Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 18
มูคยอมพยักพเยิดคางไปทางเนวิเกชั่นนำทาง ฮาจุนจิ้มหน้าจอเนวิเกชั่นจึกๆ โดยไม่ปฏิเสธ เขากำลังจะทิ้งร่องรอยของตัวเองไว้ที่รถของมูคยอมด้วยความรู้สึกที่ประหลาดมาก
รถที่เคลื่อนไปเรื่อยๆ ลดความเร็วลงตรงหน้าอพาร์ทเม้นท์เก่าๆ ที่ดูเหมือนสร้างมาแล้วสี่สิบปี แต่ฮาจุนห้ามมูคยอมที่กำลังจะเข้าไปเอาไว้
“ฉันจะลงตรงนี้ ไม่ต้องเข้าไปถึงข้างในหรอก”
“บ้านดูดีเลยนี่”
รู้สึกแยกไม่ออกเลยว่าเขาพูดจากใจจริงหรือเยาะเย้ย ทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่มีกำลังทรัพย์แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามสำหรับอพาร์ทเม้นท์ที่มีผู้อาศัยในระยะยาวอยู่มากและไม่ได้ตั้งในย่านอันอุดมสมบูรณ์ผู้คนจึงไม่ค่อยหลั่งไหลกันมานัก
การที่รถสปอร์ตแบบนี้หลงเข้ามาจึงเป็นที่สนอกสนใจของเหล่าเพื่อนบ้าน พอดีว่าเดี๋ยวจะมีคนทักทายฮาจุน อย่างกับเจอนักกีฬามืออาชีพถ้าเห็นเขาขึ้นมา เขาจึงไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นตอนลงจากรถสักเท่าไร มูคยอมสูดลมหายใจยาวแล้วพึมพำขึ้นมาเหมือนพูดคนเดียว
“ได้กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้เลยแฮะ”
“ในหมู่บ้านมีต้นไลแลคเยอะน่ะ”
คำตอบของฮาจุนทำให้มูคยอมพยักหน้าขณะมองทิวทัศน์ด้วยท่าทางพึงพอใจ ฮาจุนเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนที่หาดูได้ยากบนใบหน้าของเขา มูคยองเองก็เผลอไปจ้องโดยไม่รู้ตัว
“งั้นเหรอ ชอบจังเลย เป็นดอกไม้ที่ฉันชอบที่สุดเลยนะ”
รสนิยมบางอย่างก็ดันคล้ายกันอีก ฮาจุนแอบยินดีอยู่ภายในใจก่อนจะพึมพัมถาม
“มีดอกไม้อะไรที่ชอบด้วยหรือไง”
“แน่นอน ฉันออกจะเป็นคนโรแมนติก”
มันช่างน่าขันที่จะต้องเห็นด้วย ขณะที่จะปฏิเสธก็เหมือนจะต้องยอมรับทั้งอย่างนั้น ช่วงที่ฮาจุนลังเลที่จะตอบมูคยอมก็กล่าวลาทันทีราวกับหยอกเล่น
“เข้าไปเถอะ เจอกันพรุ่งนี้นะ”
ฮาจุนที่กล่าวลาสั้นๆ มองท้ายรถที่กำลังขับออกไปอีกครั้งพร้อมถอนหายใจเล็กน้อย เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นข้อเสนออะไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วเขาก็จะยอมรับมัน การผลัดช่วงวลาของทางเลือกเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของเขา เพราะการที่จะทำเช่นนั้น มันจำเป็นต้องเตรียมทั้งร่างกายและจิตใจให้พร้อมอย่างที่เขาพูดจริงๆ
