Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 129
ฮาจุนเองก็กังวลในเรื่องเดียวกัน ดังนั้นในช่วงนี้เมื่อพวกเขามีเวลาว่าง ทั้งคู่ก็จะสนทนากันเป็นภาษาอังกฤษอย่างงุ่มง่าม แน่นอนว่าฮาจุนเก่งกว่ามากเมื่อเทียบกับมาร์โค พวกเขารู้สึกว่ามีปัญหาในการสื่อสารเหมือนกัน และจุดเชื่อมโยงทางจิตวิทยานั้นก็ช่วยกระตุ้นความสามัคคี เวลาที่ได้คุยกับมาร์โค ฮาจุนก็รู้สึกคลายความเครียดได้เหมือนกัน
“ทำอะไร”
มูคยอมที่เพิ่งออกจากห้องล็อกเกอร์ เดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างคนทั้งคู่โดยอัตโนมัติ ฮาจุนยิ้มและตอบกลับไป
“กำลังคุยกันอยู่ว่าเมื่อเช้ากินอะไรมา”
“บทสนทนาแบบเกาหลีเลยแฮะ ทำไมต้องอยากรู้เรื่องบนโต๊ะอาหารของชาวบ้านด้วยนะ”
มูคยอมดึงฮาจุนเข้ามากอดจากด้านหลัง พลางจ้องมองมาร์โคเขม็ง
เมื่อนักเตะรุ่นพี่ เอซ และดาวเด่นของทีมพูดภาษาที่ฟังไม่ออก และแสดงท่าที่เป็นปฏิปักษ์กับตนเอง มาร์โคจึงทำตัวไม่ถูก และลังเลอยู่ที่เดิม ครั้งนี้ฮาจุนช่วยตอบแทนคนที่เสียกำลังใจ
“มาร์โคก็พูดภาษาอังกฤษไม่เก่งเหมือนกัน และการพูดคุยเรื่องง่ายๆ ก็ช่วยพัฒนาทักษะการสนทนาด้วย ฉันก็เลยเช็คเมนูอาหารกันเป็นประจำอยู่แล้ว”
“โค้ชอี นายเป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษเหรอไง อุทิศตัวให้อาชีพหลักเถอะ จะสอนภาษาอังกฤษให้พวกนักเตะเลยเหรอไง”
“ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะสอน แต่ฉันก็ยังไม่เก่งภาษาอังกฤษเหมือนกัน คนไม่เก่งช่วยเหลือกันเอง มันก็ไม่แย่นี่”
พูดภาษาอังกฤษไม่ได้จริงๆ เหรอ มูคยอมสำรวจรอบตัวมาร์โค ราวกับกำลังพินิจพิเคราะห์สิ่งของ
ในทีมมีนักเตะชาวอเมริกาใต้อยู่ไม่กี่คน และส่วนใหญ่คนเหล่านั้นก็พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง แน่นอนว่าคนเหล่านั้นอาศัยอยู่ที่อังกฤษมาหลายปีแล้ว จึงไม่สามารถเปรียบเทียบพวกเขาในระดับเดียวกันกับมาร์โคได้
น่าสงสัย เขาอาจจะพยายามเอาชนะใจฮาจุน ด้วยการแสร้งทำเป็นพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ได้
ฮาจุนปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ได้เร็วกว่าที่คาดไว้ แต่เขาก็ยังมีปัญหาในการสื่อสารที่ละเอียดๆ อยู่บ้าง
โชคดีที่รุ่นพี่อย่างแฮร์รี่เป็นคนใจดี และหลังจากจัดการกับรายงานในวันนั้นๆ แล้ว ก็ยังมีการแบ่งปันการทำงานบนคลาวด์ ซึ่งถึงแม้มันจะไม่มีปัญหาอะไรมากมาย แต่ฮาจุนก็รู้สึกกระวนกระวาย อยากสนทนาให้คล่องแคล่วเร็วๆ เสียที
