Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 140
วินเทอร์ซึ่งเป็นตัวรุกเริ่มวิ่งเลี้ยงบอลไปตรงขอบสนาม ฮาจุนแอบมองใบหน้าด้านข้างของมูคยอมทันที มูคยอมในตอนที่วิ่งเลี้ยงลูกจากเส้นแบ่งเขตสนามไปทำประตูเหมือนภาพที่ฉายขึ้นบนหน้าจอในตอนนี้ ยอดเยี่ยมที่สุดแล้วจริงๆ รวมทั้งตอนเตะลูกสุดแรงจากบริเวณนั้นเพื่อยิงประตูระยะกลางด้วย
ถ้าคิมมูคยอมคนนั้นพูดว่า ‘ได้เพราะโชคช่วย’ ทั้งที่เป็นการยิงระยะกลางในแบบคล้ายๆ กัน ก็เท่ากับว่าเขากำลังวิจารณ์ตัวเอง ต้องรู้สึกวุ่นวายใจอยู่แล้วละ
การเลี้ยงลูกหลบหลีกคู่แข่งหรือยิ่งประตูระยะไกล ถ้าเอว กล้ามเนื้อสะโพก กล้ามเนื้อต้นขาด้านนอก และข้อเท้าที่แข็งแรง ออกแรงได้ไม่ทั่วถึง ต่อให้เทคนิคดีแค่ไหนก็ยากที่จะส่งลูกเข้าประตูไปได้ มูคยอมมีทั้งพละกำลังและเทคนิค ในตอนที่เลี้ยงลูกหลบคู่แข่ง จนกระทั่งส่งบอลเข้าประตูไป มูคยอมก็ยังคงความสุขุมไว้ได้
กลับกันเห็นว่าวินเทอร์ในจอเริ่มกระสับกระส่ายและไม่สามารถหลบหลีกคู่แข่งอย่างมีพลังไปจนถึงโกลได้ สุดท้ายจึงถูกฝั่งบาร์เซโลนาแย่งลูกไป แล้วการเลี้ยงลูกหลบหลีกที่เริ่มต้นอย่างมุ่งมั่นก็จบลงด้วยความงงงวย
น่าเสียดาย แต่ไม่ว่าใครต่างก็ไม่สามารถแสดงให้เห็นประสิทธิภาพแบบนั้นได้ ฮาจุนจิบไวน์พร้อมกับรู้สึกภาคภูมิใจในตัวมูคยอมซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ขึ้นมาโดยไม่จำเป็น
“เป็นแบบนั้นแล้วออกกำลังตอนกลางคืนจะได้เรื่องเหรอ”
“…หืม”
ฮาจุนเบิกตากว้างมองมูคยอมเพราะคำที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแข่งเลยแม้แต่น้อย ซึ่งอีกฝ่ายโพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่ขลุ่ยในตอนนั้น
“วิ่งนิดหน่อยก็ขาเปลี้ยสั่นงกๆ ไปหมด แล้วตอนกลางคืนจะออกแรงได้อย่างเต็มที่หรือไง”
“ใคร วินเทอร์เหรอ”
“ใช่ อ่อนแอเกินไปที่จะได้ชื่อว่าเป็นตัวรุกนะ”
น้ำเสียงอีกฝ่ายหาเรื่องอย่างชัดเจน แต่ฮาจุนกลับพยักหน้าเห็นด้วยแทนที่จะโกรธ เพราะเขาเคยชินกับการสังเกตร่างกายของพวกนักกีฬาในฐานะโค้ชกายภาพ
“นายพูดถูก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าโปรแกรมฝึกซ้อมของมาดริดทำกันแบบไหน แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันจะเน้นฝึกกล้ามเนื้อสะโพกกับกล้ามเนื้อขาด้านหลังในการฝึกขั้นพื้นฐาน ถ้ามองด้วยตา ขาดูแข็งแรงขนาดนั้นก็จริง แต่ถ้ามีกำลังไม่พอ มันก็จะไม่ใช่ปัญหาของร่างกายท่อนล่างเพียงอย่างเดียวแล้ว กลับเป็นปัญหาของแกนกลางลำตัว เอว แล้วก้นด้วยซ้ำ”
