Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 178
ผู้คนต่างถามว่าเป็นวันครบรอบหนึ่งปีของอะไรกันแน่ถึงได้ทำท่าฉลองแบบนั้นจนได้ใบเหลือง พร้อมกับคาดเดาต่างๆ นานา แต่มูคยอมปิดปากเงียบ ส่วนฮาจุนก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง แต่ตอนนี้เวลาเดินมาถึงปลายปีซะแล้ว
“ต่อให้รักกันปานจะกลืนกินแค่ไหน แต่สักวันหนึ่ง ช่วงจืดจางก็จะมาถึงอย่างฉับพลัน มันเหมือนกับโรคแหละ ถ้าผ่านไปได้สบายๆ เหมือนไข้หวัดก็โชคดีไป แต่สำหรับหลายคน มันหนักพอๆ กับโรคที่ไม่มีทางรักษาหาย สุดท้ายก็ทำลายความสัมพันธ์”
ฮาจุนไม่เคยพูดคุยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กับแฮร์รี่มาก่อน แต่อีกคนแอบดูมีมุมเจ้าบทเจ้ากลอนเหมือนกัน แต่เขาไม่มีจังหวะจะประทับใจคำพูดโรแมนติก ความนึกคิดของฮาจุนกำลังค่อยๆ เกาะติดกับความไม่สบายใจที่อาบย้อมหัวใจ ราวกับผงเหล็กที่ถูกแม่เหล็กดูด
“ต่อให้ทั้งสองคนไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเป็นพิเศษน่ะเหรอครับ มันเกิดขึ้นแน่ๆ กับใครก็ได้ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยเห็นคู่ที่หนีมันพ้นนะ รวมถึงฉันด้วย”
“อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เป็นแบบนั้นเหรอครับ”
“เหตุผลเหรอ ช่วงความรักจืดจางมีเหตุผลของมันด้วยงั้นเหรอ ก็แค่เบื่อขึ้นมาเฉยๆ นั่นแหละ เพราะคุ้นเคยกับอีกคนมากเกินไป”
แฮร์รี่พูดแบบนั้นแล้วส่งสายตาให้ฮาจุนแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน
“จุนก็มีคนที่เดทอยู่ด้วยล่ะสิ นายไม่เคยพูดถึงก็เลยคิดว่ายังโสดซะอีก
หรือว่าเพิ่งเริ่มเดท”
“เปล่าครับ ก็แค่สงสัย”
ฮาจุนเลิกพูดแล้วจิบเบียร์เข้าปาก การพูดคุยกันเรื่องช่วงความรักจืดจางของคู่รักดำเนินต่อเนื่องไปอีกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น แต่ฮาจุนกลับดึงตัวเองออกมาจากความคิดนั้นไม่ได้ง่ายๆ
‘ความรู้สึกเบื่อหน่าย: ความเบื่อหน่ายหรือเกียจคร้านที่เกิดขึ้นเนื่องจากหมดสิ้นความสนใจในสถานการณ์หรือสิ่งใดๆ’
ไม่ใช่ว่าฮาจุนไม่รู้ความหมายของคำศัพท์แต่ก็ลองเสิร์ชหาโดยไม่จำเป็น ในพจนานุกรมภาษาเกาหลีให้คำนิยามความหมายของคำว่าความรู้สึกเบื่อหน่ายไว้แบบนี้
‘หมดความสนใจ… แล้วก็เหนื่อยหน่าย…แล้วก็เบื่อ’
ฮาจุนไม่แม้แต่คิดจะสั่งเบียร์ที่ดื่มหมดแล้วเพิ่มอีก และทำเพียงแค่ก้มลงมองแก้วว่าเปล่าอย่างเหม่อลอย
