Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 14
หลังจากรับส่งบอลให้กัน มูคยอมก็มอบจูบให้เขาก่อนจะอาบน้ำ และออกมาจากอาคาร ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น จนถึงตอนนี้ฮาจุนยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความจริงอยู่เลย ราวกับว่าสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ได้เกิดขึ้นแล้ว หากไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายแล้วล่ะก็ เขาคงคิดว่าฝันไป
เมื่อคิดว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว เขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไร หากสนใจในตัวมูคยอมสักหน่อย ก็จะรู้ว่ามูคยอมพบกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้เป็นครั้งคราวและสนุกสนานกันแค่ชั่วข้ามคืน
เมื่อวานเขาได้รับบทบาทนั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง มูคยอมบอกว่าเป็นครั้งแรก ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ มูคยอมถึงอยากมีอะไรกับเขา ถึงแม้ว่าการมีเซ็กซ์แบบไม่ได้เตรียมพร้อมจะน่ากลัว แต่แน่นอนว่ามันคือโอกาสที่จะไม่มีวันหวนกลับมาอีก เพราะฉะนั้นเขาจึงปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปไม่ได้ ฮาจุนไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว วันนี้อาจจะลำบากใจที่ต้องพบหน้า แต่มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดอยู่แล้ว เวลาจะช่วยเยียวยามันเอง
ฮาจุนหยัดกายที่หนักอึ้งลุกขึ้นเดินไปยังห้องนั่งเล่น และเดินไปถึงห้องครัวที่คับแคบ ทั้งครอบครัวของเขามารวมตัวกันและทานอาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะอาหารซึ่งตั้งชิดติดกับผนังฝั่งหนึ่ง
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“พี่ตื่นแล้วเหรอ มากินข้าวเร็ว”
มินคยองที่กินข้าวอยู่ก่อนเอ่ยเร่งเร้าพี่ชายพลางดึงเก้าอี้ให้ ฮาจุนนั่งลงตรงหน้าโต๊ะอาหารและรีบหยิบช้อนขึ้นมา
“ดูเหนื่อยๆ นะ ถ้าไม่สบายก็ขอพักสักวันไม่ได้เหรอ”
เซยอง แม่ของฮาจุนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง อันที่จริงฮาจุนก็อยากจะทำแบบนั้น แต่ถ้าเขาขาดงานในวันนี้แล้วล่ะก็ คิมมูคยอมจะมองเขายังไงที่หายไปแบบนี้ ฮาจุนยิ้มและตอบกลับไป
“ไม่ ผมไม่เป็นไร ผมคงเหนื่อยเพราะเมื่อวานฝนตกน่ะ นานๆ ทีเลยนอนตื่นสาย”
“ทำงานในทีมใหม่คงเหนื่อยมากใช่ไหม”
“บอกว่าไม่ไง ทุกคนดีกับผม สบายมาก”
“ไม่อะไรกัน ปากแตกหมดเลยลูก”
แค่กๆ ฮาจุนไอออกมาระหว่างที่กำลังทานข้าว เธอจึงรีบยื่นแก้วน้ำให้ แม้แต่ตอนที่ดื่มน้ำ ฮาจุนก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นตรงๆ