“…”
“สาเหตุที่วินเทอร์มีอาการบาดเจ็บเป็นระยะก็เหมือนกัน ฉันคิดว่านั่นก็เป็นเพราะเรื่องนี้ ถึงอย่างนั้น ร่างกายของเขาก็ค่อนข้างดีมาตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้นถ้าปรับใช้โปรแกรมการฝึกให้เหมาะสมก็คงจะมีประสิทธิภาพขึ้นแน่ๆ ทีมใหญ่ขนาดนั้นทำไมถึงไม่ปรับ…”
“ดูละเอียดจังนะ อย่างกับพินิจพิจารณาดูทีละส่วนๆ เลย”
มูคยอมพูดแทรกขึ้นทันควัน ฮาจุนละสายตาที่เคยจ้องมองหน้าจอแล้วเบนไปหามูคยอมอีกครั้ง
“…นายพูดแบบนี้เพื่อจะบอกอะไรอีก”
“อย่างที่นายพูด ร่างกายมีแรงไม่พอก็เลยเล็งได้ไม่แม่น แล้วก็จะทำได้แค่วิ่งฉิวไปยิงประตูแบบโชคช่วยเท่านั้น ฉันหมายความว่าวินเทอร์น่ะทำได้แค่ส่งบอลให้คู่แข่งเท่านั้นแหละ”
ฮาจุนเองก็ระงับความโกรธที่เดือดปุดๆ ขึ้นมาไม่ไหวแล้ว เขาไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มผู้มีตำแหน่งตัวรุกพูดเรื่องอะไรอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว คำพูดเย้ยหยันเบาๆ ถูกโพล่งออกไปจากเจ้าของใบหน้าที่แสร้งทำเป็นนิ่งเฉย
“ทำไม นายก็ชอบส่งลูกให้คู่แข่งนี่”
“นายกำลังบอกว่าฉันก็ส่งลูกให้คู่แข่งงั้นเหรอ”
‘ตึง!’ ฮาจุนตอบกลับคำโต้เถียงราวกับไม่อยากจะเชื่อของมูคยอมโดยการวางแก้วเปล่าลงกับโต๊ะเสียงดัง
ชายหนุ่มผู้ขึ้นเสียงชะงักไปพร้อมหดไหล่กว้างๆ เข้าหากันแล้วปิดปากเงียบ ฮาจุนถอนหายใจอย่างอ่อนแรง
“แยกกันดูเถอะ”
“…”
“มันเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่ามาตั้งแต่แรกแล้วละ การดูศึกคู่ปรับด้วยกันทั้งที่เชียร์คนละทีมกันเนี่ย”
“อีฮาจุน”
“นายดูอยู่นี่แหละ ฉันจะไปดูในห้องเอง”
“ห้องไหน”
“ไม่รู้ ไม่ห้องนอนก็ห้องหนังสือ ห้องไหนก็ได้”
ถึงพูดแบบนั้นแต่ฮาจุนก็ไม่มีอารมณ์จะดูแข่งต่อแล้ว การดูฟุตบอลมันก็เป็นการดูเพื่อความสนุกนี่นะ ตอนนี้มันเหือดหายไปจนหมดแล้ว ต่อให้มีใครโชว์ฟอร์มการเล่นน่าสนใจแบบไหนก็ตาม อารมณ์สนุกที่หมดไปก็คงจะไม่กลับคืนมาอีก
‘รู้ดีกว่าใครว่าคิมมูคยอมนิสัยเด็กน้อยแล้วยังจะคาดหวังอะไรอีกนะ… ต่อให้ชอบคนละทีมแล้วมันจะเป็นอะไร ยังไงก็เป็นแค่ฟุตบอล เพิ่งจะทำเป็นเท่พร้อมบอกยิ้มๆ ว่าจะไม่ยุ่งกับทีมของอีกคนเมื่อกี้นี้เองแท้ๆ ทั้งหมดนั้นเป็นแค่ลมปากอย่างที่คิดไว้เลย’
