Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 131
ในตอนนี้ พวกเขาไม่ได้ใช้เวลาด้วยกันเยอะอะไรขนาดนั้นด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับสตาฟหรือนักกีฬาคนอื่นๆ หากสงสัยสตาฟคนอื่นหรือแฮร์รี่ที่ตัวติดกันทุกวันยังจะดูเข้าท่ากว่า
“เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”
ต่อให้เถียงกันอยู่ในรถต่อไปก็ไม่ได้บทสรุป ฮาจุนลงจากที่นั่งข้างคนขับไปก่อน ไม่นานมูคยอมก็ตามลงมา แล้วทั้งสองก็เข้าไปในบ้านโดยไม่ได้พูดอะไร
ความเงียบชวนอึดอัดราวกับพรมปูพื้นหนักอึ้ง เป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก เขากับมูคยอมพัวพันอยู่กับความไม่เข้าใจและเข้าใจผิดกันหลายเรื่องตั้งแต่ตอนแรก แล้วผ่านมันมาจนถึงตอนนี้ได้ แต่ในระหว่างนั้น พวกเขายังไม่เคยไม่พูดไม่จากันเลย
พวกเขาทั้งคู่ต่างก็พูดเรื่องที่ตัวเองอยากพูดกับอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเข้าใจกันหรือไม่ก็ตาม ถ้าไม่เห็นด้วยก็พูดไปตามที่ไม่เห็นด้วย ถ้ายอมรับก็พูดไปตามที่ยอมรับ… ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนั้นมาจนถึงตอนนี้ แต่พอคบกันเป็นคนรักเข้าจริงๆ แล้วเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น เรื่องราวมันกลับไม่เป็นไปอย่างเคย
ปัญหาที่จะต้องคิดไตร่ตรองดูไม่ได้มีเพียงเรื่องสองเรื่อง แค่ให้ตีตัวออกห่างมาร์โคทันทีเลยก็ไม่ใช่เรื่องยาก มูคยอมไม่ชอบถึงขนาดนี้แล้ว การเมินเฉยต่อมาร์โคตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปก็เป็นวิธีแก้ปัญหาที่สบายที่สุดสำหรับฮาจุนด้วย
แต่การถอยห่างจากมาร์โคเพราะมูคยอมไม่ชอบคนที่เขาให้ความสนใจในฐานะโค้ช ไม่ชอบคนที่พึ่งพาเขาผู้เป็นโค้ชในฐานะนักกีฬานั่นแหละคือปัญหา ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นเลยคิมมูคยอมมักจะยืนกรานว่าทุกคนต่างก็มีเจตนาแอบแฝงกับเขา การคาดเดานั้นผิดอยู่เรื่อยไป และครั้งนี้เองก็เช่นกัน
ในอนาคต ฮาจุนก็จะยังใช้ชีวิตอยู่บนสนามในฐานะโค้ช คิมมูคยอมเองก็ต้องการแบบนั้นถึงได้พาเขามาถึงลอนดอนไม่ใช่หรือไง ยิ่งสั่งสมประสบการณ์การทำงานมากขึ้นเท่าไร จำนวนนักกีฬาที่เขาต้องให้ความสนใจก็ต้องยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่เป็นแบบนั้น เขากลับต้องเว้นระยะห่างออกมาและไม่สามารถโค้ชชิ่งได้เพราะมูคยอม
เขาต้องแก้ปัญหาเรื่องในครั้งนี้ให้ดี อย่างน้อยก็เพื่ออนาคต เขาจำเป็นต้องมีวิธีรับมือที่จะไม่ทำให้มูคยอมเสียใจและกำหนดทิศทางในอนาคตได้อย่างชัดเจน แต่ฮาจุนก็นึกวิธีที่ดีและเหมาะสมไม่ออกเลย
