Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 76
ท้องฟ้าที่เคยปลอดโปร่งในตอนเช้ากลับค่อยๆ มืดครึ้มลงเป็นสีเทาตั้งแต่บ่าย และเมื่อใกล้จะถึงตอนที่การฝึกเช้าเสร็จสิ้น จู่ๆ สายฝนก็สาดกระหน่ำ การฝึกเสร็จสิ้นลงเร็วกว่าปกติประมาณสิบนาทีเพราะฝนที่เทลงมาอย่างกะทันหัน พวกนักกีฬามุ่งหน้าไปยังห้องล็อกเกอร์อย่างไม่รีบร้อน เพราะอย่างไรตัวก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อกันอยู่แล้ว
ภายในหัวของมูคยอมสับสนวุ่นวายมาตั้งแต่เช้า อีกทั้งยังรู้สึกเหมือนจับไข้ขึ้นทีละนิด เขารู้สึกอยากตากฝนให้ชุ่มฉ่ำขึ้นมาจึงไม่เข้าร่มในทันที แล้วเดินเตร่ไปมาอย่างเปล่าประโยชน์บนสนามหญ้าเปียกแฉะที่เป็นสีเขียวเข้ม จากนั้นก็เตะลูกฟุตบอลที่เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นเพราะยังไม่ได้เก็บเข้าที่อย่างแรง ลูกบอลเหนือพื้นหญ้าเปียกลอยไปตกลงในโกลอย่างหนักอึ้ง
มูคยอมมองลูกบอลที่หยุดนิ่งอยู่ไกลๆ แล้วหมุนตัวไปเพราะรู้สึกว่าจะอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ เขากำลังจะเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ แต่แล้วจู่ๆ ทางเดินที่เชื่อมต่อตัวตึกไปยังลานจอดรถก็เข้ามาสู่สายตา สายฝนสีขาวมัวสาดกระหน่ำบดบังภาพด้านหน้าราวกับผ้าใบกึ่งโปร่งแสง ทำให้รู้สึกราวกับมองเห็นภาพของชายหนุ่มที่เคยยืนอยู่ตรงทางเดินนั้น ปรากฏให้เห็นตรงหน้าในตอนนี้
วิธีการพูดซึ่งเริ่มต้นราวกับลังเลแต่ตอนสุดท้ายกลับหนักแน่น และน้ำเสียงที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำ ลอยคว้างขึ้นมาราวกับน้ำมันที่แยกตัวออกจากน้ำ
‘ฉันส่งบอลให้ไหม’
มูคยอมกัดฟันแน่น รู้สึกได้ว่าสถานการณ์ถูกดูดเข้าไปในขอบเขตที่ไม่สามารถต้านทานได้ทีละนิด ราวกับน้ำที่ไหลทะลักลงไปในท่อระบาย ต่อให้บอกว่าฮาจุนจะกลับมาในอีกสิบวัน แต่เขาจะพึงพอใจกับการมองดูอยู่ไกลๆ พร้อมกับจัดการความรู้สึกตามที่วางแผนไว้ได้จริงเหรอ
ระยะเวลาสองสัปดาห์เมื่อตอนออกทัวร์กับสิบวันในตอนนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตอนนั้นคือช่วงสองสัปดาห์ก่อนที่อีฮาจุนจะบอกชอบเขา เป็นสองสัปดาห์ที่มูคยอมอดกลั้นพร้อมกับคิดว่าจะไปกอดอีกฝ่ายทันทีที่กลับไป เป็นสองสัปดาห์ที่เขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับฮาจุนยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก
อิมจองคยูเคยตั้งใจจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับฮาจุนให้ฟังแล้ว ทว่ามูคยอมไม่อยากฟังเรื่องน่าเวทนาในตอนนั้นจึงลุกออกจากที่ไป
