Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 130
“ดูท่าจะสนใจมากเลยนะ”
ฮาจุนส่ายหน้า
“รู้ใช่ไหมว่ามันไม่ใช่ความสนใจแบบที่นายคิดน่ะ”
“ไม่รู้สิ มั่นใจเหรอ”
“ฉันรู้มาเมื่อก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้มายุโรปเพื่อเล่นฟุตบอลเฉยๆ”
“ถ้างั้นอะไรล่ะ มาเล่นบอลด้วยแล้วก็มาจีบคนอื่นด้วยงั้นเหรอ”
“ช่วงนี้บ้านเกิดมาร์โคเกิดวิกฤติเศรษฐกิจหนักมาก แน่นอนว่าต้องมีคนย้ายถิ่นฐานเยอะอยู่แล้ว ถึงขั้นที่มีผู้ลี้ภัยเลยด้วย มาร์โคก็พยายามย้ายถิ่นฐานมากับพ่อแม่ แต่ดูเหมือนจะมาได้แค่คนเดียวอย่างยากลำบากเลยละ ระหว่างนั้น พ่อแม่ก็เสียชีวิตเพราะป่วยกันไปหมด ยังเด็กอยู่แท้ๆ ไม่น่าเลย”
มูคยอมทำหน้าบึ้งตึงโดยไม่ได้ตอบอะไร
“ไม่ใช่เรื่องปกติทั่วไปนี่นา เพราะอย่างนั้นเลยดูเหมือนจะยิ่งไม่มั่นใจในการสื่อสารกับคนอื่นมากกว่าเดิม ฉันก็เลยตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะคุยกับพวกโค้ชคนอื่นๆ แบบจริงจังสักหน่อย”
“โอเค คุยเสร็จแล้วก็รีบส่งเรื่องต่อให้ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นซะ ที่นี่มีที่ให้คำปรึกษาเรื่องที่เกี่ยวข้อง นายไม่จำเป็นต้องใส่ใจขนาดนี้หรอก”
ฮาจุนปิดสมุดโน้ตแล้วลุกขึ้นยืน ความยุ่งยากใจเจืออยู่ในใบหน้าเปื้อนยิ้ม
บ้าชะมัด ถึงไม่มีเรื่องนี้ หมอนั่นก็ทำให้อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว แต่ดันเป็นคนน่าสงสารด้วยซะได้ ลองคิดดูแล้ว สีหน้าก็ดูมีความลำบากและอมทุกข์อยู่ตลอดเวลาเลย เขารู้ดีที่สุดว่าอีฮาจุนพ่ายแพ้พวกคนน่าเวทนาที่จะต้องคอยเฝ้าสังเกตดูอย่างเห็นอกเห็นใจ
‘…ต่อให้แข่งกันน่าสงสาร เขาก็รู้สึกว่าตัวเองจะเทียบไม่ได้ ก็เลยยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่!’
“ดึกแล้ว ที่เหลือเดี๋ยวค่อยเคลียร์พรุ่งนี้ดีกว่า ไปนอนกันเถอะ”
ฮาจุนพูดแบบนั้นแล้วยื่นมือไปจับก่อน ราวกับปลอบโยนมูคยอมซึ่งยืนหน้ามุ่ยอยู่ มูคยอมก้มหน้ามองอีกฝ่ายเงียบๆ ชุดนอนสีกรมท่าที่ซื้อมาจากห้างสรรพสินค้าด้วยกัน เหมาะกับฮาจุนเป็นอย่างดี
ต้องรีบไปถอดออกซะแล้ว ถ้าได้ทำให้อีฮาจุนอ่อนระทวยจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวบนเตียง อีกฝ่ายก็น่าจะลืมความคิดเรื่องงานไปหมด มูคยอมเดินตามมือของฮาจุนที่ชักจูงไปทางห้องนอนอย่างว่าง่าย
* * *
กรีนฟอร์ดกำลังอยู่ในช่วงเอาชนะได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเปลี่ยนผู้จัดการทีมที่เคยเข้ากันกับพวกนักกีฬาไม่ได้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว อีกทั้งมูคยอมซึ่งเป็นกำลังสำคัญก็กลับเข้าทีมมาด้วย