เพราะเขารู้สึกเหมือนตัวเองทำอะไรไม่ดีลงไป เขาจึงไม่กล้ามองหน้าเธอตรงๆ นับตั้งแต่ตอนเด็ก ฮาจุนไม่เคยรู้สึกผิดแบบนี้ต่อหน้าแม่เลย จู่ๆ ฮาคยองที่กินข้าวอยู่ก็ถามขึ้นราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้
“เออพี่ ตอนนี้อยู่ทีมเดียวกับคิมมูคยอมใช่ไหม คงสนิทกันขึ้นมาหน่อยแล้วล่ะสิ พี่ชอบคิมมูคยอมนี่นา”
“อะไรนะ ไปบอกว่าชอบอะไรอีกล่ะ”
คำพูดของฮาคยองทำให้ฮาจุนตกใจจนต้องย้อนถาม ครั้งนี้มินคยองขมวดคิ้วราวกับจะถามว่าทำไมถึงพูดอะไรแปลกๆ
“เก็บแต่แฟ้มเอกสารที่ตัดข้อมูลของคิมมูคยอมเอาไว้หลายเล่ม แบบนี้ไม่ได้ชอบหรือไง”
“นั่นมันข้อมูลที่ใช้ตรวจสอบนักกีฬา ลืมไปแล้วเหรอว่าพี่เป็นโค้ช”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเก็บข้อมูลของนักกีฬาคนอื่นๆ ด้วยสิ คนเป็นโค้ชเลือกที่รักมักที่ชังได้ด้วยเหรอ แล้วอีกอย่างก็เห็นทำแบบนั้นมาตั้งแต่ก่อนจะเป็นโค้ชตั้งนานแน่ะ เมื่อเห็นฮาจุนไม่ตอบคำถามที่จี้จุดนั้น มินคยองก็ส่งเสียงขึ้นจมูกดัง ฮึ แล้วเปิดแฟ้มวิเคราะห์นักกีฬาไปเรื่อยๆ
“ฉันไม่ชอบคิมมูคยอม ถึงจะเป็นกองหน้า แต่ในสถานการณ์ที่จำเป็นก็ไม่เห็นจะช่วยแนวรับเลย พวกแนวรับถึงได้ลำบากกว่าเดิม”
ฮาจุนหัวเราะให้กับประโยคนั้นพลางผลักศีรษะของมินคยองด้วยนิ้วชี้เบาๆ มินคยองที่กำลังวิจารณ์นักกีฬาอย่างฉะฉานบ่นพึมพำ แล้วเงยหน้ามองพี่ชายตนเอง
“ทำไมล่ะ”
“เข้าข้างเพราะพี่เคยเป็นแนวรับเหรอ แต่กองหน้าควรยิงประตูตอนที่จำเป็นดีที่สุดแล้ว ถ้าจะทำแบบนั้น ในเวลาเก้าสิบนาที ต้องแบ่งแรงให้ดี การตั้งรับจึงจะน้อยลงด้วย”
“สำหรับฉัน พี่น่ะยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว”
มินคยองพูดเย้ยหยัน ฮาจุนลาออกมาได้สามปีแล้ว แต่สำหรับน้องๆ เขายังคงเป็นพี่ชายคนเก่งที่เคยเป็นตัวแทนประเทศไปแข่งเวิลด์คัพมาแล้ว ยุคที่รุ่งโรจน์นั้นเพิ่งผ่านไปไม่นาน คนในครอบครัวย่อมไม่สามารถปลดปล่อยช่วงเวลานั้นไปได้ง่ายๆ มันทั้งปลื้มใจและลำบากใจ
เมื่อมูคยอมกลายเป็นหัวข้อสนทนาบนโต๊ะอาหารยามเช้ากับครอบครัว ความรู้สึกของฮาจุนก็ซับซ้อนเกินบรรยาย ตอนนี้เขาอายุยี่สิบหก ถึงจะไม่มีใครเชื่อ อย่าว่าแต่เซ็กซ์เลย แม้กระทั่งจูบ ที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยมีประสบการณ์เลยด้วยซ้ำ เมื่อพูดถึงจูบแล้ว ก็มีแต่จุ๊บที่แฟนๆ ผู้คลั่งไคล้กดลงบนแก้มแบบกึ่งบังคับเท่านั้น แต่แล้วเขาก็ทำทั้งสองอย่างนั้นในคราวเดียวเหมือนกับสะสางการบ้านที่คั่งค้างให้เสร็จสิ้น มิหนำซ้ำยังทำกับคิมมูคยอมอีก
แค่คิดเขาก็รู้สึกร้อนฉ่าที่ใบหูแล้ว ฮาจุนขยับช้อนและตะเกียบอีกไม่กี่ครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ทำไม ไม่กินแล้วเหรอ”
“ผมคงจะสายแล้ว ขอโทษที่กินไม่หมดนะ”