มูคยอมเข้าใจความรู้สึกนั้นอย่างถ่องแท้ เพราะตอนมูคยอมมาอยู่ที่อังกฤษครั้งแรก เขาก็พูดน้อยกว่าเล่นฟุตบอล ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวที่สุด เมื่อเทียบกับตอนที่เขามาอังกฤษครั้งแรกแล้ว ฮาจุนนับว่าเก่งมากๆ เลยทีเดียว
“นายคิดว่ามันแปลกอีกแล้วเหรอ เขายังเป็นเด็กต่างถิ่นที่มาลำบากอยู่ตัวคนเดียว อย่าทำขนาดนั้นเลยนะ เรื่องแบบนี้ใช่ว่านายจะไม่เคยเจอ”
ฮาจุนพูดเตือนสติ เป็นคำพูดที่มีเหตุผล
“แล้วฉันก็คิดถึงมินคยองกับฮาคยองด้วย เพราะพวกเขาอายุเท่ากัน… การดูแลสภาพจิตใจของนักเตะก็เป็นหน้าที่ของโค้ชเหมือนกัน แล้วมันก็ไม่มีอะไรให้นายสงสัยเลยสักนิด ไม่ต้องกังวล”
“ฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่าจะมีหรือไม่มี นายแยกแยะออกงั้นเหรอ”
ความไร้เดียงสาจะทำให้อีกฝ่ายหลงกล ถึงคนอื่นจะคิดลามกอยู่ในใจ แล้วจะรู้ได้ยังไง มูคยอมจ้องมองมาร์โคที่ไปฝึกหยุดลูกอยู่ไกลๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้อย่างไม่ปิดบัง
“ฉันน่ะแยกแยะออกอยู่แล้วสิ แต่นายมันแยกแยะไม่ได้ ถึงได้สงสัยคนนั้นคนโน้นไปทั่ว”
เมื่ออีกฝ่ายตอบอย่างมั่นใจ มูคยอมก็ตะลึงจนพูดไม่ออก ความตั้งใจที่จะมาคุยด้วยก็หายวับไป
สุดท้ายแล้ว การพูดเรื่องที่สงสัยกับฮาจุนก็เหมือนกับสีซอให้ควายฟัง ถ้าไม่รู้อะไรก็คงไม่พูดหรอก มูคยอมคร่ำครวญอยู่ในใจ ขณะที่ฮาจุนพูดต่อทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย
“นายไม่เห็นทำแบบนั้นกับอู๋เฉิน”
“ทำไมล่ะ เพราะฉันแยกแยะได้ไง บอกแล้วว่าหมอนั่นมันไม่ได้อะไร”
“ถ้างั้นเพราะมาร์โคหล่อเหรอ”
“หล่อ? นั่นคือหล่อเหรอ อย่าไปชมใครต่อใครว่าหล่อ ขอละ ยกระดับสายตาตัวเองหน่อยเถอะครับ โค้ชอี”
“เปล่า ที่ฉันถามก็เพราะนายพูด…”
ฮาจุนและอู๋เฉินที่ทักทายกันในวันที่เริ่มเรียนที่สถาบันภาษาเป็นวันแรกหลังจากนั้นก็เริ่มสนิทสนมกับมากขึ้น ชอบอะไรเหมือนๆ กันทั้งฟุตบอลและคิมมูคยอม พอกลับมาถึงบ้านก็มาเล่าเรื่องของเขาให้ฟังอยู่สองสามครั้ง มูคยอมถึงกับดั้นด้นไปหาที่สถาบันสอนภาษาครั้งหนึ่งเพื่อไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ฮาจุนคิดว่าเรื่องที่เขากังวลไปเองนั้นทั้งหมดเป็นเรื่องไร้สาระแต่ก็ไม่อยากไปตามแก้นิสัยเสียของมูคยอมหรือทิ้งเรื่องพวกนั้นแล้วมาทะเลาะเสียเอง พรสวรรค์ที่เหมือนกับการทักทอด้วยความละเอียดละออ หากผิดพลาดไปแคนิดเดียวส่วนอื่นๆก็คงจะพังไม่เป็นท่าเช่นกัน เพราะอย่างนั้นก็เลยจะต้องค่อยๆ เข้าหาอย่างระมัดระวัง ยิ่งไปกว่านั้นลางสังหรณ์ของคิมมูคยอมนั้นเหลวไหลเป็นอย่างมาก พอฟังแล้วแทนที่จะโมโหกลายเป็นว่าพูดไม่ออกก็มีให้เห็นอยู่หลายครั้ง