ฮาจุนกำลังจ้องเขม็งไปทางสนามหญ้าอย่างใจจดใจจ่อ ไม่ใช่แค่เพราะกำลังโค้ชชิ่งเท่านั้น ถึงแม้ว่าเขาจะได้ดูการแข่งขันจากม้านั่งมาสองสามรอบแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองกำลังได้เห็น ‘คิมมูคยอมแห่งกรีนฟอร์ด’ อยู่ตรงหน้านี้เอง ทั้งที่เคยดูแค่ในโทรทัศน์เสมอมา
ความเร็วของมูคยอมเมื่อได้มองดูใกล้ๆ เป็นอย่างที่เลื่องลือกันจริงๆ ความรู้สึกรีบร้อนและความรู้สึกมีชีวิตชีวาซึ่งถ่ายทอดผ่านทางจอโทรทัศน์ได้ไม่หมด รวมถึงต้นขาสีแทนที่เคลื่อนไหวอย่างมีพลังและมั่นใจก็ปรากฏให้ได้เห็น กระทั่งความเพลิดเพลินในตอนที่วิ่งฉิวแล้วเล็งช่องโหว่เล็กๆ เพื่อเตะบอลส่งเข้าประตูโดยไม่ปล่อยให้จังหวะนั้นหลุดมือไปก็ด้วย
มูคยอมเป็นผู้เล่นดาวเด่นอย่างแท้จริง
เมื่อครึ่งแรกผ่านไปราวสามสิบห้านาทีโดยคะแนนที่เคยตามหลัง พลิกกลับมาเสมอกันหนึ่งต่อหนึ่งเพราะการทำประตูของมูคยอม นักกีฬาตัวรุกคนหนึ่งของกรีนฟอร์ดพยายามใช้ศีรษะโหม่งลูก แต่แล้วก็ก้าวลงพื้นพลาดจนล้มลงไป ทีมแพทย์วิ่งเข้าไปหาเมื่อนักกีฬาคนนั้นส่งสัญญาณมาราวกับข้อเท้ากระทบกระเทือนเล็กน้อย จากนั้นในช่วงที่ทีมแพทย์ฉีดคูลลิ่งสเปรย์ตรงข้อเท้าให้ ผู้จัดการทีมก็ออกคำสั่งเปลี่ยนตัว
“รามิเรซ เตรียมตัว!”
ผู้ตัดสินชูป้ายไฟขึ้นเพื่อแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนตัว แล้วมาร์โคก็วิ่งออกไปในตอนที่นักกีฬาผู้บาดเจ็บเดินเข้ามา ช่วงนี้ผู้จัดการทีมมักจะให้นักกีฬาที่เพิ่งย้ายสังกัดเปลี่ยนตัวลงเล่น และกำลังทดลองแผนการเล่นหลากหลายแบบด้วย เพื่อค้นหากลยุทธ์ที่สามารถใช้นักกีฬาที่เพิ่งเข้าทีมมาใหม่ได้อย่างเหมาะสม
เมื่อมาร์โคยืนประจำตำแหน่งบนสนาม สายตาของฮาจุนก็จ้องมองไปทางนั้นครู่หนึ่ง ฮาจุนสงสารมาร์โคในฐานะโค้ช
มาร์โคยังเด็กและมีศักยภาพโดดเด่น เป็นคนแบบที่จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถได้ยิ่งกว่านี้ถ้ามั่นใจในตัวเองมากขึ้นอีกสักหน่อย แต่คงเพราะมีนิสัยชอบเก็บตัว หรือไม่ก็คงเพราะยังคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ความสามารถจึงมีแนวโน้มถดถอยลง ตอนนี้เพิ่งจะย้ายสังกัดมา ถ้าแสดงให้เห็นภาพลักษณ์แบบนั้นต่อไปก็จะพลาดโอกาสและยากที่จะต้องตาผู้จัดการทีม
เพียงแค่ย้ายสังกัดมาในทีมดังอย่างกรีนฟอร์ดได้ตั้งแต่อายุยังน้อย หนทางนักกีฬาก็ง่ายดายกว่านักกีฬาคนอื่นๆ แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเทียบกับนักกีฬาคนอื่น มาร์โคกลับเล่นไปเรื่อยอย่างไร้เป้าหมายและไม่กระตือรือร้นที่จะไขว่คว้าความสำเร็จ ท่าทีนั้นดูเหมือนกับฮาจุนในช่วงเวลาหนึ่ง เขาจึงเป็นห่วงเพราะรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องของคนอื่นคนไกล
ลูกบอลที่กลิ้งไปมาไม่ยอมหยุดลงที่เท้าใครท่ามกลางผู้คนมากมายและครอบครองสนามแข่งของกรีนฟอร์ด กองกลางส่งลูกไปให้ตัวรุกอย่างรวดเร็ว ตรงจุดที่ลูกบอลพุ่งไป มีมูคยอมอยู่ตรงนั้นเหมือนกับทุกครั้ง
“เฮ้ย!”
