Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 156
“ฉันก็ไม่คิดหรอกว่าการที่ฉันถูกมันเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ก็คิดว่าผิดนะ
ฉันเลยแกล้งทำตัวเหมือนเห็นด้วยไม่ได้ เรื่องนั้นฉันทำไม่ได้จริงๆ พอฉันเป็นแบบนั้น ก็มีทั้งคนที่บอกว่าฉันพูดมากเลยไม่ชอบฉัน มีทั้งคนที่บอกว่าฉันแกล้งทำเป็นใจดีก็เลยไม่ชอบ แล้วบางครั้งก็มีคนที่บอกว่าคราวก่อนเข้าไปยุ่งวุ่นวายแต่คราวนี้แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องก็เลยไม่ชอบฉันด้วย… มีหลายเหตุผลเลยละ ยังไงก็เถอะ มันก็กลายเป็นแบบนั้นไป”
ใบหน้าด้านข้างที่ผ่อนลมหายใจสั้นๆ ออกมาดูสงบนิ่งเกินคาด อีกฝ่ายกลับยิ้มบางๆ แล้วพูดต่อ
“แต่ว่า… จริงๆ แล้วฉันไม่ค่อยสนใจว่าใครจะชอบหรือไม่ชอบฉันสักเท่าไร ตอนนี้นายก็น่าจะรู้แล้ว ว่าฉันไม่ใช่คนที่ละเอียดอ่อนขนาดนั้น ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะคิดว่าทุกคนเป็นคนดีแล้วอยู่ร่วมกันได้เป็นอย่างดี เพราะทำแบบนั้นมันช่วยให้สบายใจ โดยเฉพาะกับเวลาทำงาน เพราะอย่างนั้นฉันถึงพยายามที่จะใจดีกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ทุกครั้ง เวลาแบบนั้นฉันก็จะคิดว่ามันช่วยไม่ได้แล้วจัดการให้เรียบร้อยตามสมควร”
“…”
“ฉันแค่ทำตัวตามที่ฉันตัดสินใจในแต่ละครั้ง แล้วก็ได้เจอกับคนที่ชอบและสนับสนุนฉันที่เป็นแบบนั้นเยอะแยะเลย แค่นั้นก็พอแล้ว พอลองใช้ชีวิตมา แค่ทุ่มพลังให้คนที่ชอบเราก็ยุ่งจะแย่แล้วใช่ไหมล่ะ ตอนที่การงานเกือบจะเป็นไปได้ด้วยดีแล้วฉันดันบาดเจ็บ ฉันทั้งโทษคนอื่น ทั้งเกลียดคนอื่น ทั้งเกลียดชังโลกใบนี้ แต่ว่า… ต่อให้ย้อนเวลากลับไปตอนนั้นได้อีกครั้ง ตัวเลือกของฉันก็คงจะไม่เปลี่ยนหรอก”
ฮาจุนพูดแบบนั้นแล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย
“ฉันไม่เคยกลัวว่าใครจะไม่ชอบฉัน ไม่เคยกลัวว่าจะถูกคนอื่นเกลียด ไม่เคยพยายามที่จะได้รับการยอมรับถึงขนาดนั้น”
“…แล้วยังไงต่อ”
สีแดงเรื่อแผ่ซ่านไปบนแก้มที่ก้มลงกับขอบตาที่ดวงตาหลุบลงเล็กน้อย
ท่าทีที่เหมือนกับกำลังขัดเขินผิดเวลาทำให้มูคยอมขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย เขาไม่สามารถคาดเดาความสอดคล้องของความรู้สึกที่ฮาจุนรู้สึกได้เลย มูคยอมใจร้อนขึ้นแล้วเร่งให้อีกฝ่ายตอบ
“ตอนนี้กลัวขึ้นมาแล้วเหรอ”
“…ฉันไม่อยากถูกนายเกลียด ฉันอยากได้รับการยอมรับจากนาย”
ดวงตาของมูคยอมโตเป็นไข่ห่าน ความรู้สึกเหมือนถูกอะไรฟาดหัวอย่างแรงอีกครั้งทำให้เขามึนงงแล้วทำได้เพียงอ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่ง
นี่มันเป็นความกังวลไร้สาระที่สุดในโลกอะไรกันเนี่ย คิมมูคยอมจะเกลียดอีฮาจุนเนี่ยนะ เขามองไม่เห็นหนทางที่จะทำแบบนั้นได้เลยด้วยซ้ำ!