ตั้งหลัก คนที่จดจำไว้ในใจ
เหมือนเป็นคนโง่ที่หวั่นไหวโอบกอดความหวังไปเองเพราะคำพูดไม่กี่คำ น่าแปลกใจนักที่แม้ในหัวจะไม่ได้คาดหวังอะไรอย่างแจ่มชัด แต่หัวใจกลับโลดแล่นออกไป ฮาจุนคิดไว้อย่างแน่นอนว่ามันไม่ใช่คำพูดที่จะต้องไปคาดหวัง เขาคงจะพูดในความหมายเชิงอื่นๆ แต่เมื่อยืนยันแล้วว่า คำพูดของมูคยอมหมายถึงจำกัดอยู่เพียงความสัมพันธ์ทางกายจริงๆ แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้หมดเรี่ยวแรงกัน
“ไปคาดหวังอะไรล่ะ มันก็แน่นอนอยู่แล้วนี่นา”
ฮาจุนพูดคนเดียวราวกับตักเตือนตัวเอง ไม่มีเหตุผลอะไรที่มูคยอมจะชอบฮาจุนด้วยความหมายเช่นนั้นหรอก คิดถึงผู้หญิงมากมายที่มีเสน่ห์ดึงดูดเดินผ่านเขาไปมาจริงๆ แม้แต่ฮาอึนอูที่เพิ่งมีเรื่องอื้อฉาวกับเขาเมื่อไม่นานมานี้ ยังเป็นนักแสดงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพธิดาเลย ตราบใดที่มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับมูคยอม เรื่องที่เขามากประสบการณ์กับสาวๆ นั้น ฮาจุนก็รู้ดีว่าตัวเขาไม่จำเป็นต้องรู้ว่ามูคยอมชอบผู้หญิงประเภทไหน
สำหรับฮาจุนแล้ว เขามีแฟนคลับสาวๆ จำนวนมากสมัยที่เป็นนักกีฬาอาชีพอย่างที่จองคยูกล่าวไว้ และหากส่วนหนึ่งในบรรดาแฟนคลับกล่าวว่าชื่นชอบอีฮาจุน พวกเธอจะโดนบ่นและโดนเย้ยว่า นั่นไม่ได้แปลว่าพวกเธอชื่นชอบกีฬาฟุตบอลแต่ชอบนักกีฬาฟุตบอลที่หล่อเหลา แม้แต่ตอนที่ส่องกระจกเขาเองก็ไม่เคยรู้สึกไม่พอใจกับรูปลักษณ์ของตัวเองเลยแต่นั่นก็เป็นแค่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นมีปัจจัยใดที่จะดึงดูดมูคยอมเลยสักนิด
“ฮาจุนมาแล้วเหรอ”
“อืม”
ทันทีที่เข้าไปในบ้าน คุณแม่ที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกก็ลุกขึ้นมาทักทายลูกชาย ถึงบางครั้งจะลำบากใจ แต่ตอนที่รู้สึกแตกสลายแบบนี้เสียงที่อ่อนโยนของคุณแม่ก็ปลอบโยนได้ดี ฮาจุนยิ้มขณะที่เข้ามาในห้องรับแขกเขาสวมกอดคุณแม่หลังจากที่ไม่ได้กอดมานาน
“แม่ รักนะ”
“อุ้ย มาถึงปุ๊ปเป็นอะไรไปเนี่ย เกิดเรื่องอะไรดีๆ ข้างนอกมาเหรอลูกชายแม่”
คำพูดเหล่านั้นทำให้เขายิ้มได้อย่างลืมเรื่องสิ้นหวังไป เรื่องดีๆ อย่างนั้นเหรอ ใช่แล้ว คิดเสียว่าเป็นเรื่องดีๆ แล้วกัน
“อืม ที่สโมสรน่ะ”
“จ้าๆ ลูกชายคนโตคนเก่งของแม่ ทำอะไรไม่ได้บ้างล่ะ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปด้วยดีจ๊ะ”
