Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 158
ยิ่งไปกว่านั้น ถึงมันจะจบลงในจินตนาการแต่จองคยูก็ตั้งใจที่จะกำจัดศัตรูหัวใจ ทว่าเขาทำให้ฮาจุนเจ็บปวด มันจะจบสวยลงแบบนี้ได้ยังไง บางทีถ้าหากจ้างคนไปฆ่ามาร์โค เขาอาจจะไม่รู้สึกเศร้าหมองมากเท่านี้ก็ได้
“คุยอะไรกันอยู่คะ”
มินแจยองกลับมาในตอนนั้นแล้วถามขึ้น จองคยูยิ้มพร้อมปั้นเรื่องขึ้นมา
“กำลังคุยกันว่า ถ้าคิดเรื่องบ้าๆ อยู่บ่อยๆ คนที่ไม่เคยบ้าก็คงจะค่อยๆ กลายเป็นบ้าไปน่ะครับ”
“คิดบ้าๆ งั้นเหรอ คิดแบบไหนกันคะ”
“เรื่องแบบนั้นมีอยู่เยอะแยะนี่ครับ คนที่เคยปกติดี จดจ่ออยู่กับอะไรอย่างหนึ่ง ก็เลยนึกถึงแต่เรื่องนั้นแล้วค่อยๆ แปลกไป ก็นะ อย่างเช่น… ในละครที่ผมดูล่าสุด ตำรวจสายสืบที่สะกดรอยตามฆาตกร คิดอะไรเยอะแยะมากไปแล้วก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนฆาตกรเองเลยครับ ดูเหมือนว่าคนเราคงจะเป็นไปตามที่เราคิดนี่ล่ะครับ”
“อ๋อ…เหมือนจะรู้แล้วค่ะว่าความรู้สึกประมาณไหน เหมือนที่นีทเชอเคยพูดไว้ใช่ไหมคะ”
“นีทเชอเหรอครับ”
“‘ตอนต่อสู้กับสัตว์ประหลาดก็ต้องระวังไม่ให้ตัวเองกลายเป็นสัตว์ประหลาดไปด้วย’ ดังออกนี่คะ”
จองคยูกับมูคยอมเบิกตาจับจ้องไปทางเธอเขม็งเป็นตาเดียว แจยองประหม่าไปกับความเงียบ แล้วในตอนที่เธอหัวเราะ ‘ฮ่าๆ’ ขึ้นมาอย่างเคอะเขิน จองคยูก็พยักหน้าพร้อมกับพูดชื่นชม
“สมกับที่เป็นนักข่าว ความรู้รอบตัวเยอะเลยนะครับ พวกเราได้แต่ไล่เตะบอลอยู่ทุกวันเลยไม่รู้เรื่องอะไรยากๆ สักเท่าไร”
“ตายจริง ดูเหมือนว่าฉันจะแกล้งทำเป็นฉลาดไปน่ะค่ะ จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้เฉยๆ”
“ไม่ครับๆ ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”
ในระหว่างที่ทั้งสองคนพูดคุยราวกับหยอกล้อ มูคยอมก็นิ่งเงียบลงอีกครั้ง จนกระทั่งวงเหล้าจบลง มูคยอมก็เพียงแค่พูดเออออไปเป็นครั้งคราวเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรเยอะแยะมากมาย
ถึงอย่างนั้น จองคยูกับแจยองที่ดื่มเหล้ากันกรึ่มๆ ก็ดูเหมือนได้ใช้เวลาอย่างสนุกสนามพอสมควร ก่อนจะแยกกัน แจยองขอบคุณอีกครั้งพร้อมกับบอกลา
มูคยอมกับจองคยู จองคยูผู้มีครอบครัวก็รีบกลับบ้านไปเช่นเดียวกัน
มูคยอมขึ้นไปบนรถแล้วเอนเบาะคนขับลงนอนเหยียด เวลาเลยสี่ทุ่มไปแล้ว ฮาจุนรู้ว่าเขามีงานแล้วจะกลับบ้านดึก จึงไม่ได้ส่งข้อความมาถามว่าจะมาเมื่อไรเลยสักข้อความเดียว
มูคยอมรู้สึกได้ถึงความไม่ใส่ใจแต่เขาก็ไม่ได้เสียใจอะไร เนื่องด้วยรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ส่งข้อความมาเช็ก เพราะอีฮาจุนเชื่อใจคิมมูคยอม ต่างกับเขา
