Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 124
“ฉันว่าจะเข้าเรียนที่สถาบันสอนภาษาตั้งแต่วันนี้เลย”
มูคยอมเบ้ปากด้วยสีหน้าราวกับพังทลาย แต่ตอนนั้นฮาจุนคือคนที่ใจร้อนมากที่สุด และไม่นานมูคยอมก็เข้าใจและยินยอม เพราะจากนี้ไปฮาจุนจะอยู่ที่นี่ต่อ ยังมีโอกาสอีกมากมายนับไม่ถ้วนกำลังรออยู่ มูคยอมไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
เขาลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนสอนภาษาไว้ล่วงหน้า เพื่อให้อีกคนสามารถเข้าเรียนได้ทันทีที่มาถึง ตามความต้องการของฮาจุนที่ไม่อยากหยุดเรียนภาษาอังกฤษ ที่เรียนมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่เกาหลี เหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ก่อนไปทำงานที่กรีนฟอร์ด
“ไม่หิวเหรอ กินมื้อเช้าก่อนค่อยไปนะ”
“อื้อ”
คนที่ต้องออกไปข้างนอก ไม่ได้มีแค่ฮาจุนคนเดียว วันนี้มูคยอมก็มีซ้อมตามปกติเหมือนกัน ฮาจุนสวมชุดคลุมอาบน้ำตัวหนาทับร่างกายที่เปลือยเปล่า ก่อนเดินตรงไปที่ห้องครัว
คฤหาสน์หลังนี้ดูใหญ่โตโอ่อ่า จนเขานึกสงสัยว่าสถานที่อย่างห้องครัวนั้น จะเป็นเหมือนกับที่เขาเคยเห็นในหนังหรือเปล่า ภายในมีครัวและโต๊ะแบบโมเดิร์นที่กว้างขวางและเป็นระเบียบถูกวางเอาไว้ อย่างที่มูคยอมเคยบอกว่าเขาปรับเปลี่ยนให้ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น
“ฉันชอบกินมื้อเช้าง่ายๆ ที่นี่ละ มีห้องทานอาหารแยกด้วย แต่ฉันขี้เกียจย้ายอาหารไปกินที่นั่น”
“อื้อ ฉันก็ชอบ”
มูคยอมสวมกางเกงกีฬาขาสั้นเพียงตัวเดียว ต่างจากฮาจุนที่สวมชุดคลุมอาบน้ำ เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยได้รูป ฮาจุนเห็นมูคยอมที่สวมผ้ากันเปื้อนทับบนร่างเปลือย แล้วเกือบจะพ่นน้ำที่ดื่มเข้าไปออกมา มูคยอมหัวเราะคิกคัก
“เซ็กซี่เกินไปเหรอ มอนิ่งเซ็กซ์กันตรงนี้สักรอบไหมล่ะ”
ฮาจุนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินพลางกระแอมไอครั้งสองครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย
“นายจะทำอาหาร”
“ของง่ายๆ น่ะ”
เขาคิดว่าตอนอยู่ที่โซลอีกฝ่ายจะสั่งอาหารมากินตลอด นั่นก็แค่ ‘ชั่วคราว’ ด้วยงั้นเหรอ คิมมูคยอมในตอนนั้นไม่รู้ว่าอยากจะทิ้งตัวเขาไว้ที่เกาหลีหรือเปล่า พอคิดได้อย่างนั้นฮาจุนก็ลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวฉันช่วยเอง”
“ไม่มีอะไรให้ช่วยหรอก วันนี้รอกินก็พอ”
เมื่ออีกคนว่าอย่างนั้น ฮาจุนจึงนั่งมองมูคยอมทำอาหารอยู่ใกล้ๆ แม้แต่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย มือใหญ่ก็ขยับได้อย่างชำนิชำนาญ
มูคยอมหั่นมะเขือเทศ หัวหอม และผักโขมออกเป็นชิ้นเท่าๆ กันบนเขียงจนเกิดเสียงฉับๆๆ ก่อนจะตอกไข่ แล้วหยิบเบค่อนที่อยู่ในช่องแช่แข็งออกมาจากภาชนะสุญญากาศ และวางลงบนกระทะตามลำดับอย่างไร้ที่ติ ฮาจุนจ้องมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกประทับใจ ถ้าเป็นเขา เขาคงทำอะไรหกหรือทำไหม้ไปบ้างแล้ว