“ทำไมนายไม่เชื่อที่ฉันพูดล่ะ”
ในขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิด มูคยอมก็ถามขึ้นมาก่อน
“พอมาที่นี่แล้ว ฉันเคยพูดถึงพวกผู้ชายคนอื่น ว่าพวกนั้นมาพะเน้าพะนอ หยอกล้อนายเหมือนตอนนี้ไหม ที่ฉันพูดก็เพราะว่าหมอนั่นต่างจากผู้ชายพวกนั้น แค่สายตาก็ต่างแล้ว นายคงมองไม่เห็นหรอก นายรู้หรือเปล่าว่าหมอนั่นทำสีหน้ายังไงตอนออเซาะอยู่ข้างหลังนาย ฉันนึกว่ากำลังมองดูเด็กมอต้นใส่สร้อยคอให้คนที่ตัวเองชอบซะอีก”
“…”
“ฉันไม่ได้ห้ามไม่ให้นายโค้ชชิ่งนะ ฉันบอกให้นายรู้อย่างแน่ชัดแล้วควบคุมมัน เพราะหมอนั่นคิดเกินเลยกับนายแน่ๆ”
“…คิมมูคยอม เรื่องคิดเกินเลยที่นายพูดถึงน่ะ”
ฮาจุนถอนหายใจแล้วพูดเรื่องที่ไม่ค่อยอยากพูดสักเท่าไรขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“นายเคยเดาถูกสักครั้งไหม นายเคยสงสัยความสัมพันธ์ของฉันกับพี่แชฮุน ความสัมพันธ์ของฉันกับนักกีฬาคนอื่นก็ด้วย ไปๆ มาๆ ก็สงสัยไปถึงจองคยู… คราวนี้ก็เหมือนกัน ต่างกันตรงไหน”
“ต่างสิ”
“ยังไงล่ะ”
“คราวนี้มันจริงๆ นายลองคิดดู หมอนั่นข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงยุโรปด้วยตัวคนเดียวและไม่มีครอบครัวเหมือนที่นายพูด คุยกับคนอื่นก็ไม่รู้เรื่อง แถมยังอายุน้อยอีกใช่ไหม ฉันรู้เพราะฉันก็เคยผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมา ตอนนั้นฉันชอบคนที่ทำดีด้วยในทันที ตอนนี้หมอนั่นก็น่าจะกำลังคิดไปเองอยู่แน่ เห็นชัดๆ ว่าพูดยังไม่ค่อยเข้าใจ ใช้ร่างกายสื่อสารก็สบายกว่า เพราะอย่างนั้นถึงทำท่าทีแบบนั้นอยู่เรื่อยไงเล่า! หมอนั่นมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วว่านายเป็นคนใจอ่อน เลยแกล้งทำเป็นทุกข์ใจ เผลอๆ คงเรียกนายไปหาตามลำพังแล้วทำเรื่องอะไรต่อมิอะไรด้วยซ้ำ”
ฮาจุนเหลือบตาขึ้นแวบหนึ่งแล้วทำเพียงแค่ส่งเสียงอย่างหนักใจออกมา มูคยอมเริ่มจินตนาการและยืนหยัดในความคิดตัวเองแบบไม่มีหลักฐานอีกแล้ว เพราะแบบนี้ พวกเขาถึงคุยกันไม่รู้เรื่องสักที
“ถ้างั้นจากนี้ไป”
“…”
“ฉันคงจะต้องผลักไสนักกีฬาทุกคนที่นายมองว่าเป็นแบบนั้นสินะ พร้อมกับแค่ตรวจเช็กสภาพร่างกายของพวกนักกีฬาเหมือนหุ่นยนต์”
“อย่าไร้เหตุผลสิ”
“ถ้าคำพูดนายไม่ได้หมายความแบบนั้นแล้วหมายความว่าอะไรล่ะ นี่เป็นงานที่ฉันทำ ถ้าได้โค้ชชิ่งต่อไปเรื่อยๆ ก็จะมีนักกีฬาที่ฉันจำเป็นจะต้องดูแลมากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แล้วในกลุ่มนักกีฬาก็จะมีคนที่พึ่งพาฉันมากขึ้นด้วย ปกติตัวงานมันเป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้นายกำลังเอาส่วนพื้นฐานที่สุดของงานมาเป็นประเด็น ถ้าคอยจับผิดแบบนั้น สู้นายบอกให้ฉันลาออกจากงานไปเลยยังจะดีกว่า เพราะสิ่งที่นายพูดตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับการหมายความว่าแบบนั้นเลย”