ดังนั้นหลังจากที่ฮาจุนไปเรียนที่สถาบันสอนภาษา มูคยอมก็จะถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หรือนายคุยอะไรกับเขา ราวกับจะยืนยัน และสิ่งที่เขาตอบก็เป็นลำดับการทักทายตามมารยาทเท่านั้น ฮาจุนบอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นโดยไม่ปิดบัง บางทีฮาจุนก็โชว์หน้าต่างแชทกับอู๋เฉินให้มูคยอมดูก่อนด้วย เพราะเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะเดือดพล่านด้วยความระแวง
ถึงแม้จะวุ่นวายไปหน่อย แต่มูคยอมก็แค่ขี้หึงและมีพลังจินตนาการสูงไปเท่านั้น ระดับนั้นฮาจุนยังสามารถปรับตัวได้ แต่การมาบังคับเรื่องส่วนตัวเหล่านี้ในที่ทำงานด้วย เขาคงยอมปรับตัวตามที่อีกฝ่ายต้องการไม่ได้
“ทำไมถึงทำแบบนั้นเฉพาะกับมาร์โค ทั้งๆ ที่ฉันก็พูดแบบนี้กับนักเตะคนอื่นๆ เหมือนกัน”
“…”
“มาร์โคไม่แตะต้องฉันตามอำเภอใจด้วยซ้ำ เพราะฉันรู้ว่านายไม่ชอบ นายก็รู้นี่ว่าฉันแคร์นาย”
“รู้สิ นายทำดีมาก”
ในส่วนนั้นเขาขอบคุณจากใจจริง มูคยอมพยักหน้าและกระชับวงแขนที่กอดฮาจุนจากด้านหลัง
น่าชื่นชมที่ฮาจุนไม่ยอมให้พวกนักเตะดึงเข้ามากอด หรือปล่อยให้แตะต้องตัวเขาตามใจชอบเหมือนเคย อาจเพราะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่เด็ก พวกนักฟุตบอลไม่ว่าจะเกาหลีหรืออังกฤษจึงไม่รู้ขอบเขตของการสัมผัสร่างกาย บางครั้งก็กอดใครเอาไว้แล้วเกลือกกลิ้งไปมา หรือเล่นอะไรแผลงๆ จับตรงไหนก็ได้
ฮาจุนหลบเลี่ยงไม่ยอมให้นักเตะแตะต้องตัว โดยอ้างเหตุผลปลอมๆ ว่า “ฉันไม่ชินเพราะไม่มีใครทำแบบนี้กันที่เกาหลี” ถึงแม้จะมีนักเตะบางคนที่เข้ามาแกล้งฮาจุน เพราะคิดว่าสนุกที่เขาหลบเลี่ยง แต่พวกนั้นก็เบื่อกับการถูกมูคยอมข่มเหงอย่างต่อเนื่อง ช่วงนี้เขาจึงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบเรียบร้อย
มูคยอมเฝ้ามองฮาจุนที่กำลังยืดเส้นยืดสาย และเช็คสภาพร่างกายของนักเตะ ระหว่างการฝึกซ้อม การที่ฮาจุนสัมผัสแขน ขา เอว และหลังของนักเตะคนอื่นๆ ยังคงบาดตาเขาไม่เปลี่ยน แต่เพราะมันคืองาน มูคยอมจึงพยายามปล่อยวางเหมือนที่เคยเป็นมา
มูคยอมพอจะปล่อยไปได้ เพราะมันเป็นภาพที่เขาคุ้นตาตั้งแต่ตอนอยู่ที่ซิตี้โซล แต่เขาก็อึดอัดใจทุกครั้ง ที่ได้เห็นอีฮาจุนแตะต้องตัวผู้ชายคนใหม่ๆ ที่เขายังไม่คุ้นหน้า ขนาดอีกฝ่ายทำแบบนั้นกับเพื่อนที่ร่วมงานกันมานาน เขายังรู้สึกน้อยใจ แล้วนับประสาอะไรกับตอนที่อีกฝ่ายสนิทชิดใกล้กับพวกน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามา
[“มาร์โค ครั้งก่อนที่บอกว่าต้นขาด้านนอกรู้สึกขัดๆ วันนี้เป็นยังไงบ้าง”]
“ตรงนี้โอเคแล้ว แต่เจ็บขาแทนครับ”
“ขา?”