ใช่แล้ว มันจะเป็นอย่างนั้นใช่ไหม ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดไปถูกไหม ฉันกำลังทำได้ดีอยู่ใช่ไหม
คุณแม่หารือเรื่องเมนูอาหารเย็นมาแล้ว ฮาจุนตอบคำถามของเธอ ทั้งสองพยายามคิดเมนูที่ฝาแฝดพอจะชอบกินอยู่บ้าง แฝดทั้งสองอยู่มัธยมปลายปีที่หกฉะนั้นจึงเป็นเวลาที่จะต้องดูแลอย่างเป็นพิเศษมากกว่าที่เคยชีวิตประจำวันแสนธรรมดาค่อยๆ บรรเทาจิตใจที่ว้าวุ่น
ฤดูหนาวตอนที่ฮาจุนอายุสิบสอง พ่อฆ่าตัวตายในรถยนต์
ในรถคันนั้นที่เราขับออกไปเที่ยวทะเลและขึ้นภูเขาทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกันเสมอในช่วงปิดเทอมหรือพักร้อน
พ่อเคยเป็นเจ้าของโรงงาน เราเคยอยู่ดีกินดีได้พอประมาณและนึกว่าอนาคตต่อไปก็น่าจะยังใช้ชีวิตอย่างนั้นได้ แต่แล้วหลังจากที่พ่อจากโลกไป เราจึงพบว่ากิจการที่ในอยู่สภาวะเกือบล้มละลาย เจ้าของกิจการก็เป็นเพียงแค่ชื่อเรียกเท่านั้น
ตอนนั้นเองที่ฮาจุนเรียนรู้คำต่างๆ เช่น การอายัดทรัพย์สิน การชำระหนี้ หลักประกัน การประมูล ทันทีที่เข้าใจคำเหล่านั้น ก็ต้องเก็บของให้เกลี้ยง อย่างที่ถูกขับไล่ให้ออกจากบ้านที่อาศัยอยู่ เราจับมือกันระหว่างแม่ ผู้ซึ่งสูญเสียทุกอย่างในชั่วพริบตาทั้งๆ ที่เคยเป็นคุณนายและน้องฝาแฝดสองคนที่ยังไม่แม้กระทั่งจะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาขณะถูกไล่ออกมาข้างนอก หลังจากที่ส่งมอบทุกสิ่งที่มีให้กับเจ้าหนี้แล้ว เราสี่คนครอบครัวจึงได้ไปอาศัยอยู่ในห้องชุด ขนาดกึ่งใต้ดินที่หาได้จากการรวบรวมเศษที่เหลือเล็กน้อย
แม่ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าและตื่นตระหนก ทำให้เธอใช้เวลาไปกับเหล้าและยาสลับไปมา แต่ถึงอย่างนั้นเนื่องจากตัวฮาจุนเองกับแม่ ใครสักคนต้องทำงาน แม่เลยกินยาตอนกลางวันแล้วไปทำงาน กลับมาตอนกลางคืนก็ดื่มเหล้า เธอคงรู้อยู่แล้วว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นอันตราย และแม้ว่าฮาจุนเองไม่ชอบที่แม่เป็นเช่นนั้นแต่ก็ห้ามเธอไม่ได้
ศูนย์เด็กเล็กขนาดย่อมละแวกบ้านมีน้ำใจให้แม่ฝากน้องๆ ไว้ที่ศูนย์ระหว่างที่ไปทำงานได้ ทันทีที่ฮาจุนเรียนเสร็จก็จะไปรับน้องๆ กลับมาดูแลต่อทันที แม้แต่เด็กเล็กวัยห้าขวบที่คิดว่าพ่อเดินทางไปเที่ยวยังที่ห่างไกลเพียงชั่วครู่ เด็กที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ยังสังเกตเห็นได้โดยสัญชาตญาณว่าภายในบ้านเละเทะขนาดไหน น้องสองคนแลดูมืดมนไม่เหมือนกับเพื่อนวัยเดียวกัน