มูคยอมขมวดคิ้วแทนที่จะตอบกลับ เพราะไม่สามารถหาเรื่องที่เหมาะสมมาโต้ตอบได้
ฮาจุนเดินเข้าไปใกล้มูคยอม เขาจ้องมองใบหน้าที่ทำปากเกร็งทื่อ จากนั้นก็ยื่นแขนออกไปก่อน
อ้อมกอดของฮาจุนโอบร่างกายที่ใหญ่โตและแข็งแรงไว้ได้ไม่มิด แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้สึกอยากกอดปลอบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนเด็กน้อยที่กำลังทำตัวดื้อรั้น
“คิมมูคยอม เรื่องที่นายกังวลจะไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด”
“…”
“ฉันจะทำให้มันไม่เกิดขึ้นเอง”
ความไม่ไว้วางใจที่ปิดไม่มิด ไหววูบอยู่ในดวงตาของมูคยอมในตอนที่อีกฝ่ายถามว่าทำไมเขาถึงไม่เชื่อตน เมื่อถูกมองด้วยสายตาแบบนั้นก็ไม่สนุกเลยสักนิด ฮาจุนจึงอยากคุยเรื่องไม่น่าเบิกบานใจให้จบเรียบร้อยลงตรงนี้ ฮาจุนจับมือของมูคยอม
“ไปนวดกันเถอะ วันนี้แข่งเสร็จแล้ว ฉันก็ต้องคลายกล้ามเนื้อให้นายอีกสิ”
แม้เขาบอกแบบนั้น แต่มูคยอมก็ยังยืนนิ่ง จากนั้นจึงยกมือขึ้นมาบนแก้มของเขาอย่างเชื่องช้า
สัมผัสนั้นลูบไล้เขาอย่างระมัดระวังราวกับกำลังขอโทษ ฮาจุนทาบฝ่ามือของตัวเองลงบนหลังมือของอีกฝ่าย ในขณะที่สบตากันพร้อมกับสัมผัสนิ้วมือและกระดูกที่นูนขึ้นมาบนหลังมือใหญ่ ริมฝีปากของทั้งคู่ก็สัมผัสกันโดยไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
* * *
ความขัดแย้งและความไม่ลงรอยเพียงเล็กน้อย ไม่สามารถทำลายบรรยากาศของทีมซึ่งอยู่ในช่วงเอาชนะรวดติดต่อกันได้ ตลอดการฝึกซ้อมช่วงสองสามวันมานี้ซึ่งดำเนินต่อหลังจบการแข่งขัน บรรยากาศของกรีนฟอร์ดยังคงสดใสและท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกแห่งชัยชนะ
ในขณะที่กำลังจดบันทึกกรณีพิเศษในโปรแกรมฝึกซ้อมที่เพิ่งจบลงเมื่อครู่ สตาฟคนหนึ่งก็เรียกฮาจุน
“จุน ช่วยไปเอาบันไดพับมาให้สักสองอันหน่อยได้ไหม ดูเหมือนจะนับผิดไปน่ะ”
“อ้อ ครับ”
ฮาจุนปิดสมุดโน้ตแล้วขยับตัวเดินไปทันที เพราะสนามฝึกกว้างมาก เขาจึงต้องเดินพักหนึ่งจนกว่าจะถึงห้องเก็บของ
ฮาจุนเดินไปตามทางเดินของสนามฝึกซ้อมใหม่ที่ตอนนี้คุ้นเคยดีแล้ว เขาเดินผ่านประตูไม่กี่บาน ก่อนจะเปิดประตูของห้องเก็บของออก แต่ฮาจุนกลับไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้ทันทีและทำได้เพียงเบิกตากว้าง
“มาร์โค?”