“ขาท่อนล่าง”
“โอ้ น่องนี่เอง อย่ากังวลไปเลย แทนที่กล้ามเนื้อที่ใช้มานานจะผิดปกติ มันน่าจะเจ็บชั่วคราวมากกว่า”
“ไม่เป็นไรใช่ไหม”
“อื้ม ไม่เป็นไร ลองดูโปรแกรมวันนี้ก่อน ถ้าเจ็บอีกค่อยบอกฉัน เข้าใจไหม”
“ครับ”
เป็นไปตามคาด ที่กรีนฟอร์ดโค้ชอีฮาจุนก็ฮ็อตมากเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายไม่ใช่คนตัวเตี้ย ที่เกาหลีฮาจุนดูเหมือนลูกม้า ลูกวัว หรือยูนิคอร์น แต่เมื่อมองดูฮาจุนวิ่งไปวิ่งมาอย่างแข็งขันอยู่ในสนามของกรีนฟอร์ด ที่มีสัดส่วนสูงกว่าอย่างชัดเจนแล้ว เขาก็เหมือนเห็นกวางดาวที่วิ่งอยู่ท่ามกลางฝูงแรด และแกะตัวหนึ่งวิ่งอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่า
พวกที่เคยพูดจาคล่องแคล่วเหมือนจงใจล้อเลียน ตอนที่ฮาจุนยังฟังภาษาอังกฤษไม่ค่อยรู้เรื่อง หรือพวกเด็กโข่งที่เคยบอกว่าผมดูนุ่มแล้วลองจับผมอีกฝ่ายเล่น ตอนนี้ก็สงบเสงี่ยมไปเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่สามารถเอาชนะคำตำหนิและการควบคุมของมูคยอมได้
แต่ถ้าทำอะไรสะดุดตาแบบนั้น แค่พูดตักเตือนอะไรสักคำก็น่าจะพอแล้ว
“ขอบคุณครับ จุน”
“ไม่เป็นไร มันเป็นงานของโค้ชอยู่แล้ว”
แต่ไอ้มาร์โคคนนี้เอาแต่ทำตามที่ฮาจุนสั่งอย่างว่าง่าย พอฮาจุนพูดอะไรให้กำลังใจหน่อย ก็ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าตาตื่นๆ เหมือนเขินอาย
ถึงแม้เขาควรจะตักเตือนด้วยคำพูดดีๆ เพื่อไม่ให้ทำแบบนั้นอีก แต่เขาก็ไม่สามารถไปโมโหใส่คนที่ทำแต่งานอยู่ในที่ของตัวเองเงียบๆ และบอกว่าห้ามทำแบบนั้นได้
เมื่อส่งยิ้มที่บริสุทธิ์ไปให้ แน่นอนว่าฮาจุนก็ยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มคล้ายๆ กัน ดูเหมือนว่าสำหรับคนที่ยากจะพูดคุยกับนักเตะของกรีนฟอร์ดได้อย่างเป็นธรรมชาติ ฮาจุนคงจะรู้สึกสบายใจกับปฏิกิริยาเงียบๆ ของเด็กหนุ่มที่ชื่อมาร์โคมากกว่า
ความสบายใจ นั่นละคือสิ่งที่มูคยอมไม่ชอบ
อย่างน้อยที่นี่ คิมมูคยอมก็ต้องเป็นความสบายใจที่สุดสำหรับฮาจุน จะด้วยเพราะใช้เวลาด้วยกันมานานเหมือนเป็นครอบครัวหรืออะไรก็ตามอย่างไอ้คุณยุนอะไรนั่น แต่ที่เกาหลีก็มีคนที่มูคยอมเอาชนะ ในด้าน ‘ความสบายใจ’ ได้ยากอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น
แต่ที่นี่คือลอนดอน ที่ๆ ฮาจุนไม่รู้จักใครเลยสักคน คนที่ฮาจุนยิ้มให้จนตาปิด มีแค่เขาคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีใครรู้หรอกว่าคนที่ภายนอกดูทึ่มๆ แบบนั้นจะซ่อนความคิดชั่วร้ายอะไรไว้ในใจ
