Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 132
ฮาจุนกลับมาบ้าน พร้อมกับความเงียบชวนกดดัน และเตรียมใจรับมือกับความโกรธของมูคยอม เขาตัดสินใจว่าต่อให้อีกฝ่ายระบายความโกรธใส่เขา เขาก็จะอดทน เหมือนครั้งหนึ่งที่เคยตัดสินใจในเรื่องที่คล้ายๆ กันนี้
เพราะถึงแม้ว่าจะเดาถูกเพียงหนึ่งจากร้อย แต่คราวนี้อีกฝ่ายทายถูกจริงๆ มูคยอมระแวงมาร์โคมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้และเตือนเขาว่าให้ระวังแล้วด้วย ถ้าเขาใส่ใจคำพูดของมูคยอม เขาก็จะไม่อยู่ในห้องเก็บของกับมาร์โคเพียงสองคนพักใหญ่แบบนั้นอย่างเด็ดขาด
ฮาจุนเศร้าใจ เรื่องที่ทำให้มูคยอมเสียความรู้สึกก็ด้วย และเรื่องที่เขาได้รับความรู้สึกดีแบบไม่ธรรมดา จากนักกีฬาที่ตนให้ความสนใจเป็นพิเศษในฐานะโค้ชเป็นครั้งแรกหลังจากมายังลอนดอน ก็ไม่น่ารื่นรมย์เอาเสียเลย
‘ฉันเข้าถึงง่ายเกินไปเหรอ’
หัวคิ้วของฮาจุนย่นเข้าหากัน เขาสามารถทำตัวเป็นคนที่เข้าถึงง่ายแค่ไหนก็ได้กับมูคยอม แต่กับคนอื่น เขาไม่ต้องการแสดงให้เห็นภาพลักษณ์แบบนั้น และในที่ที่เขาเป็นคนต่างชาติก็ยิ่งไม่อยากให้เป็นแบบนั้นมากขึ้นไปอีก
“เพราะนายใสซื่อมากไปน่ะสิ”
“…”
“คนใจดีแบบนายหรือไม่ก็อิมจองคยู คิดว่าคนอื่นเป็นเหมือนตัวเองทุกคนใช่ไหมล่ะ”
ทว่า หลังกลับมาบ้าน มูคยอมซึ่งเขาเคยคิดว่าจะตวาดเสียงดัง กลับพูดเพียงแค่นั้นด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง
ฮาจุนลังเล แต่ก็รีบเดินเข้าไปหาแล้วจับมืออีกฝ่ายไว้
“ฉันขอโทษ”
“ทำไม ไอ้หมอนั่นทำตัวล้ำเส้นเอง มีเรื่องอะไรที่นายต้องขอโทษล่ะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ… ฉันควรต้องฟังที่นายพูดแล้วระวังมากขึ้นกว่านี้อีกหน่อย ฉันผิดเอง”
“ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก”
มูคยอมพูดแบบนั้นแล้วประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากของฮาจุนในชั่วเวลาสั้นๆ แต่ฮาจุนกลับไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย
ถ้าให้พูดตามตรง ฮาจุนคิดว่าทันทีที่กลับมาถึงบ้าน มูคยอมจะตะคอกเสียงดังใส่เขา หรือไม่ก็มีเซ็กส์กันทันที
แต่มูคยอมเพียงแค่ทำสีหน้าเรียบเฉยและพูดน้อยลงราวกับหมดแรงเท่านั้น และอีกฝ่ายก็แตะต้องตัวฮาจุนน้อยกว่าปกติเสียอีก นอกเหนือจากจูบเด็กน้อยชั่วขณะเดียวก็ไม่มีการประทับริมฝีปากอย่างลึกซึ้งอีกเลย
แบบนี้ไม่ทำให้คลายกังวลได้เลยสักนิด เพราะถึงแม้การคาดการณ์กับความเป็นจริงมันจะผิดเพี้ยนไปจากกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ท่าทีของอีกฝ่ายก็ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากำลังรู้สึกแย่