นักกีฬาที่ควรจะต้องฝึกซ้อมอยู่ด้านนอก นั่งอยู่บนม้านั่งสำรองซึ่งวางไว้ในห้องเก็บของ อีกฝ่ายทอดสายตามองเขาราวกับตกใจ ฮาจุนเดินผ่านชายหนุ่มเข้าไปด้านใน เอาบันไดพับมาถือไว้พร้อมกับพูดขึ้นก่อน
“พักอยู่เหรอ ถ้าจะพักสักแป๊บหนึ่งก็ใช้ม้านั่งด้านนอกดีกว่านะ คนน่าจะตามหานายกัน”
“ขอโทษครับ จะออกไปแล้วครับ”
“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษฉันสักหน่อยนี่”
แม้ว่าบรรยากาศของทีมจะสดใส แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถทำตัวเปล่งประกายได้ มาร์โคมีท่าทีเหมือนนักเรียนที่โดนเพื่อนแบน
…ป่านนี้แล้ว จะมองว่าเป็นเพราะพูดภาษาอังกฤษไม่คล่องเพียงอย่างเดียวก็ไม่น่าใช่ คนที่สนิทกันมากขึ้นแม้สื่อสารกันไม่เข้าใจเลย ก็มีอยู่เยอะแยะ มูคยอมบอกว่าตอนมาอังกฤษครั้งแรก เจ้าตัวก็รู้ภาษาอังกฤษแค่คำว่า ‘ฮาวอาร์ยู แอมไฟน์ แต๊งกิ้ว’ เหมือนกัน
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าครับ”
“ฉันเองก็เพิ่งมากรีนฟอร์ดได้สองเดือนเหมือนกัน พอๆ กับนายแหละ ถึงอย่างนั้นก็คิดว่าที่นี่คือทีมของฉันนะ ทีมก็ต้องช่วยเหลือกันสิ”
“…ครับ”
“ถ้านายคิดว่าฉันเป็นโค้ชในทีมนาย ฉันก็อยากให้นายเล่าว่ามีเรื่องอะไรนะ”
พอพูดออกไปแล้ว ฮาจุนก็เหลือบเห็นบันไดพับในมือตัวเอง ต้องรีบเอาไปนี่นะ
แต่เขาก็รอคำตอบของมาร์โคโดยไม่สามารถออกไปเฉยๆ ได้ ความเงียบปกคลุมยาวนานขึ้น และฮาจุนกำลังจะเอ่ยปากว่า ถ้าลำบากใจที่จะพูดตอนนี้ ไว้คุยกันทีหลังก็ได้ ทว่าในตอนนั้นเอง
“ที่นี่ไม่ใช่ทีมของผมครับ”
“…”
“ผมอยากกลับไปกอสตานอวาครับ พวกเขาคือครอบครัวของผมครับ”
ฮาจุนคาดเดาว่า ที่อีกฝ่ายพูดอย่างอ่อนน้อมเป็นเพราะความยากลำบากในการสื่อสาร เป็นโรคคิดถึงบ้านหรือเปล่านะ ถ้าไม่งั้นก็…
ถึงไม่แน่ชัดเท่าไรแต่ฮาจุนก็รู้สึกเหมือนจะรู้ ทีมเดิมของมาร์โคครองอันดับต่ำในลีกโปรตุเกสและไม่ได้มีผลงานยอดเยี่ยมถึงขนาดนั้น แต่มีชื่อเสียงในเรื่องสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับแฟนๆ ที่บ้านเกิดและความเหนียวแน่นระหว่างนักกีฬาในทีม บ่อยครั้งที่ยิ่งเป็นทีมอันดับต่ำมากเท่าไร ความร่วมมือร่วมใจกันระหว่างสมาชิกในทีมก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