“ต่อให้นายฆ่าฉันให้ตายตรงนี้ตอนนี้ ฉันก็รักนายอยู่ดี”
“อย่าพูดเรื่องน่ากลัวสิ ยังไงก็เถอะ ฉันเองก็ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนั้นหรอก…”
ฮาจุนประสานนิ้วมือเข้าด้วยกันแล้วพูดแหย่
“ตอนนั้นถ้าโมโหใส่ หรือตะโกน หรือร้องขออย่างจริงใจตรงนั้นเลย บางทีนายกับความสัมพันธ์ของเราอาจจะเปลี่ยนไป… ดูเหมือนว่าฉันคงกลัวเรื่องนั้นแหละ”
“…”
“เพราะอย่างนั้นฉันถึงคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่… พยายามคิดในแง่ดี ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ว่าทำไมนายถึงทำแบบนั้น แล้วที่ผ่านมาฉันก็มีส่วนผิดที่มองว่าคำพูดของนายไม่มีทางเป็นจริงด้วย นายชอบฉันมากถึงได้เป็นแบบนี้ เพราะอย่างนั้นถ้ายิ่งทำดีกับนายแล้วอยู่ข้างนาย ต่อจากนี้ก็จะไม่เป็นไร ฉันต่างกับนายที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่ฉันสามารถทำให้นายได้ก็มีแค่ชอบนายให้มากขึ้น ให้อภัยนายมากขึ้น แล้วก็ช่วยตอบรับในสิ่งที่นายต้องการ… เรื่องที่ฉันทำได้มีแค่เรื่องพวกนั้น ฉันถึงคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องทำมันให้ดี”
หัวคิ้วของฮาจุนย่นเข้าหากัน คิ้วของอีกคนลู่ลงราวกับจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ มูคยอมจึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตามไปด้วย
“ที่ฉันรู้สึกเศร้าขึ้นทีละนิดทุกครั้งที่คิดแบบนั้น น่าจะเป็นเพราะมันไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริงทั้งหมดใช่ไหม”
“…”
“ก่อนคบกัน ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องแบบนี้เลยนะ ไม่เคยคิดว่านายจะชอบฉัน ไม่เคยแม้แต่จะลองคิดว่าไม่อยากสูญเสียนายไป”
“ฮาจุน”
“ตอนฉันชอบฝ่ายเดียว แค่รู้สึกชอบก็พอแล้ว มันเลยง่าย แต่การเป็นคนรักกันมันยากจัง”
ฮาจุนยิ้มอย่างขมขื่น เขาพูดต่อทันทีไม่ได้แล้วก้มลงมองมือของตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นตอนนั้นหรือวันนี้ ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นจากการถูกผูกมัดก็เป็นความรู้สึกเดียวกัน คือความรู้สึกอ่อนล้าที่ไม่สามารถต้านทานพละกำลังที่ปฏิบัติต่อตัวเองตามใจชอบได้
แต่ถ้าบอกว่าความรู้สึกอ่อนล้าที่เคยประสบคราวก่อน บดขยี้เขาลงอย่างหนังหน่วงให้บี้แบนจนจมดิน วันนี้ก็ทำให้ตัวเขาลอยขึ้นไปกลางอากาศราวกับขนนก แทนที่จะมองว่าเป็นการรุกรานอย่างไร้ความปรานี มันกลับใกล้เคียงกับการปกป้องอันแสนสงบสุขที่โอบล้อมทั้งตัวของเขาไว้และทำให้ร่างกายกับจิตใจของเขาหลอมละลายลงมากกว่าเดิม