ให้โมโหก็ยังดีเสียกว่า อย่างน้อยก็รู้ว่าจะต้องตอบอะไร ทั้งสองกินอาหารเย็นเสร็จโดยไม่ได้พูดเรื่องอื่นอีก จากนั้นก็ใช้เวลาอยู่ในห้องใครห้องมัน ฮาจุนพยายามเล็งหาจังหวะที่มูคยอมจะเข้านอนแล้วพูดคุยกับอีกฝ่าย แต่มูคยอมกลับไม่มีวี่แววว่าจะขยับตัวเลยแม้แต่น้อย ฮาจุนมักเป็นฝ่ายเหนื่อยล้าก่อนมูคยอมทุกครั้งอยู่แล้ว สุดท้ายเขาก็ทนความง่วงไม่ไหวและไปเปิดประตูห้องที่อีกฝ่ายอยู่
“คิมมูคยอม ไม่นอนเหรอ”
“นอนก่อนเลย ฉันจะดูอะไรหน่อย”
ถ้าพูดถึงการดูการแข่งรอบก่อนอย่างละเอียด มูคยอมก็ดูจบพร้อมฮาจุนไปแล้ว มูคยอมนั่งจ้องโน้ตบุ๊กอยู่บนโซฟาหนึ่งที่นั่ง ใบหน้าด้านข้างของเขาเยือกเย็นและนิ่งเฉย
…แค่บอกว่าขอโทษที่ใกล้ชิดกับฝ่ายนั้น แล้วอ้อนให้หายโกรธดีไหมนะ เขาทำผิดเรื่องนั้นก็จริง แต่ว่า…
ฮาจุนคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง แต่มูคยอมเพียงแค่บอกให้ไปนอน จากนั้นก็ไม่แม้แต่จะหันมาทางเขาด้วยซ้ำ ฮาจุนทอดสายตามองใบหน้าด้านข้างของคนหัวรั้นแล้วยอมแพ้ไป
รักข้างเดียวที่ยาวนานต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาสิบปีแบ่งออกได้สองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นความหวาดกลัวที่ฝังลึก ซึ่งมีมากเท่าๆ กับอีกส่วนซึ่งเป็นความรัก ความรู้สึกนั้นคงยังเหลืออยู่ภายในใจ พอมูคยอมสร้างเกราะแข็งแกร่งขึ้นมา เขาจึงไม่มีความกล้าที่จะเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน
พอเอนตัวนอนลงบนเตียงกว้างเพียงคนเดียว น้ำตาก็ไหลซึมออกมา เขากลัวว่ามูคยอมจะไม่หายโกรธอยู่แบบนี้ต่อไป กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมเชื่อใจในตัวเขาอีกครั้ง
* * *
เหมือนว่าจะนอนไม่หลับเพราะความรู้สึกไม่สบายใจแต่ดูเหมือนว่าจะเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
ถ้าหลับไปแล้วรอบหนึ่ง ฮาจุนก็ไม่ได้เป็นคนประเภทที่จะตื่นขึ้นมากลางดึกง่ายนัก แต่คงเพราะก่อนนอนอารมณ์ไม่คงที่ ฮาจุนจึงลืมตาขึ้นทั้งที่ยังดึงสติกลับมาไม่ได้
ปกติแล้ว เขาจะดึงผ้าม่านลงให้มิดชิดก่อนนอน จึงยากที่จะแบ่งแยกว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนด้วยแสงสว่างที่มีในห้องเพียงอย่างเดียว แต่ฮาจุนรับรู้ได้ด้วยความรู้สึกว่าตอนนี้ยังเป็นช่วงกลางดึกและยังไม่เข้าสู่ช่วงเช้ามืด เขาคอแห้งนิดหน่อย ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว ฮาจุนจึงตั้งใจจะดันตัวลุกขึ้นเพราะต้องการดื่มน้ำ
“…”
ฮาจุนตระหนักขึ้นมาได้สองอย่าง