เขาลองจินตนาการดู จินตนาการว่าคิมมูคยอมเบื่ออีฮาจุน คิมมูคยอมหมดความสนใจในการคบหากับอีฮาจุนขึ้นมาแล้ว ทั้งเหนื่อยหน่าย ทั้งรู้สึกเบื่อ
ดวงตาของฮาจุนสั่นเทานิดๆ ราวกับสะเทือนใจ
‘…ฉันคบแฟนแบบสบายใจมากเกินไปหรือเปล่านะ’
แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ได้เดินหน้ามาจนถึงตรงนี้โดยผ่านความทุกข์ใจน้อยเสียเมื่อไร ตัวฮาจุนเองก็มั่นใจว่าความเหนียวแน่นในความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองคนจะไม่ขาดสะบั้นลงง่ายดายขนาดนั้น เหมือนที่
มูคยอมเน้นย้ำอยู่หลายครั้ง เขากับอีกฝ่ายไม่ได้มีความสัมพันธ์เพียงผิวเผินที่ผูกมัดกันไว้ด้วยคำว่าคนรัก
แต่ฮาจุนเพิ่งเคยมีแฟนครั้งแรกจึงไม่มีคนอื่นให้เปรียบเทียบ และเขารู้ดีว่าตัวเองก็ค่อนข้างความรู้สึกช้าในหลายๆ ด้านเมื่อเทียบกับคนอื่น แถมยังมีนิสัยชอบมองโลกในแง่ดีและไม่คิดอะไรให้รอบคอบเป็นบางครั้งอีกด้วย
เอาเข้าจริง… เขาน่ะ เหมือนว่าไม่มีความคิดที่คิมมูคยอมจะเบื่อหน่ายเขาเลยสักครั้ง
ความจริงที่เพิ่งตระหนักถึง ทำให้เขามึนงงไม่น้อยจนถึงกับตกใจด้วยซ้ำ
อีฮาจุนเพิ่งตระหนักได้ว่าไม่เคยลองจินตนาการดูเลยสักครั้งแม้แต่ตอนที่เป็นคู่นอนกัน ว่าคิมมูคยอมจะรู้สึก ‘เบื่อหน่าย’ ตนเอง
มั่นอกมั่นใจอะไรนัก ถึงลองถามตัวเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่เริ่มต้นคิดไม่ได้เลยแม้แต่น้อยว่าคิมมูคยอมอาจเบื่อเขาได้อย่างไม่มีเหตุผล
กระทั่งตอนที่คิมมูคยอมเข้าใจผิดไปเองคนเดียวจึงเมินเฉยและไม่สนใจเขา ฮาจุนก็ยังเชื่อมั่นจนถึงที่สุดว่าการกระทำของอีกคนน่าจะมีเหตุผล เขาไม่เคยคาดคะเนไปในทางที่ว่า อีกคนนิ่งเงียบ ไม่อธิบายสถานการณ์ใดๆ เพียงเพราะแค่อึดอัด แล้วก็เกิดเบื่อหน่ายกันขึ้นมาจึงเมินเฉยใส่ตน
ถึงแม้ในตอนนี้จะคาดเดาว่าอีกคนคงไม่ชอบเขาแล้วเกิดรำคาญ แต่ฮาจุนคิดว่าในรากฐานของความรำคาญนั้นก็น่าจะมีเหตุผลที่อีกคนไม่ยอมบอกเขาอย่างที่คิด เขาไม่ได้คาดคะเนผิดเพราะมันมีสาเหตุจริงๆ แต่ว่า… ตอนนั้นถ้าหากมูคยอมไม่พูดอ้อมค้อมไปมาแล้วตัดขาดเขาอย่างไม่ซับซ้อนโดยบอกว่า ‘ฉันเบื่อนายแล้ว’ เขาก็อาจจะแยกตัวออกห่างอีกคนไปโดยไม่มีกำลังจะไปพูดคุยหรือซักไซ้อะไรมากกว่านี้ก็ได้
เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนค่อนข้างสงบเสงี่ยมมาจนถึงตอนนี้แต่อาจจะไม่ใช่แบบนั้น ฮาจุนเสยผมด้านหน้าขึ้นแล้วสั่งเบียร์เพิ่มอีกหนึ่งแก้วทีหลัง