ขณะที่ฮาจุนกำลังทอดสายตามองนิ้วยาวที่ขยับเคลื่อนไหวอย่างพิถีพิถัน อีกฝ่ายก็หันหลังให้เขา ฮาจุนจึงมองเห็นกล้ามเนื้อหลังที่ขยับทุกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายเขย่ากระทะ ระหว่างสายคล้องคอและสายผูกเอวของผ้ากันเปื้อนได้อย่างชัดเจน ฮาจุนจิบนมที่มูคยอมรินให้เขาดื่มพลางเท้าคางมองอีกคน วิวสวยแต่เช้าเลย
“เป็นยังไง”
“อร่อย”
ฮาจุนกินไข่เจียวใส่ผักและเบค่อนย่างกับสลัดเต้าหู้ พลางอุทานออกมาด้วยความชื่นชม พอได้กินแล้ว ความคิดที่ว่าโลกนี้มันช่างไม่ยุติธรรมก็ผุดขึ้นมาในหัวเขา
“ทำอาหารเก่งด้วยเหรอ”
“มีอะไรที่มูคยอมทำไม่ได้บ้างล่ะ”
ฮาจุนตั้งใจจะล้างจานหลังทานอาหารเสร็จ แต่เขาก็ถูกห้ามเอาไว้ อีกฝ่ายบอกว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้ จะมีคนมาทำตอนที่พวกเขาไม่อยู่บ้าน สุดท้ายฮาจุนจึงก้าวหนักๆ ลุกออกไปจากห้องครัว
หลังจากอาบน้ำและเตรียมตัวออกไปข้างนอกเสร็จ มูคยอมก็ถามขึ้นขณะที่พวกเขากำลังเดินไปที่โรงรถ
“จะขับรถเหรอ ตอนนี้นายคงยังไม่ชิน ให้ฉันไปส่งดีกว่าไหม”
“รบกวนด้วยนะ ฉันกลัวนิดหน่อย เพราะตำแหน่งที่นั่งคนขับไม่เหมือนกันน่ะ ฉันคงต้องฝึกขับรถหน่อยแล้ว”
ถึงแม้ฮาจุนจะมีใบขับขี่ และบางครั้งเขาก็ขับรถแทนรุ่นพี่อยู่บ้าง แต่เพราะไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ฮาจุนจึงไม่ชินกับการขับรถเท่าไรนัก เขายังไม่กล้าขับรถในดินแดนอันไกลโพ้นอย่างลอนดอน มูคยอมหัวเราะพลางหยิบกุญแจออกมา
“ฝึกขับรถก็ดีนะ ถ้าอย่างนั้นเราไปตระเวนเที่ยวกัน แล้วให้อีฮาจุนฝึกขับรถไปในตัวด้วยดีไหม”
ฮาจุนยังเหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ก่อนเริ่มงาน ทั้งสองตั้งใจวางแผน เพราะพวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ช่วงเวลานั้นให้คุ้มค่าที่สุด หลังจากฮาจุนเรียนที่สถาบันสอนภาษาเสร็จ และก่อนหรือหลังจากมูคยอมฝึกซ้อมเสร็จ พวกเขาต้องใช้เวลาที่เหลือไปเที่ยวด้วยกัน ดังนั้นการวางแผนที่รัดกุมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
เขาเป็นมนุษย์ประเภทที่ชอบวางแผนการเดินทางมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่เรื่องนี้เขากลับคิดว่ามูคยอมน่าจะเป็นพวกที่ชอบทำตามอารมณ์ตัวเองมากกว่า ทว่าหลังจากพูดคุยกัน ฮาจุนก็พบว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายเป็นคนจำพวกเดียวกัน ไม่รู้ทำไมเขาถึงดีใจ อันที่จริงมูคยอมก็เป็นคนที่รอบคอบไปทุกอย่าง และมีความเป็นเพอร์เฟคชันนิสท์ในเรื่องที่ตัวเองสนใจอยู่แล้ว
เพราะวันนี้เป็นวันแรก คลาสเรียนของโรงเรียนสอนภาษาจึงเป็นเหมือนการปฐมนิเทศมากกว่า บรรดานักเรียนจากหลากหลายประเทศต่างแนะนำตัวด้วยความเคอะเขิน หลังจากได้ฟังหลักสูตร และอ่านเอกสารประกอบการเรียนไม่กี่แผ่น คลาสเรียนในวันนั้นก็จบลง