ที่ขี้ระแวงและทำอะไรไม่คิดรอบคอบ เหตุผลที่เขาบ่นกับฮาจุนว่า ‘นายไม่คิดถึงฉันเหรอ’ เป็นบางครั้ง น่าจะเป็นเพราะอยากให้อีกคนยืนยันความรักมากกว่าเป็นเพราะเศร้าเสียใจ
มูคยอมรู้สึกแค่ว่า ข้อความที่ได้ฟังเป็นครั้งแรกเหมือนจะสลักลึกลงในหัวตั้งแต่เมื่อครู่นี้ มูคยอมทอดสายตามองเพดานรถมืดๆ พร้อมนึกถึงประโยคนั้นซ้ำๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครพูดคำนั้นขึ้นมาเพราะอะไร และไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าคนนั้นพูดขึ้นมาโดยมีความหมายเหมือนที่เขาคาดเดาไหม แต่เขาก็พูดคำนั้นอยู่ในปากมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว
“สัตว์ประหลาด”
คำสามพยางค์ที่โพล่งขึ้นในรถที่เงียบสนิท หายเงียบไปเหลือไว้เพียงความเงียบงันโดยไม่ได้ทิ้งเสียงสะท้อนอะไรไว้เป็นพิเศษ
มูคยอมหยุดนิ่งไปกับเสียงพูดอันไร้เรี่ยวแรงครู่หนึ่งแล้วหัวเราะดัง หึ
ออกมาอย่างขมขื่น มูคยอมยิ้มอยู่คนเดียวพักหนึ่ง แล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันทีละนิดอย่างเชื่องช้า
เขาไม่เคยคิดว่าความสัมพันธ์ทางกายจะกลายมาเป็นเครื่องมือที่สามารถครอบครองคนคนหนึ่งได้ ถ้าตัวเขาผู้ซึ่งคิดมาตลอดว่าเซ็กส์เป็นเพียงการเล่นสนุกชั่วคราว กลับคิดแบบนั้น มันก็คงจะเป็นความขัดแย้งที่ไม่มีในโลกนี้อีกแล้วไม่ใช่เหรอ
แต่ทำไมวันนั้นเขาถึงล่วงเกินฮาจุนด้วยวิธีนั้นกัน ทั้งที่รู้ว่าไม่สามารถผูกมัดคนคนหนึ่งไว้ได้ด้วยวิธีนั้น เพราะเขาอยากยืนยันเรื่องอะไรกันแน่
มูคยอมปรับเบาะที่เอนนอนอยู่ให้ตั้งตรง ติดเครื่องรถยนต์แล้วเคลื่อนรถออกไป คนที่สัญจรไปมาบนถนนยามค่ำคืนมีไม่น้อยเลย
มูคยอมมาถึงละแวกบ้านแล้ว แต่ไม่กลับเข้าบ้านในทันทีแล้วจอดรถลงตรงปากซอย ใบหน้าขาวใสที่เขาจำได้เพียงแค่มองปราดเดียวจากไกลๆ จำรถของ
มูคยอมได้แล้วโบกมือพร้อมกับเดินเข้ามาหาพลางขึ้นมานั่งตรงเบาะข้างคนขับ
ทันทีที่ฮาจุนขึ้นมาบนรถ มูคยอมก็เอนตัวไปประทับริมฝีปากลงบนแก้มของอีกฝ่ายเป็นอันดับแรก ฮาจุนจูบแบบเดียวกันคืน
ฮาจุนออกมารอมูคยอมข้างนอกเพราะมูคยอมงอแง ขอให้อีกคนออกมารับในระหว่างทางกลับ เมื่อประทับริมฝีปากสั้นๆ เป็นการทักทายไปในตัวเสร็จ ฮาจุนก็ถามขึ้น
“บันทึกเทปโอเคดีไหม”
“อื้อ”
“คุณมินแจยองบอกว่าสบายดีหรือเปล่า”
“ก็ดูสบายดี”
ฟังผ่านๆ เหมือนจะคุยกันอย่างลื่นไหลดี แต่มูคยอมกำลังนับเลขอยู่ในใจ เขาเริ่มนับทันทีที่เห็นใบหน้าของฮาจุน