คิดดูแล้ว จนถึงตอนนี้ ถึงพวกเขาจะไปที่ผับ แต่ก็แค่ดูการแข่งที่ตรงกับเวลานั้นเฉยๆ ไม่เคยดูการแข่งของทีมที่ชอบจนเชียร์เลยสักครั้ง เพราะอย่างนั้นจึงไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้
ฮาจุนลังเล แต่แล้วก็เข้าไปในห้องหนังสือ ไหนๆ ก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เขาจึงคิดจะทำงานที่หยุดไปกลางคันเมื่อกี้ต่อให้เสร็จ พอนั่งตรงโต๊ะเขียนหนังสือที่มูคยอมซื้อให้ใหม่ตอนอยู่ลอนดอนแล้วเปิดคอมพิวเตอร์กับกางสมุดโน้ต เขาก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทีหลังจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่
‘เรื่องแค่นั้นมันจะทำไมนัก’
ความรู้สึกเสียใจทีหลังว่าน่าจะทำใจให้โล่งๆ เพื่อที่มูคยอมจะได้ดูการแข่งอย่างสนุกสนาน ถาโถมเข้าใส่ฮาจุนอย่างรวดเร็ว พอเข้ามาในห้องหนังสือแล้วตั้งใจจะทำงานจริงๆ จึงคิดได้ว่าตั้งแต่งานที่ทำ ยันบ้านหลังโอ่อ่าที่ตัวเองซุกหัวนอน ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่มูคยอมจัดเตรียมให้
โต๊ะเขียนหนังสือที่มองแค่ผ่านๆ ก็รู้ว่าทำจากไม้เนื้อดีอย่างพิถีพิถัน เก้าอี้ตัวโตที่นุ่มนิ่มแต่ก็รองรับส่วนเอวเป็นอย่างดี แม้นั่งนานก็ไม่เมื่อยล้า เสื้อผ้าที่ใส่ก็มีใครบางคนซื้อให้ เหล้ากับอาหารที่กินอย่างเอร็ดอร่อยเมื่อครู่นี้ก็เป็นสิ่งที่ใครบางคนเตรียมให้
รับจากอีกฝ่ายมาเยอะตั้งเท่านี้ ต่อให้ไม่สามารถคืนเป็นสิ่งของมูลค่าเท่ากันได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะทำให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกแย่ ไม่สิ ควรต้องทำต่างหาก
ฮาจุนมุ่งมั่นที่จะปรับตัวให้เข้ากันกับมูคยอมหมดทุกอย่าง แต่เขาก็เป็นเพียงคนที่มีจิตใจเป็นของตัวเองและเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไปที่มีรักข้างเดียวมาเนิ่นนาน การลบเลือนความเป็นตัวเองไปหมดแม้กระทั่งส่วนเล็กๆ น้อยๆ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถทำได้
ฮาจุนซึมลง จึงทำได้แค่กางสมุดโน้ตไว้ และในระหว่างที่กวาดตาอ่านตัวหนังสือครบทุกตัว ประตูบานคู่ขนาดใหญ่ของห้องหนังสือก็ถูกเปิดออกพร้อมเสียงดังแอ๊ด
“อยู่นี่เหรอ”
มูคยอมเดินฝ่าประตูที่เปิดไว้เข้ามา ฮาจุนเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยใบหน้ามุ่ยเล็กน้อย
“ทำไมไม่ดูต่อ”
“ลูกวัวน้อยโกรธจนวิ่งหนีไป เหลือตัวคนเดียวมันจะสนุกได้ไงล่ะ”