มูคยอมยังคงไม่เข้ามานอนบนเตียง ช่วงหนึ่ง เขากับมูคยอมเคยใส่ชุดคลุมนอน แต่ช่วงนี้ พวกเขาสองคนจะนอนไม่ใส่เสื้อผ้าแทบทุกคืน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีเซ็กส์กัน แต่มูคยอมชอบสัมผัสร่างเปลือยเปล่าของเขา ช่วงนี้จึงนอนโดยสวมแค่ชั้นในตัวเดียวหรือไม่ก็ถอดหมด จนแทบจะกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว
ฮาจุนไม่รู้สึกถึงน้ำหนักและอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายซึ่งมักจะนอนกอดร่างกายเปลือยเปล่าของเขาเหมือนกอดหมอน ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนบนร่างกายก็ตาม ทั้งหัวไหล่ หน้าท้อง เอว หรือว่าขา และอีกฝ่ายไม่ได้จงใจนอนแยกกันด้วย ที่นอนด้านข้างยังคงว่างเปล่า ไร้วี่แววว่ามีคนอยู่
อีกอย่างคือเขาไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ ฮาจุนครุ่นคิดว่าตัวเองยังไม่ตื่นดีหรือกำลังถูกผีอำ แต่ประสาทสัมผัสนั้นชัดเจนจนไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้
ฮาจุนขยับเพียงศีรษะ หันไปมาเพื่อสังเกตรอบข้าง ดวงตาที่ตอนนี้เพิ่งตื่นเต็มตา มองไม่เห็นรูปร่างใดๆ ท่ามกลางความมืดสนิทเลย
“คิมมูคยอม”
ถึงอย่างนั้น ฮาจุนก็ยังเรียกชื่อของอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง
เมื่อดึงข้อมือ เสียงดังแกร๊งคล้ายโลหะก็ดังลอดเข้ามาในหู มือฮาจุนหยุดอยู่เหนือศีรษะ เขาดึงมันลงมามากกว่านี้ไม่ได้ เขาหลับไปโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบนี้เลยงั้นเหรอเนี่ย
“คิมมูคยอม”
ฮาจุนรออยู่พักหนึ่งแล้วเรียกอีกครั้ง ยังคงไร้ซึ่งเสียงตอบกลับ นอนหลับอยู่ตรงไหนสักที่ในห้องหรือไงนะ
“คิมมูคยอม ตอบฉันหน่อย…”
หรืออีกฝ่ายจะไม่อยู่จริงๆ เสียงท้ายประโยคของฮาจุนสั่นนิดๆ เมื่อคิดว่าในนี้มีเพียงเขาคนเดียว
ทันใดนั้น ในที่สุดคราวนี้ก็รับรู้ได้ว่ามีใครบางคนอยู่ เขาได้ยินเสียงขยับตัวตรงจุดที่ห่างจากเตียงไปเล็กน้อย เวลาผ่านไปไม่นาน การมองเห็นที่เคยมืดสนิทก็สว่างขึ้นมาพอให้มองได้แบบรางๆ โคมไฟสลัวอันหนึ่งที่ถูกติดตั้งไว้ในห้องนอนสว่างขึ้น
มูคยอมยืนอยู่ข้างโคมไฟ ฮาจุนทอดสายตามองอีกฝ่ายนิ่งๆ แล้วกวาดตามองรอบข้างให้กว้างขึ้นอีกหน่อย ภายในห้องนอนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีเพียงเก้าอี้ตัวหนึ่งถูกวางไว้ตรงตำแหน่งที่เคยไม่มีอะไรวางอยู่ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะลากเก้าอี้ที่เคยตั้งอยู่กับโต๊ะตัวเล็กในห้องนอนมา