มือกับแขนที่โอบกอดเขา ลิ้นกับริมฝีปากที่หยอกล้อผิวกาย เป็นของคนคนเดียวกัน คนที่บีบคั้นและล่วงล้ำเขาในวันนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น วินาทีที่รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ น้ำตาก็ไหลออกมาก่อนที่เขาจะทันได้เข้าใจเหตุผลในหัวเสียอีก
“…ฉันมันขี้ขลาด ฉันพยายามที่จะหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองพร้อมกับแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ฉันรู้สึกแย่กับตัวเองมากจริงๆ…”
“อีฮาจุน ไม่ใช่นะ”
มูคยอมจับแขนทั้งสองข้างของฮาจุนแล้วดึงเข้าหาตัว ถึงแม้จะหันตัวไปแล้วแต่ฮาจุนก็ยังไม่สามารถมองมูคยอมตรงๆ ได้
“ทำไมเอาแต่โทษตัวนายเองล่ะ อย่างน้อยตอนนี้ก็ด่าฉันให้สบายใจยังจะดีกว่า อย่างน้อยก็ตีฉันไม่ยั้งจนกว่านายจะหายโกรธสิ”
“ฉันดูเหมือนพูดเรื่องแบบนี้เพราะโกรธเหรอ ตอนนั้นมันตั้งเมื่อไรมาแล้ว ต่อให้โกรธ ตอนนี้ก็หายโกรธหมดแล้วละ”
ฮาจุนพูด ใบหน้าของฮาจุนมีเพียงความเขินอายกับความเสียใจทีเหลือซุกซ่อนอยู่นิดหน่อยเท่านั้น ไม่มีสีหน้าแห่งความโกรธแค้นหรือขุ่นเคือง
มูคยอมกัดริมฝีปาก ทั้งการทำตัวขี้ขลาด ทั้งการหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองพร้อมแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว ทั้งหมดคือเรื่องที่เขาก็ทำ การไม่อยากถูกเกลียดก็เป็นความรู้สึกที่เหมาะสมกับเขาแล้วไม่ใช่เหรอ
วันนั้น ตอนที่สติกลับมาโดยสมบูรณ์ เขากลัวว่าฮาจุนจะระเบิดความโกรธเกลียดใส่กันจริงๆ ทั้งกลัว ทั้งกังวล ไม่อยากเต็มใจยอมรับเรื่องที่ตัวเองก่อเลยพูดกระทั่งคำขอโทษในทันทีไม่ได้ และทำเพียงแค่สังเกตท่าทีของฮาจุนเหมือนคนโง่เท่านั้น
ทว่าคนรักผู้ใจกว้างของเขากลับไม่แม้แต่จะปลดปล่อยความโกรธออกมา ไม่แม้แต่จะร้องไห้ ไม่แม้แต่จะต่อว่าหรือขุ่นเคืองใจ อีกคนแค่พูดสิ่งที่เขาอยากฟังอย่างเข้าอกเข้าใจเช่นเคย เหมือนเรื่องที่ความต้องการครึ่งๆ กลางๆ กระทำลงไปเป็นเพียงการหยอกล้อกันแบบต่างจากปกติแค่คืนเดียว แต่นั่นกลับผูกมัดเขาให้รู้สึกกังวลและกระวนกระวายใจ
แม้การกระทำนั้นจะจบลงแล้ว อีกฝ่ายก็ยังปลอบโยนพร้อมสัญญาว่าจะไม่จากไปไหน ฮาจุนกอดเขา ถึงกระทั่งบอกว่าถ้าต้องการก็ไว้ทำกันอีกทีหลัง อย่างกับว่ามันเป็นเกมที่แสนสนุก
สัตว์เดรัจฉานหน้าไม่อายรู้สึกวางใจเพราะการให้อภัยจากเจ้าของของมัน ไม่แม้แต่จะลองคิดดูว่า การให้อภัยนั้นก่อเกิดขึ้นด้วยความรู้สึกแบบไหน ทั้งยังปลอบใจตัวเองว่าโชคดีที่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับอีกฝ่าย มันเป็นเพียงวันที่ต่างจากวันอื่นๆ เท่านั้น พร้อมทั้งหนีจากความละอายต่อความผิดในคืนนั้นไปโดยการพูดคุยให้เรื่องมันผ่านๆ ไป ส่วนตัวเองก็รู้สึกสุขสงบในอ้อมกอดของอีกคน