ใครบางคนตรงม้านั่งตะโกนออกมาไม่ดังมากนักด้วยน้ำเสียงตระหนก ทั้งผู้จัดการทีม โค้ชคนอื่นๆ และฮาจุนต่างก็ขมวดคิ้ว
มูคยอมกำลังจะได้โอกาสทองในการยิงประตู แต่ก็ต้องเบี่ยงตัวหลบมาร์โคซึ่งเกือบจะวิ่งชนกันจนล้มกลิ้งไปกับพื้นทั้งคู่ ลูกบอลพุ่งมาจนถึงกองรุกอย่างสุดกำลังแต่กลับกลิ้งวืดผ่านไปหาทีมคู่แข่งเสียอย่างนั้น
มูคยอมกระเด้งตัวลุกขึ้นก่อน ฮาจุนมองเห็นอีกฝ่ายส่งสายตาเย็นชาไปให้มาร์โคซึ่งลุกขึ้นยืนทีหลัง ก่อนจะวิ่งไป เขาได้ยินเสียงผู้คนพูดถึงสองคนนั้น
“ระยะเคลื่อนที่ซ้อนทับกันสินะ”
“ยังเป็นเด็กใหม่อยู่ก็อาจจะเกิดเรื่องแบบนั้นได้แหละ”
ต่อให้บอกว่าเป็นกองรุก ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องวิ่งไล่ลูกบอลเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสังเกตความเป็นไปของเกมโดยรวมด้วย โดยเฉพาะกรีนฟอร์ดที่ใช้กลยุทธ์การเล่นโดยให้มูคยอมเป็นตัวรุกหลักมานาน
เช่นเดียวกันกับที่ซิตี้โซล ที่กรีนฟอร์ดก็มีช่วงส่งลูกสุดท้ายให้มูคยอมอย่างต่อเนื่องอยู่เนืองๆ หากวิ่งไปมาโดยมองหาแต่ลูกบอล ก็อาจเกิดการขัดแข้งขัดขากันระหว่างนักกีฬาในทีมเหมือนตอนนี้ได้
‘ทำแบบนั้นไม่ได้นะ มาร์โค’
ฮาจุนพึมพำแบบนั้นในใจ เขารู้ว่ามูคยอมรู้สึกไม่ชอบใจมาร์โคอยู่แล้ว และรู้ด้วยว่าสาเหตุเป็นเพราะเขาเอง
ถ้าถึงกับทำพลาดโดยการรุกล้ำเข้าไปในระยะการเคลื่อนที่ระหว่างการแข่งขัน มูคยอมอาจเกลียดมาร์โคไปเลยจริงๆ ก็ได้ ถึงแม้ว่าจะตัดเรื่องปัญหากับคิมมูคยอมออกไปแล้ว แต่ถ้าซ้อนทับระยะการเคลื่อนไหวกับตัวทำคะแนนของทีมบ่อยๆ สุดท้ายก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกให้ออกจากสนาม เพราะฉะนั้นจึงต้องระมัดระวัง
‘…ควรต้องเว้นระยะห่างสักหน่อยจริงๆ ไหมนะ
แต่มาร์โคไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนี่’
ฮาจุนเพียงแค่ใส่ใจมาร์โคเพราะคิดว่าจำเป็นจะต้องให้ความสนใจมากขึ้นกว่านี้อีกหน่อยในฐานะโค้ชเท่านั้น และการควบคุมความต้องการที่จะชี้แนะนักกีฬาเพราะเหตุผลส่วนตัวว่าเป็นคนรัก ก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดไปหน่อย
ในระหว่างนั้น การแข่งขันครึ่งแรกที่ดำเนินมาถึงตอนสุดท้ายก็จบลง แล้วการแข่งก็เข้าสู่ช่วงพักครึ่ง ไอเย็นแผ่ซ่านออกมาจากตัวมูคยอมซึ่งเดินกลับมาตรงม้านั่ง อีกฝ่ายแสดงความโกรธออกมาตามใจชอบไม่ได้ก็จริง แต่ฮาจุนย่อมคาดเดาได้อย่างแน่นอนว่าเป็นเพราะใคร