ฮาจุนยังคงปวดแปลบไปทั่วเอวและช่วงท้อง เขาจึงไม่รู้สึกอยากอาหารเท่าไหร่ เธอทำท่าเหมือนอยากจะคุยอะไรต่อ แต่คำถามของฮาคยองที่ถามขึ้นว่า “แม่ มีผัดโอเด้งอีกไหม” ก็ทำให้บทสนทนาจบลงเพียงเท่านั้น ฮาจุนรีบเดินไปยังห้องน้ำ เขาล้างหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก
เขามีประสบการณ์ครั้งแรก กับคนที่เขาแอบชอบมาเป็นสิบปี
ทว่าใบหน้าของอีฮาจุนที่สะท้อนอยู่ในกระจกนั้นไม่ต่างอะไรจากเมื่อวานเลย มีเพียงรอยคล้ำใต้ดวงตาดูเหน็ดเหนื่อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฮาจุนเช็ดกระจก
ฮาจุนต้องใช้สมองอย่างว่องไว ตอนที่มูคยอมถามเขาว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกใช่ไหม เมื่อคิมมูคยอมที่ประทับจูบเพื่อหยั่งเชิงลองใจเขาถามคำถามนั้นออกมา ไม่มีทางเลยที่มูคยอมจะไม่มีจุดประสงค์อื่น ฮาจุนรู้จักมูคยอมดี อีกฝ่ายอยากมีวันไนท์แบบสบายๆ ประโยคที่มูคยอมถามเขาว่ามีความตั้งใจอื่นแอบแฝงกับเขาหรือเปล่านั่นเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจน ว่ามูคยอมต้องการความมั่นใจว่ามันจะไม่เป็นอย่างนั้น
ในโลกนี้จะมีสักกี่คนกันที่มีประสบการณ์ครั้งแรกแบบวันไนท์ การตอบว่าครั้งแรกเป็นคำตอบที่ผิด มูคยอมอาจจะรู้สึกหนักใจหรือหมดสนุกกับสถานการณ์นี้และเลิกล้มไปกลางคันเลยก็ได้ ฮาจุนได้ข้อสรุปแบบนั้นและให้คำตอบที่เขาคาดว่ามูคยอมต้องการกลับไป โล่งอก ดูเหมือนว่าฮาจุนจะคิดถูก มูคยอมจึงพาดแขนลงบนไหล่เขาอย่างพึงพอใจ ถึงแม้จะน่าเสียดายที่คนเพิ่งเคยมีเซ็กซ์เป็นครั้งแรกอย่างเขาไม่สามารถสอน ‘บทเรียนมากมาย’ ที่มูคยอมคาดหวังได้
หลังทานอาหารเช้า น้องๆ ก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวไปโรงเรียน ในขณะที่แม่ของเขาก็จัดการอะไรต่อมิอะไรอยู่ในห้องครัว แม้ฮาจุนจะเป็นห่วงเธอ แต่เขาก็ไม่มีเวลาช่วยเธอจัดการแล้ว ฮาจุนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเล็กน้อย
“แม่ จะไปโรงพยาบาลอีกทีเมื่อไหร่เหรอ”
“วันพฤหัสฯ หน้า ไม่ต้องสนใจหรอก เดี๋ยวแม่ไปเอง”
“แต่ถึงยังไงก็ควรบอกกันหน่อยสิว่าจะไปเมื่อไหร่”
“เดี๋ยวจะบอกก่อนไปแล้วกัน ไม่ต้องเป็นห่วง”
“เดี๋ยวดูก่อน ถ้ามีเวลา ผมจะลาครึ่งวันนะ”
“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร”
หลังจากยุ่งกับการเตรียมตัวไปโรงเรียน น้องๆ ของเขาก็เดินออกไปที่ประตูหน้าบ้าน มินคยองยืนเก้ๆ กังๆ พลางก้มหน้าลง ฮาจุนที่สวมรองเท้าอยู่ก็ถามขึ้น
“ทำอะไรน่ะ”
“จะคลายเชือกรองเท้า”
ฮาจุนสะพายกระเป๋าไว้ด้านหลังและคุกเข่านั่งลงตรงหน้ามินคยอง แต่มินคยองก็ห้ามเขาไว้
“ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวหนูทำเอง”
“เธอผูกเองก็หลุดตลอด”
“ฮิ มันก็ใช่ หนูก็ผูกแน่นแล้วนะ ทำไมถึงหลุดตลอดเลย แต่พอพี่ผูกให้แล้วอยู่นานมากๆ”