ฮาจุนเช็คสภาพร่างกายนักเตะทีละคน สุดท้ายอีกฝ่ายก็นั่งลงตรงหน้ามูคยอม ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเพิ่งกวาดตามองดูบรรดานักเตะ ด้วยบรรยากาศที่ดูเป็นผู้ใหญ่และอ่อนโยน แต่แล้วจู่ๆ ดวงตาของฮาจุนก็เปล่งประกายราวกับดีใจ
มูคยอมลืมความกังวลทั้งหมดและมองใบหน้าขาวที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจ
“คิมมูคยอม”
“หืม”
“เมื่อวานฉันเพิ่งรู้อะไรมาใหม่ การออกกำลังเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของข้อเท้านายไง ถ้าออกกำลังกายแบบที่จะออกกันวันนี้ เขาบอกว่าไม่ใช่แค่ข้อเท้านะ แต่โคนขาก็จะทำงานไปพร้อมเพรียงกันและแข็งแรงขึ้น แล้วก็ไม่ต้องออกแรงที่ข้อเท้าโดยไม่จำเป็นด้วย”
“งั้นเหรอ”
“งั้นตั้งแต่วันนี้ไปลองทำแบบนั้นกันเถอะ อ้อ แน่นอนว่าต้องคลายกล้ามเนื้อก่อน เพราะงั้นอย่าลืมยืดเส้นยืดสายนะ”
การที่ได้รู้จักการออกกำลังกายแบบใหม่ที่จะสั่งให้เขาทำ มันน่าตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ เมื่อฮาจุนยื่นมือมาราวกับมีความคาดหวังสูง ความรู้สึกที่ไม่พอใจก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ สงบลง เขาไม่อยากซ้อมหรืออะไรอีกแล้ว แค่อยากกอดอีกฝ่ายและนอนลงไปแบบนี้
“โค้ชอี”
“อื้อ”
“ฉันคือนักเตะคนสำคัญที่สุดสำหรับโค้ชอีใช่ไหม”
ฮาจุนเบิกตากว้างครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปรอบๆ และยิ้มอย่างเขินอาย น่ารักจนเขารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ
“แน่นอนสิ ยังไงก็ไม่มีใครฟังภาษาเกาหลีรู้เรื่องอยู่แล้ว พูดดังๆ ก็คงไม่เป็นไรใช่ไหม”
“ช่วยพูดหน่อยสิว่าคิมมูคยอมสำคัญที่สุด”
“คิมมูคยอมสำคัญที่สุดสำหรับฉัน”
“ดังอีก”
“คิมมูคยอมสำคัญที่สุดสำหรับฉัน!”
ทนไม่ไหวแล้ว!
มูคยอมดึงแขนของฮาจุนลงมา แล้วเอนหลังนอนลงกับพื้น ฮาจุนที่นอนคว่ำลงบนหน้าอกของมูคยอมอย่างกะทันหัน รีบผุดลุกขึ้นยืนทีนที
“เป็นอะไร ทำไมจู่ๆ ถึง?”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไร แค่แป๊บเดียวเอง”
“ฉันโกหกคนอื่นว่าที่เกาหลีไม่ทำแบบนี้กันนะ ถ้านายทำแบบนี้บ่อยๆ แล้วใครจะเชื่อล่ะ”
“ถึงไม่เชื่อก็มาเซ้าซี้นายไม่ได้หรอก ฉันบอก… กับทุกคนแล้ว”
“นายคงไม่ได้บอก แต่ไปโมโหใส่ล่ะสิ”
ฮาจุนออกคำสั่งอย่างเข้มงวด
“ลุกขึ้น เรากำลังซ้อมอยู่นะ”
“ถ้านายจับมือฉัน”
“เฮ้อ….”
