Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 7
ในขณะที่ฝ่ายตั้งรับไม่ทันได้ระวัง มูคยอมที่วิ่งจากหน้าประตูมาตรงกลางสนามก็เริ่มวิ่งไล่ตามลูกบอล ทุกครั้งที่มูคยอมก้าวขาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวกับม้า ก็เผยให้เห็นกล้ามเนื้อต้นขาภายใต้กางเกงขาสั้น
เงาดำเข้าปกคลุมเป็นแนวเฉียง เผยให้เห็นใบหน้ามุ่งมั่นที่ดูราวกับคนที่กำลังขุ่นเคือง และสายตาคมกริบราวกับกำลังจ้องมองเหยื่อ เมื่อลูกบอลเริ่มดิ่งลงสู่พื้น นักกีฬาในสนามทั้งหมดต่างก็เริ่มออกวิ่งทันที มูคยอมที่วิ่งจากกลางสนามมาถึงก่อนเป็นคนแรกและกระโดดขึ้นสูง ลูกบอลกระทบลงบนศีรษะของมูคยอมและถูกยิงเข้าประตูอย่างแรงจนตาข่ายประตูสั่นสะเทือน นอกจากทักษะการกระโดดอันยอดเยี่ยมแล้ว มูคยอมก็มีชื่อเสียงเรื่องความสามารถในการควบคุมร่างกายที่มีความสูงกว่า 190 เซนติเมตร
‘คิมมูคยอม คิมมูคยอม คิมมูคยอม!’
เสียงตะโกนดังไปทั่วสนามราวกับฟ้าผ่าจากการบุกทำประตูในตอนท้ายของเกมครึ่งแรก
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมูคยอมที่เคยเคร่งเครียดจนคล้ายกับโกรธ มูคยอมยกแขนและชูนิ้วชี้ขึ้นเพื่อเป็นการแสดงออกว่าทำประตูได้หนึ่งแต้มแล้วออกตัววิ่งไปตามที่นั่งฝั่งกองเชียร์ โดยมีนักกีฬาคนอื่นๆ ในทีมวิ่งไล่ตามหลังมา
มูคยอมยิ้มออกมาพร้อมเอามือจับกล้องที่กำลังถ่ายทอดสด ภาพที่เขากำลังทำนิ้วไขว้กันเป็นรูปหัวใจพร้อมขยิบตาสะท้อนออกมาจากจอ LED ขนาดใหญ่ เรียกเสียงเชียร์ให้ดังขึ้นไปอีก และตอนนั้นเองที่มูคยอมหยุดอยู่กับที่แล้วหันไปกอดกับนักกีฬาคนอื่นๆ ที่วิ่งตามมาทีหลัง หลังจากนั้นไม่นานก็มีการประกาศสิ้นสุดการแข่งขันในครึ่งแรก
“ยอดไปเลย! พอได้เห็นของจริงแล้วไวมากจริงๆ ครับ!”
“ฤดูกาลนี้ทีมเราคงจะได้ไปเวิลด์คัพแน่เลย ถ้าเกิดเราชนะขึ้นมาล่ะ”
เหล่านักกีฬาพูดคุยกันอย่างคึกคักภายในห้องพักในช่วงพักครึ่งหลังจบเกมครึ่งแรก แน่นอนว่าหัวข้อบทสนทนาคือเรื่องของคิมมูคยอม นักกีฬาตัวเต็งของทีมนั่นเอง แต่มูคยอมก็ปล่อยให้คนพวกนั้นพูดกันต่อไป และทำเพียงมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า คนคนนั้นใช้มือกดลงบนขาของเขา และไล่สายตาตามมือที่ใช้ตรวจดูบริเวณข้อเท้า กล้ามเนื้อน่องและต้นขา
“เหมือนจะหายแล้วนะ ไม่เจ็บแล้วใช่ไหม”
“อืม”
เป็นอีฮาจุนนั่นเอง โค้ชหน้าใหม่ไฟแรงกำลังคอยดูแลเหล่านักกีฬาอย่างไม่หยุดพักแม้กระทั่งช่วงพักครึ่งเวลา