ถึงกระนั้นฮาจุนก็เก็บกระเป๋าด้วยความพึงพอใจ เพราะเขารู้สึกว่าตนเองได้เริ่มต้นในสิ่งที่เขาตัดสินใจจะทำจริงๆ แล้ว ออกมารออยู่ที่หน้าตึกยืมรออยู่ที่หน้าประตู ตั้งใช้ว่าจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คแล้วแต่ก็รับรู้ได้ถึงการเข้าหาของคนด้านข้าง พอหันไปมองก็พบว่ามีชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันหน้าตาเป็นมิตรยืนอยู่ เขามีทีท่าเขินอายเล็กน้อยแต่ก็พูดขึ้นด้วยความสดใส
“สวัสดีจุน ตอนที่แนะนำตัวนายพูดชื่อน่ะ จำได้หรือเปล่า ฉันอู่เฉินนะ ได้ยินว่ามาจากเกาหลีใช่ไหม ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“อ่า อืม ยินดีที่ได้รู้จัก”
“นายทำงานอยู่ที่กรีนฟอร์ดจริงๆ หรอ อิจฉาจัง ฉันชอบฟุตบอลมากๆ เลยล่ะ”
“อื้อ ยังอยู่ช่วงฝึกงานอยู่เลย…”
ขณะที่บทสนทนาลื่นไหลไปกับความรู้สึกยินดีเหมือนว่าสามารถหาเพื่อนได้ตั้งแต่วันแรกนั้นดำเนินอยู่ โทรศัพท์ในมือก็ดังขึ้น ฮาจุนขอตัวก่อนจะกดปุ่มรับสาย เป็นมูคยอมเอง
– เลิกหรือยัง
“อื้อ ออกมาข้างนอกแล้วล่ะ”
– วันแรก เป็นยังไงบ้าง
“ก็โอเคนะ แล้วก็นะ ฉันมีเพื่อนที่สถาบันสอนภาษาแล้ว”
– …หรอ ใกล้จะถึงแล้ว แนะนำให้ฉันด้วยนะ
“ห๊ะ เดี๋ยวสิ คิมมูคยอม”
จู่ๆ จะให้แนะนำงั้นหรอ ฟังเสียงสัญญาณขาดห้วงขณะที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจรถยนต์ที่คุ้นตาก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้า ประตูฝั่งคนขับเปิดออกเผยให้เห็นเจ้าของรถรูปร่างสูงโปร่ง สีหน้าเย็นชาและมีสายตาเฉียบคมที่ไม่ได้หาที่ไหนได้ง่าย ๆ ลงจากรถมาด้วยความสง่าผ่าเผย
“โค้ชครับ”
“เอ๊ะ เอ๋…… คิมหรอ”
มูคยอมไม่ได้พูดอะไรค่อยๆ ก้าวเข้าไปด้านข้างของอู่เฉินแล้วปรายตามอง
“คนนี้น่ะหรอ”
“ใช่ เพื่อนสถาบันสอนภาษาที่เจอกันวันนี้น่ะ ชื่ออู่เฉิน มาจากไต้หวัน”
“หืม……”
มูคยอมปราดตามองเขาคนนั้นด้วยหางต่างอย่างสงสัย ดูเป็นการกระทำที่ค่อนข้างจะเสียมารยาทไปสักหน่อยแต่สำหรับคนที่ชื่นชอบฟุตบอลอย่างอู่เฉินแล้วการเสียมารยาทของมูคยอมนั้นไม่เป็นปัญหาเลยแม้แต่นิดเดียว
“สวัสดีครับ คิม! ผมเป็นแฟนคลับของคิมเลยนะครับ พอได้มาเจอกันอย่างนี้รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยครับ ว้าว ได้ยินว่าจุนทำงานอยู่ที่กรีนฟอร์ดด้วยแต่ไม่คิดว่าจะสนิทกับคิมขนาดนี้….. ไม่ทราบว่าขอลายเซ็นต์หน่อยได้ไหมครับ”
“ครับ ผมก็เป็นเกียรติเช่นกันครับ”
เมื่อเทียบกับอู่เฉินที่เต็มไปด้วยดวงเป็นประกายและความยินดีแล้วท่าทีของมูคยอมก็รู้สึกไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวอะไร แต่กลับกันเขาก็ตอบรับอย่างมีมารยาทและเซ็นต์ให้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ยื้นสมุดโน็ตที่เซ็นต์แล้วให้กับอู่เฉิน มูคยอมค่อยๆ โอบหลังของฮาจุนเข้ามา
“ถ้าอย่างนั้น พวกเรายุ่งอยู่ ขอตัวก่อนนะครับ”
“ครับ! ขอบคุณมากๆ เลยครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ จุน เจอกันคาบหน้านะ!”
