจบบนสนามหญ้าของฉัน ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ความจริงที่ว่านายคือเรื่องมหัศรรย์ตลอดกาลของฉันก็จะไม่เปลี่ยนไป
——————————————————
ปีนี้อากาศหนาวเร็วเป็นพิเศษ แม้จะเพิ่งกลางเดือนพฤศจิกายน แต่ตื่นเช้ามาก็เริ่มมีไอเย็นออกจากปากแล้ว
ฮาจุนซึ่งสวมที่อุ่นคออยู่กำแบมือของตัวเองที่อยู่ใต้ถุงมือ เมื่อก่อนนี้เขาคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้รู้สึกหนาวขนาดนี้กับอากาศแบบนี้ แต่หลังอาการบาดเจ็บนั้น เขาก็งีบตอนเช้าบ่อยขึ้น แถมยังมีเรื่องที่ต่างไปจากเดิมคือเขาไวต่ออากาศหนาวขึ้นมาก ต่อให้บอกว่าหายดีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าร่างกายของฮาจุนก็ไม่ได้กลับมาสมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เหมือนกับว่าถูกเจาะรูใหญ่ๆ เอาไว้เลย และเมื่อไหร่ก็ตามที่สัมผัสได้ถึงอาการที่ยังหลงเหลืออยู่นั้น ฮาจุนก็ว้าวุ่นใจขึ้นมา
ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกถึงไออุ่นที่นาบเข้ามาบริเวณแผ่นหลัง แม้จะไม่ได้หันไปมอง ฮาจุนก็รู้ได้ในทันทีว่าเจ้าของไออุ่นที่ห้อมล้อมไปทั้งไหล่และหลังของเขาคือใคร เสียงที่ต่ำและอ่อนโยนกำลังหลอมละลายใบหูที่เย็นยะเยือกของฮาจุน
“หนาวมากเลยเหรอ”
“มันก็หนาวแค่ตอนเช้าแป๊บเดียวแหละ”
ถึงจะดีใจที่ได้อุณหภูมิร่างการช่วยขับไล่ความหนาวเย็น แต่เมื่อมูคยอมเริ่มถูไถใบหน้าเข้าที่ต้นคอและไหล่ของเขา ฮาจุนก็ต้องผลักออก
“ให้พอดีหน่อยสิ นี่มันที่สนามซ้อมนะ”
“ไม่มีใครเขาสนใจหรอกน่า”
“ฉันนี่ไงสนใจ”
ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังทะเลาะกัน แต่ลดเสียงลงจนไม่เหมือนการทะเลาะ ผู้จัดการทีมก็เป่านกหวีดเรียกเหล่านักเตะให้ไปรวมตัวกัน มูคยอมและฮาจุนออกวิ่งไปพร้อมกัน มูคยอมไปยังจุดของนักเตะ ส่วนฮาจุนก็รีบไปจับจองพื้นที่ข้างผู้จัดการทีม
เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เป็นการแข่งสุดท้าย ซึ่งฤดูกาลของทีมซิตี้โซลก็ได้จบลงไปอีกหนึ่งฤดูกาล แม้จะได้รับการยืนยันแล้วถึงผลชนะเลิศ แต่ซิตี้โซลก็ยังไปคว้าชัยชนะในการแข่งขันนัดสุดท้ายมาได้ และได้สร้างสถิติที่เข้าใกล้การชนะทุกครั้งได้แล้ว การแข่งขันสุดท้ายของซิตี้โซลได้สำเร็จลุล่วงลงไปภายใต้ความสนใจอันล้นหลามของผู้คน ถึงขนาดที่ว่าเกิดสงครามการแย่งบัตรชมขึ้นมาเลยทีเดียว หลังการแข่งขันจบลงมูคยอมก็ได้ไปเดินวนรอบสนามหนึ่งรอบ เพื่อบอกลาแฟนบอลของทีมซิตี้โซลและแสดงความรู้สึกขอบคุณ