อีกฝ่ายเดินเนิบๆ เข้ามา วางถ้วยใส่ของหวานซึ่งไม่ใช่อาหารที่กินเป็นกับแกล้มเมื่อครู่นี้ลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เข้ามาตรงข้างๆ ฮาจุนแล้วทรุดตัวนั่งลงกับพื้นข้างเก้าอี้ทันที อีกทั้งยังวางศีรษะลงบนตักของฮาจุนด้วย
“ฉันขอโทษ”
“…ไม่หรอก ฉันก็ทำตัวไม่ค่อยดีเหมือนกัน”
“ฉันนึกว่าแค่นายไม่มองในฐานะผู้ชายคนหนึ่งก็น่าจะไม่เป็นไร แต่ฉันประเมินตัวเองสูงไป”
ฮาจุนเบิกตากว้างเล็กน้อยให้กับคำพูดนั้น ‘หมายความว่ายังไง’ สีหน้าของเขาถามออกไปแบบนั้น มูคยอมจึงยิ้มอย่างขมขื่น
“ฉันอิจฉา ที่นายสนใจนักกีฬาคนอื่น”
“อะไรนะ นายรับปากว่าจะเข้าใจเรื่องแบบนั้นแล้วนี่ ยังไงก็ต้องดูที่สนามฝึกทุกวันอยู่แล้ว”
“นั่นมันงานไง ฉันคิดว่านักกีฬาที่นายชอบแบบเป็นแฟนคลับมีแค่ฉันคนเดียว”
ฮาจุนทำตาโตยิ่งกว่าเดิม
“ใครเป็นแฟนคลับใคร คนที่ฉันชอบจนเรียกว่าเป็นแฟนคลับได้มีแค่นายนะ”
ทั้งรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอีกฝ่าย ทั้งซื้อยูนิฟอร์ม การแข่งขันก็ดูแบบไม่ตกหล่นเลยสักนัด ตอนอีกฝ่ายดูไม่คืบหน้าก็วิเคราะห์การแข่งอีกต่างหาก พร้อมทั้งค้นคว้าด้วยว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ต้องทำขนาดนั้นถึงจะเรียกว่าแฟนคลับได้ไม่ใช่เหรอ
เขารู้สึกว่า เพียงแค่ดูการแข่งเป็นครั้งคราวแล้วคิดว่าเก่งหรือไม่เลว ก็ไม่อาจบอกว่าเป็นแฟนคลับได้ ถ้าเขาไม่รู้สึกประทับใจหรือสนุกมากเท่านั้นก็คงไม่มีเหตุผลให้ดูการแข่งฟุตบอลตั้งแต่แรก ‘นายก็พูดเองว่ามีนักกีฬาที่ชอบไม่ใช่หรือไงกัน’
คำอธิบายของฮาจุนทำให้มูคยอมพยักหน้าราวกับเข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพูดต่อ
“ฉันไม่ชอบให้นายพิจารณาร่างกายนักกีฬาคนอื่นทุกซอกทุกมุมด้วย”
‘นั่นแค่ดูไว้เป็นการศึกษาเฉยๆ เองนะ…จากนี้ไป ถ้าอยู่ต่อหน้ามูคยอมก็คงต้องคิดแค่อย่างเดียวโดยไม่พูดออกมาแล้วสิ’ ฮาจุนตัดสินใจแบบนั้นพร้อมกับลูบใบหน้าของชายหนุ่มที่ซบแก้มลงบนหน้าตักของเขา ฮาจุนรู้อย่างแน่ชัดว่ามูคยอมเป็นคนขี้หึง แต่บางครั้งก็ยากที่จะคาดคะเนขอบเขตของความหึงหวงนั้นได้
“ถ้าให้เลือกหนึ่งในสองทีม ฉันก็ชอบมาดริดมากกว่านั่นแหละ แต่ยังไงก็มีทีมที่ชอบที่สุดอยู่อีกทีมนะ”
“ทีมไหน”
“จะทีมไหนล่ะ ก็ต้องเป็นทีมที่คิมมูคยอมอยู่น่ะสิ ตอนดูวินเทอร์เลี้ยงลูกหลบฝ่ายตรงข้ามเมื่อกี้ ฉันก็ยังคิดถึงแต่นาย เพราะคิดว่าถ้าเป็นนายก็คงไม่ถูกแย่งลูกไปจนเคว้งขนาดนั้น”