ฮาจุนเข้ามาในห้องรับรองแล้วมองหามูคยอมเป็นคนแรกก่อนไปตรวจเช็กนักกีฬาคนอื่น เขาไม่ยกเรื่องการแข่งครึ่งแรกขึ้นมาพูด แล้วแสร้งทำเป็นตรวจเช็กร่างกายอีกฝ่ายเท่านั้น พร้อมทั้งสังเกตดูส่วนที่กระแทกกันเมื่อครู่นี้ด้วย โชคดีที่ไม่มีความผิดปกติใดๆ ฮาจุนทำเป็นบีบนวดบริเวณไหล่กับหลัง จากนั้นก็ลูบหัวกับลำคออีกฝ่ายอย่างลับๆ ล่อๆ โดยหลีกเลี่ยงสายตาของคนอื่น
มูคยอมเองก็ดูเหมือนจะไม่เมินเฉยต่อความตั้งใจที่แฝงอยู่ในสัมผัสจากมือของเขา ดวงตาของอีกฝ่ายที่เคยไร้ซึ่งความไม่สบายใจจนดูแข็งกระด้าง กลับอ่อนโยนขึ้นทีละนิด ตอนนั้นฮาจุนถึงได้พูดขึ้นอย่างระมัดระวัง
“พอลงแข่งไปเรื่อยๆ ก็อาจเกิดเรื่องแบบนั้นได้นี่ มีสมาธิกับการแข่งครึ่งหลังเถอะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก โค้ช”
มูคยอมจับมือของเขา ฮาจุนถอนหายใจด้วยความโล่งอกในใจ แล้วใครคนหนึ่งก็มายืนอยู่ข้างหน้าทั้งสองคนในตอนนั้น
เป็นตัวการที่ทำให้มูคยอมยิงลูกพลาดไปเมื่อครู่นี้ มาร์โคนั่นเอง
“คิม”
คิ้วของมูคยอมกระตุกเบาๆ ฮาจุนเองก็ทอดสายตามองฝ่ายนั้นด้วยความประหม่า ตอนนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีสักเท่าไรนัก ที่มาร์โคจะพูดอะไรกับมูคยอม
“เมื่อกี้ ขอโทษนะครับ”
เมื่อฟังคำขอโทษแล้ว มูคยอมที่เคยนิ่งเงียบก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งพร้อมตอบกลับ
“…ถ้าขอโทษเรื่องแบบนั้น ฉันก็กลายเป็นไอ้คนน่าหัวเราะเยาะสิ”
มาร์โคยังคงยืนหน้าเสียอยู่ ราวกับไม่สามารถรับมือกับน้ำเสียงประชดประชันได้ในทันที
มูคยอมลุกจากที่แล้วเดินเข้าไปหามาร์โค มูคยอมยื่นหน้าเข้าไปแทบชิดแล้วก้มลงมองอีกคนนิ่งๆ จากนั้นสุดท้ายก็หัวเราะหึๆ ออกมา
“ไม่เป็นไรน่า”
‘ตุ้บ’ มูคยอมใช้หลังมือที่กำหมัดตีลงบนแผ่นอกของอีกฝ่ายเบาๆ จากนั้นก็เดินไปหาพวกนักกีฬาคนอื่นๆ ฮาจุนลอบถอนหายใจแผ่วเบาในใจอีกครั้งแล้วหันไปหามาร์โค
ไม่ว่าอย่างไร การตรวจสอบสภาพร่างกายของมาร์โคก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโค้ชคนอื่นจะดีกว่า
“ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม”
“ครับ”
“ได้ยินคำอธิบายจากผู้จัดการทีมแล้วใช่ไหม นายใส่ใจกับการวิเคราะห์ความเป็นไปของเกมในระหว่างแข่งก็จะดีนะ”
“ครับ”