เนื่องจากฮาจุนไม่ใช่แพทย์ประจำทีม การวินิจฉัยร่างกายโดยละเอียดราวกับเป็นทีมแพทย์จึงไม่ใช่หน้าที่ของเขา แต่จากที่ฮาจุนเฝ้าสังเกตสองสามวันมานี้ ดูเหมือนว่าการทำงานจะต้องมุ่งเน้นไปที่การทำความเข้าใจสภาพร่างกายของเหล่านักกีฬาในขณะนั้นแล้วรวบรวมเป็นข้อมูลเบื้องต้น
น่าขันที่ฮาจุนเพียงทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น แต่เมื่อมูคยอมเห็นมือขาวๆ แตะลงบนต้นขาและข้อเท้าของตนเอง เขากลับรู้สึกพึงพอใจอย่างน่าประหลาด หรือนี่จะเป็นผลลัพธ์ที่ได้จากการต่อกร
เคยบอกว่าจะใช้มือแตะแค่ตอนที่จำเป็น ทว่าหลังจากถูกมูคอยมพูดใส่ไป ท่าทางของฮาจุนก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกซ้อมแบบไหนฮาจุนก็ปรับปรุงท่าทีอย่างตั้งใจ และมักจะเอามือวางบนร่างกายของเขาเสมอ รวมถึงตอนที่ใช้มือตรวจดูกล้ามเนื้อด้วยเช่นกัน ที่ฮาจุนบอกว่าไม่จำเป็นจึงไม่ได้แตะนั้นดูท่าจะจริง มูคยอมไม่เคยพบสิ่งผิดปกติใดจากการคลำของอีกฝ่ายเลยสักครั้ง
เพียงแต่หลังจากวันนั้นฮาจุนกลับมีทำทีทางเฉยเมยยิ่งกว่าเดิม อาจเพราะไม่พอใจที่เขาไปตะโกนใส่ถึงห้องทำงาน แม้แต่ในตอนนี้ฮาจุนก็แค่ก้มมองที่ขา และเวลาคุยกันก็ไม่เงยหน้าขึ้นมามองมูคยอมเลยสักครั้ง
ดูเหมือนไม่ใช่คนใจแคบแท้ๆ
มูคยอมแค่นหัวเราะในลำคอ
“โค้ชอีครับ ต้นขาผมปวดนิดหน่อย”
“โอเค กำลังไป”
ถ้าปวดต้นขาก็เรียกทีมแพทย์สิ จะเรียกโค้ชไปทำไม มูคยอมบ่นอยู่ภายในใจ ฮาจุนลุกขึ้นยืนและเดินไปหานักกีฬาที่เรียกตนเอง เสียงบทสนทนาของทั้งคู่ดังมาถึงหูของมูคยอม
“เมื่อกี้โค้ชก็เห็นใช่ไหมครับ ท่าโหม่งทำประตูของพี่มูคยอม ไวมากจนคิดว่าหายตัวมา ผมตื่นเต้นจนแหกปากร้องออกมาอย่างกับเป็นคนทำประตูเอง”
“เห็นสิ อย่างนี้นายแค่ทำประตูเพิ่มในครึ่งหลังให้ได้ก็พอ เหมือนจะลงน้ำหนักกะทันหันกล้ามเนื้อก็เลยตึงนิดหน่อย ยังไงก็นวดประคบเย็นแล้วก็แปะเทปเผื่อไว้ก่อน ไปหาทีมแพทย์แล้วก็ขอให้เขาทำให้นะ”
“ครับ”
มูคยอมขมวดคิ้วหน่อยๆ ระหว่างฟังบทสนทนา อีกฝ่ายพูดด้วยความตื่นเต้นขนาดนั้น ก็ควรจะเห็นด้วยกับเขาแล้วตอบว่า ใช่ มันเจ๋งมาก สักคำไม่ใช่เหรอ แต่กลับตอบว่า ‘แค่นายทำประตูเพิ่มในครึ่งหลังให้ได้ก็พอ’ เนี่ยนะ ‘แล้วความรู้สึกที่เขาทำเฮดดิ้งโกลด์ได้ล่ะ’
หากมองโดยไม่มีอคติ ภาพการโหม่งทำประตูของเขาในการแข่งครึ่งแรกนั้นถือเป็นภาพที่เจ๋งพอและยากที่จะเกิดขึ้น ในเมื่อตอนนี้ฮาจุนก็สัมผัสร่างกายเขาตามสมควรแล้ว มูคยอมจึงไม่มีเหตุผลมาอ้างหาเรื่องชวนทะเลาะอีก แต่ถึงอย่างไรก็มีอีกหนึ่งถึงสองเรื่องที่เขาติดใจเกี่ยวกับฮาจุนอยู่ดี