‘ป้องกันไม่ให้ความรักจืดจาง’
‘อาการเมื่อความรักจืดจาง’
‘แก้ปัญหาความรักจืดจาง’
ระหว่างทางนั่งรถบัสกลับบ้าน ฮาจุนจ้องโทรศัพท์มือถือตลอดทางและไม่สามารถหยุดค้นหาคีย์เวิร์ดที่คล้ายๆ กันได้
ถ้าเป็นเวลาปกติก็คงจะใช้รถส่วนตัวไปแล้ว แต่เขาดื่มแอลกอฮอล์มาจึงไม่สามารถขับรถได้ และวันนี้ก็เป็นวันที่มูคยอมมีนัดอื่นตามลำพัง มูคยอมบอกว่าถ้าแยกย้ายกันแล้วให้โทรไปหาเพราะเดี๋ยวจะไปรับ แต่ฮาจุนก็ไม่อยากทำให้อีกคนต้องแยกตัวออกมาเร็วเพราะเขาทั้งที่นัดกับทางนั้นแล้ว
ฮาจุนเช็กโปรแกรมแช็ตในโทรศัพท์ ห้องแช็ตกับมูคยอมเงียบสนิท
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกำลังคิดอะไรแบบนี้อยู่หรือเปล่า ถึงได้รู้สึกแปลกๆ แต่ว่า… วันนี้แทบจะไม่มีการติดต่อมาจากมูคยอมเลย
ปกติถ้าฮาจุนไปสังสรรค์หรือออกไปตามนัดคนเดียว อีกคนมักจะส่งข้อความมาเซ้าซี้เกินยี่สิบข้อความจนกว่าเขาจะกลับ ทั้งบอกว่าคิดถึงบ้างล่ะ หรือไม่ก็ถามว่ากลับเมื่อไรบ้างล่ะ แต่วันนี้มีเพียงข้อความที่ส่งมาบอกว่า ‘ไปเที่ยวเล่นให้สนุกนะ’ กับ ‘ถ้าเสร็จแล้วก็ทักมา’ เมื่อประมาณสองชั่วโมงก่อนกับอีโมติคอนไม่กี่อัน หลังจากนั้นก็ไม่มีทั้งสายเข้าหรือข้อความอีกเลย คิดเพียงแต่ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างมูคยอมและเขามั่นคงกันดีแล้ว
‘ความคิดเห็น’
‘ติดต่อมาหาน้อยครั้งลงก็เป็นอาการหลักๆ ในช่วงความรักจืดจาง! ช่วงแรกที่คบกันน่ะ โทรหาทุกสองสามชั่วโมง ข้อความก็ตอบกลับในไม่กี่วินาที แต่แล้วก็มีหลายครั้งขึ้นเรื่อยๆ ที่ไม่อ่านข้อความแถมยังส่งมาแค่ตัวย่ออีก… ถ้าถึงขั้นขี้เกียจติดต่อหากันก็เลิกไปเลยดีกว่า’
เมื่อฮาจุนค้นหา ‘อาการเมื่อความรักจืดจาง’ แล้วเห็นความคิดเห็นที่บุคคลไม่เปิดเผยชื่อคอมเมนต์เอาไว้ ความวุ่นวายใจก็ก่อตัวใหญ่ขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถติดต่อไปหามูคยอมก่อนและทำได้เพียงลูบโทรศัพท์เท่านั้น การโทรไปหาอีกคนไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่เพราะกังวลอย่างไม่มีเหตุผล พอตั้งใจจะโทรไปจึงรู้สึกละอายใจตัวเอง
อารมณ์ของฮาจุนจมดิ่งลงอย่างไม่น่าเชื่อ เขาจึงพิงหัวกับหน้าต่างรถแล้วทอดสายตามองวิวยาวค่ำคืนเท่านั้น แต่จู่ๆ โทรศัพท์ในมือก็สั่นครืดคราด ฮาจุนเช็คดูว่าใครเป็นคนโทรมาแล้วจึงรีบรับสาย
“มูคยอม”
‘อยู่ไหนน่ะ แยกย้ายกันหรือยัง’