กรีนฟอร์ดเป็นทีมอันดับสูงในลีกระดับสูง ในทีมประกอบไปด้วยนักกีฬาที่ได้พิสูจน์ความสามารถและผู้เล่นอนาคตไกล ถ้าให้เปรียบเป็นโรงเรียนก็เหมือนโรงเรียนชั้นนำที่รวบรวมเพียงเด็กอันดับหนึ่งกับสองจากทั้งโรงเรียนมาไว้ เพราะอย่างนั้นความคาดหวังที่มีต่อตัวนักกีฬาในทีมจึงสูงตามไปด้วย
แน่นอนว่าการแข่งขันกันย่อมดุเดือด และการต่อสู้กันด้านจิตใจก็แปรผันไปตามนั้น พวกนักกีฬาที่เหลือรอดและลงแข่งมานานมักจะมีความนึกคิดที่พิเศษอยู่นิดหน่อย เพราะอย่างนั้นเมื่อมีเด็กใหม่เข้ามา แทนที่จะใจดีด้วยก็ดันมีท่าทีจะไปทดสอบพวกเขาแทน
ไม่ใช่แค่เรื่องบรรยากาศในทีมหรือความสัมพันธ์ระหว่างนักกีฬาด้วยกันเองจะดีหรือไม่ดี แต่นี่เป็นบทบาทในการใช้ชีวิตของมนุษย์ที่เลี่ยงไม่ได้
“มาร์โค ก่อนอื่น นาย…”
ฮาจุนพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็หยุดกลางคัน เขาไม่สามารถเสนอแนะอย่างเกินตัวได้ ฮาจุนจึงตัดสินใจที่จะพูดเรื่องที่เขาทำได้ดีแทน
“ไม่ว่าไปที่ไหน ตอนแรกก็จะไม่คุ้นเคยกันทั้งนั้นแหละ แต่อย่างน้อยถ้าหาเพื่อนที่จะอยู่ข้างนายสักคนสองคน จากนั้นไปก็จะง่ายขึ้นมาหน่อยแล้ว ถ้านายมองคนอื่นเป็นแค่คนกลุ่มหนึ่ง และมองทีมเป็นแค่สถานที่ นายก็จะยังรู้สึกผิดที่ผิดทางอยู่ดี ถ้านายคิดแค่ว่า ไม่มีใครที่จะมาสนิทกับฉันเลยเหรอ โดยยึดความคิดตัวเองเป็นหลักและไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนแบบไหน มันก็ยากที่จะสนิทกับใครมากขึ้นนะ”
“…”
“ลองสังเกตดูเป็นคนๆ ไปสิ คนเราน่ะต้องรู้จักกัน ถึงจะรู้สึกดีต่อกันมากขึ้นนะ”
ฮาจุนพูดอย่างตะกุกตะกักเพราะตั้งใจจะพูดเรื่องที่เป็นนามธรรมโดยใช้ภาษาอังกฤษ เขาไม่รู้ว่าถ่ายทอดออกมาได้ตรงตามที่ต้องการหรือเปล่า มาร์โคพยักหน้าราวกับเข้าใจได้พอประมาณ จากนั้นจึงลุกขึ้น
“มีจุนอยู่ด้วยก็เลยโอเคครับ อยู่ข้างผม เป็นเพื่อน”
“โล่งอกไปที ทีนี้ออกไปกันไหม ต้องลองหาเพื่อนคนอื่นด้วยสิ”
ฮาจุนยิ้มพร้อมกับพยักพเยิด แต่มาร์โคกลับเดินเข้ามาใกล้
“จุน”
“หืม”
“ผมลำบากจริงๆ ครับ ถ้าไม่มีคุณล่ะก็”
“ค่อยโล่งใจหน่อยที่ช่วยนายได้”
“ผมอยากรู้จักคุณครับ”
บรรยากาศแปลกๆ
ในตอนที่คิดแบบนั้น ใบหน้าของมาร์โคก็เคลื่อนเข้ามาใกล้มากแล้ว