เมื่อหารือเรื่องกลยุทธ์กับผู้จัดการทีม ดื่มน้ำ ตรวจสอบสภาพร่างกาย เปลี่ยนชุดที่ชุ่มเหงื่อเป็นตัวใหม่ และพักหายใจอยู่ครู่หนึ่ง พริบตาเดียวก็หมดพักครึ่งเวลา 15 นาที เหล่านักกีฬายืนเข้าแถวกันอีกครั้งเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ครึ่งเกมหลัง เสียงตะโกนเชียร์ดังขึ้นราวกับระลอกคลื่นที่ถาโถมเข้ามาทางปากอุโมงค์ตั้งแต่ก่อนที่นักกีฬาจะลงสู่สนาม
การแข่งขันรายการแรกคว้าชัยชนะมาด้วยคะแนน 3 ประตูต่อ 0 โดยมูคยอมเป็นผู้ทำประตูจากสองในสาม ในครึ่งเกมหลังมูคยอมทำประตูที่ควรค่าแก่การพูดถึงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกมเปิดตัวสนามแรกประสบความสำเร็จไปอย่างงดงาม
ทีมซิตี้โซลซึ่งมีกองหน้าตัวหลักที่แข็งแกร่งได้รับชัยชนะติดต่อกัน ‘เป็นประวัติการณ์’ ทำให้ลีกฟุตบอลของประเทศเกาหลีใต้กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงทั้งในประเทศและต่างประเทศ คำถามที่ว่านักเตะชาวเกาหลีใต้ทำคะแนนไปได้กี่ประตูในการแข่งขันเคลีกนั้นไม่เคยเป็นประเด็นร้อนของวงการฟุตบอล แต่เมื่อเป็นการทำประตูของมูคยอมแล้วย่อมแตกต่างออกไป
มูคยอมหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นขณะที่อ่านประโยคสุดท้ายในจดหมายที่ได้รับจากแฟนคลับซึ่งเป็นเด็กสาวชาวอังกฤษคนหนึ่งเขียนส่งมาผ่านตัวแทนเมื่อวานนี้
‘คิม ฉันคิดถึงคุณค่ะ รีบกลับมาที่กรีนฟอร์ดนะคะ ฉันรักคุณ จากเอมี่’
ช่วงนี้กรีนฟอร์ดซึ่งเป็นทีมต้นสังกัดของเขาทำคะแนนได้ไม่ดีนัก ซึ่งนั่นไม่ใช่เพราะขาดมูคยอมในทีม แต่เกี่ยวข้องกับผู้จัดการทีมคนใหม่ของฤดูกาลนี้กับนักกีฬาในทีมที่เข้ากันไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรในมุมมองของแฟนๆ เมื่อขาดผู้เล่นกองหน้าตัวหลักอย่างมูคยอมไปก็เหมือนจะคิดว่าทีมจะไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีก
‘ต้องกลับอยู่แล้ว ช่วยรออีกแค่หนึ่งฤดูกาล เมื่อโรยกลีบดอกไม้บนเส้นทางที่ลุงพัคจุนซองกำลังจะเดินไปเสร็จแล้ว เขาก็จะกลับไป’
มูคยอมคิดดังนั้นขณะที่นั่งอยู่บนม้านั่ง จุนซองเดินมานั่งข้างๆ และใช้มือสากตบไหล่มูคยอมเบาๆ มูคยอมหันไปสบตากับจุนซองและยิ้มให้เหมือนกับเด็กๆ โดยไม่ได้วางมาดอย่างเคย มีเพียงไม่กี่คนที่ได้เห็นเขาในมุมนั้น
“ทุกวันนี้ไม่ว่าไปที่ไหนฉันก็เชิดหน้าชูตาได้เพราะนายเลย”
“นับเป็นโชคดีของลุงเลยนะที่มีผมเป็นลูกศิษย์”
จุนซองหัวเราะพร้อมกับบอกว่ามูคยอมพูดถูกแล้ว แต่ถึงมูคยอมจะพูดอย่างนั้น เขาก็รู้สึกขอบคุณที่ได้พบกับลุงจุนซองอยู่เสมอ
“ฉันไม่คิดว่าจะถูกลอตเตอรี่ที่เคยลงทุนไปตอนนั้น” จุนซองพูดต่อด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิม
“แค่ลอตเตอรี่เองเหรอ อย่างผมต้องยูโรมิลเลียนส์สิ”
“ยูโรอะไรนะ?”