เสียงที่ได้ยินจากปลายสาย สดใสเหมือนในตอนปกติ
“อื้อ กำลังนั่งรถบัสกลับบ้าน”
‘บอกว่าถ้าเสร็จแล้วให้โทรมาไง ทำไมถึงขึ้นรถบัสเล่า’
“นายก็น่าจะกำลังไปเจอคนอื่นอยู่นี่นา กลัวว่านายต้องแยกตัวมาเร็วอย่างไม่จำเป็นเพราะฉันน่ะ”
‘ยังไงก็เป็นคนดีซะจริงๆ เลย ถ้างั้นเจอกันที่ป้ายรถ ถ้าถึงก่อนเดี๋ยวฉันรอ
อีกเดี๋ยวเจอกันนะ’
“โอเค อีกนิดเดียวฉันก็จะถึงแล้ว”
ฮาจุนตัดสายแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างรถอีกครั้ง ทิวทัศน์ยามค่ำคืนในฤดูหนาวซึ่งเมื่อสักครู่นี้ดูเงียบเหงา จู่ๆ ก็มีสีส้มแดงมาปะปนทำให้ดูอบอุ่น ฮาจุนยกยิ้มบางพร้อมกับนั่งตัวตรง
‘กังวลอะไรไม่มีประโยชน์น่า จองคยูก็แต่งงานจนมีลูกแล้ว แต่ยังชอบกันเหมือนตอนแรกอยู่เลยนี่’
ตอนนี้ใกล้ตัวมีคู่สามีภรรยาที่ห่างไกลกับช่วงความรักจืดจางอยู่มากโขแท้ๆ เขาเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะใช้ชีวิตแบบนั้นไม่ได้ คงเพราะเป็นมือใหม่ในการคบหาใครสักคนเลยคิดมาก ฮาจุนวิเคราะห์ตัวเองชั่วครู่ที่คล้อยตามคำพูดของคนอื่นไปอย่างง่ายดายมากเกินไป
ฮาจุนลงจากรถบัสแล้วมองซ้ายมองขวาหารถของมูคยอม ไม่เห็นรถคันไหนคุ้นตาเลยแม้แต่คันเดียว เป็นเวลาดึกมากแล้ว บนถนนจึงเงียบสงบและมีเพียงแสงสว่างจากไฟของร้านค้าประปราย ฮาจุนเดินวนอยู่กับที่เพราะดูท่าอีกคนจะยังมาไม่ถึง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากด้านข้าง ฮาจุนหันหน้าไป
“ฉันยืนอยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่นายจำกันไม่ได้เลยนะ”
มูคยอมสวมหมวกแก๊ปและพันผ้าพันคอปิดใบหน้าครึ่งหนึ่ง อีกคนหัวเราะพลางเดินเข้ามาใกล้ ฮาจุนเบิกตากว้างแล้วหัวเราะตามอีกฝ่าย
“มัวแต่มองหารถก็เลยน่าจะมองผ่านไปน่ะ นายก็ไม่ได้เอารถมาเหรอ”
“วันนี้อากาศอบอุ่นทั้งทีนี่ นานๆ ทีเดินกลับบ้านก็น่าจะดี ถือซะว่าเดินเล่นด้วย ก็เลยจอดรถไว้ที่ลานจอดเสียค่าบริการน่ะ เดี๋ยวค่อยไปเอาทีหลัง”
มูคยอมพูดแบบนั้นพร้อมกับโอบไหล่ของฮาจุนเข้ามากอดแล้วประทับริมฝีปากลงบนแก้มเขาทันที ฮาจุนก็โอบแขนรอบแผ่นหลังของอีกฝ่ายเช่นกัน
ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันบนถนนที่ตอนนี้คุ้นชินมากแล้ว ย่านที่พักคนรวยซึ่งถูกครอบครองพื้นที่ไปด้วยบ้านหลังโตอย่างกับปราสาท ก็เป็นที่ที่มีคนอาศัยอยู่เหมือนกัน บนถนนก่อนเข้าเขตที่พักอาศัยจึงมีร้านค้าทั้งเล็กใหญ่ตั้งอยู่เรียงราย ร้านรวงต่างๆ อย่างเช่น ร้านหนังสือกับร้านอาหาร ผับกับคาเฟ่ที่เคยไปนั่งหลายครั้งจนนับจำนวนครั้งไม่หวาดไม่ไหวผ่านเลยไปตามข้างทาง