มูคยอมกัดฟันจนกรามขัดตึง คนที่น่าจะกลัวจริงๆ คือใครกัน แต่เขากลับช่วงชิงกระทั่งความหวาดกลัวในสถานการณ์นั้นมาอย่างหน้าไม่อาย ต่อให้ละโมบและไม่ได้เรื่องแค่ไหน มันก็ต้องมีขอบเขตบ้าง
“แน่นอนว่าตอนนั้นฉันทั้งอึดอัด ทั้งโกรธ อยากร้องไห้ด้วย แล้วก็คิดอะไรขึ้นมาตั้งหลายอย่าง… แต่รีบจัดการความรู้สึกให้เร็วๆ น่าจะดีกว่า ฉันคิดว่าการทำแบบนั้นเป็นวิธีการที่ฉันจะอดทนเพื่อนาย น่าขำใช่ไหมล่ะ ถ้าเพื่อนายแล้ว ฉันยิ่งไม่ควรทำแบบนั้นด้วยซ้ำ”
“ขอร้องล่ะ ฮาจุน ฉันไม่ดีเอง นายโทษฉันสิ อย่าโทษตัวเองเลย”
มูคยอมกำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เต็มที ฮาจุนหัวเราะด้วยใบหน้าทำอะไรไม่ถูก
“ถ้าโทษนายตอนนี้ นายน่าจะร้องไห้นะ แล้วฉันจะด่านายได้ยังไง”
“ร้องไห้แล้วยังไง ร้องสักหน่อยแล้วมันจะตายเหรอ”
“ไหนๆ ก็พูดแล้ว นายรู้ไหมว่าที่น่าตลกกว่านั้นคืออะไร”
ยังจะมีเรื่องน่าขำยิ่งกว่านี้จากเรื่องนี้อีกเหรอ มูคยอมเดาไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
“ตอนนั้นฉัน… รู้สึกดีนิดหน่อย”
“…”
“อ้อ ไม่ได้หมายถึงเซ็กส์นะ… หมายถึงว่า ฉันชอบที่นายพะวักพะวนเพราะฉันถึงขนาดนั้น คิมมูคยอมที่เก่งกาจคนนั้นชอบฉันก็เลยหวั่นไหวถึงขนาดนี้สินะ คิมมูคยอมก็กระวนกระวายเพราะฉันสินะ ฉันคิดแบบนั้นอยู่เรื่อย… ก็เลยยุ่งยากใจสุดๆ”
สีหน้าของมูคยอมแข็งทื่อด้วยความทำอะไรไม่ถูก รอยยิ้มของฮาจุนแปรเปลี่ยนไปราวกับเย้ยหยันตัวเอง
“นั่นน่ะขี้ขลาดมากเลยใช่ไหม”
“ทำไมเอาแต่บอกว่าตัวเองขี้ขลาดอยู่เรื่อย…”
“ฉันไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นมนุษย์ประเภทที่จะรู้สึกดีใจทั้งที่คนอื่นกระวนกระวาย เพราะฉันไม่ชอบคนแบบนั้นน่ะสิ อีกอย่าง ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นนายด้วย”
ฮาจุนเอนตัวไปด้านหลัง ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงแล้วมองขึ้นไปบนเพดานด้วยสายตาเหมือนกำลังมองไปยังท้องฟ้าไกลแสนไกล
“จนตอนนี้แล้ว ฉันไม่ได้อยากได้คำขอโทษจากนายอีกครั้งหรอกนะ… ตอนนี้ก็คิดว่ามันเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น แต่พอได้พูดขึ้นมาแล้วก็โล่งเลยแฮะ ฉันเคยคิดว่าการยกเรื่องที่ผ่านมาแล้วมาพูด มันไม่มีความหมายและน่าอาย แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่นั้น”
“เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นงั้นเหรอ”
มูคยอมพูดลอดไรฟัน เขาจ้องมองไปกลางอากาศต่ำๆ ด้วยดวงตาเศร้าหมอง
“ฉันขืนใจนาย”
ฮาจุนเพียงแค่กะพริบตาและไม่ได้พูดอะไร อีกฝ่ายลุกพรวดขึ้นมาจากที่เคยนอนอยู่แล้วเสยผมด้านหน้าขึ้นด้วยสีหน้าละล้าละลังพอสมควรพร้อมพูดพึมพำราวกับพูดคนเดียว
“อืม… ฉันตั้งใจว่าจะไม่ใช้คำที่แรงถึงขนาดนั้นนะ…”
ทว่าต่อให้หลีกเลี่ยงการใช้คำก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ทั้งสองคนรับรู้ทุกอย่าง ว่าในเมื่อไม่ได้ปิดหูปิดตาก็ไม่สามารถหลีกหนีข้อสรุปนั้นได้ ความเงียบเคร่งขรึมชวนกดดันยิ่งกว่าที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้คืบคลานเข้ามา มูคยอมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบที่ยาวต่อเนื่องพักหนึ่งก่อน
“ฉันขอโทษ”
“คิมมูคยอม”
“ตั้งแต่ต้นจนจบ… ขอโทษทุกอย่างเลย”
มูคยอมกัดฟัน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากมีเวลาขังตัวเองไว้ที่ไหนสักที่แล้วสาปแช่งตัวเอง อย่างน้อยในวันนี้เขาก็ไม่มีความมั่นใจที่จะมองหน้าฮาจุนตรงๆ แล้วแสร้งทำตัวเป็นคนรักที่ดีได้เลย
ทว่ามูคยอมรู้อยู่แล้วว่าอีฮาจุนคงจะคิดว่าตัวเองฟื้นฝอยหาตะเข็บ ยกเรื่องที่ไม่มีประโยชน์มาพูด คนรักของเขาอาจคิดทบทวนแบบผิดๆ ว่าจากนี้ไปต้องไม่พูดเรื่องแบบนี้แล้ว เมื่อมูคยอมคิดไปจนถึงตรงนั้น ความเศร้าใจผสมความโกรธก็พลุ่งพล่านและโหมซัดเข้าใส่ดั่งคลื่นน้ำ
ทำไมทุกครั้งต้องได้แค่นี้ทุกทีเลยนะ เขาคิดว่าใช้ชีวิตมายี่สิบกว่าปีโดยพยายามอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว แต่ทำไมถึงเป็นได้แค่มนุษย์แบบนี้กัน ต่อให้มีเงินกับชื่อเสียงติดอยู่เป็นพรวน แต่ของพวกนั้นมีประโยชน์อะไรในห้วงแห่งความทุกข์แบบตอนนี้บ้าง
“ฉันขอโทษมากจริงๆ ที่คนไม่ดีพอตกหลุมรักคนดีแบบนาย”
“คิมมูคยอม อย่าพูดแบบนั้นสิ ฉันไม่ได้เล่าให้ฟังเพื่อให้นายคิดแบบนั้นนะ”
ฮาจุนลนลานราวกับกำลังหาคำพูดปลอบใจมูคยอม แล้วพูดขึ้นอย่างรีบร้อนราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้
“ไม่เป็นไร ดูท่าฉันคงจะชอบนายเพราะนายยังมีข้อบกพร่องนิดหน่อย ไม่สิ ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ข้อบกพร่องของนาย ฉันก็ชอบ”
ดวงตาของมูคยอมีน้ำตาเอ่อคลอเล็กน้อย โชคดีที่ใจเย็นลงได้ก่อนที่มันจะฉ่ำน้ำมากเกินไป
แม้อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายแบบนี้ อีฮาจุนตรงหน้าก็ยังดูน่ารักและดูดีขึ้นเรื่อยๆ มูคยอมคิดว่าลูกตาของตัวเองที่มองแบบนั้นช่างไม่มีความละอายใจเลยจริงๆ พร้อมกับรั้งฮาจุนเข้ามาในอ้อมแขนทั้งที่ยังนั่งอยู่