หันหลังให้เพื่อนใหม่ที่ดีใจจนเนื้อเต้น มูคยอมและฮาจุนก็ขึ้นรถไปด้วยกัน บทสนทนาของทั้งสองราบเรียบจนฮาจุนเองก็รู้สึกวางใจ อีกทั้งยังกังวลว่าจะสงสัยอะไรแปลกๆ หรือไม่หยิบเอามาเป็นประเด็นหรือเปล่าแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะคิดว่าเป็นการเซอร์วิสแฟนคลับอย่างหนึ่ง แต่ว่าพอขึ้นรถ สิ่งที่ออกมาจากปากของมูคยอมก็ไม่เป็นอย่างที่ฮาจุนคาดคิด
“เรื่องหมอนั่นไม่น่าห่วงเลยสักนิด”
“ทำไมล่ะ”
“ก็หน้าตาไม่ดี”
ฮาจุนได้แต่พูดอะไรไม่ออก การเอาเรื่องหน้าตาคนอื่นมาพูดแบบนี้ยังไงมันก็เป็นการเสียมารยาทมากๆ อู่เฉินในสายตาของฮาจุนแม้ไม่ได้มองว่าหล่อเหลาอะไรแต่ก็เป็นรูปลักษณ์ที่น่าประทับเลยทีเดียว
‘แต่ถ้าเข้าข้างอู่เฉินก็คงจะหัวเสียมากกว่านี้ล่ะมั้ง……’
ขอโทษเขาด้วยแต่ขอเลือกฝั่งอย่างเงียบๆ ก็แล้วกัน ระงับอารมณ์ที่อยากโต้กลับไปอย่างยากลำบาก แต่มูคยอมก็ยังไม่รู้ตัวเลยพูดต่อ
“ถึงหมอนั่นดูไม่น่ามีเจตนาแอบแฝงอะไรกับนายก็ต้องระวังตัวไว้ให้ดีนะ เข้าใจไหม”
“เฮ้อ เข้าใจแล้ว”
ฮาจุนตำหนิราวกับขอให้หยุด มูตยอมหัวเราะชอบใจก่อนจะโน้มตัวไปประทับริมฝีปากที่ข้างแก้ม ทันทีที่ริมฝีปากแตะกันฮาจุนก็อารมณ์ดีขึ้นแล้วพวกเขาจูบกัน ก่อนที่มูคยอมจะถามขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังไม่น้อย
“ที่สถาบันเป็นยังไงบ้าง ชอบไหม”
“อื้อ วันนี้เพิ่งวันแรกก็เลยได้แต่ปฐมนิเทศน่ะ”
ฮาจุนหัวเราะออกมาอย่างเหลือเชื่อ
“ทุกคนก็ทำตัวไม่ถูกกันหมด ได้แค่แนะนำตัวเท่านั้นเอง”
ทั้งสองยุ่งตั้งแต่วันแรก ตอนบ่ายมูคยอมเดินเลียบไปตามถนนข้างกายฮาจุน โดยมีเสื้อฮู้ดตัวโคร่งและแว่นกันแดดปิดบังใบหน้า
แต่ถึงจะปิดบังใบหน้าแบบนั้นแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเหลือบมองเขาเลย ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครที่ถึงกับเดินเข้ามาใกล้ เพื่อดูให้แน่ใจว่าเขาคือมูคยอมหรือเปล่า มูคยอมหัวเราะอย่างประหลาดใจ พลางยกแขนขึ้นพาดไหล่อีกคน
“เป็นอะไร”
“ฉันมาอยู่ที่นี่ได้สิบปีแล้ว แต่ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่ฉันตั้งใจมาสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้ ฉันเคยพาคุณลุงมาเที่ยวนะ แต่คุณลุงก็อยู่ไม่นานนักหรอก อะไรแบบนี้มันก็ตลกดี”