และในตอนนี้ซิตี้โซลจะต้องหากลยุทธ์ที่จะมาอุดช่องว่างของมูคยอมที่จะไม่อยู่ตรงนี้อีกในฤดูกาลหน้า ต่อให้ขาดมูคยอมไปแค่หนึ่งคน แต่หากมีกลยุทธ์ล่ะก็ เกียรติยศที่ได้เป็นทีมชนะเลิศในฤดูกาลก่อนหน้าคงจะไม่มีทางย่อยยับแน่
การฝึกซ้อมเองก็จะสิ้นสุดลงในวันนี้ เหล่านักเตะก็เตรียมจะไปใช้วันหยุดพักผ่อนในช่วงหน้าหนาว ก่อนจะกลับมาฝึกซ้อมนอกสถานที่ ฮาจุนจ้องมองไปยังกลุ่มนักเตะที่กำลังวิ่งอยู่ โดยเฉพาะมูคยอม แล้วจึงลดระดับสายตาลงไปที่ปลายเท้า
…ฤดูกาลได้จบลงแล้ว
สัญญาของมูคยอมกับทีมซิตี้โซลจะจบลงในเดือนนี้ มูคยอมจะต้องกลับไปที่กรีนฟอร์ดในเดือนมกราคมที่ตลาดซื้อขายนักเตะในช่วงหน้าหนาวเปิด และช่วงเวลานี้มูคยอมก็คงกำลังเล่นเป็นกองหน้าตัวหลักในการแข่งขันสุดดุเดือดอย่างพรีเมียร์ลีกและแชมเปียนลีก ข่าวดังไกลมาถึงที่เกาหลีว่าคนที่นั่นต่างก็ร้อนรุ่มใจและรอคอยการกลับไปของมูคยอม
ความเป็นจริงที่เขาพยายามมองข้ามมาตลอดตอนนี้มันขยับเข้ามาใกล้และอยู่ตรงหน้าแล้ว มูคยอมจะต้องกลับไปที่ลอนดอน วันเวลาที่เหมือนฝันช่างแสนสั้นเสียเหลือเกิน เมื่อมูคยอมกลับไป แม้แต่ช่วงเวลาที่เคยเงียบเหงาหรือปวดร้าว เขาก็คงจะคิดถึงมันมากแน่ๆ
ล่าสุดนี้ฮาจุนกำลังพยายามที่จะเตรียมใจให้พร้อมล่วงหน้า คนคนนี้เป็นทั้งแฟนคนแรก เป็นทั้งมูคยอมที่เขาเฝ้ามองมาถึง 10 ปี ทุกครั้งที่พยายามสลัดความรู้สึกที่ติดอยู่กับฝันหวานในทุกๆ วัน ทุกครั้งที่ล้างหน้าช่วงเช้าของฤดูหนาวในห้องเดี่ยวที่ไม่มีแม้แต่น้ำอุ่น ความหนาวเย็นที่เคยได้สัมผัสก็แล่นริ้วเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ ราวกับว่าความรู้สึกนั้นจะฟื้นคืนอีกครั้ง แต่ตอนนี้เขาจะต้องทำใจให้ชินไปกับความหนาวเย็นนั้นให้ได้
“ขอบคุณมากเลยนะที่ทำงานหนักในฤดูกาลนี้ กลับไปพักผ่อนกัน แล้วเจอกันวันเรียกรวมตัวฝึกซ้อมนอกสถานที่”
“ขอบคุณที่ทำงานหนักเช่นกันครับ!”