ฮาจุนหัวเราะคิกคักพลางผูกเชือกรองเท้าผ้าใบที่มีขนาดเล็กกว่ามากเมื่อเทียบกับรองเท้าของเขาให้แน่น รูปผีเสื้อที่ดูเรียบร้อยถูกสร้างขึ้นด้วยนิ้วมือเรียวยาวที่แต่ละข้อปูดโปนออกมาเล็กน้อย
“เรียบร้อย”
ฮาจุนลุกขึ้นยืน ในขณะที่ฮาคยองก็ออกมาที่ประตูหน้าบ้านและขมวดคิ้ว
“นี่เธอผูกเชือกเองไม่ได้ จนต้องใช้พี่ที่กำลังยุ่งทำให้เลยเหรอเนี่ย”
“เฮ้อ ฉันไม่ได้ใช้สักหน่อย พี่บอกว่าจะทำให้เองต่างหาก นายน่ะสนใจเรื่องของตัวเองเถอะ”
บรรยากาศเลวร้ายลงในทันที เมื่อทั้งสองทำท่าจะทะเลาะกัน ฮาจุนจึงรีบเปิดประตู ประตูหน้าบ้านคับแคบเกินกว่าที่เราสามคนพี่น้องที่โตกันหมดจะยืนได้แล้ว
“พวกเราเองก็จะสายเอานะ รีบไปเร็ว”
“ไปแล้วนะครับ!”
น้องๆ ในเครื่องแบบที่มีลวดลายเดียวกันบอกลาเขาพร้อมกันและวิ่งออกจากประตูไป ขณะที่พวกเขาเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดิน ฮาจุนก็ยิ้มและเฝ้ามองแผ่นหลังของพวกเขาที่กำลังบ่นพึมพำใส่กัน
“ไปก่อนนะพี่!”
“แล้วเจอกันนะพี่!”
“ระวังรถด้วยล่ะ ระหว่างทางก็อย่าทะเลาะกัน”
หลังจากแยกกับน้องที่ทางเข้าอพาร์ตเมนท์ ฮาจุนก็เดินไปที่ป้ายรถประจำทางที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเส้นทางไปโรงเรียนของน้องๆ ถึงแม้ว่าฮาจุนจะมาช้ากว่าปกตินิดหน่อย แต่ก็ปลอดภัยหวุดหวิด โชคดีที่ทุกครั้งที่เขาเดินทางไปกลับจากที่ทำงาน บนรถบัสมักจะมีที่นั่งว่างอยู่มากกว่าที่จะแออัดเบียดเสียดไปด้วยผู้คนมากมาย
ฮาจุนถอนหายใจเบาๆ หลังจากย้ายร่างที่หนักอึ้งของเขานั่งบนเก้าอี้ได้ ในที่สุดเขาก็รู้สึกโล่งใจที่ได้อยู่คนเดียวเสียที วันนี้แม้แต่เสียงของคนในครอบครัวที่เขารักก็ยังทำให้เขารู้สึกอึดอัดในใจ
ฮาจุนเอนศีรษะพิงหน้าต่างกระจกและจ้องมองที่ทิวทัศน์ด้านนอกที่ผ่านไปอย่างช้าๆ เขามองผ่านป้ายที่เห็นอยู่ทุกวัน บางครั้งชื่อที่คุ้นเคยก็หายไป และมีการติดป้ายชื่อใหม่ที่ต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาพบเจอป้ายใหม่ที่วาววับ เขาจะนึกขึ้นทันทีว่าเมื่อก่อนเคยมีอะไรอยู่ที่ตรงนั้น และถึงจะเป็นทิวทัศน์ที่เห็นอยู่ทุกวัน แต่ถ้าเขานึกไม่ออก ฮาจุนก็จะรู้สึกหดหู่ไปชั่วขณะ สิ่งที่หายไปจะถูกลืมเลือนไปเร็วแค่ไหนกันนะ
ในตอนนี้ต้นไม้ทั้งสองฝั่งข้างทางเขียวขจี ขณะที่ผู้คนก็สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อบาง ชัดเจนว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิ นับตั้งแต่ตอนนี้จนถึงกลางเดือนมิถุนายนนับเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดในการเล่นฟุตบอล เมื่อเดินลงที่ป้ายรถประจำทางที่ลงอยู่ทุกวันและเดินต่ออีกราวๆ สิบนาทีก็จะถึงสนามฝึกซ้อม
เขาควรเดินให้เร็วกว่าปกติเพราะตอนนี้สายแล้ว แต่ฮาจุนก็ทำแบบนั้นได้ยากเพราะบั้นเอวและท้องที่ปวดแปลบ เขามาถึงห้องทำงานอย่างฉิวเฉียด เม็ดเหงื่อไหลซึมออกมาเล็กน้อย แต่ฮาจุนก็เดินเข้าไปในห้องทำงานพลางเอ่ยทักทายอย่างสดใส