มูคยอมเอื้อมมือไปเปิดไฟแล้วยืนอยู่แบบนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนเก้าอี้มานั่งโดยไม่ได้พูดอะไร เขาจับเก้าอี้ให้พนักพิงมาอยู่ด้านหน้าแล้วเท้าแขนไว้บนนั้น มูคยอมค้อมแผ่นหลังกว้างมาด้านหน้าเพื่อวางคางลง ฮาจุนหงายหน้าขึ้นช้าๆ แล้วมองดูข้อมือของตัวเอง
“ก็แค่ ลองซื้อมาไว้เล่นกับนายก่อนนายมาน่ะ”
เสียงของมูคยอมดังขึ้น
“ไม่คิดเลยว่าจะได้ใช้แบบนี้”
น้ำเสียงไร้เรี่ยวแรงและราบเรียบ เสียงพูดของอีกฝ่ายฟังดูห่อเหี่ยวใจอย่างประหลาด ฮาจุนฟังแล้วจึงลองเขย่ามือดู เสียงโลหะดังแกร๊งจากเหล็กที่คล้องกับหัวเตียง ดังก้องอยู่รอบใบหู
มูคยอมบอกว่าไม่คิดเลยว่าจะได้ใช้แบบนี้ แต่ฮาจุนเองก็ไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้ ข้อมือของตัวเองจะถูกของแบบนี้คล้องเอาไว้เหมือนกัน ลองย้อนมองดูเส้นทางการใช้ชีวิตของตัวเองทีละอย่าง เขาก็แทบไม่เคยทำเรื่องที่พอจะได้ชื่อว่าเป็นเรื่องผิดบาปเลยนะ
“ฉันติดต่อไปไว้แล้ว ว่าพรุ่งนี้นายไปไม่ได้เพราะไม่สบาย”
ฮาจุนมองดูข้อมือของตัวเองอย่างเหม่อลอยราวกับเป็นข้อมือของคนอื่น แต่แล้วก็ต้องตกใจกับคำพูดนั้นจนตั้งใจจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง ทว่า ‘แกร๊ง’ มีเพียงเสียงนี้ดังขึ้น ร่างกายที่เคยนอนอยู่ ล้มฮวบลงไปบนผ้าปูเตียงอีกครั้ง
มูคยอมมองท่าทางนั้นแล้วหัวเราะหึๆ ฮาจุนควบคุมหัวใจที่เริ่มเต้นรัวเร็วขึ้นมาทีละนิดแล้วถามขึ้น
“นาย…ดื่มเหล้ามาเหรอ”
รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้าของมูคยอม
“ฉันไม่ง่วงเลยสักนิด ก็เลยตั้งใจว่าจะดื่มแค่แก้วเดียวน่ะ…”
“…”
“แต่ก็ใช่ ดื่มมานิดหน่อย”
‘ทำแบบนี้เพราะเมาอย่างนั้นเหรอ’
ฮาจุนคิดแบบนั้น ตอนแรกเขารู้สึกเหมือนว่ากุญแจมือที่ล็อกติดข้อมือของเขาไม่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ แต่ร่างกายที่ถูกยึดไว้ กลับค่อยๆ ปวดเมื่อยและไม่สบายตัวขึ้น
“ฉันรู้ นายไม่ได้ทำอะไรผิด เรื่องที่นายพูดมักจะถูกต้องและสมเหตุสมผลทุกครั้ง”
มูคยอมพูดแบบนั้นแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง
“แต่ไม่ว่าจะเป็นความผิดของใครก็ตาม ถ้าพรุ่งนี้นายไปที่สนามฝึก ไอ้บ้านั่นก็จะได้เจอนายไม่ใช่เหรอ”
“…”
“มันคงตาลุกวาว คอยเล็งจังหวะว่าจะมีโอกาสได้อยู่กันสองคนอีกเมื่อไร หรือเล็งว่าจะมีเวลาให้ได้ลองสานต่อการกระทำที่ทำค้างไว้ไหม จ้องหาโอกาส เฝ้ามองนายตั้งแต่หัวจรดเท้า! เอาจริงๆ ไม่ว่าจะฉันหรือนาย ตอนนี้ต่างก็รู้ความจริงกันทั้งคู่แล้วไม่ใช่หรือไง ว่ามันใช้สายตาอมทุกข์คู่นั้นมองนายพร้อมกับคิดอะไรอยู่”