หลังคำบอกลาของผู้จัดการทีม เหล่านักแตะก็ตอบกลับด้วยเสียงดังก้อง ก่อนจะกระจัดกระจายกันออกไป หลังจากที่ได้รับชัยชนะ พวกเขาทั้งทีมก็ได้ไปกินเลี้ยงกันมาแล้ว จากนั้นเหล่านักเตะต่างก็แยกกลุ่มที่สนิทกันไป แล้วรีบย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน
เมื่อสองสามวันก่อนหน้านี้ จองคยู มูคยอม และฮาจุน ทั้งสามคนก็ได้ไปสังสรรค์กันแค่สามคนแบบเบาๆ จองคยูที่ดูเหมือนพวกหัวโบราณที่ชอบพูดเรื่องแต่งงานของชายหญิงอยู่ทุกวัน กลับยินดีกับความสัมพันธ์ของมูคยอมและฮาจุนอย่างเกินคาด
‘ฉันดีใจนะที่ไอ้คิมมูคยอมที่ชอบร่อนไปทั่ว ได้ลงหลักปักฐานสักที ฮาจุนนายเองก็ด้วย พอเห็นนายได้คบกับคนที่ชอบฉันก็มีความสุข ฉันเองก็ไม่ต้องมานั่งจับตาดูพวกนายอีกแล้ว ไม่ใช่ว่ามันเป็นเรื่องดีๆ หรอกเหรอ’
ก็ถือว่าสมเหตุสมผล
“พี่มูคยอมครับ ก่อนไปก็ติดต่อมาด้วยนะครับ”
“อย่าลืมผมด้วยนะครับ”
เป็นเรื่องจริงที่ว่านี่คือวันสุดท้ายของการเป็นนักเตะในทีมซิตี้โซลของมูคยอม หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้ากันในห้องแต่งตัวเสร็จ เหล่านักเตะก็เข้ามาบอกลามูคยอมกันก่อนที่จะเดินออกไป มูคยอมเองก็ตอบกลับไปอย่างพอประมาณ และจะเตรียมตัวออกจากที่นี่
ระหว่างทางที่กำลังเดินไปยังลานจอดรถ เขาก็เห็นว่าฮาจุนกำลังยืนรอกันอยู่ ฮาจุนเดินมาจนถึงป้ายจอดรถประจำทาง โดยที่ไม่มีใครรู้ และก็ไม่ได้ขึ้นไปอยู่บนรถด้วย ซึ่งน่าจะนานพอตัวเลย เพราะว่าทุกคนคิดว่ามูคยอมกับฮาจุนสนิทมาก ดังนั้นต่อให้พวกเขาทำตัวเหมือนคู่รักมากแค่ไหน คนอื่นก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องที่แปลกอะไร และขณะที่เปิดประตูรถมูคยอมก็พูดขึ้น
“วันนี้เรามาฉลองการจบฤดูกาลแค่สองคนกันเถอะ ไหนๆ พวกงานเลี้ยงส่งวุ่นวายนั่นก็จบลงไปหมดแล้ว”
“เอาสิ
หลังได้ยินคำพูของมูคยอม ฮาจุนก็วาดยิ้มขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะพยักหน้าแล้วขึ้นรถ
เอาจริงๆ ฮาจุนก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะฉลองการจบฤดูกาลอะไรแบบนั้นเลยสักนิด แต่การที่ฤดูกาลนี้จบลงมันหมายความว่ามูคยอมจะต้องกลับไปที่ลอนดอนแล้ว ฮาจุนเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของมูคยอมที่ดูเหมือนว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ดีอกดีใจซึ่งต่างจากความรู้สึกของเขาในตอนนี้ จากนั้นเขาจึงเบนสายตากลับมา
มูคยอมกำลังโล่งใจใช่ไหมนะ
ถ้าไม่ใช่ผู้จัดการทีมพัค ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่มูคยอมจะต้องมาเหยียบประเทศเกาหลี ถ้าไม่นับรวมการแข่งขันสองสามนัดในช่วงแรก มูคยอมก็ไม่ได้เจอกับผู้จัดการทีมพัคเลย เพราะแบบนี้มูคยอมเลยอยากรีบกลับไปลอนดอนเร็วๆ แล้วเข้าร่วมลีกยุโรปจนตัวสั่นไปหมดแล้ว
