Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 170
“ฉันดีใจมากเลยนะตอนที่นายทำประตูแรกได้ ดีใจจนคิดเรื่องอื่นไม่ออกเลยละ… แล้วในจุดนั้นแทนที่จะดีใจกับการทำประตูของนาย ฉันควรจะต้องมานั่งระวังไม่ให้ใครแตะตัวเหรอ”
ดวงตาของมูคยอมเบิกกว้างขึ้น พร้อมทั้งสีหน้าที่เคร่งเครียดและริมฝีปากที่เปิดออกเล็กน้อย
ครั้งนี้ความเศร้าที่ออกมาจากใจไม่ใช่การแกล้งป่วยหรือการแสดงอะไร ได้เผยออกมาให้เห็นบนใบหน้าของมูคยอม
“ไม่ใช่นะ”
“…”
“ไม่สิ อีฮาจุน ฉันพูดจาโง่เง่าแถมยังใจแคบอีกแล้ว ฉันแม่ง นายช่วยทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันพูดทั้งหมดก่อนหน้านี้ทีนะ”
“…โอเค ต่อให้อีกฝั่งเป็นผู้ชายเหมือนกัน นายก็อาจจะรู้สึกไม่ดี เพราะความสัมพันธ์ของเราคือทั้งฉันและนายเป็นผู้ชาย แต่ถ้านายอารมณ์เสียกับอะไรแบบนี้ นายก็ควรจะพูดกับฉันสิ วันนี้อู่เฉินก็เป็นแค่แขกคนหนึ่งที่นั่น แล้วอยู่ๆ นายไปทำแบบนั้น คนที่พาเขามาแบบฉันจะโดนมองยังไงล่ะ คนที่จะเข้าใจสิ่งที่นายพูดก็ต้องเป็นฉันสิ”
ในช่วงเวลาสั้นๆ ใบหน้าของฮาจุนก็กลับมาเป็นปกติ ฮาจุนจ้องมองมูคยอมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ที่ซุกซ่อนแววความเศร้าอยู่เพียงเล็กน้อย
“ที่ฉันบอกว่ายุ่งกับเรื่องงานอันนี้เรื่องจริงนะ ดูเหมือนวันนี้จะต้องทำจนดึกเลยด้วย วันนี้นายไปนอนก่อนเลย”
“ฮาจุน”
“ฉันไม่ได้บอกแบบนั้นเพราะโมโหเลย แต่เพราะว่าฉันยุ่งจริงๆ”
แน่สิ อีฮาจุนยุ่งตลอดเวลาอยู่แล้ว คุณโค้ชน่ะ ทั้งต้องทำงานเป็นโค้ช ไหนจะต้องเรียนอีก ในทุกๆ วันก็ต้องยุ่งมากกว่าอยู่แล้ว เมื่อมาเทียบกับมูคยอมที่เล่นฟุตบอลเพียงอย่างเดียว
แต่ถึงจะยุ่งแค่ไหน ทุกคืนฮาจุนก็ไม่เคยบอกปัดว่าจะมานอนด้วยกัน ฮาจุนมักจะบอกว่าคงจะต้องทำต่อพรุ่งนี้ ก่อนจะปิดหนังสือหรือโน้ตบุ๊กลง แล้วลุกมานอนข้างๆ มูคยอม บางครั้งเราก็ใช้เวลาในช่วงค่ำคืนร่วมกันอย่างร้อนแรงหรืออ่อนหวาน หรือบางทีก็นอนคุยกันไปยาวๆ จนผล็อยหลับไปเอง
เมื่อมองภาพที่ฮาจุนกำลังจะเดินออกไปยังห้องอ่านหนังสือและไล่ให้ไปนอนก่อน มูคยอมก็รู้สึกเหมือนได้เห็นภาพซ้อนทับขึ้นมา มันเหมือนกับคืนนั้นเลยไม่ใช่เหรอ วันที่เขาได้ทำความผิดใหญ่หลวงลงไป แล้วเขาก็บอกให้ฮาจุนไปนอนก่อน เพราะกลัวตัวเองจะโมโหหรือไปพาลใส่ฮาจุน