มูคยอมยกยิ้มบางๆ ให้เห็นราวกับอารมณ์ผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์แบบเพราะคำพูดของฮาจุนแล้ว ฮาจุนลูบแก้มของมูคยอมที่กำลังกดจูบลงตรงต้นขาของเขาดังจุ๊บๆ แล้วสอดมือเข้าไปในเส้นผมของอีกฝ่าย มูคยอมเงยหน้าพร้อมถามขึ้น
“ทำงานอยู่เหรอ”
“ว่าจะทำ”
“จะไม่ดูแข่งจริงๆ เหรอ ดูด้วยกันเถอะ”
“นายมั่นใจไหมว่าจะไม่พูดหาเรื่อง”
มูคยอมลูบๆ คลำๆ โทรศัพท์มือถือโดยที่ยังนั่งอยู่บนพื้นข้างฮาจุน
‘ในการแข่งครึ่งแรก แค่เมื่อกี้นี้เอง บาร์เซโลนาดูเป็นต่อกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลยนะครับ แต่พอเข้าครึ่งหลังกลับทัดเทียมกันพอสมควร ไม่มีฝ่ายไหนทำประตูได้ด้วยครับผม’
‘เพราะนี่คือศึกคู่ปรับแสนดุเดือดยังไงล่ะครับ การเตรียมความพร้อมของพวกนักกีฬาต้องพิเศษกว่าใครอย่างแน่นอน’
จู่ๆ ในห้องหนังสืออันเงียบเชียบ กลับมีเสียงผู้บรรยายและเสียงร้องตะโกนที่มีทั้งเสียงเชียร์และเสียงพูดเหน็บแนมของผู้คนปะปนกัน กระจายไปทั่วทั้งห้องอย่างแผ่วเบา มูคยอมยื่นหน้าจอโทรศัพท์ไปตรงหน้าของฮาจุน
ทิ้งห้องที่ติดตั้งอุปกรณ์โฮมเธียเตอร์แบบใหม่ล่าสุดมาทำอะไรอยู่แบบนี้กันนะ มูคยอมวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะโดยให้มันพิงไว้กับขาตั้ง ฮาจุนหัวเราะเบาๆ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ฉันจะไปเอาเก้าอี้นายมาให้”
“ไม่เป็นไร ฉันนั่งดูตรงนี้ก็ได้”
“จะนั่งพื้นเพื่ออะไรล่ะ”
ฮาจุนพูดปราม แต่มูคยอมก็จับเขานั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง อีกฝ่ายนั่งอยู่กับพื้น ซบใบหน้าลงกับตักของเขาเหมือนเมื่อครู่นี้
“ตรงนั้นมองเห็นชัดไหมล่ะ”
ที่ว่างระหว่างพื้นและโต๊ะก็สูงเอาเรื่องอยู่ ฮาจุนคิดแบบนั้นจึงดึงโทรศัพท์มือถือมาด้านหน้าอีกหน่อย ขณะปรับองศาแท่นวาง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงแล้วก้มลงมองด้านล่าง
“นายทำอะไร”
“รักนายไง”
มูคยอมดึงขอบกางเกงกับชั้นในของฮาจุนลงพร้อมกันโดยไม่ทันตั้งตัว จากนั้นก็จับส่วนอ่อนไหวของฮาจุนซึ่งยังสงบอยู่แล้วเลียส่วนปลายเป็นวงกลมก่อนที่ฮาจุนจะทันได้ห้ามอะไร เส้นขนบนแผ่นหลังของเขาลุกเกรียวในชั่วพริบตา ฮาจุนยกหลังมือขึ้นปิดตรงมุมปากด้วยความตระหนกแล้วก้มลงมองอีกฝ่ายทำแบบนั้น แต่แล้วมูคยอมก็เหลือบตาขึ้นสบมองเขาตรงๆ
ลิ้นที่แลบยาวไล้ขึ้นไปตามลำท่อนแล้วบดบี้ย้ำๆ ตรงรอยหยักส่วนปลาย อีกฝ่ายอมส่วนหัวเอาไว้แล้วปัดป่ายลิ้นซ้ายทีขวาทีเพื่อถูไถมัน ความวาบหวามแพร่กระจายออกไปราวกับไอร้อนยามจับไข้