“คล้ายๆ ลอตเตอรี่นั่นแหละ ผมบอกลุงแล้วไงว่าหลังจากนี้ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น แค่ทำงานผู้จัดการทีมไปตามที่ต้องการ ยังไงผมจะเตรียมค่าใช้จ่ายหลังเกษียณให้เอง”
อยู่ๆ มูคยอมก็นึกถึงที่จองคยูเคยบ่นให้เขาไปแต่งงานและลงหลักปักฐานซะ
การแต่งงานคืออะไร เขาไม่รู้ว่าทำไมผู้คนบนโลกถึงเชิดชูการผูกมัดถาวรอย่างการแต่งงาน ความสัมพันธ์ที่จีรังที่สุดบนโลกที่เขารู้จักไม่ใช่ความสัมพันธ์ของคนรักแต่เป็นความสัมพันธ์ของผู้มีพระคุณ แม้เขาจะไม่รู้จักความรัก แต่แน่นอนว่าต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณ เพราะมีพัคจุนซองถึงมีคิมมูคยอมในวันนี้ เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นเขาก็ไม่รู้สึกเสียดายเวลากว่าหนึ่งปีของช่วงชีวิตอันยาวไกลนี้เลยแม้แต่น้อย
“ฉันได้หมดอยู่แล้ว ตอนแกอยู่ต่างประเทศฉันคงพูดห้ามอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้อยู่เกาหลีก็อย่าเที่ยวกลางคืนมากนัก ฉันทนเห็นสภาพแบบนั้นไม่ได้” แม้แต่จุนซองที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องของคนอื่นยังบ่นออกมากับความคิดอันน่าชื่นชมของมูคยอม
“เฮ้อ ทำไมแม้แต่ลุงก็พูดแบบนี้เนี่ย”
มูคยอมถอนหายใจขณะที่พิงศีรษะกับพนักม้านั่ง แล้วจุนซองก็พูดเรื่องเดิมๆ อย่างการลงหลักปักฐานและการแต่งงานขึ้นมา
“นี่ เห็นแกเป็นข่าวกับผู้หญิงคนใหม่อีกแล้ว จะทำตัวแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ฮึ ตอนนี้แกควรคิดถึงการได้คบกับคนดีๆ อย่างเปิดเผยและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้แล้ว”
“พูดแบบเดียวกับคิมจองคยูเป๊ะ ในความคิดผมเดี๋ยวถึงเวลาก็คงได้เจอคนดีๆ เองนั่นแหละ ส่วนตอนนี้ผมยังไม่คิดจะคบกับใคร แล้วก็ยังไม่คิดเรื่องแต่งงานด้วย ผมเคยบอกตั้งนานแล้วว่าผมไม่ต้องการครอบครัว”
จุนซองเผยอปากออกเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ใบหน้าขมขื่นปรากฏขึ้นมาชั่วครู่ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา
“มีจองคยูกับฮาจุนอยู่เป็นเพื่อนแล้วใช้ชีวิตสบายขึ้นใช่ไหมล่ะ ถึงยังไงคบกับคนรุ่นเดียวกันก็ดีที่สุดแล้ว สนิทกันเข้าไว้ละ”
“อืม เข้าใจแล้ว” มูคยอมตอบไปตามมารยาท เขาไม่รู้ว่าชีวิตสบายขึ้นเพราะจองคยูหรือไม่ แต่กับอีฮาจุนเขาไม่รู้สึกแบบนั้นสักนิด แต่ถึงยังไงตอนนี้เขาก็รู้สึกสบายใจที่ไม่มีอะไรมารบกวนจิตใจขณะออกกำลังกายอีก และไม่ว่าฮาจุนจะหลบหน้าเขาหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คิมมูคยอมต้องใส่ใจ
“ผมกลับไปซ้อมก่อนนะครับ”
“โอเค”