ทว่าตอนนี้มูคยอมกลับคิดว่าอย่างน้อยถ้าฮาจุนตะโกนใส่เขาก็คงจะดี เขาสามารถมองออกได้อย่างชัดเจนว่าฮาจุนกำลังโมโหอยู่ แต่แค่ไม่แสดงมันออกมา ดังนั้นความวุ่นวายใจจึงถูกอัดแน่นขึ้นเหมือนกับลูกโป่งที่ถูกเป่าจนเกือบจะแตก
“โค้ชครับ จะไม่มานอนด้วยกันจริงๆ เหรอ”
“คิมมูคยอม ฉันบอกไปแล้วไง”
ฮาจุนลังเลครู่หนึ่ง และพูดต่อ
“บางครั้งนายก็ช่วยรอกันหน่อยสิ”
เป็นความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมาที่ได้รับคำสั่งให้ ‘รอ’ มูคยอมที่ไม่มีอะไรจะพูดต่อทำเพียงแค่ส่งเสียงออกมาจากลำคอเท่านั้น
“ยังไงวันนี้ก็เป็นวันสิ้นสุดการแข่งแล้ว นายก็พักผ่อนให้สบายเถอะ รีบเข้านอนเร็วๆ ด้วย”
พูดจบฮาจุนก็ยังลังเลเพราะไม่สามารถที่จะหมุนตัวเดินออกไปได้ในทันที หลังบอกให้มูคยอมรอ
มูคยอมมองฮาจุนด้วยสีหน้าหงอยที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ แต่คุณโค้ชลูกวัวทำเพียงสูดหายใจเข้าเต็มปอด ราวกับว่าได้ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะพัฒนาร่างเป็นคุณโค้ชเสือโฮก
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปทำงานก่อนนะ เดี๋ยวเจอกันนะ”
แม้จะเป็นฝ่ายที่เดินออกไปก่อน แต่ไม่รู้เพราะไม่กล้าพอที่จะหันหลังให้หรือเปล่า ฮาจุนถึงได้โบกมือ แล้วเลือกที่จะเดินถอยหลังออกจากห้องนอนแทน จนเมื่อเดินเกือบถึงกรอบประตู ฮาจุนถึงได้หมุนตัวให้ได้เห็นแผ่นหลัง เมื่อเห็นว่าฮาจุนเหลือบมองเข้ามาในห้องครั้งหนึ่งขณะที่ปิดประตู มูคยอมก็เผลอกัดฟันโดยไม่รู้ตัว
ในตอนที่ประตูถูกปิดสนิทลงเป็นที่เรียบร้อย และบุคคลที่เหมือนกระต่ายป่าถูกบดบังจนลับจากสายตาไป ในตอนนั้นเองมูคยอมก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง แล้วเริ่มครุ่นคิดถึงสถานการณ์ที่เหลือเชื่อนี้
วันนี้คือวันที่มีการแข่งขัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นวันที่เขายิงลูกเตะสุดเท่แบบไม่มีที่ติได้อีกด้วย แม้มูคยอมจะเคยได้รางวัลปุสกัส อวอร์ด ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับลูกยิงยอดเยี่ยมประจำปีที่ฟีฟ่าจัดทำขึ้นไปแล้วก็ตาม
ถ้าไม่มีไอ้คนหน้าเหมือนเกี๊ยวนั่น ทันทีที่กลับถึงบ้าน มูคยอมคงจะได้เกลือกกลิ้งสองสามรอบบนเตียงหลังนี้กับเจ้าลูกวัวที่เขาต้องการแล้ว! ทั้งๆ ที่เป็นวันดีขนาดนี้แล้วเชียว ฮาจุนเองก็อารมณ์ดี จนน่าจะเป็นโอกาสที่เขาจะได้ใช้เวลาในช่วงค่ำคืนได้สุขสมกว่าปกติแท้ๆ