“ไอ้สวะนี่”
คำด่าหยาบคายถูกโพล่งออกมาเป็นภาษาเกาหลีด้วยเสียงกดต่ำ เสียงนั้นดังแทรกขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติมากเกินไปจนฮาจุนเกือบคิดว่าตัวเองเป็นคนพูดไปชั่วขณะ
ใครคนหนึ่งเข้ามาในห้องเก็บของและกำลังคว้าคอเสื้อของมาร์โคไว้อยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“คิดอยู่แล้วว่าแกล้งทำตัวน่าสงสาร แล้วไม่นานก็จะทำแบบนี้”
‘พลั่ก!’ มูคยอมดันตัวมาร์โคไปชิดผนังทั้งที่ยังจับคอเสื้อไว้แน่น หลังของมาร์โคกระแทกผนังเสียงดัง ลูกบอลจำนวนหนึ่งซึ่งวางอยู่บนชั้น กลิ้งหล่นลงมาเสียงดังตุ้บตั้บเพราะแรงสั่นสะเทือน
มาร์โคตกใจจนพูดอะไรไม่ออกและไม่สามารถตอบสนองอะไรออกไปได้ ฮาจุนตั้งสติขึ้นมาได้ทีหลังจึงจับแขนของมูคยอมไว้
“คิมมูคยอม หยุดนะ”
“ฉันบอกว่ายังไง! ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าไอ้เลวนี่มันจะทำอะไรบ้าๆ น่ะ”
“พอได้แล้ว! ที่นี่คือสนามฝึกนะ”
ถ้าก่อเรื่องทะเลาะกัน มูคยอมก็จะตกที่นั่งลำบาก จะเปิดเผยเหตุผลอย่างชัดเจนก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องก็คงกลายเป็นว่า รุ่นพี่ตัวเต็งของทีมทำตัวเบ่งใส่รุ่นน้องหน้าใหม่ที่ยังไม่แม้แต่จะมีตำแหน่งด้วยซ้ำ
เมื่อตะโกนเสียงดังขึ้น ตอนนั้นมูคยอมจึงหันมาหาฮาจุน อีกฝ่ายมองเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมทำสีหน้าเฉียบขาดแล้วจึงคลายมือออก คราวนี้สายตาของฮาจุนตวัดไปมองชายหนุ่มที่ตัวติดกับผนัง
‘ออกไป’
ดวงตาของฮาจุนบอกแบบนั้น ใบหน้าของมาร์โคเต็มไปด้วยความสับสนและมองฮาจุนราวกับยังมีเรื่องอะไรจะพูดอยู่ แต่ตอนนั้นฮาจุนไม่ได้มองมาร์โคแล้ว
“นายเข้าข้างหมอนั่นจริงๆ ใช่ไหม”
เมื่อมาร์โคออกไป มูคยอมก็ปิดประตูเสียงดังปังแล้วเอ่ยถาม ฮาจุนเสยผมด้านหน้าขึ้น
“นายก็รู้ว่าไม่ใช่ ถ้าทะเลาะกันที่นี่ตอนนี้ ก็จะมีแต่นายเท่านั้นแหละที่จะโดนมองเป็นคนแปลกประหลาดในสายตาคนอื่น”
ฮาจุนรับรู้ว่ามูคยอมกัดฟันเพราะมองเห็นโครงร่างจากคางของอีกฝ่าย ฮาจุนเองก็กัดเนื้อด้านในปากอยู่เช่นกัน คราวนี้ทั้งสองคนเพียงแค่แลกเปลี่ยนความเงียบกันเท่านั้น