ตอนนี้ใบของต้นไลแลคร่วงเกือบจะหมดต้น จนมันเริ่มที่จะโล่งตา นี่เป็นบ้านที่ฮาจุนอยากกลับมามากก็จริง แต่ภาพที่ได้เห็นกลับทำให้รู้สึกเงียบเหงา มากกว่าที่จะรู้สึกยินดี ถึงแม้จากสนามซ้อมมาจะไกลกว่า แต่ช่วงนี้เขาก็มาที่นี่บ่อยกว่าที่จะไปบ้านของมูคยอมเสียอีก
“ดื่มนี่สิ”
เมื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ มูคยอมก็พาฮาจุนมานั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะ มูคยอมยื่นขวดไวน์ให้กับฮาจุน ซึ่งไม่รู้ว่าเอาเวลาที่ไหนไปเตรียมมา จากนั้นของเหลวใสสีแดงเข้มก็ถูกเติมเต็มลงในแก้วไวน์ผิวบางใสโดยไร้เสียง
มูคยอมที่ในตอนนี้อยู่ในสถานะแฟนของเขาเป็นคนที่ละเอียดอ่อนและใส่ใจมาก มากเสียจนฮาจุนไม่รู้ว่าควรจะต้องบอกว่าคาดไม่ถึง หรือบอกว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจกันแน่ เมื่อครั้งที่ผ่านมาฮาจุนได้รับการต้อนรับเป็นคอร์สอาหารพร้อมทั้งไวน์หลายประเภท มูคยอมไม่แน่ใจว่าฮาจุนจะจำไวน์ที่อร่อยที่สุดท่ามกลางไวน์เหล่านั้นได้ไหม แต่ในวันนี้เขาก็ได้เตรียมไวน์แบบเดียวกันนั้นมาให้สำหรับเราสองคน
“เป็นไงบ้าง”
“อร่อย”
หลังจากชนแก้วเบาๆ ฮาจุนก็ยกขึ้นจิบ ก่อนจะยิ้มแล้วตอบออกมา ฮาจุนมองลงไปในแก้วและเอียงหัวน้อยๆ
“รสชาติมันต่างจากตอนนั้นนิดๆ นะ แต่ก็เหมือนกันเลย ทำไมล่ะ”
“เก่งเหมือนกันนะเนี่ย เพราะว่าครั้งนี้ฉันไม่ได้ดีแคนต์หรือถ่ายไวน์ออกจากขวดมาพักก่อนไง ถ้าทำแบบนั้นรสชาติมันจะจางน้อยกว่านี้ คราวหน้าฉันคงต้องเตรียมให้เนี๊ยบกว่านี้แล้วสินะ”
ฮาจุนไม่เข้าใจเลยสักนิดว่ามูคยอมกำลังพูดเรื่องอะไร เขาก็ทำเพียงแค่ยิ้มและมองกลับไป ถึงรสชาติมันจะต่างไปจากตอนนั้น แต่วันนี้ก็อร่อยมากพอแล้ว มูคยอมวางแก้วไวน์ลง แล้วจึงพูดถ้อยทำคำที่เข้ากันได้ดีกับการส่งท้ายฤดูกาลแบบนี้
“โค้ชอี ขอบคุณที่ทำงานหนักตลอดฤดูกาลนี้เลยนะ”
“ฉันทำอะไร เรื่องโค้ชน่ะ โค้ชคนอื่นช่วยเยอะกว่าฉันอีก”
“อย่าถ่อมตัวสิ นายก็รู้นี่ ว่าถ้าไม่มีนายสักคน ฉันจะต้องขยับตัวแบบผิดๆ แน่”
ได้ยินแบบนั้นฮาจุนก็แค่นหัวเราะออกมา ต่อให้จะพูดแบบนั้น เขาก็วาดภาพของมูคยอมไว้แล้ว ว่าเมื่อกลับไปที่กรีนฟอร์ด มูคยอมจะสยายปีกบินไปได้ไกลกว่าใครแน่ๆ
การที่รับรู้ว่ารสชาติของไวน์ต่างออกไป ฮาจุนคิดว่าบางทีมันอาจจะไม่ใช่เพราะว่าการดีแคนต์อะไรที่มูคยอมพูดหรอก แต่เพราะความแห้งผากในปาก ที่ทำให้ไม่ว่าจะกินอะไรเข้าไปก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องยากในการรับรสที่ควรจะได้ ฮาจุนยกไวน์ขึ้นจ่อที่ปากอีกครั้ง และมูคยอมก็เปิดปากพูดขึ้นมาก่อน