“…”
…แต่เรื่องทำประตู เขาจะทำมันอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นการมีเซ็กส์ฉลองเขาก็สามารถทำมันตอนไหนก็ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ปัญหาก็คือการที่เขาทำให้ฮาจุนเสียใจไปแล้วต่างหาก
‘ลองมาคิดดู นี่ก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่แปลกนัก หากฮาจุนจะเกิดอาการคิดถึงบ้านขึ้นมา’
ตอนนี้อีฮาจุนก็มาอยู่ที่อังกฤษได้ครึ่งปีกว่าแล้ว
ในตอนแรกเจ้าตัววุ่นวายไปกับการปรับตัวให้คุ้นเคยกับสถานที่ และมัวแต่กังวลไปกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ทำให้ไม่มีเวลาให้ได้สัมผัสถึงความเปล่าเปลี่ยวหรือความไม่กลมกลืนไปกับสถานที่ จนพอจะใช้ชีวิตได้ขึ้นมาบ้าง ในตอนนั้นเองอาการคิดถึงบ้านก็ได้คืบคลานเข้ามา และในตอนนี้ฮาจุนกำลังอยู่ในช่วงเวลานั้นอย่างแน่นอน
แม้การได้เข้ามาอยู่กับทีมในยุโรปจะเป็นสิ่งที่มูคยอมใฝ่ฝันถึงนักหนา แต่แน่นอนว่าในช่วงแรกที่ได้มาใช้ชีวิตที่อังกฤษ หลายครั้งมูคยอมเองก็มีความรู้สึกอยากกลับเกาหลีอยู่เหมือนกัน ทั้งอึดอัดกับภาษาที่ไม่สามารถจะสื่อสารได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ ไหนจะที่ต้องมาหงุดหงิดกับพฤติกรรมเบ่งกล้ามของพวกสมาชิกในทีมที่อยู่มาก่อนหน้า ทั้งเรื่องถนนหนทาง หรือแม้กระทั่งสภาพอากาศ ทุกสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ต่างก็สร้างความไม่พึงพอใจให้เขา
ในช่วงแรกที่ไม่รู้วิธีทำอาหาร หลังได้เป็นนักฟุลบอลอาชีพเต็มตัว ก็มีช่วงที่มูคยอมไปซื้อรามยอนจากร้านสะดวกซื้อเกาหลีในอังกฤษมากินเป็นมื้อเย็นติดต่อกันอยู่หลายวัน
แต่ไม่ว่าเขาจะไต่ขึ้นไปในจุดที่สูงได้มากแค่ไหน การใช้ชีวิตลำพังในต่างประเทศทั้งๆ ที่อายุยังน้อยก็เป็นสิ่งที่ยากลำบากเกินกว่าที่คิดไว้ ความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเขาที่ต้องการประสบความสำเร็จในฐานะนักเตะตัวท็อป บางครั้งมันก็หดเล็กลงเหมือนกับกระดาษหนังสือพิมพ์เปียกน้ำ