“สวัสดีครับ”
“มาแล้วเหรอ”
“สายนิดหน่อย ขอโทษครับ”
“อะไรกัน มาตรงเวลาเป๊ะเลย พวกเราไปก่อนนะ”
ฮาจุนรีบวางกระเป๋าลงบนโต๊ะและออกไปเตรียมตัวที่สนามฝึกซ้อม เขามัวแต่เช็กสภาพร่างกายของเหล่านักกีฬาและจัดตารางฝึกซ้อม จนไม่รู้ตัวว่าจำนวนสมุดบันทึกที่ถืออยู่ตลอดนั้นเปลี่ยนไป ฮาจุนเตรียมสมุดบันทึก ปากกา นกหวีด และนาฬิกาจับเวลา ก่อนจะเดินออกมาจากห้องทำงาน ฮาจุนที่กำลังจะเปิดประตูไปยังสนามฝึกซ้อมหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่งและถอนหายใจยาว
อีฮาจุน เข้าใจไหม ว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ทุกอย่าง
ทำตัวตามปกติ ตามปกติ
เมื่อประตูเปิดออก สีเขียวสดของสนามหญ้าก็ปรากฏต่อสายตา ทัศนียภาพเดิมที่เหมือนกับทุกวันนั้นเหมือนกำลังบอกให้ฮาจุนรู้ว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปทั้งนั้น เหล่านักเตะมารวมตัวกันที่สนามฝึกซ้อมอยู่ก่อนแล้ว ฮาจุนจึงรีบเดินเข้าไปยืนขนาบข้างผู้จัดการพิเศษที่เพิ่งได้รับตำแหน่งในวันนี้
“สวัสดีครับ”
ฮาจุนใช้สายตานับจำนวนนักกีฬาที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ตรงหน้าผู้จัดการทีละคนๆ ก่อนจะสบสายตากับมูคยอม มูคยอมไม่เปลี่ยนสีหน้า เขามองหน้าฮาจุนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปหาคนข้างๆ ที่กำลังชวนคุย ในขณะที่ฮาจุนก็เบนสายตาจากอีกฝ่ายไปทางอื่น
ด้วยสีหน้าไม่ยี่หระราวกับว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น แม้จะไม่ได้คาดหวังแต่ก็ทำแบบนั้น เมื่อรอยยิ้มขมขื่นจะปรากฏบนใบหน้า ฮาจุนก็บังคับมุมปากไม่ให้ยกขึ้น
…เขาคิดว่ามูคยอมรับรู้ความรู้สึกของเขาแล้ว ตอนที่อีกฝ่ายเข้ามาจูบเขาเมื่อวาน พอคิดอย่างนั้นเขาก็เลยทนไม่ไหว เปิดเผยความรู้สึกที่เคยเก็บซ่อนไว้คนเดียวมาตลอดหลายปีให้อีกฝ่ายได้รับรู้
ไม่สิ เรื่องที่เขาเปิดเผยให้อีกฝ่ายได้รับรู้นั้น เขาคิดไปเองคนเดียว มูคยอมก็แค่หาคู่นอนข้ามคืนและพยายามประเมินความคิดของเขาด้วยจูบสั้นๆ เพียงเท่านั้น เขาที่ไม่เข้าใจสถานการณ์และไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้ จึงพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย พอนึกถึงช่วงเวลานั้นแล้ว ฮาจุนก็รู้สึกอับอายขึ้นมาทันที โชคดีเหลือเกินที่มูคยอมเห็นจูบนั้นเป็นแค่การเห็นด้วยกับข้อเสนอในหนึ่งคืนเท่านั้น
ฮาจุนปรบมือสองสามทีเป็นสัญญาณให้นักกีฬามารวมตัวกันเหมือนทุกครั้ง ก่อนจะเริ่มการฝึก
“ช่วงเช้าจะเริ่มซ้อมก่อนนะครับ เริ่มจากวิ่ง แต่คนที่ถูกเรียกชื่อต่อไปนี้จำเป็นต้องฝึกเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปวิ่งนะครับ ขอให้อยู่ก่อน”
“ครับ!”