มูคยอมพยายามอย่างหนักเพื่อระงับขอบตาที่มันร้อนผ่าวขึ้นอยู่เรื่อย แต่ในตอนที่นับถึงเลขสิบสาม ความพยายามของเขาก็พังทลาย น้ำเป็นสายล้นทะลักแล้วไหลลงมาบนแก้มเป็นทาง ฮาจุนเบิกตากกว้างพร้อมกับลนลาน
“คิมมูคยอม เป็นอะไร! ใครแกล้งนายที่สตูดิโอเหรอ”
มูคยอมสูดน้ำมูกฟืดฟาดสองสามครั้งแทนคำตอบแล้วเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นโดยสิ้นเชิง
“ฮาจุน”
“อื้อ เล่ามาเลย ใครทำแบบนั้น”
“จากนี้ไปฉันจะใช้ชีวิตตามที่มันเป็นไปแล้ว”
คำประกาศกร้าวที่ถูกพูดออกมาตัดบท ทำให้สีหน้าของฮาจุนงงงวยขึ้น แต่ไม่นานก็เปลี่ยนมาเป็นการพูดเห็นด้วยทั้งที่ไม่รู้เรื่องราวก่อนหลัง
“ฉันบอกให้ทำแบบนั้นตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วไง”
“ใช่ คำพูดของโค้ชอีทุกคำ ถูกต้องเสมอเลย”
มูคยอมจับหลังมือของฮาจุนขึ้นมาประทับริมฝีปากลงไปโดยไม่แม้แต่จะจัดการกับใบหน้าเลอะน้ำตา ฮาจุนคงเขินอายจึงหัวเราะออกเสียง มูคยอมแนบแก้มกับหลังมือของอีกฝ่ายแล้วพูดต่อ
“จากนี้ไปฉันก็จะรักนายคนเดียว”
“อย่าเพิ่งพูดแบบนั้นแล้วเล่ามาซิ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างอัดเทปใช่ไหม”
“ไม่ใช่ ไม่มีจริงๆ”
“…ไปรับลมกันสักหน่อยไหม กินไอศกรีมที่นายชอบด้วยก็ได้”
มูคยอมไม่ปฏิเสธ ทั้งสองคนลงจากรถแล้วเดินเคียงคู่กัน ขอบตาของ
มูคยอมที่เคยเปียกชื้นก็แห้งลงในทันทีเพราะสายลมอุ่นที่พัดเข้ามา
ถนนเส้นหลักที่อยู่ติดกับย่านที่พักอาศัย เงียบสงบแบบที่ถนนในย่านคึกคักเปรียบเทียบไม่ได้ ต้นไม้ข้างทางและรั้วของบ้านแต่ละหลังอัดแน่นไปด้วยใบไม้สีเขียวขจีและกำลังส่งกลิ่นของความเป็นฤดูร้อนอย่างสดชื่น
ฮาจุนไม่ถามซักไซ้ถึงเหตุผลของท่าทีแปลกประหลาดที่มูคยอมทำไปเมื่อครู่นี้อีก ถึงแม้จะเดินกันไปโดยไม่ได้พูดอะไรแต่ก็ไม่อึดอัดหรือเบื่อหน่ายเลยสักวินาทีเดียว มูคยอมรู้สึกว่าเมื่ออยู่ข้างกายคนรัก กระทั่งความรู้สึกที่พุ่งสูงจนทำให้เขาร้องไห้ ก็ยังแปรเปลี่ยนรูปแบบของมันเป็นความอบอุ่นทีละนิด
ทิศทางของชีวิตถูกกำหนดไว้ในย่อหน้าหนึ่งของหนังสือเล่มเก่าที่เขาจำกระทั่งชื่อเรื่องไม่ได้ ในวันฤดูร้อนที่เคยวิ่งบนสนามหญ้าด้วยกันกับฮาจุน โชคชะตาแทรกกลางคนทั้งสองเข้ามาราวกับกลิ่นดอกไม้หอมหวาน เรื่องที่เขาตระหนักขึ้นมาได้ก็เป็นแบบนั้น โชคชะตาจะมาหาคนเราจากที่ที่คาดไม่ถึงในสักวันหนึ่งแบบนี้ โดยไม่มีหนังสือเล่มไหนบันทึกความจริงแท้หรือการวิจัยอันน่าคลั่งไคล้นี้เลย
มูคยอมทอดสายตามองท้องฟ้ายามค่ำคืนกับไฟข้างถนน และป้ายร้านค้าต่างๆ ที่เห็นเป็นระยะ เขาก้มลงมองใบหน้าด้านข้างของคนน่ารักที่เดินอยู่ข้างกายกัน และมองมือเปล่าๆ ที่แกว่งไกวอยู่ในตำแหน่งที่สามารถคว้ามาจับเมื่อไรก็ได้ ชีวิตประจำวันกับคนสำคัญกำลังรักษาพื้นที่ข้างกายเขาอย่างมั่นคง