หากมีผู้คนที่จะอยู่เคียงข้างเขาอย่างแน่นอน บางทีมูคยอมเองก็อาจจะสะอื้นไห้เพราะอยากกลับไปที่เกาหลีก็ได้ แต่พอได้กลับไปจริงๆ คนที่มีอยู่ กลับไม่ใช่คนที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันที่เขาจะไปพึ่งพิงหรือรับความรักความเอ็นดูได้ มีเพียงผู้มีพระคุณที่เขาจะต้องตอบแทนบุญคุณด้วยความสำเร็จเท่านั้น นั่นจึงทำให้มูคยอมเลือกที่จะกัดฟันทนและผ่านมันมา เมื่อลองมาคิดดูตอนนี้ มากกว่าที่จะเป็นความอดทนหรือความใจสู้ เขาคิดว่ามันคือความดื้อรั้นและความเย่อหยิ่งมากกว่า
แต่ฮาจุนมีครอบครัวที่ไม่สามารถบรรยายถึงความรักทั้งหมดที่มีอยู่ที่เกาหลี มีทั้งแม่ที่รักลูกอย่างสุดหัวใจและน้องๆ ที่รักใคร่สนิทสนมทั้งยังอุ้มเลี้ยงมากับมือ ต่อให้ตอนนี้ฮาจุนจะยอมแพ้กับการใช้ชีวิตในประเทศอังกฤษ แล้วตัดสินใจกลับไปที่เกาหลี ก็จะมีผู้คนที่พร้อมจะบอกว่ากลับมาอย่างปลอดภัยเลยนะพร้อมรอยยิ้มและมอบอ้อมกอดให้ และด้วยความที่เป็นที่ชื่นชอบของหลายๆ คน ฮาจุนจึงมีเพื่อนเยอะ แถมยังมีแฟนคลับที่ติดตามมาตั้งแต่ตอนเป็นนักเตะอีกด้วย
แน่นอนว่าอีฮาจุนยินยอมที่จะต้องมาใช้ชีวิตในลอนดอนและถือเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่สำหรับเจ้าตัว ฮาจุนไม่จำเป็นต้องกินแค่รามยอน ทั้งยังเก่งภาษาอังกฤษ และอีกไม่นานก็จะได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับทีม ต่อให้มองแบบไม่เข้าข้าง เขาก็คิดว่าในตอนนี้ฮาจุนไม่ได้มีปัจจัยรอบตัวที่เลวร้ายเลย
แม้ว่าฮาจุนจะมาอยู่ในสถานที่นี้เพื่อทำตามความฝันของตัวเอง ทั้งยังได้รักกับคิมมูคยอม แต่ก็คงไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งที่ฮาจุนจะรู้สึกอยากกลับบ้าน โดยไม่ได้เกี่ยวอะไรกับปัจจัยรอบตัวสักนิด แค่เพียงฮาจุนไม่เคยบอกมันกับเขาเท่านั้นเอง
ฮาจุนคือคนที่ได้รับความรักมาอย่างมากมายตลอดช่วงชีวิต หากภายในใจมีกระถางดอกไม้ที่ต้องรดน้ำอยู่เพียงหนึ่งกระถาง สำหรับมูคยอมเขาก็มีเพียงฮาจุนที่เป็นเจ้าของกระถางนั้นแต่เพียงผู้เดียว ทว่าภายในใจของฮาจุนนั้น กลับมีกระถางอยู่หลายใบสำหรับปลูกพันธุ์ไม้แต่ละชนิดที่ต่างกันออกไป
กระถางเหล่านั้นล้วนเป็นส่วนประกอบหนึ่งของมนุษย์ที่ชื่อว่าอีฮาจุน ดังนั้นตราบใดที่กระถางนั้นยังไม่แตกสลายไป มันก็ต้องการให้มีคนคอยรดน้ำอยู่เรื่อยๆ คงจะดีหากมูคยอมเพียงหนึ่งคนสามารถเติมเต็มทุกช่องว่างที่มีได้โดยไม่ให้มีน้ำหลงเหลือสักหยด ทว่าเขาก็ไม่สามารถทำมันได้
…ไม่อยากจะเชื่อ มันเป็นการเปรียบเทียบที่สุดยอดเลยจริงๆ!