การโอบกอดกันอย่างกะทันหันทำให้ฮาจุนตัวแข็งทื่อไปนิดหน่อยแต่ไม่นานก็ยืดแขนไป โอบรอบแผ่นหลังมูคยอมตอบแล้วถอนหายใจสั้นๆ
“ใช่แล้ว วันนั้นนายทำผิดกับฉันมากๆ จะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้วใช่ไหม”
มูคยอมพยักหน้าเหมือนคนบ้า
“ฉันขอโทษ ที่ผ่านมานายเหนื่อยเพราะฉันใช่ไหม”
“…ไม่ใช่แค่เพราะนายหรอก เพราะฉันเองก็ขี้ขลาด ถ้าอดทนเพื่อนายจากใจจริงก็คงจะไม่มีเหตุผลให้เหนื่อยเลย และคงจะไม่มีเรื่องค้างคาใจมาเรื่อยๆ ด้วย ฉันพยายามทำตัวเลียนแบบนางฟ้าใจดี ทั้งที่แค่จะทำให้ดียังไม่ได้”
“นายไม่ได้ขี้ขลาดสักหน่อย ทุกอย่างเป็นเพราะฉันทั้งโง่แล้วก็ไม่ดีเอง นายแค่เสียสละให้ฉันมากเกินไปเท่านั้น”
น้ำเสียงของมูคยอมเว้าวอนและฟังดูเหมือนจะร้องไห้
“ขอโทษ ขอโทษจริงๆ นะ อย่างน้อยก็ให้ฉันได้ขอโทษนายเท่าที่อยากขอโทษเถอะ เพราะยังไงซะ ฉันก็ได้แค่พูดแบบนี้ ให้ห่างจากนายไปไม่ได้หรอก”
“ฉันไม่ได้พูดเรื่องนี้เพื่อจะให้เราห่างกันนะ”
ฮาจุนตอบแล้วหัวเราะเบาๆ อย่างผ่อนคลายทั้งที่ยังไม่คลายแรงจากท่อนแขน
“การเก็บข้อมูลจุดอ่อนของคิมมูคยอมที่ฉันเคยคิดว่าสมบูรณ์แบบก็… สนุกพอสมควร”
“ค่อยโล่งอกหน่อย”
“จากนี้ไปฉันจะไม่อดทนกับเรื่องแบบนี้แล้วนะ นายเลิกกับฉันไม่ได้นี่ บอกว่าฉันเป็นผู้มีพระคุณในชีวิตนายใช่ไหมล่ะ”
“…ไม่ใช่เพราะเป็นผู้มีพระคุณในชีวิตแต่เพราะชอบถึงแยกทางกับนายไม่ได้ต่างหาก ต่อให้นายไม่ได้ช่วยชีวิตฉันไว้แต่ตั้งใจจะฆ่าทิ้ง ตอนนี้ฉันก็… ห่างจากนายไม่ได้อยู่ดี”
ในตอนนั้นจึงยิ้มออกมาได้ ถึงแม้จะเป็นรอยยิ้มฝืนๆ ก็ตาม ทั้งสองคนเงยหน้าสบตากัน จากที่มุดใบหน้าลงกับไหล่ของกันและกัน แล้วจากนั้นก็ประทับริมฝีปากเข้าหากัน
* * *
บทสรุปของเรื่องราวที่ฮาจุนใช้คำว่า ‘เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น’ พร้อมกับสลัดมันทิ้งไปกระทั่งเศษตะกอนที่เคยหลงเหลือไว้โดยไม่มีใครรู้ ดูเหมือนจะผ่านไปได้อย่างอบอุ่นแบบนั้น ทว่าในใจของมูคยอมกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย
ตอนอยู่ต่อหน้าฮาจุน เขาแกล้งทำตัวปกติดี แต่จิตใจของมูคยอมเศร้าซึมมาสองสามวันแล้ว ซ้ำยังทิ้งไว้เพียงรอยขีดข่วนสีดำทะมึน
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร ฮาจุนถึงเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่ามูคยอม ‘จะไม่ทำแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง’ แต่มูคยอมคิดต่างกัน เขาไม่สามารถเชื่อใจตัวเองได้