ในหัวของฮาจุนสับสนวุ่นวาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จะบอกว่ามาร์โคมีความสนใจในเชิงนั้นกับเขาจริงๆ น่ะเหรอ ถึงแม้ว่าอยากจะปฏิเสธและบอกว่าเขาแค่คิดไปเอง แต่เห็นได้ชัดว่ามาร์โคตั้งใจจะประทับริมฝีปากกับเขาจริงๆ
ไม่อยากจะเชื่อเลย การคาดเดาของมูคยอมที่ผิดมาตลอดจนถึงตอนนี้ วันนี้มันกลับถูกต้องเสียได้
เดาสุ่มร้อยครั้ง มันก็เป็นไปได้ว่าจะมีสักครั้งที่ถูก แต่ทำไมคำตอบนั้นมันต้องมาถูกหลังจากที่พวกเขาเลื่อนสถานะเป็นคนรักกันแล้วด้วยนะ
“โดนปากหรือยัง”
มูคยอมถาม ฮาจุนมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้ามึนงงแล้วจึงรีบร้อนส่ายหน้า ต่อให้มูคยอมไม่มาถึงห้องเก็บของแล้วกระชากคอเสื้ออีกคนไว้ในระหว่างนั้น มาร์โคก็คงจะจูบจู่โจมเขาไม่สำเร็จอยู่ดี เพราะมือของฮาจุนเองก็กำลังจะดันคางฝ่ายนั้นไว้อยู่แล้ว
เขาได้ยินเสียงถอนหายใจด้วยอารมณ์เดือดพล่าน ถึงแม้มูคยอมจะนิ่งเงียบ แต่ฮาจุนก็มองเห็นความโกรธที่พลุ่งพล่านขึ้นมาราวกับกองไฟขนาดใหญ่ลุกโหมอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย มูคยอมก้าวเข้ามาประชิดตัวฮาจุนหนึ่งก้าว มือใหญ่รั้งท้ายทอยเข้าหาตัวอย่างแรงและก้มหน้าเข้ามาใกล้
“จุน! หาบันไดพับไม่เจอเหรอ”
เสียงพูดอันแจ่มชัด คงรอจนเหนื่อยสตาฟที่มาจนถึงห้องเก็บของด้วยตัวเอง ส่งเสียงทำลายความเงียบ ฮาจุนอาศัยจังหวะที่การเคลื่อนไหวของมูคยอมหยุดชะงักแล้วรีบจัดท่าทางให้เรียบร้อย เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับพูดตอบ
“ขอโทษที่ช้าครับ หาเจอแล้วครับ”
“เอ๋ ทั้งสองคนทำอะไรอยู่ กำลังคุยเรื่องลับๆ กันอยู่เหรอ”
“เปล่าครับ เดินผ่านมาเลยแวะคุยนิดหน่อย”
“คิม ผู้จัดการทีมหาตัวอยู่แน่ะ ทั้งคู่รีบออกมาเร็วเข้า”
กระจกที่เกือบแตกถูกปิดเอาไว้ชั่วคราว แม้แค่ครู่เดียวแต่ฮาจุนก็นึกโล่งใจที่มีเวลาพอจะให้จัดการความคิด จากนั้นเขาก็ออกมาจากห้องเก็บของ มูคยอมเองก็ออกมาพร้อมกับ
เมื่อออกมาด้านนอกจึงเห็นว่ามาร์โคก็กำลังฝึกซ้อมร่วมกับนักกีฬาคนอื่นอยู่ ชายหนุ่มหันหน้ามาสังเกตสถานการณ์ทางนี้ แน่นอนอยู่แล้วที่ฝ่ายนั้นมีท่าทีไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมตนเองถึงทำให้มูคยอมโมโห ฮาจุนได้ยินเสียงมูคยอมกัดฟันกรอดๆ อยู่ด้านข้างอย่างชัดเจน