มูคยอมลุกพรวดขึ้น อย่างน้อยตอนนี้เขาควรจะไปที่ห้องอ่านหนังสือ บอกฮาจุนถึงสิ่งที่เขาคิดก่อนหน้านี้ทั้งหมดออกไป แล้วพูดคำที่แสดงถึงความสำนึกผิดว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก
‘บางครั้งนายก็ช่วยรอกันหน่อยสิ’
อย่างไรก็ตามคำพูดจริงจังที่ฮาจุนทิ้งเอาไว้ ก็เหมือนกำลังจับข้อเท้าของเขาเอาไว้ไม่ให้ไปไหน
เมื่อลองมาไตร่ตรองดูดีๆ ด้วยความใจร้อนของตัวเขา มูคยอมไม่เคยอดทนรอฮาจุนได้เลยสักครั้ง แม้สุดท้ายเขาจะได้กลับเข้าไปอยู่ข้างๆ อีฮาจุน แต่บนโลกใบนี้การใช้วิธีเดิมก็ใช่ว่าจะได้ผลทุกครั้งไป
เมื่อตระหนักขึ้นได้ ความเศร้าเล็กๆ ก็ทิ่มแทงลงบนหัวใจของมูคยอม ที่ผ่านมาเพราะเขามันเป็นคนที่ไม่มีความอดทนแบบนี้สินะ…
เทียบกันแล้ว ฮาจุนจะต้องอดทนแค่ไหนในการรอคอยเขา แม้ความโกรธของฮาจุนจะถูกสุมกองจนสูงขึ้น แต่ทุกครั้งมูคยอมก็เอาแต่กระทืบเท้าตึงตังใส่และไม่เคยให้เวลากัน สำหรับฮาจุนระดับเสน่ห์ของผู้ชายที่ชื่อคิมมูคยอมคงจะลดลงต่ำลงทุกวัน จนอาจจะแตะพื้นเข้าสักวันก็ได้
มูคยอมกำหมัดขึ้นและตัดสินใจ ได้ ถ้าอย่างนั้นมารอกันเถอะ มารอจนกว่าฮาจุนจะจัดการความคิดตัวเองเสร็จและอารมณ์ดีขึ้น จนกลับมาคุยกับเขาอีกครั้ง
“…รู้สึกเหมือนจะตายเลย…”
แต่แค่ฮาจุนออกจากห้องไปไม่ถึง 30 นาที เขาก็รู้สึกหายใจไม่ออกแล้วสิ นี่คือมูคยอมที่ไม่มีให้ได้เห็นบ่อยมากนัก มูคยอมที่กำลังอดทนอดกลั้นต่อความต้องการของตัวเอง เพราะที่ผ่านมาเขาคุ้นชินกับการได้ทำทุกอย่างตามที่ตัวเองอยากทำมาตลอด ความอดทนมันเป็นสิ่งที่ยากขนาดนี้เลยสินะ มูคยอมครวญครางด้วยความเศร้าใจอยู่อย่างนั้น และปล่อยลมหายใจหนักหน่วงออกมาอย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะมุดหัวของตัวเองลงไปใต้หมอน…
ขณะที่ทำสงครามกับตัวเองและเอะอะโวยวายแบบนั้นอยู่บนเตียง ความเหนื่อยล้าทั้งทางจิตใจและจากการแข่งขันก็เข้าเล่นงาน จนมูคยอมผล็อยหลับไปในท้ายที่สุด
* * *
น่าแปลกที่เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นฮาจุนที่ลืมตาขึ้นก่อนมูคยอม
มูคยอมที่มีร่างกายแข็งแรงดีมักจะตื่นเช้าเสมอ ทำให้ส่วนใหญ่การเริ่มต้นวันของฮาจุนคือการถูกมูคยอมปลุก แต่ในวันนี้กลับตรงกันข้าม
ฮาจุนขยับตัวลุกขึ้นนั่งและหันไปมองข้างตัว แม้ฮาจุนจะขยับตัวไปมา
แต่มูคยอมก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น ทั้งยังนอนหลับสนิทไม่ไหวติง ฮาจุนยื่นมืออกไปหวังจะปลุกมูคยอมที่นอนตะแคงโชว์หลังให้อยู่ และวาดยิ้มออกมา