ความทรงจำในคืนวันนั้นที่เมาเหล้าแล้วมัวเมาอยู่ในความต้องการ ลบเลือนหายไปจนแทบไม่เหลือ ซ้ำยังเลือนรางอีกต่างหาก แต่ก็มีหลายส่วนที่เขาจำได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
วินาทีที่เห็นมาร์โคทำท่าจะจูบฮาจุน ความรู้สึกแรกที่ครอบงำมูคยอมคือความโกรธ อย่างที่สองคือความเกลียดชังที่ทำให้อยากฆ่าไอ้เด็กอ่อนต่อโลกนั่นทิ้งไปอย่างเหี้ยมโหด เพราะมันเดินเตร่ไปมารอบๆ พร้อมกับมองเห็นช่องว่างแล้วสุดท้ายก็เกิดละโมบในตัวคนรักของเขาอย่างเปิดเผย โดยไม่ได้ทำความเข้าใจสถานะเอาเสียเลย
พอฮาจุนถูกความรู้สึกอันรุนแรงนั้นกระทำไปครั้งหนึ่ง อีกฝ่ายก็หวาดกลัวมากขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีเรื่องอะไรเลยไม่ใช่หรือไง การขโมยจูบนั้นก็ยังไม่สำเร็จ และถึงแม้ว่าไอ้เด็กนั่นตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง แต่ฮาจุนเองก็คงจะไม่ยอมคล้อยตามไปง่ายๆ ขนาดนั้น เพราะอีฮาจุนไม่ใช่คนง่าย
ในหัวเขารับรู้ความจริงเรื่องนั้น แต่มุมมองอีกมุมหนึ่งของมูคยอมกลับค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนมองเห็นความไม่แน่ใจที่กัดเซาะภายในใจเขา เขาไม่สามารถฟังคำยั่วยุภายในใจที่กระซิบอยู่ตรงหู แล้วปล่อยคำยั่วยุนั้นให้ไหลผ่านไปได้
ในที่สุด เหตุการณ์ที่เขาเคยกังวลก็เกิดขึ้นจริง เรื่องของยุนแชฮุนเป็นเรื่องเข้าใจผิด ส่วนอดีตที่มากประสบการณ์ของอีฮาจุนก็เป็นเรื่องโกหก การคาดเดาว่าอีกคนคงจะเคยมีสัมพันธ์ทางกายกับนักกีฬาคนอื่นก็เป็นเพียงความเพ้อพกไปเอง
ทว่ามาร์โค รามิเรซผู้มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อฮาจุน ไม่ได้เป็นทั้งความเข้าใจผิด เรื่องโกหก และความเพ้อไปเอง สุดท้ายคนที่ปรารถนาในตัวอีฮาจุนก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างแท้จริง
‘คิดอยู่แล้วว่าสักวันต้องกลายมาเป็นแบบนี้ จากนี้ไปก็คงจะโผล่มาเรื่อยๆ เลยใช่ไหม’
ตลอดทางกลับบ้านกับฮาจุน มูคยอมดำดิ่งอยู่ในความสิ้นหวังราวกับกำลังจมลงไปในหนองน้ำทีละนิด ความรู้สึกต่อต้านในตัวเองที่เสียสติไปก่อนที่จะได้ทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างทะลุปรุโปร่ง ลากยาวต่อเนื่องไปเป็นความไม่ไว้วางใจอันคุ้นเคยของตัวเองโดยธรรมชาติราวกับการหายใจ ฮาจุนผู้ไม่มีความผิดและไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องใดๆ กลับเป็นฝ่ายพูดขอโทษก่อนพร้อมเข้ามาปลอบโยนเขา แต่ในวันนั้น มูคยอมกลับคิดว่าต้องกันตัวเองให้อยู่ห่างๆ ฮาจุนไว้