วันนี้ที่ไม่ต่างอะไรจากเมื่อวานได้เริ่มต้นขึ้น ความเจ็บปวดที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายเป็นเพียงสิ่งเดียวที่บ่งบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ใช่ความฝัน ถ้าบอกว่าไม่เสียใจก็คงโกหก แต่ฮาจุนก็คิดเสียว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นความโชคดีที่คาดไม่ถึง และตัดสินใจแล้วว่าจะเก็บมันใส่ลิ้นชักซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
ถึงแม้ว่าตอนจบนั้นจะน่าเศร้าและเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่มันก็เป็นเหมือนของขวัญเซอร์ไพรส์ที่อธิบายได้แค่ว่าเขาโชคดี ฮาจุนอยากขอบคุณความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงง่ายของมูคยอม ท่ามกลางความรู้สึกเจ็บแปลบที่บั้นเอวและในท้อง รวมทั้งความรู้สึกปวดแสบในร่างกายราวกับถูกบีบรัดจนคับแน่น พอจะขยับตัวไปทำงานก็ลำบากกว่าปกติ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็หวังว่าความเจ็บปวดนี้จะไม่จางหายเร็วจนเกินไปนัก
ระหว่างการฝึกซ้อม มูคยอมไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลยสักคำ และหลังฝึกซ้อมเสร็จก็คงไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืน ถึงแม้ว่าฮาจุนจะรอให้อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาหรือทำเป็นรู้จักเขาอยู่ในใจ แต่มูคยอมกลับเผชิญหน้ากับเขาอย่างเป็นการเป็นงานมากกว่าปกติเสียอีก แต่ก็โชคดีที่ฮาจุนเองก็ไม่ได้สนใจมูคยอมมากเกิน และสามารถทำการฝึกซ้อมได้
หลังจากเสร็จสิ้นตารางฝึกซ้อมแล้ว ฮาจุนมองมูคยอมที่กลับไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากพูดได้ หลายวันผ่านไปโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ความเจ็บปวดในร่างกายเขาจางลงไปตามสภาพเหมือนรอยช้ำที่ค่อยๆ เลือนหาย เมื่อมันจางหายไปจนเกือบหมด เรื่องอื้อฉาวเรื่องใหม่ของมูคยอมก็ปะทุขึ้น การมีเซ็กซ์กับฮาจุนจึงเป็นหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดที่บอกว่านั่นเป็นเพียงการเล่นกับไฟในค่ำคืนที่ผ่านไปเพียงเท่านั้น
ถึงจะคิดว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาตั้งแต่แรก แต่เศษเสี้ยวเล็กๆ ก็ยังคงหลงเหลืออยู่ ความคาดหวังเล็กๆ ที่เงียบสงัดอยู่ในหัวใจของฮาจุนก็โบกสะบัดราวกับหางจิ้งจกที่ถูกตัด ก่อนจะหายไปราวกับมันสิ้นลม
……………………………………….