เมื่อคืนหลังที่เคลียร์งานเสร็จฮาจุนก็กลับมาที่ห้องนอน และได้เห็นภาพที่มูคยอมกำลังหลับปุ๋ยอยู่ ในสภาพที่วางหมอนไว้บนหน้าและไม่ได้ห่มผ้าอยู่ ระหว่างที่สงสัยว่ามูคยอมจะหายใจออกหรือเปล่า ฮาจุนก็หัวเราะออกมาให้กับท่านอนที่แปลกประหลาดนั่น เขายิ้มน้อยๆ ในตอนที่จัดท่านอนใหม่ให้กับมูคยอม
วางหมอนไว้ใต้หัว แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวให้
ในตอนที่กลับมายังห้องนอน ทั้งความโกรธและความเศร้าของฮาจุนต่างมลายหายไปจนหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ที่มูคยอมวู่วามและเสียใจขึ้นมาก็เป็นเพราะว่าชอบเขา ดังนั้นมันเลยยากเหลือเกินที่จะให้เขาโมโหจริงๆ
กลับกัน ในครั้งนี้เขาไม่ได้โมโหเพราะมูคยอมไปต่อว่าคนที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเหมือนเมื่อก่อน อีกทั้งในเรื่องของวิธีการ ถึงมันจะดูเด็กก็จริง แต่ที่มูคยอมทำไปเพียงเพราะอยากขอโทษเขาเท่านั้น
‘แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องใช้โอกาสนี้ดัดนิสัยชอบแกล้งป่วยของมูคยอมให้ได้’
การแสดงตบตาของมูคยอมไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งสองครั้ง เขาคิดว่าการแสดงแบบนั้นให้มูคยอมเอาไว้ทำตอนประท้วงการฟาล์วของทีมตรงข้ามในสนามก็พอแล้ว ฮาจุนเอนตัวนอนลงข้างๆ มูคยอม เอียงตัวไปหาและมองคนที่หลับอยู่
เพียงได้มองใบหน้าที่ประกอบไปด้วยดวงตาและริมฝีปากที่ปิดสนิท ฮาจุนก็รู้สึกขึ้นมาว่ามูคยอมหล่อมากจนคิดไม่ออกเลยว่าจะเป็นคนเดียวกับชายหนุ่มที่เพิ่งงอแงและแกล้งป่วยเมื่อก่อนหน้านี้ สายตาของฮาจุนเลื่อนไปยังแผงอกที่เหมือนกับรูปปั้นซึ่งเผยให้เห็นระหว่างรอยแยกเสื้อคลุม
ฮาจุนหวนนึกถึงคำชมที่อู่เฉินได้บอกเอาไว้ คิมมูคยอมคนเท่ คิมมูคยอมคนสมบูรณ์แบบ คนที่ไม่รู้จักก็คงจะมองมูคยอมแบบนั้น เมื่อก่อนฮาจุนเองก็คิดเช่นเดียวกัน
ฮาจุนโน้มตัวลงไปประทับริมฝีปากลงบนแก้มของมูคยอม ตั้งใจว่าจะเป็นฝ่ายกอดมูคยอมก่อนในยามเช้า หากเขาบอกออกไปว่าขอบคุณที่รอกันและขอโทษที่อ่อนไหวเกินไป พูดด้วยอย่างใจเย็น มูคยอมจะต้องเข้าใจกันอย่างแน่นอน แม้จะขี้หึงมากแค่ไหน แต่มูคยอมก็เป็นพวกจินตนาการสูง ไม่รู้เพราะแบบนี้หรือเปล่า แม้มูคยอมจะทำตัวดื้อเหมือนคนหัวรั้นขนาดไหน แต่ถ้าได้มาพูดคุยกันแค่นิดหน่อย มูคยอมก็จะเข้าใจอย่างรวดเร็ว
‘เรื่องจินตนาการสูงเนี่ยมันจะต้องเกี่ยวกับพรสวรรค์ทางด้านฟุตบอลของ