“ฤดูกาลก็จบไปแล้วนี่ ฉันก็ต้องพูดอะไรแบบนี้สิ”
“…”
“ถึงฉันน่าจะพูดกับนายให้เร็วกว่านี้… แต่ฉันก็อดทนเก็บมันไว้ เพราะคิดว่าในช่วงฤดูกาลนายน่าจะอยากจดจ่อไปกับทีม”
“อื้อ”
“กลางเดือนธันวาฉันจะต้องกลับไปที่ลอนดอนแล้วนะ เพราะต้องไปรวมตัวกันตั้งแต่เดือนมกราเลย”
คำพูดที่เหมือนกับการแจ้งให้ทราบ ทำเอาฮาจุนพยักหน้าช้าๆ และยิ้มออกมา เขาพยายามทำเสียงให้สดใส และถามกลับไป
“ถ้าอย่างนั้นนายไม่ต้องรีบไปให้เร็วกว่าเดิมเหรอ อย่างน้อยก็เผื่อเวลาสักเดือนให้ปรับตัวกับสถานที่ ฉันว่าน่าจะดีกว่านะ”
“ฉันเคยอยู่ที่นั่นมาหลายปีแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานขนาดนั้นหรอก”
ฮาจุนแอบสูดหายใจเข้าเบาๆ ไม่ให้มูคยอมได้ยิน สำหรับมูคยอม 1 ปีที่ผ่านมานี้ เป็นช่วงเวลาที่เจ้าตัวหลุดออกมาจากวงโคจรที่จะได้พัฒนาขึ้นไป
ในตอนนี้มูคยอมเองก็คุ้นชินกับการใช้ชีวิตในเกาหลี และเริ่มยอมรับบทบาทของตัวเองในทีมซิตี้โซล และช่วงเวลาที่ได้ใช้อยู่เคียงข้างเขา แต่เมื่อกลับไปยังลอนดอน มูคยอมจะต้องรับรู้อย่างแน่นอน ถึงความจริงที่ว่าที่นั่นคือตำแหน่งของมูคยอมมาตั้งแต่แรก และเป็นโลกที่แท้จริงของเขา
แม้จะพยายามไม่คิดแบบนั้น แต่ทันทีที่ไปถึงมูคยอมก็อาจจะลืมกันไปเลยก็ได้ มันเป็นความกังวลที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ต่อให้เป็นคนที่ไม่มีประสบการณ์ความรักอย่างเขา ฮาจุนก็พอจะรู้อยู่ว่ามีคู่รักที่เมื่อห่างไกลจากสายตากันไป ใจของทั้งคู่ก็ห่างตามไปด้วยเช่นกัน
ชีวิตประจำวันที่สวยงามที่เคยได้ยินในทุกๆ วันจากอีกฝั่งของทะเล หรือแม้แต่สนามหญ้า ก็คงจะเฝ้ารอการกลับมาของมูคยอม ช่างน่าสงสัยว่ามูคยอมที่กลับไปยังลอนดอน จะโหยหาแค่เขามากมายเหมือนในตอนนี้ไหม เมื่อเขาที่ถูกทิ้งเอาไว้ที่โซล คนที่มีความต้องการทางเพศเหลือล้นจนแทบจะต้องนอนกับใครสักคนทันทีที่จบการแข่งขัน แล้วในตอนที่ไม่มีเขาอยู่ข้างๆ ล่ะ จะเป็นถึงขนาดไหน…
ขณะที่คิดเรื่องนั้น ฮาจุนก็รู้สึกเหนื่อยที่จะต้องวาดยิ้มต่อบนใบหน้า จึงเปลี่ยนไปจ้องมองมูคยอมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แล้ววางแก้วไวน์ลง
“คิมมูคยอม”
“หืม”
“…จริงๆ ฉันทำตัวดื้อใส่นายได้นะ…”
“ดื้อเหรอ ลองสิ ให้ฉันได้ชมอีฮาจุนตอนดื้อหน่อย”
ถึงจะพูดยาก แต่มูคยอมก็กระตุกยิ้มออกมา พร้อมรอดูด้วยสีหน้าสนอกสนใจ ฮาจุนกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เลียริมฝีปากอีกหนึ่งครั้ง ก่อนจะค่อยๆ พูดต่อ
“ต่อให้กลับไปที่นู่น… นายช่วยไม่ไปนอนกับคนอื่นอีกได้ไหม”