ทว่าไม่มีสัตว์ประหลาด
มันตายและหายสาบสูญไปนานมากแล้ว ไม่เหลือแม้แต่ซากศพที่ถูกเผาไฟ
หลังจากได้ฟังเรื่องราวของจองคยูกับแจยอง มูคยอมก็ลองนึกย้อนไปถึงวินาทีที่ฮาจุนสารภาพว่ากลัวอยู่ตลอด เพราะตอนนี้เขารับรู้แล้ว ว่าจุดที่เหมือนกันในการกระทำสองครั้งซึ่งหลงเหลือรอยขีดข่วนไว้ในใจของอีกฝ่ายคืออะไร
ครั้งแรกเป็นเพราะเขาไม่อยากให้อีฮาจุนผู้ดูเหมือนจะเป็นคนทำให้เขากลายเป็นสัตว์ประหลาด เข้ามาใกล้กันมากกว่านี้
ครั้งที่สองเป็นเพราะเขาอยากเหนี่ยวรั้งอีฮาจุนเอาไว้ เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนว่าสุดท้ายก็คงจะจากเขาผู้มีนิสัยที่แท้จริงเหมือนสัตว์ประหลาดไปสักวัน
สัตว์ประหลาดหายไปแล้ว แต่เงาของมันกลับตามติดตัวทุกวินาทีที่เขามอบบาดแผลให้ฮาจุนและทำให้อีกฝ่ายเสียใจ ทุกครั้งที่มูคยอมคิดว่าไม่อยากกลายเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดตัวนั้น ก็กลับกลายเป็นว่าเขายิ่งเลียนแบบมันกว่าครั้งไหนๆ คิมมูคยอมผู้หวาดกลัววิญญาณไร้กายหยาบ ทำให้อีฮาจุนเจ็บปวด
ถ้าเป็นคิมมูคยอมผู้ไม่หวาดกลัวต่อสัตว์ประหลาด ในวันนั้น เมื่อเห็นฮาจุนกับยุนแชฮุนหน้าโมเต็ลก็น่าจะบุกเข้าไปในห้องทันที ถึงแม้จะเปิดประตูเข้าไปในทันที หวังว่าจะจับเหตุการณ์ผิดศีลธรรมให้ได้คาหนังคาเขา แต่กลับต้องขายหน้าเพราะเข้าใจผิด และอายมากเสียจนสะบัดผ้าห่มแรงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมรับความรู้สึกที่เปิดเผยออกมาให้รับรู้ แล้วตอนนั้นก็อาจได้เข้าไปใกล้ชิดฮาจุนอย่างเป็นธรรมชาติด้วยท่าทีและคำพูดแบบอื่น
ในวันนั้นที่เขาโมโหเพราะมาร์โค ถ้าไม่หวาดกลัวอยู่คนเดียว เขาก็คงจะพูดคุยกับฮาจุนทันทีหลังกลับถึงบ้าน แทนที่จะถูกความกระวนกระวายและความเพ้อไปเองซึ่งล้นทะลักออกมา เข้าครอบงำจนตัวสั่นแล้วก่อการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เขาคงจะด่าไอ้เด็กที่บังอาจมีจิตใจคิดเกินเลยกับฮาจุนจนกว่าจะสบายใจ แล้วขอให้อีกฝ่ายถอยห่างออกมา รบเร้าอีกคนไม่ให้แม้แต่ชายตามองไอ้เด็กคนนั้น แล้วรับฟังคำสัญญาว่าจะรักเขาไม่เปลี่ยน จากนั้นก็คงจะนอนหลับไปด้วยกันบนเตียงเดียวกัน
ทุกครั้งที่นึกถึงคนที่ตายไป เขาก็คิดอย่างหมกมุ่นว่าถ้าไม่ใช่คิมมูคยอมแต่เป็นคนคนนั้น จะคิดและกระทำตัวอย่างไร จิตใจที่พยายามจะต่อต้านกลับทอดทิ้งเขาไว้อย่างไร้ความรับผิดชอบ ราวกับว่าเป็นกับดัก ราวกับขู่บังคับให้เขาคิดและกระทำตัวเหมือนสัตว์ประหลาดตัวนั้นอยู่ทุกครั้งไป