ฮาจุนที่ยังเด็กคิดถึงสมัยที่ยังเด็กกว่านี้ของเขา ตอนที่ตัวเองอายุเท่ากับน้องๆ เขาเป็นเด็กที่มีความสุข และร่าเริงทีเดียว น่าเสียดายที่น้องๆ ไม่สามารถใช้ชีวิตวัยเด็กได้เหมือนอย่างเขา เพราะไม่ค่อยมีสิ่งที่พอจะทำได้ ดังนั้นทุกครั้งที่อยู่กับเด็กๆ ฮาจุนจึงพยายามทำให้พวกเขายิ้มได้และใช้เวลาอย่างสนุกสนาน
เมื่อถึงเวลานั้น น้องๆ จะเริ่มกลับมายิ้มอย่างไร้เดียงสาเหมือนเดิม โชคดีที่การเล่นกับน้องๆ ในฐานะพี่ชายของน้องสาวและน้องชายใช้เพียงเวลาและความพยายาม ไม่ได้ใช้เงิน
เวลาที่น้องสาวและน้องชายฝาแฝดนอนหลับ แม่จะกอดฮาจุนในอ้อมอกและร้องไห้ออกมาเป็นบางครั้งบางคราว เธอที่ควบคุมอารมณ์อย่างลำบากต่อหน้าฝาแฝดที่ยังเด็กได้ แต่เธอทำอย่างนั้นต่อหน้าฮาจุนลูกชายคนโตไม่ได้ และเพราะแม่ร้องไห้อยู่ เลยรู้สึกว่าเขาจะร้องไห้ไปอีกคนไม่ได้ ฮาจุนเองก็กลั้นน้ำตาไว้และได้แต่พูดปลอบใจแม่ว่า “แม่ อย่าร้องไห้เลยนะ” ขณะที่รอจนกว่าเธอจะหยุดร้องไห้ ในบางครั้งเขาก็แตะหลังแม่ด้วยมือเล็กๆ อีกด้วย
ถ้าเขาอายุมากขึ้นอีกสักนิด มันคงเป็นเรื่องยากที่จะใช้ชีวิตในช่วงเวลานั้นด้วยสติครบถ้วนดี บางครั้งฮาจุนก็มองย้อนกลับไปในตอนนั้น เพราะเป็นช่วงที่เข้าสู่วัยรุ่นเต็มวัยแทนที่จะนั่งจมดิ่งกับความเศร้า เขาคิดแค่เพียงจะอดทนให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เพราะเหล่าเด็กตัวน้อยเหมือนสัตว์ป่าถึงครึ่งหนึ่ง ทำให้พวกเขาไม่รู้จักสงสารตัวเอง
‘นายน่ะ อีฮาจุน ดูเหมือนนายจะมีความสามารถในการเตะบอลนะ ไม่สนใจเข้าชมรมฟุตบอลเหรอ’
อายุสิบสี่ปีที่เข้าเรียนมัธยมต้น จู่ๆ ครูพละก็เรียกฮาจุนให้มาที่ห้องจัดเตรียมโรงยิม ฮาจุนเข้าไปพบด้วยความกังวลว่าตนจะทำอะไรผิดไป คุณครูผู้เป็นที่ปรึกษาชมรมฟุตบอล และยังเป็นผู้คลั่งไคล้ฟุตบอลได้ยื่นข้อเสนอที่คาดไม่ถึงให้
ฮาจุนสงสัยว่าจะฟังผิดไปจึงเอาแต่กะพริบตาชั่วครู่ ไม่นานเขาก็ซ่อนความเขินอายและตอบไปเหมือนวางเฉย
‘บ้านผมค่อนข้างยากจน ชมรมกีฬาคงจะลำบากไปครับ’
‘ใช่สิ ฉันเองก็ได้ยินมาบ้างแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งต้องเข้าร่วมใหญ่เลย ชมรมกีฬาโรงเรียนเราโด่งดังไม่ใช่หรือไง ให้การสนับสนุนเยอะแยะ นายไม่ต้องเตรียมอะไรเพิ่มเลย มีเครื่องแบบให้ด้วย รองเท้าฟุตบอลน่ะ ถ้านายตกลงเข้าร่วม ฉันจะเตรียมรองเท้าที่เข้ากับไซส์นายไว้ให้คู่นึง ได้ยินมาจากครูประจำชั้นว่านายได้สวัสดิการรัฐด้วยนี่ ใช่ไหม’