ทั้งสองค่อยๆ แวะชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ตามแผนที่วางเอาไว้ เช่น หอนาฬิกาบิ๊กเบน มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ และพระราชวังบักกิงแฮม ที่มองเห็นไกลๆ ตั้งแต่นั่งอยู่ในรถ แม้ตัวอาคารจะอลังการงานสร้าง แต่อาจเป็นเพราะสภาพอากาศที่มืดครึ้มไปนิด เขาถึงรู้สึกว่ามันคือความสวยงามที่หมองหม่นมากกว่าความหรูหรา สถานที่ท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวนั้น ถึงแม้จะเต็มไปด้วยผู้คน แต่ก็ยังมีกลิ่นอายของความโดดเดี่ยว ฮาจุนเผลอพูดกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว
“ช่วงนี้ยังเป็นฤดูหนาวอยู่ ที่ไหนก็หนาวไปหมดเลยแฮะ”
“นี่มันบรรยากาศของลอนดอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
มูคยอมตอบแบบนั้น พลางจับมือของฮาจุน หรือไม่ก็พาดแขนลงบนไหล่อีกคน ไม่คิดจะห่างกายไปไหน ฮาจุนเป็นคนเดียวที่วิตกกังวลว่าจะมีใครจำมูคยอมได้
พวกเขาถ่ายรูปด้วยกันหลายที่ด้วยโทรศัพท์มือถือ ก่อนที่พวกเขาจะเดินผ่านไปเห็นร้านขายของที่ระลึกเข้าพอดี ฮาจุนแวะเข้าไปที่นั่นครู่หนึ่ง เพื่อเลือกซื้อของขวัญที่จะส่งไปให้ครอบครัวของตน
“อันนี้น่ารักนะ เอาอันนี้สิ”
ระหว่างที่ฮาจุนกำลังมองดูพวงกุญแจหลากหลายดีไซน์มูคยอมที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็พูดขึ้น มันคือพวงกุญแจรูปตู้โทรศัพท์สาธารณะสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของลอนดอน ฮาจุนหัวเราะและหันมองอีกคน
“ถ้านายชอบ ฉันซื้อให้นายอันนึงดีไหม”
เขาอายที่จะถาม เพราะมันคงเป็นสิ่งของที่เล็กน้อยเกินไป สำหรับคนที่ใช้แต่ของแบรนด์เนมราคาแพงไปหมดทุกอย่างอย่างมูคยอม ดังนั้นฮาจุนจึงยิ่งรู้สึกขอบคุณ ที่อีกฝ่ายช่วยเลือกของขวัญให้เขาอย่างกระตือรือร้น จากนั้นมูคยอมก็เบิกตากว้าง
“โอ้ จริงเหรอ จะให้ฉัน”
“แค่นี้เอง จะเท่าไหร่…”
“ดีอยู่แล้วสิ! โค้ชอีจะให้ของขวัญฉันทั้งที”
มันเป็นของที่ระลึกที่สุดแสนจะธรรมดา แต่ฮาจุนกลับรู้สึกเขินอาย เพราะมูคยอมดูชอบมันมากกว่าที่คิด อีกฝ่ายรวยกว่าเขามาก เขาจึงยังไม่เคยให้ของขวัญที่สมกับเป็นของขวัญเลยสักครั้ง
แน่นอนอยู่แล้วว่าจำนวนเงินไม่ได้สำคัญเลยสำหรับของขวัญ ฮาจุนหน้าแดงเพราะรู้สึกละอายกับความใจแคบของตัวเอง ก่อนจะไปจ่ายเงิน
แล้วพวกเขาก็แวะตลาดขายอาหารที่มีร้านตั้งอยู่ริมทาง เคยได้ยินว่าที่อาหารที่อังกฤษไม่อร่อย แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย และฮาจุนก็ชอบฟิชแอนด์ชิปส์ด้วย พวกเขาแวะร้านที่มูคยอมชอบ และดื่มเบียร์อยู่ท่ามกลางกล่องกระดาษที่เต็มไปด้วยปลาและมันฝรั่งทอด ปกติแล้วมูคยอมเป็นคนที่ควบคุมอาหาร แต่ตอนเดทถือเป็นข้อยกเว้น