น้ำเสียงที่เคยสงบนิ่งตอนเริ่มต้น ในตอนท้ายกลับกระโชกขึ้นเล็กน้อย ราวกับเจ้าตัวก็รับรู้ถึงเรื่องนั้นได้เหมือนกัน มูคยอมจึงหยุดพูดไปอย่างฉับพลันแล้วกระซิบกระซาบขึ้นมาอีกครั้ง
“เพราะอย่างนั้นฉันเลยไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง จะให้ไปควักลูกตามันออกมาเลยก็ไม่ได้”
“…”
“หรือว่าได้ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้สักหน่อยนี่นะ ฆ่ามันทิ้งไปเลยดีไหม”
มูคยอมหัวเราะคิกคักราวกับกำลังพูดเรื่องตลกอยู่ เมื่อก่อนฮาจุนก็รู้สึกได้ ว่าคิมมูคยอมพูดได้เป็นปกติดีแม้กำลังเมา เพียงแค่พูดในเรื่องที่ต่างกับมูคยอมในตอนปกติเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแบบไหนก็ตาม
ฮาจุนควบคุมหัวใจที่เต้นรัวแล้วเรียกอีกฝ่าย
“คิมมูคยอม ใจเย็นๆ สิ”
“ฉันล้อเล่นน่า นายก็รู้ว่าฉันรักชีวิตตัวเองขนาดไหนใช่ไหมล่ะ ฉันไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก ฉันโชคดีที่ไต่เต้ามาจนถึงตรงนี้ได้ จะทำแบบนั้นได้ยังไงกัน”
มูคยอมพูดแบบนั้นแล้วมุดใบหน้าลงกับแขนของตัวเองให้มิดขึ้นอีก แล้วจู่ๆ ก็เซื่องซึมขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ไอ้บ้านั่นยังฆ่าไม่ได้ แล้วคราวนี้จะฆ่าใครได้ล่ะ”
‘แกร๊ง’ เมื่อเสียงโลหะดังขึ้นอีกครั้ง มูคยอมก็เหลือบตาขึ้นมาแวบหนึ่งเพื่อมองฮาจุน ถึงแม้รู้ว่าตัวเองถูกล็อกไว้ แต่ฮาจุนก็ยังคงดึงแขนลงมาอยู่เรื่อย
“อยู่เฉยๆ สิ ทำแบบนั้นนายก็ได้แต่เจ็บข้อมือเท่านั้นแหละ มันไม่หลุดหรอก”
ฮาจุนมองมูคยอมโดยไม่ได้พูดอะไร เมื่อก่อนก็เคยเกิดสถานการณ์ที่ต่างแต่ก็คล้ายคลึงกัน
อีกฝ่ายเคยสั่งให้เขาขึ้นไปนั่งบนโต๊ะแล้วตัวเองก็นั่งบนเก้าอี้ห่างออกไปหน่อย บอกให้เขาขยายช่องทางด้านหลังด้วยตัวเอง จากนั้นก็มุดใบหน้าลงกับแขนพร้อมทำสีหน้าเย็นชาเหมือนคนที่ไม่อยากมีเซ็กส์เลยสักนิด ตอนนั้นมูคยอมนั่งมองเขาด้วยสีหน้าห่อเหี่ยวใจนิดหน่อย
หากคิดดูตอนนี้ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำให้เขาอับอายก็จริง แต่ตอนนั้นเขากลับแทบจะไม่รู้สึกอาย แม้ว่าจะสับสนก็ตาม เพราะอย่างไรซะ เขาก็ไม่เคยมีเซ็กส์กับมูคยอมโดยยึดถือศักดิ์ศรีอยู่แล้ว เพียงแต่ชั่วขณะหนึ่งในตอนนั้น เขานึกกลัวมูคยอมเพราะอีกฝ่ายทำตัวเหมือนไม่ใช่ตัวเองขึ้นมาอย่างฉับพลัน
แล้วตอนนี้ล่ะ
“คิมมูคยอม มาตรงนี้หน่อยสิ”
ตอนนี้… เขาเหมือนจะเข้าใจนิดหน่อยแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำแบบนั้น
ทั้งที่ตอนนั้นมองไม่เห็นเหตุผลอะไรเลยแท้ๆ
“ไม่ต้องปลดออกให้ก็ได้… แต่มาตรงนี้หน่อย”
“…”
“ฉันไม่โกรธหรอก ถึงทำแบบนี้ ฉันก็ไม่เกลียดนายด้วย มาตรงนี้ก่อนเร็ว”