ลุงจุนซองตบหลังเขาเบาๆ มูคยอมรู้สึกเหมือนได้กลับไปตอนมัธยมต้นอีกครั้ง เขายิ้มมุมปากอย่างขบขัน และเดินไปที่กลางสนาม หากจองคยูกับลุงจุนซองไม่บ่นเขาเรื่องให้รีบหาแฟนและแต่งงานไปซะก็คงจะดี แต่เมื่อคิดว่ามันก็เป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนที่นี่มูคยอมจึงไม่ได้รู้สึกรำคาญใจขนาดนััน
***
เย็นวันนั้นพวกเขาตัดสินใจว่าจะไปกินเลี้ยงกันแบบง่ายๆ เพื่อฉลองชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของนัดแรกในฤดูกาล ทางสโมสรจองร้านอาหารขนาดใหญ่ไว้ทั้งร้านพร้อมจัดเตรียมอาหารไว้ให้อย่างเต็มที่เนื่องจากเป็นการกินเลี้ยงสำหรับเหล่านักกีฬาที่กินจุ
พนักงานเสิร์ฟต่างยุ่งอยู่กับการเดินเอาเนื้อหมูมาย่างให้ทันตามความต้องการของเหล่านักกีฬา ในระหว่างนั้นก็มีพนักงานเสิร์ฟผลัดกันเดินมาตรงโต๊ะที่มูคยอมนั่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และในบรรดาคนเหล่านั้นมีเหล่าพนักงานสูงวัยพูดกับมูคยอมอย่างเป็นมิตร
“นักกีฬาคิม ช่วยเซ็นลายเซ็นให้หน่อยได้หรือเปล่า พอดีลูกชายเป็นแฟนคลับน่ะ”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมเซ็นให้ก่อนกลับ”
“อย่าลืมนะ”
พอคนหนึ่งไป อีกคนหนึ่งก็มา มูคยอมตอบรับกลับไปตามมารยาทแล้วทานอาหารต่อ และในตอนท้ายเจ้าของร้านก็เดินมาขอถ่ายรูป
“นักกีฬาคิม ก่อนกลับช่วยถ่ายรูปในร้านกับพวกเราหนึ่งรูปได้ไหม”
“เซ็นลายเซ็นให้ได้ แต่ผมไม่สะดวกถ่ายรูปครับ”
แม้เจ้าของร้านจะอุทานออกมาอย่างรู้สึกเสียดาย แต่เพราะมูคยอมปฏิเสธออกมาอย่างชัดเจนเจ้าของร้านจึงตัดใจและเดินกลับไป
“ทำไมไม่ให้ถ่ายรูปล่ะ” จองคยูเอาหมูย่างห่อผักเข้าปากแล้วถามขึ้น
“ถ้าเขาเอาไปใช้โปรโมทร้านแบบไม่ขออนุญาตล่ะจะทำยังไง ไม่รู้หรือไงว่าซีดานเข้าไปอยู่ในรูปโปรโมทโรงพยาบาลประเทศเราโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย”
“เออ จริงด้วย” จองคยูหัวเราะคิกคักขณะที่กระดกโซจูเข้าปาก เขารินโซจูใส่แก้วเปล่าตรงหน้ามูคยอมแล้วก็ชนแก้วกัน ไม่มีใครเข้ามาขัดจังหวะพวกเขาตลอดการดื่มเหล้าและพูดคุยกันอย่างเงียบๆ
แม้ว่าภายในทีมจะมีนักกีฬาที่อยู่ในช่วงอายุสามสิบแต่อายุเฉลี่ยของนักกีฬาส่วนใหญ่ในทีมซิตี้โซลซึ่งเป็นทีมใหม่ก็ยังน้อยอยู่ดี นักกีฬาดาวรุ่งอย่างมูคยอมและกัปตันทีมอย่างจองคยูจึงได้รับการดูแลราวกับเป็นผู้อาวุโส
แม้มูคยอมจะตอบบ้างไม่ตอบบ้าง แต่จองคยูก็ยังคงพูดคุยอะไรไปเรื่อยเปื่อย แล้วจู่ๆ จองคยูก็พูดขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกได้
“จริงสิ จะว่าไปเราไปดื่มกับฮาจุนกันเถอะ หลังจากนี้คงหาเวลาว่างได้ยากแล้ว”