บางครั้งทั้งสองคนก็ไปสั่งเบียร์กันคนละแก้วแล้วพูดคุยกัน บางวันก็นั่งทำงานของใครของมันในคาเฟ่ที่เปิดเพลงถูกใจบ่อยๆ จริงๆ แล้วมูคยอมไม่มีงานให้นั่งทำเยอะมากนัก แต่คงชอบที่ได้ใช้เวลาด้วยกันกับฮาจุนที่คาเฟ่ อีกคนจึงมักจะถือหนังสือหรือไม่ก็แท็บเล็ตมานั่งฆ่าเวลาอยู่อีกฝั่งของโต๊ะ
มูคยอมเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยถาม
“ไปดื่มมาสนุกไหม”
“อื้อ สนุกดี”
“ไม่มีใครพูดอะไรแปลกๆ ใช่ไหม จู่ๆ ก็แสดงออกว่าชื่นชอบแบบผิดปกติ หรือไม่ก็ยกมือมาจับที่แปลกๆ…”
“คนเจอหน้ากันทุกวัน จู่ๆ จะทำแบบนั้นได้ยังไงเล่า”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ถึงจะไม่รับรู้จนถึงเมื่อวานก็ตามที แต่ทำไมจะไม่มีคนที่ตาค้างเพราะเสน่ห์ของอีฮาจุน อาจมีพวกที่เล็งจังหวะหาโอกาส แล้วก็มาทำตัวใกล้ชิดในวงเหล้าอยู่อีกเยอะเลยก็ได้”
มูคยอมถอนหายใจราวกับกังวลจากใจจริง
“พวกคนที่มาชวนคุยนู่นนี่ที่ร้านเหล้าล่ะ”
“บอกว่าไม่มีคนทำแบบนั้นไง ไม่เคยมีเลย”
ฮาจุนหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วนพร้อมกับตบไหล่มูคยอมปุๆ
เขาตอบคำถามที่ตอนนี้รู้สึกเคยชินไปเสียแล้ว แต่คำถามก็ยาวนานต่อเนื่องเสียจนเอือมระอา และในตอนที่มาถึงบ้าน ความกลัดกลัดกลุ้มที่ลากยาวมาตั้งแต่ร้านเหล้าจนถึงตอนนั่งรถบัสก็สลายหายไปราวกับหิมะละลาย
* * *
ความกลุ้มใจที่เคยสลายไป กลับมาตั้งเค้าราวกลุ่มเมฆฝนอีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้น
เป็นวันธรรมดาที่มูคยอมจูบปลุกฮาจุนมากินมื้อเช้าด้วยกัน จากนั้นก็รีบอาบน้ำสวมเสื้อผ้าแล้วออกมาทำงาน
ทั้งสองคนแยกย้ายกันตรงทางเข้าตึกของสนามฝึกซ้อม ฮาจุนมุ่งหน้าไปยังห้องล็อกเกอร์ของสตาฟ ส่วนมูคยอมก็ไปยังห้องล็อกเกอร์ของนักกีฬา
“สวัสดีครับ”
ฮาจุนเปิดประตูเข้าไป คนอื่นๆ รวมตัวกันอยู่มุมหนึ่งและกำลังดูอะไรสักอย่าง ฮาจุนเก็บกระเป๋าในล็อกเกอร์ของตัวเอง จากนั้นจึงเดินไปหาคนอื่นๆ แล้วเอียงหัว
“มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“ดูนี่สิ ข่าวด่วนที่รายงานตอนเช้าวันนี้”
พาดหัวข่าวที่ถูกพิมพ์ด้วยตัวอักษรแบบโกธิคขนาดใหญ่ ตรึงเข้าในดวงตาของฮาจุน
“คิม, พบเจอความรักครั้งใหม่หลังจากห่างหายมานาน?”