เขายอมรับ ว่าตนเองจงใจหลีกเลี่ยงการรับรู้เรื่องของอีฮาจุน เพราะรู้สึกว่าถ้ายิ่งรู้มากก็ยิ่งผจญอยู่กับสภาวะอารมณ์ที่ไม่ดี
พอได้ทอดสายตามองที่ว่างเปล่าของอีกฝ่าย ที่ไหนสักที่ในร่างกายก็เกิดรอยโหว่ขนาดเท่าตัวอีฮาจุน โดยไม่รู้ว่าเป็นในหัวหรือในหัวใจ เมื่อเกิดความวูบโหวงขึ้นอย่างฉับพลันในจุดที่มองไม่เห็น ประสาทสัมผัสก็สูญเสียความสมดุลพาลทำให้ตัวซวนเซ อาการวิงเวียนศีรษะราวกับเมาเรือก่อตัวขึ้นและทำให้ท้องไส้รู้สึกพะอืดพะอม
‘เป็นเรื่องใหญ่แล้วสิ อาการค่อยๆ แย่ลง หากเป็นแบบนี้คงไม่สามารถรักษาสภาพร่างกายของตัวเองให้คงที่ไว้ได้แน่
ถ้าอย่างนั้นจะต้องทำยังไงล่ะ
ทำยังไงถึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทั้งตัวเขาและอีฮาจุน’
ถึงแม้ว่าจะลองหว่านแหไปหลายครั้ง แต่สิ่งที่ได้มีเพียงคลื่นน้ำว่างเปล่ากระเพื่อมอยู่เหนือผิวน้ำ เฉกเช่นเดียวกับคำตอบที่ไม่ได้รับกลับมา
***
ชายหนุ่มเอาสมุดกับปากกาออกมาจากกระเป๋า เขาคล้องนกหวีดไว้ที่คอแล้วย่างเท้าออกไปหลังสูดหายใจเข้าลึก เขาเดินมุ่งไปทางประตูแล้วมองดูใบหน้าที่สะท้อนกับกระจกติดผนังแวบหนึ่ง ใบหน้าที่สะท้อนให้เห็นจากด้านตรงข้าม ตอนนี้ดูเข้มแข็งกว่าที่คิด แต่ก็ยังอยากลบจุดบกพร่องสุดท้ายทิ้งไปให้หมด
เขาปรับสีหน้าแล้วเปิดประตูออฟฟิศออกกว้าง จากนั้นก็เดินไปตามทางเดินอย่างไม่ลังเล ชายหนุ่มเปิดประตูตึกแล้วก้าวออกไปด้านนอก แสงแดดสว่างจ้าสาดส่องเข้ามาต้อนรับเขาราวกับทักทาย
“อ๊ะ โค้ช!”
ทันทีที่เปิดประตูออก นักกีฬาที่ผ่านมาแถวนั้นก็เรียกเขาพอดี
“สวัสดี ฝึกกันโอเคดีหรือเปล่า”
“ครับ แน่นอนสิครับ โค้ชไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหมครับ”
“อื้อ หยุดพักไปนิดหน่อยเพราะเรื่องที่บ้านน่ะ”
ฮาจุนตอบแบบรวบรัดพร้อมกับเดินไปตรงกลางสนามฝึก พวกนักกีฬาที่เห็นเขาต่างกล่าวทักทายอย่างไม่เก็บอาการ
ฮาจุนขบคิดเรื่องต่างๆ อย่างหนักในช่วงพักร้อนที่ได้รับมาโดยไม่คาดคิด และบทสรุปคือเขาตัดสินใจจะผัดผ่อนเรื่องย้ายทีมออกไปก่อน
หลังจากได้ฟังคำพูดดูแคลนจากมูคยอมและจบความสัมพันธ์กัน ความรู้สึกต่างๆ ก็ถาโถมเข้ามา จึงตัดสินใจว่าจะไปจากที่นี่ และยื่นหนังสือลาออก ก่อนที่ความรู้สึกมุ่งมั่นจะลดน้อยลง แต่หลังจากที่หนังสือลาออกถูกตีกลับ พอฮาจุนค่อยๆ กลับมาใจเย็นลงอีกครั้งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องจากที่นี่ไปด้วย เลยให้เหตุผลกับตัวเองว่าถือว่าไปเที่ยวกับครอบครัว ไปที่ที่มีวิวชายหาดและรสชาติหวานซาบซ่านของพิน่าโคลาดาแทน มีคำพูดที่ว่า ‘หากพระไม่ชอบวัด พระก็ต้องออกไป’ เพราะอย่างนั้นถ้าหากว่าฝ่ายหนึ่งต้องจากไป ก็ต้องเป็นฝ่ายที่ไม่อยากจะเห็นขี้หน้าเขาจนทนไม่ไหวเป็นฝ่ายจากไปสิถึงจะถูก