ทว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นไม่มีตัวตนอยู่แล้ว
มันมีชีวิตอยู่แค่ในความทรงจำของมูคยอมเพียงที่เดียว
เพราะอย่างนั้น ถ้าไม่จดจำ มันก็จะไม่มีทั้งชีวิตและพลังอีกต่อไป ไม่สิ ไม่ใช่ทั้งสัตว์ประหลาดหรืออะไร ต่อให้มันยังมีชีวิตอยู่ สำหรับคิมมูคยอมในวัยยี่สิบเจ็ดปี มันก็คงเป็นเพียงหมาแก่ๆ ที่ฟันหลุดหมดและทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
“คิดอะไรคนเดียวถึงขนาดนั้น”
เสียงของฮาจุนที่ถามขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้มูคยอมหลุดออกจากห้วงความคิดส่วนตัว เขาสบมองกับดวงตาสีดำที่มีความอยากรู้อยากเห็นเจืออยู่บางๆ
คุณโค้ชมีความอยากรู้อยากเห็นมากมายสมกับที่เป็นโค้ช มูคยอมนึกอยากเห็นภาพอีกคนยกสมุดโน้ตขึ้นจดบันทึกอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วค้นคว้าหาแผนการฝึกบนสนามขึ้นมาให้เร็วขึ้นอีกสักวัน
ความต้องการกักขังอีกฝ่ายไว้ในที่ที่มองเห็นได้คนเดียวก็น่าจะเป็นของเขาเองอย่างช่วยไม่ได้ แต่มาตอนนี้ คิมมูคยอมจะลงวิ่งบนสนามหญ้าที่ไม่มีอีฮาจุนได้หรือเปล่านะ
มูคยอมส่งยิ้มให้โดยไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็จับมือของฮาจุน ฮาจุนตกใจแล้วมองเช็กรอบข้างๆ แต่ย่านที่อยู่อาศัยในยามค่ำคืนแทบไม่มีวี่แววของคนเลย
“โค้ช”
“นายนี่จริงๆ เลย บนถนน…”
“ทำเรื่องที่อยากทำให้หมดเลยนะ ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไรก็ทำให้หมดเลย”
คำพูดนั้นทำให้ฮาจุนเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็จงใจหัวเราะเยาะราวกับจะล้อมูคยอมพร้อมกับพูดตอบ
“ตอนนี้ก็ทำอยู่มากพอแล้ว ไม่มีเวลาก็เลยทำรวดเดียวไม่ได้น่ะสิ ไม่มีเหตุผลอื่นหรอก”
“ต่อให้ฉันรบเร้าว่าให้อยู่แค่กับฉันคนเดียว ก็ต้องรู้จักไล่ฉันไปอย่างเย็นชาได้นะ เพราะนายเป็นโค้ช”
“แน่ะ เริ่มอีกแล้วนะ”
ฮาจุนบ่นงึมงำด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายอย่างเกินจริง มูคยอมมองใบหน้าด้านข้างของฮาจุนอย่างสงบเสงี่ยมแล้วถามขึ้นใหม่อีกรอบ
“อีฮาจุน จริงๆ แล้วนายก็รู้ใช่ไหม”
“อะไร”
“ว่าถ้านายต้องการจริงๆ ฉันก็ไม่สามารถห้ามอะไรได้เลย”
ฮาจุนที่เคยโต้ตอบอย่างไม่จริงจังนัก เพราะคงเขินอายกับการจับมือกันบนถนน ตอนนั้นถึงได้จ้องมองมูคยอมอย่างเต็มตา อีกฝ่ายมองใบหน้าจริงจังของเขาตรงๆ แล้วเพียงแค่ยกยิ้มบางโดยไม่แฝงท่าทีใดๆ แทนที่จะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ เป็นรอยยิ้มที่เหมือนกับฟองสบู่