มูคยอมด้วยแน่ๆ’
เมื่อคืนวานคือครั้งสุดท้ายที่ฮาจุนหลับตาคิดเช่นนั้นขณะกกกอดความรู้สึกภูมิใจเอาไว้ ฮาจุนที่อ่านหนังสืออยู่จนดึกดื่นก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่ถาโถม
“มูคยอม เช้าแล้วนะ”
คนที่นอนหันหลังอยู่ถูกฮาจุนเขย่าไหล่เบาๆ แต่มูคยอมก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาง่ายๆ
“คิมมูคยอม”
ปกติแล้วตอนเช้ามูคยอมตื่นยากขนาดนี้เลยเหรอ ความรู้สึกไม่คุ้นเคยทำให้ฮาจุนเลือกที่จะก้มตัวลงไปใกล้กว่าเดิม แล้วจับตัวมูคยอมให้พลิกมาทางฝั่งตัวเอง
หลังถูกพลิกมานอนอยู่ในตำแหน่งที่เห็นหน้าเห็นตาได้ชัดเจน ฮาจุนก็ก้มมองใบหน้าของมูคยอมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วยกหลังมือขึ้นแตะที่ข้างแก้มของมูคยอมอย่างรวดเร็ว
“…อือ…”
มีเพียงเสียงสั้นๆ ที่แสดงถึงความตกใจและไม่สามารถประกอบรวมกันเป็นคำได้ที่หลุดออกมาจากปากของฮาจุน เขาผุดลุกจากที่นอนด้วยความลุกลี้ลุกลน รีบจ้ำเท้าไปทางชั้นวางของ และเปิดกล่องปฐมพยาบาลที่ถูกวางเอาไว้ที่เดิมตั้งแต่เมื่อคืน
ฮาจุนรีบใช้ปรอทวัดไข้ที่ไปหยิบมาสอดไปที่หูของมูคยอมและกดปุ่มให้ทำงาน เมื่อเสียงติ๊ดดังขึ้น บนจอก็ปรากฏตัวเลขให้ได้เห็น และในตอนนั้นเองแววตาของฮาจุนก็สั่นไหวขึ้นมาอย่างสังเกตได้ ตามมาด้วยเสียงเบาหวิวที่พูดออกมาเพียงลำพัง
“38.2 องศา…”
ความนิ่งงันอันหนักอึ้งลอยผ่านห้องนอนไป
ฮาจุนเพ่งมองปรอทวัดไข้ราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะรีบวางปรอทลงเพื่อไปหาโทรศัพท์มือถือ ระหว่างที่สัญญาณรอสายดัง ฮาจุนก็ขบริมฝีปากไปขณะที่หายใจอย่างติดขั้น จนเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย ฮาจุนถึงได้หายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง แล้วเปิดปากพูด
‘สวัสดีครับคุณผู้จัดการทีม ผมจุนนะครับ พอดีวันนี้ผมมีเรื่องจะแจ้งน่ะครับ’
ฮาจุนเริ่มเอ่ยปากบอกสาเหตุที่วันนี้มูคยอมไม่สามารถเข้าร่วมการฝึกได้ เนื่องจากเป็นไข้ อย่างไรก็ตามวันนี้ก็เป็นหลังจากที่มีการแข่งขัน ตารางการฝึกซ้อมวันนี้จึงเน้นไปที่การฟื้นฟูร่างกายอยู่แล้ว อีกทั้งที่สโมสรเองก็รู้ว่าฮาจุนกับมูคยอมอาศัยอยู่ด้วยกัน พวกเขาเลยฝากเรื่องการดูแลสภาพร่างกายที่บ้านของมูคยอมให้เป็นหน้าที่ของฮาจุน