ฮาจุนใจหล่นฮวบในชั่วขณะหนึ่งเพราะคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกจับได้ แต่ในวินาทีต่อมา หัวใจของเขาก็ดีดกระดอนด้วยความตกใจสุดขีด
มีรูปอยู่ใต้พาดหัวข่าว ภาพแตกนิดหน่อยเหมือนกับขยายรูปแอบถ่ายจากไกลๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เพียงพอให้สามารถแยกแยะสีหน้าหรือใบหน้าได้
มูคยอมกำลังออกมาจากสถานที่ที่เป็นเหมือนกับบ้านธรรมดา โดยสวมหมวกแก๊ปพร้อมกดปีกหมวกยาวๆ ลงต่ำราวกับตั้งใจจะหลบหลีกสายตาของผู้คน แล้วฮาจุนก็มองเห็นผู้หญิงที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยสักครั้งอยู่ด้านในประตูบานนั้น
“ช่วงนี้ไม่มีข่าวลือเรื่องผู้หญิงเลยไม่ใช่เหรอ พวกเรายังคิดอยู่เลยว่าตอนนี้คงหมดยุคเพลย์บอยของมูมูแล้ว”
“คงจะไม่ใช่แล้วละ ไม่ได้มีมานาน พวกนักข่าวเลยตื่นเต้นดีใจกันใหญ่”
ฮาจุนมองข่าวนั้นอย่างเหม่อลอยโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา นอกจากรูปที่ใหญ่ที่สุดใต้พาดหัวข่าวแล้วก็ยังมีรูปอื่นอีก เป็นรูปที่ถ่ายคนทั้งสองตอนอยู่ในบ้านผ่านทางหน้าต่าง
สองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันและกำลังหัวเราะ ทั้งยังพูดคุยกันอย่างสนิทสนมแนบชิด ทั้งคู่กางหนังสือพิมพ์หรือหนังสือเล่มใหญ่อะไรไม่รู้ไว้บนโต๊ะ แล้วนั่งหันหน้าเข้าหากัน ก้มดูมันด้วยกัน ภาพนั้นถึงกับดูอบอุ่นจับใจ
ข้อความในข่าวไม่ถูกป้อนเข้าหัวอย่างครบถ้วนด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นเขาก็สะดุดตากับบางย่อหน้า ‘…การพบกันครั้งนี้ดูต่างกับการพบกันชั่วข้ามคืนที่คิมเคยทำให้เห็นอยู่มากทีเดียว เท่าที่ทางหนังสือพิมพ์ได้ตามติดอย่างใกล้ชิด ทั้งสองคนแอบพบกันลับๆ อย่างต่อเนื่องมากว่าสองเดือนแล้ว’
ฮาจุนตั้งหน้าตั้งตานึกย้อนไปในความทรงจำ บางทีอาจเป็นคนที่เขาเองก็รู้จักก็ได้ แต่ต่อให้ขุดค้นไฟล์ข้อมูลในหัวมากแค่ไหนก็เป็นคนที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกอยู่ดี ไม่ใช่คู่นอนคนก่อนของมูคยอมหรือคนที่เคยเป็นข่าวฉาวด้วย
มันเป็นข่าวฉาวเรื่องใหม่
ฮาจุนจ้องรูปนั้นเขม็งแล้วสังเกตเห็นอีกอย่าง หมวกที่สวมอยู่บนหัว ผ้าพันคอที่พันรอบคอ การแต่งตัว ทุกอย่างเป็นแบบเดียวกันกับที่อีกคนสวมเมื่อวาน ริมฝีปากของฮาจุนเกร็งตึง
‘เมื่อวาน… ไปเจอคนนี้มางั้นเหรอ’
ฮาจุนยื่นหนังสือพิมพ์ซุบซิบวงการกีฬาให้ใครก็ไม่รู้ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วเดินไปทางล็อกเกอร์ของตัวเอง เขาเปลี่ยนเสื้อด้วยท่าทีเหมือนหุ่นยนต์พร้อมกับจมอยู่ในห้วงความคิดอย่างเหม่อลอย