บ่าของมูคยอมแบกภาระค่ามัดจำก้อนใหญ่และความคาดหวังของผู้คนมากมายเอาไว้ จึงน่าจะไม่สามารถเปลี่ยนสังกัดได้ง่ายดายขนาดนั้น แต่คนธรรมดาสามัญอย่างเขาซึ่งถูกเข้าใจผิดว่าทำเรื่องผิดศีลธรรมและถึงกับต้องฟังคำพูดที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรอง จำเป็นจะต้องเห็นใจในความยุ่งยากที่จะตามมาเป็นลำดับของคนดังระดับโลกด้วยเหรอ
สำหรับฮาจุนซึ่งยังไม่มีประสบการณ์ในฐานะโค้ชยาวนานขนาดนั้น ซิตี้โซลเป็นที่ทำงานชั้นดีจนไม่สามารถหาทีมที่ดีไปกว่านี้ได้ อาจจะมีทีมที่เหมาะกับนิสัยและสถานการณ์มากกว่านี้ แต่หากมองดูโดยปราศจากความรู้สึกส่วนตัวและเอาคุณลักษณะของอีฮาจุนในปัจจุบันเป็นพื้นฐาน อย่างน้อยจะบอกว่าไม่มีทีมไหนในประเทศที่พอจะประดับประดาเส้นทางสายอาชีพโค้ชได้เกินกว่านี้ก็ย่อมได้ ในมุมมองของคนที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ยังไม่ถึงหนึ่งปีดี การลาออกจากงานไม่ใช่ตัวเลือกที่ฉลาดสักเท่าไร อีกอย่าง ถ้าลาออกจากงาน คนที่เดือนร้อนไม่ใช่มูคยอม แต่เป็นมนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งเข้าวงการมาใหม่ๆ แบบอีฮาจุนต่างหาก
‘เรื่อง’ไรล่ะ’
ถ้าให้พูดย่อๆ ก็สรุปได้ในสามพยางค์ตามนั้น ฮาจุนตัดสินใจด้วยความรู้สึกใกล้เคียงกับคำว่าไม่ยุติธรรมนิดหน่อย แล้วกลับมาในตำแหน่งโค้ชของซิตี้โซล
แน่นอนว่าคงจะลำบากเล็กน้อยหากได้เผชิญหน้ากับมูคยอม แต่ฮาจุนก็คิดจะรับฟังคำขอสุดท้ายของอีกฝ่ายอย่างจริงใจ คำขอที่ว่าอย่ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ อีก เขาไม่ได้ร่วมการโค้ชมูคยอมด้วยตัวเองมาสักพักหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเลี่ยงที่จะเจอกันอย่างเหมาะสมและรักษามารยาทขั้นต่ำที่สุดเอาไว้ ช่วงเวลาประมาณสองเดือนที่เหลือจากนี้ไปก็น่าจะไม่เป็นปัญหาใหญ่นัก
เมื่อตัดสินใจแล้ว เขาจึงวางแผนว่าจะไม่ใช้วันหยุดสิบวันทั้งหมดที่ถูกมอบให้ แล้วกลับมาทำงานเร็วขึ้น เพราะไม่มีเหตุผลให้ดึงดันหยุดพักต่อไป หลังจากเรียบเรียงความคิดในระหว่างไปเที่ยวสี่วันสามคืนกับครอบครัวซึ่งไม่ได้ไปมานานแล้ว ฮาจุนก็กลับมาหาทีมในเวลาห้าวัน
“ฮาจุน มาแล้วเหรอ”
จองคยู กัปตันทีมและผู้รักษาประตูเดินเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้ายินดี ดวงตาของจองคยูอันแน่นไปด้วยเรื่องที่อยากถาม แต่ก็ไม่ได้ถามเรื่องโน้นเรื่องนี้ออกมาเป็นพิเศษ ฮาจุนหัวเราะออกมาเพราะเห็นกับตาอย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายอดทนไม่ถามแม้จะอยากรู้อยากเห็นมากก็ตาม
“ใช่ สบายดีไหม”
“นายน่ะ ตัดสินใจว่าจะไม่เปลี่ยนทีมใช่ไหม?”