ต่อไปก็ต้องหาหมอ ไม่ว่าจะเป็นมูคยอมหรือเขา เราทั้งคู่ต่างก็แข็งแรงถึงขนาดที่ว่าหลังจากมาลอนดอน เรายังไม่เคยไปพบแพทย์กันเลยสักครั้ง แต่ก่อนหน้านี้เขาก็ได้รู้มาจากทางสโมสรว่าพวกเขามีแพทย์ประจำที่สามารถมารักษาให้นอกสถานที่ได้ในตอนที่เราเจ็บป่วย ทันทีที่ต่อสายไปยังเบอร์ที่บันทึกเอาไว้ในโทรศัพท์ เสียงที่ไม่คุ้นเคยก็กล่าวทักทายฮาจุนขึ้นมา หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าจากฮาจุนแล้ว หมอปลายสายก็แจ้งว่าจะเดินทางมาทันที แล้ววางสายไป
ราวกับว่าได้ยินเสียงวิ้งดังขึ้นข้างหู ความเงียบงันอันยุ่งเหยิงก่อตัวขึ้นโอบล้อมฮาจุน เขานั่งเหม่อถือโทรศัพท์อยู่ข้างๆ มูคยอม ก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้า
แล้วพูดคนเดียวด้วยเสียงที่เคล้าไปด้วยเสียงถอนหายใจอันหนักอึ้ง
“อ่า จะทำยังไงดีเนี่ย”
ฮาจุนที่นั่งอยู่อย่างนั้นราวกับว่ากำลังใจสลาย จากนั้นเขาก็ตบแก้มตัวเองแปะๆ ขณะที่ลุกขึ้น ก่อนเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ติดกับห้องนอน จัดการเอาผ้าขนหนูไปชุบน้ำอุ่น และรินน้ำใส่แก้ว
ในตอนที่ฮาจุนค่อยๆ ดึงผ้าห่มออก แล้วแหวกชุดคลุมออก มูคยอมก็เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ทันทีที่ทั้งคู่สบสายตากัน ใบหน้าที่ยังคงเต็มไปด้วยร่องรอยจากการนอนหลับของมูคยอม ก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา แต่ฮาจุนไม่สามารถยิ้มกลับไปได้ และจ้องมูคยอม
“เจ้าลูกวัว”
ในตอนที่พยายามจะยันตัวขึ้นมา ระหว่างคิ้วของมูคยอมก็ยับย่นขึ้น
ราวกับว่าต้องการจะตรวจสอบความรู้สึก มูคยอมก้มมองมือของตัวเองในขณะที่กำและคลายมันออก จากนั้นจึงบ่นพึมพำออกมา ราวกับว่ารู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ…”
“นายไข้ขึ้น ตั้ง 38 องศากว่าเลย”
ฮาจุนตอบกลับขณะที่ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดไปยังต้นคอของมูคยอมที่มีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาของมูคยอมจะเบิกกว้างขึ้น
“ไข้ขึ้นเหรอ”
“ใช่”
มือของฮาจุนหยุดลง
“ปวดตัวมากไหม”
“อืม… พอได้ยินนายพูด ก็เริ่มรู้สึกเหมือนปวดตรงนู้นตรงนี้เลย… นี่ฉันเป็นไข้จนปวดตัวเลยหรือเปล่าเนี่ย แต่ถ้าได้คุณโค้ชของฉันมาช่วยนวดให้ ก็น่าจะดีขึ้นนะ”
ระหว่างที่พูดมูคยอมก็เหลือบมองฮาจุนไปด้วย แต่ฮาจุนกลับไม่สนใจและเอาแต่ก้มมองลงไปด้านล่าง จากนั้นจึงถอนหายใจออกมาราวกับกำลังพยายามควบคุมสีหน้า แต่ไม่นานนักคิ้วของฮาจุนก็ลดระดับลง และใบหน้าก็เปลี่ยนไปเหมือนกับคนที่กำลังจะร้องไห้ จากนั้นเสียงที่สั่นเครือก็ถูกเปล่งออกมา