ความรู้สึกเหมือนได้ฟังคำตอบแล้ว ทำให้มูคยอมเองก็ยิ้มอย่างเขินๆ เขาก้าวเดินไปไม่กี่ก้าวแล้วอ้อมๆ แอ้มๆ ถามขึ้นมาอย่างไม่มั่นใจ
“ถึงอย่างนั้นก็… ไม่ใช่แค่เหนื่อยอย่างเดียวใช่ไหม ที่คบกับฉัน”
“…อะไรนะ”
“ถึงจะไม่ได้สนุกและมีความสุขมากมายขนาดนั้น… แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบแค่อย่างเดียวใช่ไหม”
ฮาจุนเบิกตากว้างพร้อมกับทำสีหน้าเคร่งขรึม
“ใครบอกว่าไม่ชอบ จู่ๆ นายพูดเรื่องอะไรเนี่ย”
“ฉันทำให้นายเจ็บปวดแล้วก็ทำให้นายเหนื่อยนี่…”
“พูดอะไรของนาย ฉันหมายถึงว่ามันก็มีตอนที่เหนื่อย ไม่ได้หมายความว่าไม่มีความสุขสักหน่อย แน่นอนว่าตอนที่สนุกแล้วก็มีความสุขมันมากกว่าตั้งเยอะ! ดูสิ ถ้าปล่อยคิดว่าไม่ชอบแล้วไม่ทำอะไรเลย คิดว่าฉันจะพูดได้อย่างสบายใจงั้นสิ ครั้งก่อนก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ”
ฮาจุนพูดเสียงดังเล็กน้อยราวกับโมโห จากนั้นก็นึกขึ้นได้ทีหลังว่าอยู่ข้างนอกจึงลดเสียงลง
“ว่าตอนนี้ต่อให้มีเรื่องอะไร… ฉันก็เลิกอยู่ข้างนายไม่ได้หรอก”
“จากนี้ไปฉันจะไม่ทำให้นายต้องเหนื่อย ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้วจริงๆ”
คำตอบอย่างไม่รีรอของมูคยอมทำให้ฮาจุนยกมุมปากราวกับกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
“ต้องทำแบบนั้นนะ คราวนี้ฉันจะไม่ยกโทษให้แล้ว”
‘โกหก’
มูคยอมตอบในใจ ถ้าเป็นคนที่จะไม่ยกโทษให้จริงๆ เขายังจะสบายใจเสียกว่า แต่อีฮาจุนคนใจดีกลับเตรียมพร้อมที่จะให้อภัยเขาอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าจากนี้ไป เขาจะไม่นึกถึงเงาหรือเปลือกนอกที่ถูกเผามอดไปหมดอีกต่อไป และจะไม่คิดว่าตัวเองคล้ายกับคนคนนั้นอีกแล้วก็เถอะ…
แต่ต่อให้ไม่ใช่เพราะแบบนั้น เขาก็อยากจะติดตั้งกลไกความปลอดภัยที่เล็กน้อยที่สุด เพื่อที่จะไม่ทำให้คนสำคัญของเขาต้องมีบาดแผล เพราะต่อให้เขาไม่ทะเลาะกับเงาของคนตาย แต่ก็เหมือนกับคำพูดของอิมจองคยู ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เป็นเรื่องธรรมดาที่จำเป็นจะต้องหยุดพักบ้างเป็นบางครั้ง
“ฮาจุน”
“อื้อ”
“ก่อนออกเดินทางจากเกาหลี พวกเราไปคุยกันดีไหม”
“คุยอะไร”
“คุยกับครอบครัวนายแล้วก็ลุง เรื่องความสัมพันธ์ของเรา”
ร่องรอยของรอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้าของฮาจุน
อีกฝ่ายดูเหมือนสับสนไปนิดหน่อยกับข้อเสนออันฉับพลัน แต่ก็กลับมายิ้มได้ในทันที มูคยอมรู้ว่าเป็นเพราะอีกคนคิดว่าคนรักที่ยืนอยู่ข้างๆ จะยอมรับความลำบากใจของตัวเอง