ตาของมูคยอมเบิกโตขึ้นในทันที แม้ฮาจุนจะพยายามหลบสายตาที่มองมา แต่ก็ยังไม่หยุดที่กำลังพูด
“บางทีฉันก็อาจจะทำไม่ได้ และมันก็เป็นคำขอที่ยากเกินไป แต่ต่อให้นายกลับไปแล้ว เราก็ยังคบกันอยู่นะ… ต่อให้เราอยู่ห่างกัน ฉันก็หวังว่านายจะไม่ไปนอนกับคนอื่น”
ฮึ ฮาจุนได้ยินเสียงแค่นหัวเราะของมูคยอม เหมือนกับว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องไร้สาระ ฮาจุนไม่สามารถที่จะมองตามูคยอมได้ และเอาแต่ก้มมองไปที่โต๊ะด้านหน้า ก่อนที่เสียงเย็นยะเยือกจะลอยเข้าหู
“นี่นายกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย”
“แต่ถ้าไปงานปาร์ตี้หรืออะไรแบบนั้น ก็พอได้อยู่นะ แต่ฉันหวังว่านายจะไม่ไปงานพวกนั้นจนกว่าจะกลับมา ช่วงนี้ฉันเองก็คิดเรื่องนี้เยอะมากเลย ถ้าเป็นขนาดนั้นฉันว่าฉันคงรับไม่ไหวแน่ๆ”
“อย่ามายิ้มนะ อีฮาจุน”
คำพูดเริ่มฟังดูไม่นุ่มนวล มูคยอมคงจะโมโหแล้วแน่ๆ ฮาจุนเหลือบมองขึ้นไป แอบพิจารณาใบหน้าบึ้งตึงของมูคยอม ก่อนที่จะลากสายตากลับมา จากนั้นเขาจึงเอาแต่ลูบไปที่ก้านแก้วที่ยังคงมีไวน์เหลืออยู่
“ฉันพูดไม่ออกเลยจริงๆ นี่คือเรื่องที่นายจะพูดกับฉันเหรอ มาพูดตอนนี้เนี่ยนะ”
“…ขอโทษ”
“ส่วนเรื่องที่นายก็ต้องรู้ คือเรื่องที่นายชอบทำให้คนอื่นตกใจเพราะเสียงปลุกอยู่เรื่อยเลย ตอนนี้ฉันจะโมโหแล้วนะ”
“ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะยั่วโมโหนายสักหน่อย”
มูคยอมลุกออกจากที่นั่ง เดินอ้อมโต๊ะมาเข้ามาใกล้เขา ฮาจุนสะดุ้งเฮือกและเงยหน้ามานิดๆ จากนั้นจึงมองขึ้นไปยังมูคยอมที่มายืนอยู่ข้างๆ โดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว สีหน้าที่มีรอยยับย่อนเกิดขึ้นระหว่างคิ้ว ดูออกชัดเลยว่ามูคยอมกำลังอารมณ์ไม่ดี
ตอนนี้เหลือเวลาที่จะใช้ด้วยกันอีกไม่มากแล้ว แต่ฮาจุนก็ยังมาพูดเรื่องไร้ประโยชน์ ฮาจุนรู้สึกเสียใจขึ้นมาที่เลือกจะพูดออกมา ในช่วงเวลาก่อนที่มูคยอมจะกลับไป ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ไม่มากนี้ เขาไม่อยากทำให้มูคยอมต้องมาอารมณ์เสียเลย
มูคยอมที่เดินเข้ามาใกล้ก้มมองฮาจุนด้วยสีหน้าที่ไม่ชอบใจนัก สูดหายใจหนึ่งครั้ง แล้วจึงนั่งคุกเข่าลง จากสายตาของฮาจุนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ตอนนี้ชายตัวสูงใหญ่กำลังก้มมองอยู่ที่ช่วงเท้าของเขา และในตอนนั้นเองฮาจุนก็เพิ่งสังเกตเห็นว่ามูคยอมถือกล่องอะไรสักอย่างมาด้วย
“ไหนเอาเท้ามาให้ดูหน่อย”
เพราะเรี่ยวแรงที่หดหายไป ต่อให้มูคยอมจะพูดออกมาแบบนั้น ฮาจุนก็ไม่สามารถที่จะขยับตัวได้ และได้แต่นั่งอยู่เฉยๆ เห็นแบบนั้นมูคยอมก็ใช้มือยกเท้าของฮาจุนขึ้นมาวางบนตัก แล้วเปิดกล่องที่ถือมา