ฮาจุนถอนหายใจ อีกฝ่ายยิ้มและยื่นมือมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ มูคยอมจับมือทั้งสองข้างของฮาจุน ฮึบ ร่างกายที่เคยนอนราบก็พลันลุกขึ้น
ทันทีที่ลุกขึ้นยืน มูคยอมก็สบตากับคนที่ยืนอยู่ด้านหลังไหล่ของฮาจุนและกำลังมองมาทางนี้
ผมหยักศกสีเข้ม ดวงตาสีโอลีฟ สายตาที่ไร้อารมณ์และดื้อรั้นของไอ้เด็กอายุยี่สิบที่เพิ่งย้ายเข้ามา เมื่อสายตาปะทะเข้ากับมูคยอม ฝ่ายตรงข้ามก็สะดุ้งโหยงและเบือนหน้าหนี รอยย่นปรากฏที่หว่างคิ้วของมูคยอม รกตาจริงๆ
เขาเองก็พยายามที่จะไม่ระแวงอะไรไร้สาระเหมือนกัน แต่เขาก็ยังไม่ชอบใจ ความรู้สึกที่แตกต่างจากแบคทีเรียที่เคยเห็น ถ้าคนอื่นเป็นฝุ่นละอองขนาดเล็ก เจ้านั่นมีกลิ่นของซูเปอร์ไวรัส
เมื่อมูคยอมเปิดประตูเข้าไป เขาก็พบกับฮาจุนที่นั่งหน้าโต๊ะหนังสือ และกำลังจัดการบันทึกการฝึกซ้อมในวันนั้นอยู่
เขาเคยถามฮาจุนว่าให้เขาเตรียมห้องทำงานแยกให้ไหม แต่อีกฝ่ายก็บอกว่าไม่จำเป็น และขอให้เขาวางโต๊ะอีกตัวในห้องหนังสือของมูคยอมแทน
ห้องหนังสือของมูคยอมถูกสร้างขึ้นเพื่ออ่านหนังสือทุกประเภท ในตอนที่เขากำลังตรากตรำกับภาษาอังกฤษ เหมือนฮาจุนในตอนนี้ ครึ่งหนึ่งมีไว้โอ้อวด และบอกตามตรงว่าช่วงนี้เขาไม่ได้ใช้ห้องนี้เลย ห้องหนังสือที่เงียบเหงาก็คงจะดีใจที่ได้เจ้าของใหม่
แม้จะเปลี่ยนสถานที่ แต่นิสัยหรือวิธีการทำงานของคนเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ทุกคืนฮาจุนจะจัดการเรียบเรียงการฝึกซ้อม และสภาพร่างกายของนักกีฬาที่เช็คในวันนั้นอย่างชัดเจน และใส่ไว้ในฐานข้อมูล สิ่งที่ฮาจุนจดบันทึกลงสมุดนั้น แน่นอนว่าอีกฝ่ายบันทึกข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์พกพาและดูเหมือนว่าจะแชร์ร่วมกับแฮร์รี่ด้วย
“ยุ่งอยู่เหรอ”
มูคยอมขยับไปทางข้างหลัง แล้วประทับริมฝีปากลงบนกระหม่อมพลางเอ่ยถาม ฮาจุนแหงนมองมูคยอมอย่างความรู้สึกผิด
“เกือบเสร็จหมดแล้ว ขอโทษที่ช้านะ วันนี้มีอะไรต้องจัดการเยอะเลย”
จู่ๆ สายตาก็มองไปเห็นสมุดที่ถูกกางออก
[มาร์โค อคอสต้า รามิเรซ]
แล้วทำไมต้องเป็นตอนที่กำลังจัดเก็บบันทึกการฝึกซ้อมของไอ้เฮงซวยนั่นด้วยล่ะเนี่ย เนื้อหาบางส่วนที่ถูกเขียนเอาไว้ก็ปรากฏในกรอบสายตา
ความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นในการสื่อสารจะนำไปสู่ศักยภาพที่เพิ่มขึ้น จำเป็นต้องรักษาอุปสรรคทางจิตใจก่อนการฝึกสมรรถภาพหรือทักษะ พิจารณาการเปลี่ยนแปลงตามเวลา และปรึกษาว่าการรักษาเฉพาะทางจำเป็นหรือไม่…
เมื่อเห็นว่ามูคยอมกำลังก้มลงมองสมุดบันทึกอย่างตั้งอกตั้งใจ ฮาจุนก็ปิดมันลง แต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดอะไร มูคยอมก็ชิงเอ่ยปากขึ้นก่อน