“นายบอกว่าจะดู อึก แข่งนี่…”
“ยังไงก็ยังทำประตูไม่ได้นี่ ดูผ่านๆ ก็พอแล้ว”
ในขณะที่กำลังทำออรัลเซ็กส์ เสื้อผ้าท่อนล่างก็ถูกถอดออกจนหมด ฮาจุนนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยสวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวเดียว เขาก้มลงมองมูคยอมดูดส่วนกลางลำตัวของตัวเองพร้อมนวดเค้นโคนขาด้านใน
ปากร้อนระอุของอีกฝ่าย ดูดเลียร่างกายของเขาไว้ด้านในแล้วควานลิ้นราวกับกำลังกินลูกกวาด ร่างกายของฮาจุนเรี่ยวแรงเหือดหายไปทีละนิด มีเพียงมือที่วางอยู่บนที่เท้าแขนเท่านั้นที่ออกแรงเกร็ง ปลายนิ้วขดงอ
เมื่อมูคยอมใช้ปลายลิ้นขยี้ลงตรงจุดที่ส่วนหัวกับลำท่อนเชื่อมต่อกันอย่างเชื่องช้า ต้นขาที่เคยอยู่อย่างสงบบนเก้าอี้ก็สั่น จากนั้นอีกฝ่ายก็ลากลิ้นกวาดยาวตั้งแต่โคนลำกายไปจนถึงปลายหัวมน กระแสความซาบซ่านเบาบางที่ให้ความรู้สึกเหมือนใกล้จะปลดปล่อย แล่นจากปลายเท้าไปจรดศีรษะอย่างรวดเร็ว
ถ้ากระตุ้นมากกว่านี้อีกหน่อย อีกไม่นานก็คงจะถึงฝั่งฝัน ฮาจุนจึงหอบหายใจพร้อมกับขยับโยกเอว แต่มูคยอมคงไม่คิดจะใช้ปากทำให้จนเสร็จ อีกฝ่ายจึงเงยหน้าขึ้นมา ลำกายแข็งชูชันเคลือบไปด้วยน้ำลายวาววับ
“มองตอนไหนก็ดูดี”
คำพูดที่อีกฝ่ายพูดขึ้นพร้อมใช้มือสะกิดแกนกายของเขาเบาๆ ทำให้ฮาจุนหน้าแดงเถือก เมื่อสัมผัสขาดตอนไปก่อนที่จะได้ปลดปล่อย ในท้องน้อยจึงบีบรัดและร้อนผ่าวขึ้นเพราะรู้สึกเสียดายลึกๆ
มือใหญ่จับชายเสื้อเชิ้ตตัวหลวมของเขาเลิกขึ้น ลิ้นของมูคยอมไล้ขึ้นมาจากตรงหว่างขา หน้าท้อง ลิ้นปี่ ไปจนถึงหน้าอก ยอดอกของฮาจุนเต่งตึงและชูชันด้วยความเกร็งตั้งแต่ก่อนถูกดูดเสียอีก เมื่อมันผลุบหายเข้าไปในปากของอีกฝ่าย ฮาจุนก็พิงตัวลงกับพนักเก้าอี้พร้อมส่งเสียงร้องผะแผ่ว
“อา อ๊า…”
สัมผัสด้วยความรักจากมูคยอม ก่อกวนร่างกายของเขาพร้อมค่อยๆ เร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ ราวกับน้ำที่โหมซัดกลับ เมื่อมูคยอมใช้ลิ้นกวาดควานวงปานหน้าอกแล้วดูดกลืนยอดอกเสียงดังจุ๊บ ท้องน้อยของฮาจุนก็ยิ่งหดเกร็ง กล้ามเนื้อหน้าท้องนูนขึ้นจนเห็นเป็นลอนชัด
มูคยอมที่เคยคุกเข่านั่งอยู่บนพื้นข้างเก้าอี้ ลุกขึ้นมาครึ่งตัวตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แล้วกดริมฝีปากซอกซอนอยู่ตรงลำคอและใบหูของเขา อีกฝ่ายไล้ลิ้นลงตรงกระดูกอ่อนที่นูนออกมาด้านในใบหูแล้วชอนไชปลายลิ้นเข้าไปถึงหูส่วนใน