มูคยอมจับบางอย่าง เขาจึงได้เห็นว่าข้างในกล่องมีรองเท้าฟุตบอลคู่ใหม่อยู่ มูคยอมหยิบมันออกมาถือไว้
“นี่คือตัวต้นแบบรองเท้ารุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นคู่เดียวที่มีชื่อฉันสลักอยู่ มันจะถูกวางขายในฤดูกาลหน้า ตอนเอาไปวางขายมันจะไม่เป็นแบบนี้ ดังนั้นรองเท้านี่มีแค่คู่เดียวบนโลก”
มูคยอมสวมรองเท้าเข้ากับเท้าที่วางอยู่บนเข่าของตัวเอง ขนาดของมันตรงกับเท้าของฮาจุนอย่างพอดิบพอดี
ขณะที่ฮาจุนกำลังจ้องมองด้วยดวงตาเบิกโต มูคยอมก็เริ่มผูกเชือกรองเท้าให้ และในตอนนั้นเองฮาจุนที่เพิ่งตั้งสติไว้ว่ามูคยอมกำลังทำอะไร ก็อ้าปากออกน้อยๆ
ตอนนี้มูคยอมกำลังมีสีหน้าที่เขินอาย ซึ่งไม่มีให้ได้เห็นบ่อยนัก คนที่นั่งคุกเข่าอยู่เงยหน้าขึ้นมองฮาจุน ก่อนจะถามขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ฉันหึงตัวเอง นายยังใจเต้นเหมือนเมื่อตอนม.ต้นไหม เอาจริงๆ มันควรจะดีกว่าตอนนั้นนะ แต่บรรยากาศดันโดนทำพังซะได้”
“…”
“ถ้านายอยากจะศึกษาเกี่ยวกับโค้ชกายภาพอย่างจริงจัง ถ้าจะอยู่ในเกาหลีอย่างเดียวมันก็มีข้อจำกัด นายเองก็รู้ดีที่สุดนี่ ไปด้วยกันเถอะ ที่อังกฤษมีสถาบันที่เปิดคอร์สผู้เชี่ยวชาญด้วย แถมในทีมกรีมฟอร์ดยังมีประกาศว่าต้องการโค้ชฝึกงานด้วย เนี่ยฉันบอกนายหมดแล้วนะ”
ฮาจุนไม่สามารถที่จะกลั่นกรองคำพูดของมูคยอมเข้าหัวได้ในทันที เขาเหม่อมองมูคยอมอยู่สักพัก ก่อนที่จะสติจะค่อยๆ กลับมา จากนั้นฮาจุนจึงได้พึมพำตอบออกมา
“ไม่สิ ฉันไปไม่ได้หรอก… แม่ก็สุขภาพไม่ดี น้องก็ต้องเข้ามหาลัย’ ถ้าฉันไม่อยู่…”
หลังจากผูกเชือกรองเท้าข้างซ้ายเสร็จ มูคยอมก็เงยหน้ามองฮาจุน แล้วประทับริมฝีปากลงบนหัวเข่าของคนที่นั่งเหนือกว่า ฮาจุนสะดุ้งเฮือกขึ้นมา จากนั้นมูคยอมจึงพูดขึ้นราวกับกว่ากำลังตำหนิ
“นายจะทำตัวเป็นแค่ถุงเงินในบ้านไปถึงเมื่อไหร่กัน แต่ถึงนั่นจะเป็นปัญหา ตอนนี้มันก็ถูกจัดการแล้วนี่ นายจับแฟนที่มีเงินถุงเงินถังได้แล้วแท้ จะมากังวลอะไรอีกล่ะ”
“…”
“หรือไม่อย่างนั้น… อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย ตอนนั้นจะได้ไปด้วยกันหมดก็ได้ น้องสาวนายมินคยองน่ะ เขาเรียนเก่งนะ แล้วก็ดูเหมือนจะตั้งเป้าหมายเอาไว้ใหญ่เลยด้วย นายก็ลองบอกเขาดูสิว่าให้ลองคิดเรื่องไปเรียนต่อที่อังกฤษหรือเยอรมันดู ถ้าไม่อยากไปยุโรปก็ไปอเมริกาก็ได้ ฉันรู้ว่านายก็กังวลเรื่องแม่ด้วย ไว้ค่อยไปตอนที่นายอยากจะไปก็ได้ หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็ไปชวนแม่ไปด้วยกันเลยเป็นไง”
และมูคยอมก็หยิบรองเท้าอีกข้างออกมา