…เมื่อวานมูคยอมติดต่อมาหาเขาน้อยผิดปกติ อีกคนก็ไปเจอใครบางคนอยู่เหมือนกัน เพราะอย่างนั้นก็อาจบอกได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่คิมมูคยอมที่ฮาจุนรู้จักเป็นคนที่ไม่ปล่อยปละละเลยที่จะติดต่อหาเขาทุกครั้งที่มีจังหวะแม้ว่าตัวเองจะมีนัดอยู่ก็ตาม
พอลองคิดดู ช่วงล่าสุดมานี้มีหลายครั้งมากขึ้นที่มูคยอมมีนัดไปไหนคนเดียวบ่อยๆ ไม่สิ เป็นประจำตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้… เหมือนจะพักใหญ่แล้ว นักข่าวบอกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนดำเนินต่อเนื่องมากว่าสองเดือน
เดิมทีอีกคนก็มีกิจกรรมนอกบ้านอย่างการไปประชุมงานอยู่เยอะ เขาจึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่พอลองคิดทบทวนดูทีละอย่างก็มีหลายครั้งแล้วเหมือนกันที่มูคยอมไม่อยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ทุกครั้งที่ออกไปตามนัดที่กำหนดวันล่วงหน้าชัดเจน การติดต่อจากอีกคนก็จะห่างหายมากขึ้นเป็นพิเศษด้วย… พอนึกย้อนดูแบบละเอียด นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก
ทำไมกันแน่ คนที่ไม่เคยเป็นแบบนั้น จู่ๆ กลับมีท่าทีเปลี่ยนไป มันก็น่าจะมีเหตุผลไม่ใช่เหรอ
‘…เหตุผล…’
ความคิดของฮาจุนหยุดชะงักลงชั่วขณะหนึ่ง
อาจจะไม่มีเหตุผลอะไรก็ได้ แบบที่คนอื่นพูดกัน ถ้าคบกันมาได้กว่าหนึ่งปีก็จะเริ่มเข้าสู่ช่วงความรักจืดจางไปตามธรรมชาติ ถ้าหากมูคยอมเองก็ใกล้เข้าสู่ช่วงนั้นแล้วล่ะ ไม่ต้องเอาแต่พยายามตามหาสาเหตุจากภายนอก แต่ถ้าหากต้นเหตุเกิดจากความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองล่ะ
ทว่าท่าทีของมูคยอมไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย เมื่อวานก็ยังกังวลเรื่องที่คงจะไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำ แถมยังรัวคำถามทุกสิ่งอย่างว่ามีใครคนอื่นมาทำตัวใกล้ชิดเขาหรือเปล่า
ในตอนนั้น ประตูก็เปิดออกโผง บานประตูถูกเปิดออกอย่างแรงจนกระแทกกับผนังดังปังแล้วดีดกลับไปที่เดิม เสียงนั้นทำให้ทุกคนมองไปตรงทางเข้า
มูคยอมยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับเปลี่ยนเสื้ออยู่แล้วหยุดกลางคัน อีกคนจึงสวมเพียงกางเกงของยูนิฟอร์มสำหรับฝึกซ้อมเท่านั้น ส่วนร่างกายท่อนบนก็เปิดโล่งให้เห็นร่างเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรง ซ้ำยังหายใจกระหืดกระหอบราวกับรีบร้อนมาหา