เร็วเข้าสิ ถึงแม้ว่าจะพูดเกลี้ยกล่อมแต่มูคยอมก็ยังเอาแต่นั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่งๆ เหมือนรากยึดและไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
ในห้องเปิดไฟ แต่แสงสลัวของโคมไฟสำหรับใช้ในห้องนอนทำให้รับรู้เพียงท่าทางกับเค้าโครงใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างเลือนรางเท่านั้น มูคยอมดูคล้ายกับเป็นก้อนหินรูปคน ถ้าอีกฝ่ายไม่พูดก็คงจะคาดเดาสีหน้าได้ลำบาก
โคมไฟขนาดเล็กทำให้เกิดเงาขนาดใหญ่บนผนัง พักหนึ่งที่ฮาจุนจ้องมองเงาดำมืดซึ่งทาบทับลงมาเป็นรูปร่างของมูคยอมที่กำลังนั่งอยู่อย่างบิดๆ เบี้ยวๆ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าเงานั้นดูคล้ายกับรอยแผลเป็นที่เหลือทิ้งไว้ตรงเอวของเขาเลย
คำที่เคยพูดไม่ออกเมื่อคราวก่อน คราวนี้ถูกเปล่งออกมาจากปาก
“ฉันกลัว… มาตรงนี้หน่อยนะ”
คำพูดนั้นทำให้เงาของอีกฝ่ายกระดุกกระดิก ถึงอย่างนั้น มูคยอมก็ยังนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ฝีเท้าไร้เสียงเมื่อเดินบนพื้นปูพรมใกล้ๆ เตียง ฟูกราคาแพงไม่ส่งเสียงลั่นออกมาง่ายๆ ห้องนอนเงียบสงบอยู่ชั่วขณะแม้มูคยอมจะนั่งแบบหมิ่นเหม่ลงบนเตียงแล้ว
เมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ กลิ่นเหล้าก็ลอยคลุ้ง ดูท่าจะดื่มหนักกว่าที่คิด ‘พรุ่งนี้ก็เป็นวันฝึกซ้อมแท้ๆ เจ้านี่’ ฮาจุนนิ่วหน้าโดยอัตโนมัติแล้วบ่นงึมงำในใจ แต่แล้วคิ้วของมูคยอมก็ขมวดเข้าหากัน
“อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้น”
ฮาจุนลืมสถานการณ์ไปชั่วขณะ ดวงตาของเขาเพียงแค่ฉายแววตำหนิออกมาโดยไม่รู้ตัวเพราะไม่พอใจที่อีกฝ่ายดื่มเหล้าเยอะ แต่มูคยอมดูเหมือนจะเข้าใจผิดไปในทิศทางอื่น
อีกฝ่ายโพล่งขึ้นแบบนั้นแล้วจู่ๆ ก็ก้มตัวลงมาจนชิด ราวกับจงใจให้ตัวเองอยู่ห่างออกไปจนถึงตอนนี้ มูคยอมขยับตัวรวดเร็วเหมือนสัตว์ที่ตั้งใจจะตะครุบเหยื่อที่ติดกับดัก
“ฮึก…!”
ฟันแข็งๆ ฝังลงบนลำคอของฮาจุน เหมือนกำลังกัด แต่ก็ทาบริมฝีปากลงมาดูดดุนอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บผิวทั้งอย่างนั้น
เป็นสัมผัสที่เหมือนกับการจู่โจม ฮาจุนตั้งใจจะผลักไสอีกฝ่ายออกโดยไม่รู้ตัว แต่ข้อมือด้านในกลับถูกรั้งไว้และมีเพียงเสียงโลหะดังขึ้นเหนือศีรษะเท่านั้น
“อึก อา…”
เมื่อฮาจุนรับรู้ได้อย่างแจ่มชัดว่าเขาไม่สามารถขยับตัวได้ ไม่ว่ามูคยอมจะทำอะไรก็ตาม ขนอ่อนทั่วทั้งร่างก็ลุกเกรียวทั้งที่ไม่รู้สึกหนาว มูคยอมไม่คิดที่จะปล่อยผิวบอบบางตรงลำคอ ราวกับจะฉีกกระชากผิวแล้วดูดกินเลือดของเขา