ดวงตาสีเขียวมะกอกไหววูบบนใบหน้าไร้อารมณ์ที่ฉายแววมัวหมอง ฮาจุนกำลังจะเดินแยกไป เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วจึงไม่กล้าที่จะหมุนตัวไปในทันทีพร้อมกับมองอีกฝ่าย
จิตใจอ่อนแอแบบนี้ แล้วจะอยู่รอดในห้องล็อกเกอร์ของทีมที่พวกนักกีฬาชั้นนำมารวมตัวกัน จนถึงฤดูกาลต่อไปไหมนะ
“…ร่าเริงหน่อยสิ เพิ่งเข้าทีมมาได้ไม่นาน ก็ต้องไม่คุ้นกับกลยุทธ์และบทบาทการเล่นอยู่แล้วละ จู่ๆ โดนก็เปลี่ยนตัวลงสนามเลยด้วย”
“ขอบคุณครับ จุน”
“ไม่เป็นไร ครึ่งหลังก็สู้ๆ นะ”
ฮาจุนพูดแบบนั้นแล้วกำลังจะหมุนตัวไป แต่มาร์โคก็เรียกเขาไว้
“จุน”
“หืม”
“อันนี้”
มาร์โคชี้ตรงลำคอ ฮาจุนจึงก้มหัวลงมองพิจารณาบริเวณลำคอของตัวเองแต่ก็ไม่มีอะไรที่สะดุดตา
“เดี๋ยวนะครับ”
มาร์โคขยับเข้ามายืนซ้อนตรงด้านหลังของฮาจุน หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฮาจุนก็รู้สึกได้ว่านิ้วของอีกฝ่ายเฉียดผ่านตรงด้านหลังลำคอของตัวเอง
ฮาจุนไม่รู้ว่ามาร์โคกำลังทำอะไรจึงได้แต่ยืนกะพริบตาอยู่นิ่งๆ มาร์โคยืนขยับนิ้วตรงแถวลำคอของเขาอยู่ด้านหลังแบบนั้น แล้วไม่นานก็กลับมายืนด้านหน้าของฮาจุนอีกครั้งพร้อมพูดขึ้น
“เชือก หลุดน่ะครับ กำลังจะ”
“อ๋อ”
ตอนนั้นฮาจุนถึงได้เข้าใจความหมาย เขายิ้มพร้อมกับพยักหน้า ดูเหมือนว่าเชือกที่ห้อยป้ายชื่อโค้ชกำลังจะหลุด ฮาจุนเอื้อมมือไปคลำปมเชือกด้านหลังลำคอ ตอนนี้มันถูกผูกไว้อย่างแน่นหนาดีแล้ว
“ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
ฮาจุนบอกลาอีกฝ่ายแล้วหันหลังไป เขาแบ่งเวลาให้มูคยอมกับมาร์โคไปซะเยอะจึงไม่สามารถใช้เวลาช่วงพักครึ่งอย่างเป็นประโยชน์ได้สักเท่าไร ต้องรีบไปดูนักกีฬาคนอื่น…
ฮาจุนคิดแบบนั้นพลางกวาดตามองห้องล็อกเกอร์หนึ่งครั้ง แล้วเขาก็สบตากับมูคยอม เขามองเห็นสีหน้าเย็นชาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนแม้ยืนอยู่ห่างกันออกไปนิดหน่อย
แต่ตอนนี้เป็นช่วงพักครึ่งที่ยุ่งวุ่นวาย ทั้งฮาจุนและมูคยอมต่างก็มีคนที่ตัวเองต้องไปหา ทั้งคู่จึงต้องแยกกันไปโดยไม่สามารถพูดคุยกันอีกครั้งได้ ไม่นานเวลาพักครึ่งที่เหลืออยู่ไม่เท่าไรก็หมดลง
ในครึ่งแรก มูคยอมก็เคลื่อนไหวได้ไม่เลวอยู่แล้ว พอเข้าครึ่งหลังก็วิ่งไปทำประตูได้ถึงสองประตูอย่างรวดเร็วจนแทบจะเหมือนกับหัวรถจักรติดเทอร์โบ การแข่งขันจบลงด้วยคะแนนสามต่อหนึ่ง สนามกีฬาเสียงดังกระหึ่มไปด้วยเสียงร้องตะโกนของแฟนๆ ที่ร้องเพลงพร้อมกับตะโกนว่า ‘คิม’ กับ ‘มู’ สลับกัน