และแน่นอนว่าเขาไปชมการแข่งขันของกรีนฟอร์ดด้วย มูคยอมบอกว่าจะเตรียมที่นั่งวีไอพีให้เขาแล้ว แต่ฮาจุนก็ปฏิเสธไปด้วยความเกรงใจ ถึงเขาจะอยากรู้ว่าที่นั่งวีไอพีแบบที่เคยเห็นแต่ในทีวีนั้นของจริงเป็นยังไง แต่ฮาจุนก็อยากสัมผัสบรรยากาศที่แท้จริงแบบที่ควรจะเป็น ให้สมกับที่เป็นการแข่งขันที่กรีนฟอร์ดครั้งแรกที่ได้เห็นด้วยตาตัวเองสักหน่อย
ฮาจุนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ประเดประดังเข้ามาทันทีที่มาถึงสนามแข่ง และถึงแม้เขาจะรู้อยู่แล้ว แต่ความคึกคักของแฟนๆ รอบสนามนั้นกลับเกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้เสียอีก ในนั้นมีหลายคนที่สวมยูนิฟอร์มของมูคยอม และเขาก็ยังเห็นคนที่กำลังถือป้ายต้อนรับการกลับมาของมูคยอมอีกด้วย แถมยังมีคนที่ส่งเสียงเชียร์และตะโกนแผดเสียงเหมือนคนเมาเหล้าอีกต่างหาก มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหน้าตาเข้มงวดหลายนายประจำการอยู่ใกล้กับสนามแข่ง และฮาจุนคิดว่าตัวเองพอจะรู้ว่าทำไม
เป็นครั้งแรกฮาจุนจับตามองการแข่งขันพร้อมกับกอดหัวใจที่กำลังเต้นโครมคราม หลังจากเริ่มครึ่งแรกได้ไม่นาน มูคยอมก็ทำประตูได้อย่างน่าภาคภูมิใจ บรรดาผู้ชมต่างโห่ร้องด้วยความยินดี และหลังจากได้เห็นมูคยอมทำท่าฉลองที่ทำประตูได้ พวกเขาก็เริ่มส่งเสียงเบาๆ
[น่ารัก]
[ทำให้ฉันเหรอ]
ผู้ชมสองสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ฮาจุนต่างพากันตัวเราะคิกคักพร้อมกับรับส่งมุกตลกกัน ในระหว่างนั้นเองมูคยอมชูแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะ และทำท่าหัวใจดวงโต โชว์ให้ที่นั่งของผู้ชมฝั่งหนึ่งได้เห็น ไม่มีใครรู้ว่าความหมายที่แท้จริงของท่าทางที่มูคยอมทำนั้นคืออะไร ยกเว้นฮาจุนคนนี้ที่ใบหน้ากำลังขึ้นสีแดงเรื่อ
ทุกครั้งที่มีเวลาว่างเขาก็ซื้อของหลายอย่าง ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้า ถึงแม้บางครั้งมูคยอมจะหาเวลาไปช็อปปิง ทว่าบางครั้งถึงพวกเขาจะเที่ยวชมสถานที่อื่นกันอยู่ แต่หากอีกฝ่ายเห็นห้างสรรพสินค้าหรือช็อปขายสินค้าแบรนด์เนมขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็เป็นต้องชวนเสมอว่าไหนๆ ก็มาแล้วก็เข้าไปช็อปปิงกันเถอะ