ในระหว่างที่รอโดยไม่เร่งเร้า ฮาจุนที่กำลังครุ่นคิดโดยไม่ได้พูดอะไรก็พยักหน้า รอยยิ้มจากใจจริงของอีกฝ่ายงดงามและอ่อนน้อม มันผลิบานราวกับดอกไม้ที่เปล่งประกายเป็นสีขาวแม้ในตอนกลางคืน
“กลับบ้านไปแล้วคุยกันเถอะว่าตอนไหนดี ยังไงก็ต้องบอกแบบพยายามไม่ให้เขาตกใจให้ได้มากที่สุดนี่”
“…มินคยองกับฮาคยองนอนหรือยัง ถ้ายังไม่นอน แวะร้านสะดวกซื้อแล้วซื้อขนมสักหน่อยไหม”
“เอาสิ ไปซื้อกัน น่าจะดีใจกันใหญ่”
พอเดินไปทางป้ายไฟที่ส่องแสงให้ตอนกลางคืนสว่างไสว ก็ได้ยินเสียงเพลงกับกีตาร์เบาๆ ดูเหมือนว่าผู้คนที่สนุกสนานไปกับช่วงฤดูร้อนคงกำลังร้องเพลงอยู่ที่ไหนสักแห่ง
เสียงนั้นทำให้มูคยอมนึกถึงตอนที่ออกเดินทางไปแข่งเมื่อไม่กี่ปีก่อนขึ้นมา เมืองนั้นกำลังจัดงานเทศกาลกันอย่างตระการตา คนที่นู่นเรียกกันว่าคาร์นิวัล ใครบางคนแอบกระซิบมูคยอมว่า จริงๆ แล้วขบวนพาเหรดที่เต็มไปด้วยเสียงดนตรี การเต้นรำ และรอยยิ้ม เป็นสิ่งที่ถูกจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมา โดยดัดแปลงจากความเชื่อที่ว่าจะขับไล่ปีศาจร้ายได้
ที่นี่ก็มีงานเฉลิมฉลอง มูคยอมกับฮาจุนได้ครอบครองชัยชนะแล้วขึ้นไปบนรถสำหรับแห่ขบวนพาเหรดด้วยกัน จากนั้นก็เคลื่อนตัวไปตามถนนอย่างเชื่องช้าพร้อมกับฟังเสียงชื่นชมและเสียงโห่ร้องด้วยความยินดี ผู้คนที่เบียดเสียดกันจนล้นถนน ร้องเพลงและเต้นรำกันจนดึกดื่น อีกทั้งยังเพ้นท์ใบหน้าหรือไม่ก็สวมหน้ากากด้วย วันนั้นทั่วทุกซอกทุกมุมแออัดไปด้วยผู้คนที่เริงร่าและยินดี บางทีเงาดำมืออันโสมมก็น่าจะถูกกวาดทิ้งจนหายไปหมดในคืนแห่งการเฉลิมฉลองนั้น
คนตายไปถูกฝังลงดิน คนที่มีชีวิตก็อยู่บนนั้น ส่วนบนท้องฟ้าก็มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว คิมมูคยอมต้องตั้งอกตั้งใจเตะฟุตบอลอยู่ภายใต้ท้องฟ้าผืนนั้น ส่วนยูนิคอร์นก็ต้องบินว่อนอยู่บนท้องฟ้าอันไร้จุดสิ้นสุด แล้วลูกวัวก็ต้องเดินเล่นไปมาไม่หยุดบนทุ่งหญ้าสีเขียวขจีกันกว้างขวาง เป็นแบบนี้ถึงจะถูก
บางครั้งถ้ามีวันที่คิมมูคยอมคนใจแคบ เกิดทนไม่ไหวขึ้นมาแล้วเรียกร้องว่าอยากครอบครองคนรักผู้ยุ่งวุ่นวายแต่เพียงผู้เดียว คนรักที่จิตใจดีและรักเขามากก็คงจะเสนอให้เขาครอบครองตัวเองเพียงคนเดียวสักหนึ่งวันด้วยความเต็มใจ เพราะถ้าคิดตามคำพูดนั้น คิมมูคยอมก็ขี้หึงและมีพลังแห่งจินตนาการสูงมากทีเดียว
งานเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ซึ่งจัดขึ้นสี่ปีครั้งจบลงแล้ว และในคืนที่ชีวิตประจำวันกลับเข้าสู่ปกติ ทุกสิ่งทุกอย่างก็หวนกลับสู่ที่เดิมของมัน กลับสู่ความสุขสงบ