เสียงดังสวบสาบราวกับมีอะไรสักอย่างถูกขยำขยี้ดังก้องภายในหู ความหวามไหวที่ตีตื้นขึ้นมาจนถึงศีรษะด้านหลัง ตกกระทบลงภายในหัวจนทำให้สติพร่าเลือนทั้งที่มูคยอมผละออกไปแล้ว เรี่ยวแรงถูกสูบออกไปจนหมด ทำให้ตัวไหลเป็นทางไปตามเก้าอี้จนเขาอยู่ในท่าทีตัวราบต่ำลง ฮาจุนไม่ได้ยินเสียงถ่ายทอดการแข่งขันมาพักใหญ่แล้ว
แขนของมูคยอมยกร่างกายที่อ่อนปวกเปียกให้ลุกขึ้น ตัวที่เคยนั่งอยู่บนเก้าอี้ ถูกจับไปนั่งลงบนโต๊ะในจังหวะที่เจ้าของร่างไม่มีสติ ริมฝีปากทั้งสองบดเบียดกันอย่างลึกซึ้ง
ก้อนเนื้อเปียกชื้นกวาดเลียเนื้อเยื่อภายในปากอย่างนุ่มนวล เมื่อลมหายใจหอบกระชั้น ลิ้นก็ถอยออกไปเลียบนริมฝีปาก เมื่อฮาจุนแลบลิ้นออกมาขยับไปตามอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว มูคยอมกระตุกยิ้ม แล้วคราวนี้ใช้ฟันขบดึงริมฝีปากล่างของเขาเบาๆ
เมื่อมูคยอมดูดริมฝีปากเขาอย่างเชื่องช้าสองสามครั้ง เพียงแค่นั้นก็รู้สึกได้ว่าภายในท้องร้อนวูบวาบและบิดหดตัว ส่วนแผ่นหลังก็สั่นเทา ฮาจุนโอบแขนรอบลำคอของมูคยอมแล้วรั้งร่างของอีกฝ่ายให้แนบชิด
พอมือใหญ่ยกขาของเขาขึ้น ร่างกายท่อนบนของฮาจุนก็เอนไปด้านหลังโดยอัตโนมัติ มูคยอมจับขายกขึ้นไปพาดบนไหล่ของตัวเองแล้วลูบต้นขาจนทั่ว มือที่แผดเผาผิวกายจนร้อนผะผ่าวค่อยๆ เลื่อนไปทางก้นด้านหลัง
“โอ๊ะ”
น้ำเสียงที่บ่งบอกว่ามีอะไรผิดพลาดนิดหน่อย ถูกเปล่งออกมาจากปากของมูคยอมซึ่งพูดขึ้นกับตัวเอง ฮาจุนพยายามควบคุมร่างกายที่ร้อนรุ่มขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นจึงตระหนักได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องนอนแต่เป็นห้องหนังสือ
ไม่ใช่ครั้งแรกที่มูคยอมพยายามทำเรื่องลามกที่นี่ แต่ปกติ เวลาฮาจุนอยู่ในห้องหนังสือ ส่วนใหญ่เขาจะกำลังทำงานอยู่จริงๆ เพราะอย่างนั้นจึงไม่เคยทำกันจนเสร็จกิจเลย
“จากนี้ไปต้องเอาเจลมาทิ้งไว้ที่นี่แล้วสิ”
มูคยอมพูดอย่างเสียดายแล้วกวาดตามองรอบข้าง จากนั้นสายตาเขาก็หยุดลงตรงจุดจุดหนึ่ง
“อันนี้ก็น่าจะได้”
“…อะไรนะ อันนั้น”
ก่อนที่ฮาจุนจะทันได้พูดต่อจนจบ มูคยอมก็ขยับตัวอย่างฉับไว มูคยอมงอนิ้วกวาดครีมบนพายคัสตาร์ดที่เอามาเป็นอาหารว่างให้กระจายทั่วๆ
ความรู้สึกมันต่างกับสารหล่อลื่นที่มีความเหมือนเจลหรือโลชั่นสูง ในขณะที่ครีมนุ่มลื่นถูกป้ายลงตรงด้านหลังจนรู้สึกชุ่ม ขาของฮาจุนก็ถูกแย่งชิงอิสรภาพไป ฮาจุนจำต้องถูกมูคยอมทิ้งน้ำหนักกดลงให้ร่างกายของเขานอนนิ่งอย่างไร้ซึ่งทางสู้