ฮาจุนคงจะไม่ชินกับการช็อปปิ้งแบบที่เปิดประตูพรวดเข้าไป แล้วใช้เงินจนต้องอ้าปากค้าง ทิ้งไว้แต่ที่อยู่เพื่อรับสินค้า ก่อนจะออกไปมือเปล่า ฮาจุนเพิ่งจะมาถึงได้ไม่กี่วัน ทั้งห้องแต่งตัวและในแต่ละห้องของคฤหาสน์ใหญ่โตนั้นก็เต็มไปด้วยของฮาจุนที่่ซื้อเข้ามาใหม่ไม่รู้จบ
เวลาเที่ยวเล่นผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับลูกศรที่แล่นฉิว ไม่ทันไรก็เหลือวันหยุดอีกแค่หนึ่งวันก่อนเริ่มงานเสียแล้ว ทั้งสองเดินวนรอบหอศิลป์แห่งชาติ ซึ่งเป็นเส้นทางสุดท้ายของแผนการเดินทางช้าๆ ตั้งแต่เช้า
พวกเขาไม่ได้มีความรู้ด้านการวาดภาพเป็นพิเศษ ทั้งสองจึงเดินช้าๆ และจริงจังกับการพูดคุยเรื่องไร้สาระ อย่างเช่น ภาพนี้ลงสีสวย สีหน้าของคนในภาพตลกดี แต่ระหว่างนั้น มูคยอมที่เพิ่งจะชื่นชมภาพนู้ดของวีนัสที่วาดขึ้นในช่วงปี 1500 ก็ถามขึ้นเหมือนนึกขึ้นได้
“นายจะไม่จัดการจริงเหรอ”
“หือ”
“ตรงนี้น่ะ”
มือของมูคยอมชี้ไปที่หว่างขาขาวผ่องของเทพี นี่อีกฝ่ายคิดเชื่อมโยงอะไรแปลกๆ กับภาพวาดที่ถือเป็นผลงานชิ้นเอกแห่งยุคตรงหน้างั้นเหรอ ฮาจุนมองไปรอบๆ แล้วรีบจับมือของอีกฝ่ายลง
“บอกว่าไม่ไง”
“พรุ่งนี้ต้องไปสนามซ้อมแล้วนะ จะไม่ทำจริงๆ เหรอ”
“ไม่ทำ “มันไม่เกี่ยวกับเรื่องซ้อมสักหน่อย ถึงนายจะบอกว่านักเตะทำกันทุกคนก็เถอะ แล้วก็ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นเป็นนักกีฬาด้วย”
มูคยอมไม่ถามต่อ อีกฝ่ายยักไหล่แล้วย้ายไปดูภาพถัดไป
* * *
และในที่สุดวันแรกของการทำงานก็มาถึงจนได้
ฮาจุนที่รู้สึกตื่นเต้นกำลังเดินตามหลังโค้ชรุ่นพี่ที่ช่วยนำทางเขาไปทั่วสนามซ้อม เขาต้องลำบากกับการควบคุมความรู้สึกประทับใจที่หลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง
เขาคิดอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนั้น แต่สิ่งอำนวยความสะดวกในประเทศนั้นเทียบไม่ได้เลยในทุกๆ ด้าน นอกเหนือจากสนามซ้อมกลางแจ้งแล้ว ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกในร่มที่น่าประทับใจเป็นพิเศษ นอกจากจะมีสระว่ายน้ำทั่วไปแล้ว ยังมีสระส่วนตัวสำหรับให้นักกีฬาบำบัดใต้น้ำ สปากายภาพบำบัด อุปกรณ์และเครื่องมือสำหรับการออกกำลังกายในร่มต่างๆ ตั้งแต่พิลาทิสไปจนถึงครอสฟิต และเครื่องกระตุ้นกล้ามเนื้อด้วยไฟฟ้า เป็นต้น แน่นอนว่าที่นี่มีทุกอย่างที่นักกีฬาต้องการ รวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับวัดสมรรถภาพทางกายที่ทันสมัยด้วย
ดีแล้วล่ะที่มา ฮาจุนรู้สึกภูมิใจในการเลือกของตัวเองอีกครั้ง