แน่นอนว่านักกีฬาคนอื่นนอกเหนือจากจองคยูไม่รู้เรื่องที่ฮาจุนตั้งใจจะลาออกเลยแม้แต่น้อย ฮาจุนยิ้มพลางพยักหน้า
“พอดีว่ามีเรื่องจะต้องไตร่ตรองดูสักหน่อยน่ะ แต่ตอนนี้จัดการเรียบร้อย ได้ไปเที่ยวกับครอบครัวหลังจากที่ไม่ได้ไปมานานด้วย”
“นานๆ ครั้งได้รับวันหยุดพักร้อนก็ต้องไปที่ดีๆ คนเดียวสิ ทำไมยังตัวติดกับครอบครัวอยู่อีกล่ะ”
“ไม่หรอก ฉันอยากทำแบบนั้นด้วยแหละ”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ครอบครัวคือสถานที่หลบภัยลำดับหนึ่งซึ่งเขาไปหาในเวลาทุกข์ยาก ฮาจุนเคยเหนื่อยมามากเพราะภาระนั้น แต่ก็มีหลายช่วงเวลาที่คงจะทนไม่ไหวหากไม่มีพวกเขาเหมือนกัน
น้องๆ ในวัยมัธยมหกน่าจะไม่ชอบใจข้อเสนอให้ไปเที่ยวกันอย่างกะทันหันสักเท่าไร แต่ทั้งสองกลับเออออตามอย่างดีอกดีใจ ช่วงเวลาที่ได้ยืนยันความสำคัญของกันและกัน นานๆ ครั้งก็มีส่วนช่วยในตอนที่เขาเกือบจะจิตใจห่อเหี่ยวอย่างหนักได้มากทีเดียว ‘ฉันเองก็เป็นลูกชายและพี่ชายที่น่าภาคภูมิใจของที่บ้านเหมือนกัน’ ในเวลานั้น ความคิดอวดเก่งแบบนั้นก็โอบล้อมหัวใจของเขาไว้ราวกับผ้าพันแผล
ถึงแม้ว่าฮาจุนจะให้กำลังใจตัวเองในใจ แต่ดวงตากลับสอดส่องหาคนคนหนึ่งบนสนามหญ้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ต้องรู้ว่ามูคยอมอยู่ไหน เขาถึงจะหลบได้ไม่ใช่เหรอ ถ้าอีกฝ่ายอยู่ก็จะเห็นได้อย่างโดดเด่นในทันทีแม้ไม่อยากเห็นก็ตาม แต่เมื่อไม่เห็นร่างของชายหนุ่มคนนั้น ความสงสัยก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าโดยอัตโนมัติ แล้วจองคยูก็อธิบายก่อนที่เขาจะถามออกมาเสียอีก
“ช่วงนี้คิมมูคยอมอาการไม่ดีก็เลยให้ออกมาสายหน่อยน่ะ ผู้จัดการทีมสั่งว่าแบบนั้น”
“อะไรนะ ทำไมล่ะ ป่วยตรงไหนหรือเปล่า”
คำถามรัวออกมาโดยอัตโนมัติ จองคยูส่ายหน้าราวกับลำบากใจ
“ฉันก็เป็นห่วงเลยไปตรวจที่โรงพยาบาลด้วยกัน แต่หมอบอกว่าไม่มีความผิดปกติอะไร”