‘ครับ’
‘นายคงไม่รู้สินะ ถ้าอย่างนั้นนายเข้าร่วมชมรมน่าจะดีกว่า ครูจะลองหาทางรับทุนสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ เผื่อนายให้เอง ถ้าถูกเลือกเป็นนักกีฬาอนาคตไกล นายอาจจะได้รับทุนการศึกษาจากโรงเรียนกับเขตด้วย’
‘…ท้ายที่สุดแล้วคงทำได้ไม่ดีแน่ๆ…’
‘ระหว่างฝึกฝนก็มีของว่างให้ด้วยนะ ทั้งนี้ทั้งนั้นนายก็แทบไม่มีอะไรให้เสียเลยนะ’
ฮาจุนบอกว่าผมจะลองเก็บไปคิดดู กลับบ้านมาวันนั้นก็นั่งครุ่นคิดทั้งคืน เงินสนับสนุน ของว่าง ถ้าโชคดีก็ได้ทุนการศึกษา เงื่อนไขไม่เลวเลยทีเดียว ก่อนอื่นก็ลองทำดูก่อน ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้ค่อยล้มเลิกไป
เพราะคิดว่าการออกกำลังกายต้องใช้เงินจำนวนมาก เขาเลยไม่เคยแม้แต่จะใฝ่ฝันว่าอยากเข้าชมรมกีฬา โชคดีที่ฮาจุนได้เงินจำนวนเล็กน้อยขณะที่เข้าร่วมเล่นฟุตบอล
ตอนเรียนชั้นประถมศึกษาก็เคยเตะฟุตบอลอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีพรสวรรค์ หรือชื่นชอบการเล่นฟุตบอลเป็นพิเศษเลย ฉะนั้นจึงประหลาดใจที่ได้ยินคำชมว่ามีพรสวรรค์ และยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม ที่ถูกเลือกให้เป็นนักกีฬาอนาคตไกลในภาคเรียนที่สองจนได้รับทุนการศึกษาของโรงเรียน
หลังจากที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสมก็ดูเหมือนว่าจะมีพรสวรรค์อยู่บ้าง สมัยเด็กเคยได้ยินว่าเป็นเด็กที่ว่องไว และยิงประตูเก่งเวลาเล่นฟุตบอลด้วยกันกับเพื่อนๆ แต่ฟุตบอลที่เล่นในชมรมฟุตบอล สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรถึงจะสกัดกั้นลูกบอลของฝ่ายตรงข้ามได้ ทำอย่างไรถึงจะเลี้ยงลูกส่งบอลต่อได้โดยไม่พลาด และทำประตูได้ตามกลยุทธ์
ตามที่โค้ชกล่าวไว้ ฮาจุนมีความเข้าใจในกลยุทธ์และเฉลียวฉลาดในด้านกีฬาฟุตบอลมาก เขากล่าวว่าฮาจุนเป็นคนที่มีแนวโน้มที่จะเป็นตัวสำรองมากกว่าที่จะดึงดูดความสนใจ เขาคือคนที่สามารถอ่านภาพรวมของการแข่งขันได้ดี มีความอดทนสูง ทั้งยังอุตสาหะ จึงต้องเป็นกองกลาง ฉะนั้นฮาจุนจึงเป็นกองกลาง โดยหลักๆ ก็ได้รับหน้าที่เป็นกองกลาง ตัวรับที่เล่นในแนวป้องกันฝั่งซ้าย