[ฝากด้วยนะ จุน หวังว่าคุณจะมีวันดีๆ ที่กรีนฟอร์ด]
[ครับแฮร์รี่ ฝากตัวด้วยนะครับ]
ฮาจุนยิ้มพลางจับมือกับโค้ชรุ่นพี่ที่ช่วยนำทางเขาเบาๆ เขาสามารถเข้าใจในสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพูดมากกว่าที่เคยกังวลเอาไว้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะตั้งใจพูดช้าๆ เพื่อช่วยเหลือฮาจุนที่เป็นชาวต่างชาติ
ป้ายชื่อที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษอยู่นั้นดูไม่คุ้นตา พลันหายใจเข้าลึกๆ เป็นระยะและพยายามอดกลั้นระงับหัวใจที่กำลังเต้นตูมตามพอได้สัมผัส
หลังจากกวาดตามองสิ่งอำนวยความสะดวกในร่มทั้งหมดแล้ว ฮาจุนก็เดินไปตามทางเดินไปเชื่อมไปยังสนามซ้อม ระหว่างทางเดินออกไปนั้น มีภาพนักเตะหลายคนจากอดีตจนถึงปัจจุบันของทีมแขวนอยู่บนผนังทั้งสองฝั่ง ฮาจุนมองผ่านภาพถ่ายด้านข้างของมูคยอมที่กำลังมองไกลออกไปที่ไหนสักแห่ง และออกมายืนอยู่ที่สนามซ้อมกลางแจ้งของกรีนฟอร์ด
มูคยอมปรากฏในกรอบสายตาของเขาอยู่ไกลๆ อีกฝ่ายยืนอยู่กับนักเตะสองสามคน พวกเขาพูดคุยกันและกำลังหัวเราะ
ในบรรดานักเตะ มีทั้งคนขาว คนดำ และบางคนก็ดูเหมือนจะมีเชื้อสายละติน และเพราะเขาไม่ได้เห็นคนที่เว้นระยะห่างและเข้ากับคนอื่นได้ยากอย่างที่เคยเห็นบ่อยๆ ที่ซิตี้โซลจากมูคยอม คนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ ความคิดหนึ่งจึงแวบเข้ามาในหัวของฮาจุน
อ่า สำหรับมูคยอมแล้วที่นี่คือบ้านจริงๆ สินะ
ฮาจุนเพิ่งได้ตระหนักว่ากว่าอีกฝ่ายจะยอมให้เขาอยู่ข้างๆ มูคยอมก็ต้องใช้เวลามากพอสมควรเหมือนกัน
ทุกคนต่างบอกว่ามูคยอมเข้าถึงยาก เพราะบุคลิกที่แข็งแกร่งและไม่เป็นมิตร พวกเขาพูดถูก แต่มูคยอมไม่ใช่แค่ไม่เป็นมิตร แต่เป็นคนที่ระมัดระวังมากต่างหาก
มูคยอมเปิดใจช้า เพราะไม่ไว้ใจใครง่ายๆ มูคยอมอยู่ที่กรีนฟอร์ดมาตั้งแต่อายุสิบเก้าปี และนั่นก็เกือบสิบปีแล้ว มูคยอมจึงแสดงท่าทีที่เป็นกันเองแบบนั้นออกมา
พอคิดอย่างนั้นแล้ว การที่เขากลายเป็นคนรักของอีกฝ่ายได้ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปีนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่พิเศษหรอกเหรอ
ฮาจุนรู้สึกภูมิใจเล็กๆ ก่อนจะรู้สึกเขินอายที่มาคิดอะไรแบบนี้อยู่คนเดียว ฮาจุนกระแอมไอและให้กำลังใจตัวเอง จากนั้นโค้ชรุ่นพี่ที่เดินเข้ามาใกล้ก็เตรียมที่จะแนะนำฮาจุนให้เหล่านักเตะได้รู้จัก ตั้งแต่ก่อนเขาจะได้พูดมูคยอมก็กำลังยิ้มด้วยความพึงพอใจ