ชัยชนะอันสมบูรณ์แบบ ชัยชนะอันงดงาม ทว่าหัวใจของฮาจุนกลับหนักอึ้งแบบที่ไม่เคยเป็นก่อนหน้านี้ เมื่อทอดสายตามองมูคยอมเดินเข้ามาตรงม้านั่ง
“ไอ้หมอนั่น มันมีใจให้นาย”
หลังการแข่งขัน เมื่ออาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เขากับมูคยอมก็ขึ้นรถกลับบ้านด้วยกัน มูคยอมไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทาง ฮาจุนรู้สึกว่าไม่เหมาะที่เขาจะเป็นฝ่ายยกเรื่องมาร์โคขึ้นมาพูดก่อน จึงรอให้มูคยอมเปิดฉากพูดอย่างสงบเสงี่ยม
จากนั้น เมื่อมูคยอมจอดรถในโรงรถเสร็จแล้ว ในที่สุดก็โพล่งออกมาคำเดียวแบบนั้น ‘ไม่ใช่หรอกน่า’ ฮาจุนตั้งใจจะตอบแบบนั้นกลับไปทันทีแต่ก็อดกลั้นเอาไว้
“เมื่อกี้ตอนพักครึ่ง เชือกคล้องป้ายชื่อฉันหลวม เขาก็เลยช่วยผูกให้”
“ถึงจะหลวมก็เถอะ แค่บอกก็จบแล้วนี่ ถ้าบอกแบบนั้น นายก็คงจะผูกใหม่ด้วยตัวเองไปแล้ว”
“เขายังพูดภาษาอังกฤษไม่เก่งไง”
“เรื่องแค่นั้น ใช้แค่ท่าทางบอกก็ได้”
มูคยอมพูดถูก ถ้าถามว่าใช่เรื่องที่ต้องดันทุรังพูดออกมาอย่างเดียวไหม ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ แต่การจะตัดสินว่ามีใจหรือไม่มีใจกับแค่การผูกเชือกให้ใหม่ในสนามฟุตบอลซึ่งมีการแตะเนื้อต้องตัวกันบ่อยครั้งอยู่แล้ว ก็คงจะมีแค่เด็กน้อยที่ทำกัน
น้ำเสียงของมูคยอมห้วนตึงขึ้นอีกระดับ
“นายแพ้คนที่ผูกเชือกให้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่”
“เดี๋ยวสิ พูดเรื่องอะไร… เทียบกันได้ที่ไหนล่ะ มันเหมือนตอนนั้นหรือไง ไม่มีอะไรจริงๆ น้ำใจแค่นี้ ไม่ว่าใครก็มีให้กันได้ทั้งนั้นแหละ”
“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าช่วงนี้นายพูดเข้าข้างไอ้หมอนั่นอยู่เรื่อย”
“ฉันไม่ได้เข้าข้าง ฉัน…เป็นโค้ชนะ แน่นอนว่านายสำคัญที่สุด แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็เลิกโค้ชชิ่งนักกีฬาคนอื่นด้วยเหตุผลแบบนี้ไม่ได้หรอก”
“ใช่ นายเป็นโค้ช โค้ชกายภาพ เรื่องเรียนภาษาอังกฤษก็ให้เป็นหน้าที่ของครูสอนภาษาอังกฤษ ส่วนเรื่องโค้ชชิ่งสภาพจิตใจก็ให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญด้านการปรึกษาสุขภาพจิตซะ”
ฮาจุนได้แต่ถอนหายใจ สภาพร่างกายและจิตใจไม่สามารถแบ่งแยกกันได้เหมือนเอามีดมาตัดสักหน่อย