ไม่น่าเชื่อเลยว่าครั้งที่ถูกเรียกตัวไปเล่นในทีมชาติเยาวชนเป็นครั้งแรกคือตอนอายุสิบหก ตอนที่อยู่มัธยมต้น ทั้งมีความสุขและน่ากลัวไปพร้อมกัน เป็นการเริ่มเล่นฟุตบอลเพียงเพราะขาดแคลนอาหารและการเงินขัดสนเท่านั้น ตัวเราจะมีคุณสมบัติในตำแหน่งแบบนี้จริงๆ เหรอ
คิดว่าเรื่องมันจะบานปลายไปกันใหญ่แล้ว อย่างไรก็ตาม หากออกไปสนามใหญ่เงินก้นถุงคงโผล่ออกมาหมด จนอาจจะถูกตัดแม้กระทั่งเงินสนับสนุนที่เคยได้รับก็ได้
มีนักเรียนมัธยมต้นเป็นตัวแทนทีมเยาวชนที่รวบรวมไว้เพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย นักเรียนมัธยมต้นส่วนใหญ่เป็นตัวสำรองที่เลือกมาเพื่อทำการหมุนเวียน พวกเขาไม่ต้องการถูกรุ่นพี่ตีตราโดยเปล่าประโยชน์ จึงซื่อสัตย์ที่จะฝึกฝนตามกระบวนการโดยไร้คำบ่น ฮาจุนที่กังวลมากกว่ามีความสุขจึงต้องตามไปฝึกฝนอย่างอึดอัดใจด้วย
แม้ในขณะที่ได้รับการฝึกฝนให้ทีมชาติ แม่เองก็ไม่สามารถปริปากบอกน้องๆ ได้ว่าถูกเรียกตัวไปฝึกด้วย แน่นอนว่าโปรแกรมการฝึกซ้อม รวมทั้งค้างแรมร่วมกันในระยะยาวกินเวลาประมาณสิบห้าวัน แต่หลังจากหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ได้ ฮาจุนจึงตัดสินใจเข้าร่วมในช่วงสองคืนสุดท้ายเท่านั้น โค้ชทีมไม่ชอบใจนัก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องลบฮาจุนออกจากบัญชีรายชื่อ
แม้ว่าอาการของแม่จะดีขึ้นกว่าตอนแรกมากแล้ว แต่ก็ยังคงทุกข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้าและอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เป็นระยะๆ ทำให้การใช้ชีวิตในแต่วันช่างยากลำบาก น้องๆ ก็ยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าถูกเรียกตัวเข้าทีมเป็นตัวแทนทีมชาติเยาวชนหมายความว่าอย่างไร แม่ควรจะมีความสุขแท้ๆ แต่ในเวลานั้นฮาจุนกลัวว่าความรู้สึกของแม่จะสั่นคลอนหากเกิดเรื่องที่ทำให้แม่ดีใจจนเกินไป
ค่ายฝึกซ้อมจัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างการทำงานเป็นทีม อีกนัยหนึ่งคือเพื่อควบคุมและดูแลนักกีฬาตัวน้อยที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่โค้ชอนุโลมให้ฮาจุนไม่ค้างแรมที่ค่ายกว่าใครอื่นก็เพราะว่าฮาจุนเชื่อฟังคำสั่ง และเรียนรู้การฝึกฝนได้ไวกว่าใครๆ นั่นเอง อย่างไรก็ดีเขาก็เป็นตัวสำรอง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในคนที่จะโดดเด่น จะพร่ำเพรื่อต่อหน้านักกีฬาตัวหลักที่ยังเด็กไม่ได้ด้วย การได้มีส่วนร่วมเพียงเท่านั้นก็น่าพึงพอใจแล้ว