“ไปสิ” มูคยอมตอบอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเขาไม่มีความคิดที่จะเรียกฮาจุนซึ่งกำลังทานอาหารอยู่ที่โต๊ะอื่นเพราะหลบหน้าเขามาอยู่แล้ว ฮาจุนกำลังทานอาหารอยู่ที่โต๊ะอื่น
ระหว่างที่เขามองจองคยูที่กำลังเดินไปยังโต๊ะที่อยู่อีกด้านและพูดคุยกับฮาจุนโดยไม่ได้คิดอะไร ก็ต้องรู้สึกแปลกใจที่ฮาจุนลุกจากที่นั่ง เดินเข้ามาใกล้จนต้องดื่มเหล้าเข้าไปอึกหนึ่ง จองคยูก็กลับมานั่งที่พร้อมกับบ่นออกมา
“ทำไมการดื่มเหล้าของคนรุ่นเดียวกันสามคนมันถึงได้ลำบากขนาดนี้”
“นั่นสิ ดีนะมีกินเลี้ยงกันพอดี” ฮาจุนตอบจองคยูด้วยสีหน้ายิ้มแย้มขณะที่ถือแก้วเพื่อรับเหล้าที่จองคยูรินให้
‘เกินคาดแฮะ’
มูคยอมหรี่ตามองพิจารณาฮาจุนที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“กินเหล้ามาตั้งแต่อยู่โต๊ะนู้นเหรอ” เขาถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าขาวของฮาจุนขึ้นเลือดฝาดจางๆ ที่แก้ม ฮาจุนมองพร้อมกับทำหน้าสงสัยกับคำถามของมูคยอม และไม่นานก็ส่งยิ้มตาหยีมาให้
“นิดหน่อยน่ะ”
“เมาแล้วสินะ” มูคยอมมองฮาจุนที่ตอบมาดังนั้นแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
“วันดีๆ แบบนี้เมาแล้วจะเป็นไรไป ไม่เมาเหมือนหมาก็พอ มาชนกัน” จองคยูพูดขึ้นพร้อมกับเป็นผู้นำชนแก้วโซจูเสียงดังแกร๊ง จองคยูกับฮาจุนเริ่มพูดคุยกัน ขณะที่มูคยอมนั่งเแกว่งแก้วเหล้าช้าๆ โดยไม่พูดอะไร
“เอ้อ ฮาจุน รู้เรื่องที่ดงฮุนจะแต่งงานหรือยัง”
“อืม เคยโทรมาขอที่อยู่ส่งการ์ดอยู่”
“ฉันตกใจเลยตอนที่รู้ว่าคบกันได้สามเดือนก็จะแต่งงานกันแล้ว”
“ได้ยินว่าเจอกันผ่านการนัดบอดนะ คงเป็นพรหมลิขิตนั่นแหละ”
มูคยอมมองฮาจุนที่กำลังพูดคุยอย่างสุขุมอยู่ตรงหน้าตนเองด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ พอเหล้าเข้าปากก็ดูเหมือนว่าคนที่คอยวิ่งวุ่นหลบหน้าและไม่ยอมสบตาเขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ต่อหน้าเขาก็แทบจะไม่ค่อยยิ้มแย้ม แทบจะไม่พูดคุย ไม่ใช่ว่ายิ่งดื่มแล้วจะยิ่งเกลียดขี้หน้าคนที่เกลียดอยู่แล้วเข้าไปใหญ่เหรอ หรืออาจจะรู้สึกอยากฟาดเขาสักที
และดูเหมือนว่าเรื่องที่เขาไม่ยอมคบใครเป็นตัวเป็นตนจะทำให้นักเทศน์ด้านการลงหลักปักฐานอย่างจองคยูกังวลว่าเขาจะไปทำให้คนอื่นคิดที่จะไม่มีแฟนเหมือนกับตัวเอง จึงได้ถามคำถามอันแสนน่าเบื่อนี้กับฮาจุน
“แล้วนายไม่แต่งงานเหรอ”
ฮาจุนทำเพียงหัวเราะเบาๆ ราวกับว่ามันเป็นคำถามไร้สาระ
“ทำไมอยู่ๆ ก็ถามเรื่องแต่งงานล่ะ ควรถามก่อนไม่ใช่เหรอว่าคบกับใครอยู่หรือเปล่า”
“เฮ้ รู้ว่ามีไงก็เลยไม่ถาม บอกมาเถอะน่า”
“ฉันไม่ได้คบใครจริงๆ”
“นายกับมูคยอมนี่แปลกชะมัด ทั้งที่มีผู้หญิงมาชอบเยอะมากแท้ๆ ไม่ลองหาเนื้อคู่จากในนั้นดูล่ะ”
……………………………………….