โค้ชกายภาพก็เรียนรู้เกี่ยวกับการโค้ชชิ่งสภาพจิตใจ และต้องเน้นย้ำเรื่องความสำคัญของมันครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะความตึงเครียดหรือความเหนื่อยล้าทางจิตใจ ส่วนใหญ่จะปรากฏออกมาทางร่างกายแล้วส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน
ฮาจุนไม่ได้จดบันทึกเกี่ยวกับนักกีฬาเป็นเล่มๆ อย่างไร้เหตุผล แน่นอนว่าโค้ชกายภาพต้องเข้าใจถึงสภาพร่างกายของนักกีฬาอย่างทะลุปรุโปร่งอยู่แล้ว แต่ก็ต้องเข้าใจและรับมือกับสภาพจิตใจและอาการทางจิตของพวกเขาเช่นเดียวกัน
นั่นเป็นเรื่องแรกสุดซึ่งเป็นพื้นฐานเสียยิ่งกว่าพื้นฐานที่โค้ชกายภาพได้เรียนรู้ ยิ่งเป็นโค้ชกายภาพที่มีชื่อเสียงมากเท่าไร ก็ยิ่งแสดงให้เห็นความสามารถอันโดดเด่นในการวิเคราะห์และเข้าใจความผิดปกติของสภาวะร่างกายอย่างลึกซึ้ง เพราะอย่างนั้นพวกเขาจึงประสบความสำเร็จได้อย่างโดดเด่นและมีชื่อเสียง
ฮาจุนคิดอย่างอึดอัดอยู่ในใจ แล้วมูคยอมก็พูดต่อ
“ที่นี่ไม่ใช่ทีมฟุตบอลเยาวชน แต่เป็นที่ที่พวกมืออาชีพจากทั่วโลกมารวมตัวกันและลงแข่ง ถ้าจิตใจอ่อนแอแล้วทำตัวอ่อนเปลี้ยเพลียแรงก็มาได้แค่นั้นแหละ หมดหนทางแล้ว คิดว่าคนที่นี่มาจนถึงตรงนี้ได้ง่ายๆ กันหรือไง หมอนั่นค่อนข้างโชคดีกว่าใครเลยด้วยซ้ำ”
คำโต้เถียงตีตื้นขึ้นมาโดยอัตโนมัติด้วยความโมโหอย่างกะทันหัน แต่ฮาจุนก็กล้ำกลืนมันไว้อย่างยากเย็น เพราะเขารู้ดีที่สุดว่ากว่ามูคยอมจะมาถึงตรงนี้ได้นั้นยากลำบากขนาดไหนถึงพูดแบบนั้นได้
อีกทั้งมูคยอมเองก็ได้รับผลกระทบจากความเหนื่อยล้าทางจิตใจเช่นเดียวกัน สงครามประสาทแบบนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายของอีกฝ่าย
‘ทำไมถึงทำตัวผิดปกติแบบนี้นะ’
ดูเหมือนว่าจะเป็นยิ่งกว่าตอนสงสัยความสัมพันธ์ของเขากับแชฮุนเสียอีก ฮาจุนไม่เข้าใจเอาเลย
แชฮุนกับเขาใช้เวลาด้วยกันมานาน และในความเป็นจริงก็สนิทกันมาก มูคยอมเห็นฉากที่พวกเขาสองคนเข้าไปในโมเต็ลด้วยกันกับตาตัวเองก็ย่อมเข้าใจผิดได้อยู่แล้ว เรื่องนั้นฮาจุนพอจะเข้าใจ
แต่มาร์โคเพิ่งจะย้ายสังกัดมาได้สองเดือน แถมยังคุยกันครั้งหนึ่งแค่ครู่เดียว และเป็นเพียงประโยคสั้นๆ ที่มีในหนังสือการสนทนาภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐาน อย่างเช่นช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง สภาพร่างกายเป็นยังไง เมื่อวานทำอะไร เท่านั้นเอง