นอกจากนี้ยังมีเด็กมีปัญหาจริงๆ ในขณะที่เข้าค่ายราวกับไม่เข้าใจเรื่องการทำงานเป็นทีมเลยสักนิดอีกด้วย ฉะนั้นคำขอของฮาจุนจึงไม่เป็นปัญหาอะไรจากมุมมองของโค้ช
ฮาจุนที่เข้าร่วมค่ายสามวันสองคืนเกือบจะวันสุดท้ายก็ได้เจอกับ ‘นายคนนั้น’ อยู่ 2-3 ครั้ง หากไม่ใช่เวลาฝึกซ้อม เขาจะเสียบหูฟังที่หูและนั่งมองภูเขาที่ห่างไกลราวกับไม่สนใจผู้อื่นหรือไม่ก็ปิดตานอนอย่างเคร่งเครียด
แม้จะไม่ใช่บรรยากาศที่ดุเดือดเป็นพิเศษ แต่เดิมทีแล้วเขาก็เป็นคนมีชื่อเสียงเลยรู้สึกได้ถึงความเงียบงันของบรรยากาศที่ว่าห้ามแตะต้อง ถึงขนาดที่เพื่อนรุ่นเดียวกันก็ไม่กล้าเข้าใกล้พร่ำเพรื่อ ฮาจุนเองก็เช่นเดียวกัน
เว้นแต่เคยออกไปโทรศัพท์คุยกับที่บ้านในเวลาว่าง เลยบังเอิญไปเห็นนายคนนั้นคุยโทรศัพท์อยู่ ไม่รู้ว่ากำลังคุยกับใคร แต่ยิ้มละมุน อีกทั้งยังพูดคุยแหย่เล่นกันได้มันช่างน่าเหลือเชื่อจนเผลอไปจ้องสักพัก เพราะเกรงว่าจะไปสบตาเข้าจึงลุกออกจากที่นั่น
และแล้วการแข่งขันรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกรุ่นอายุไม่เกินสิบเจ็ดปีที่เข้าร่วมเป็นครั้งแรกก็กำลังใกล้เข้ามา รู้สึกเป็นกังวล จนถอนหายใจลึกๆ แม้จะตำหนิตัวเองว่าทำไมถึงเป็นกังวลนัก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ตัวหลักเช่นนั้น แต่ความตื่นเต้นไม่ใช่สิ่งที่จะควบคุมได้ตามที่ใจต้องการ
ฮาจุนไปยังที่ที่เงียบสงบไร้ผู้คนและซ่อนตัวในขณะที่ยังมีเวลาเหลืออยู่ เพราะอยากไปทำใจให้สงบจึงแก้เชือกผูกรองเท้าออกทั้งหมดเพื่อผูกใหม่ แต่มือสั่นอยู่เรื่อยเลยไม่สามารถผูกเชือกใหม่ให้ดีอีกครั้งได้
ทำอย่างไรดีตรงที่ว่างหลังอาคารสนามกีฬา ฮาจุนนั่งบนกล่องพลาสติกที่ดูเหมือนจะจัดเก็บเพื่อนำไปรีไซเคิล เอาแต่มองปลายเท้าในภาวะตื่นตระหนกเล็กน้อย ตอนนั้นเองที่ใครบางคนพูดกับเขา
‘มาทำอะไรตรงนี้เหรอ’
ฮาจุนเงยหน้าขึ้นมา ตรงนั้นมีเด็กผู้ชายรูปหล่อรุ่นเดียวกันยืนอยู่ เขาคือเด็กคนนั้นที่มักจะฟังเพลงอยู่เสมอ หรือไม่ก็นอนหลับอย่างเดียว เด็กชายผู้มีอายุเท่ากันที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกเพียงคนเดียวในบรรดานักเรียนมัธยมต้น
เด็กชายผู้ที่แม้จะได้เข้าไปเป็นตัวแทนทีมชาติแล้ว แต่ถ้าหากบางทีอารมณ์เสียขึ้นมาก็โดดการฝึกซ้อมตามอำเภอใจ จนได้เห็นภาพโค้ชโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่หลายครั้ง
……………………………………………….