ไม่ได้ถึงกับเจ็บ แต่เหงื่อของฮาจุนก็ไหลซึมเพราะสัมผัสที่ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ถึงแม้ร่างกายจะนอนอยู่ แต่ด้วยสภาพที่ถูกเหนี่ยวรั้งแขนไว้เหนือศีรษะ จึงไม่ง่ายเลยที่จะอดทนในระยะยาว มูคยอมเคลื่อนริมฝีปากไปทีละนิดพร้อมกับไล้เลียลำคอทางด้านขวาและซ้ายทั่วทุกจุด จากนั้นก็ลากเลียตั้งแต่ส่วนลูกกระเดือกที่นูนออกมา ไปจนถึงสันกรามและลากยาวต่อมาตรงคางโดยไม่ตกหล่นเลยแม้แต่น้อย
มูคยอมฝังเขี้ยวลงบนไหล่ลีนๆ แล้วลากริมฝีปากผ่านไปถึงส่วนเนื้ออ่อนนุ่มของแขนท่อนบนและล่างอย่างไม่สะดุด ตัวของฮาจุนสั่นอยู่เรื่อยๆ เขารู้สึกเหมือนถูกริมฝีปากของอีกฝ่ายสำรวจอวัยวะแต่ละส่วน
มูคยอมขบกัดผิวใต้กระดูกไหปลาร้าแล้วเลื่อนริมฝีปากไปจนถึงยอดอกที่ชูชันอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่นี้ เมื่อใช้ลิ้นบดขยี้ลงบนติ่งเนื้อที่แข็งเป็นไตด้วยความตึงเครียด ฮาจุนก็รู้สึกเหมือนผิวถูกของแหลมคมบาด ทั้งที่เป็นเพียงลิ้นของอีกฝ่ายเท่านั้น ฮาจุนดิ้นโดยอัตโนมัติ
ไม่รู้ว่าพึงพอใจหรือขัดเคืองใจการเคลื่อนไหวของเขา มูคยอมจึงกอดเอวเขาไว้แน่นในอ้อมแขนทั้งสองข้าง จากนั้นก็ดูดยอดอกของฮาจุนอย่างแรงราวกับจะให้มันขาดติดปาก แรงเท่ากับที่เคยทำตรงลำคอ
“อ๊า อึก!”
ฮาจุนส่งเสียงครวญครางออกมาราวกับกรีดร้อง เพราะความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับความเจ็บปวดมากกว่าเสียวซ่าน มูคยอมไม่หยุดเพียงครั้งเดียว ฮาจุนรู้สึกเพียงแค่ว่า ตรงที่ถูกมูคยอมดูดดึงจนเสียงดังจ๊วบจ๊าบเหมือนจะฉีกขาด
“อ๊า เจ็บ เจ็บนะ!”
คำพูดนั้นทำให้ริมฝีปากของมูคยอมผละออกไป แต่ก็แค่ครู่เดียว มูคยอมไม่ได้ใช้แรงเท่ากับเมื่อครู่นี้ที่ทำเหมือนจะกลืนกิน แต่ก็ดูดดุนหัวนมนิ่มทั้งสองข้างและบริเวณทั่วทั้งหน้าอกอย่างรุนแรงไม่หยุด ทุกจุดที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายลากผ่าน หลงเหลือความแสบซ่านเบาๆ ไว้ ทำให้ทั่วทั้งร่างร้อนวูบวาบ
ปกติแล้ว มูคยอมจะจบการสัมผัสทุกจุดด้วยจูบหนักๆ ที่ทำให้รู้สึกดี แต่ตอนนี้มูคยอมกลับสัมผัสอย่างเชื่องช้าและเน้นย้ำ ราวกับตั้งใจจะทิ้งรอยแดงๆ ไว้
“ฮึก อ๊าาา! อื๊อ ฮา…!”
ชั้นในถูกถอดออกจนรู้สึกว่างโล่ง ริมฝีปากของมูคยอมรูดไปบนผิวบางแถวๆ กระดูกซี่โครง ไล่มาตรงเอว ไปจนถึงหน้าท้องอย่างไม่พลาดเลยสักจุด คราวนี้ริมฝีปากนั้นกดลงบนผิวบริเวณเหนือแกนกาย ซึ่งเดิมทีน่าจะมีเส้นขนปกคลุมอยู่อีกชั้น
เขาลิ้นแลบออกมาเลียลงบนนั้นทันที มูคยอมลากเลียจนเสียงดังแผล็บแล้วดูดเนื้อนุ่มเข้าไปในปากเพื่อตีตราเช่นเดียวกับส่วนอื่นๆ