“โรงพยาบาลเหรอ อาการไม่ดีมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อย่างแรกเลยก็คือกินอาหารอย่างเหมาะสมไม่ได้ เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันเห็นหมอนั่นกินข้าวไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ เรื่องนอนหลับน่ะ หมอจ่ายยาให้แล้วเลยหมดห่วงไปได้เปลาะหนึ่ง แต่เรื่องกินไม่ได้นี่มันทำอะไรไม่ได้เลยไง ฉีดยาก็แล้ว ตอนนี้ก็แบ่งกินทีละนิดอยู่ แต่ถ้าจะให้คนตัวเท่านั้นทนไหว ทำแค่นั้นมันช่วยไม่ได้หรอกใช่ไหมล่ะ”
“หมายความว่ายังไง ถ้านอนไม่หลับ กินไม่ได้ จะออกกำลังกายได้ยังไงเล่า”
“มีอีกนะ ไข้ขึ้นอยู่ตลอด ไม่ได้ขึ้นสูงแต่ก็เป็นไข้อ่อนๆ ติดต่อกัน เพราะอย่างนั้นก็เลยออกแรงไม่ไหว”
“ไม่ได้เป็นไข้หวัดนี่?”
“ก็นั่นน่ะสิ แต่หมอบอกว่าร่างกายไม่มีอะไรผิดปกติเลย แต่ก็นะ อาการบ้าอะไรอย่างกับตอนคุณยอนซูท้องเลย แต่ผลตรวจฮอร์โมนก็บอกว่าไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกัน”
ฮาจุนเฝ้ามองเขามาเป็นระยะเวลาเกือบสิบปี แต่ไม่เคยเห็นสภาพย่อยยับจนฝึกไม่ไหวทั้งที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยสักครั้งเดียว
ฮาจุนหายไปจากหน้าตามที่อีกฝ่ายต้องการ เพราะฉะนั้นในช่วงที่ผ่านมาก็น่าจะวิ่งว่อนไปมาได้ยิ่งกว่าเดิมแล้วสิ แต่ทำไมกัน คำตอบที่ไม่คาดคิดทำให้กำแพงภายในใจที่ฮาจุนก่อไว้อย่างมั่นคงทำท่าจะสั่นคลอน
“ตั้งแต่ใช้ชีวิตมาก็เพิ่งจะเห็นคิมมูคยอมเป็นแบบนั้นครั้งแรกนี่แหละ ช่วงไม่กี่วันมานี้ก็เลยฝึกซ้อมแค่ช่วงบ่าย…”
จองคยูพูดแบบนั้น แต่แล้วก็เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับมองไปทางด้านหลังของฮาจุน จองคยูปริปากพูดขึ้นก่อนที่เขาจะทันได้หันไปมอง
“คิมมูคยอม ตัดสินใจว่าจะฝึกเช้าตั้งแต่วันนี้เหรอ”
คำพูดของจองคยูทำให้ไหล่ของฮาจุนเกร็งทื่อ ยังไม่ได้ยืนยันกับตาแต่ก็รู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของอีกคนซึ่งเดินเข้ามาใกล้จากทางด้านหลัง ความรู้สึกนั้นขยายใหญ่ขึ้นเทียมหน้าผาสูงแล้วกดทับลงมาบนตัวฮาจุนอย่างฉับพลัน
‘ทำไมฉันต้องออกไปด้วยล่ะ ถ้ามีใครสักคนต้องออกไปก็ไม่ใช่ฉันแต่เป็นคิมมูคยอมต่างหาก ฉันจะยังอยู่ในทีมนี้’
ฮาจุนรู้สึกราวกับว่า คำพูดที่เคยใช้เตือนสติและให้กำลังใจตัวเองจนถึงเมื่อวานนี้ ล้วนเป็นความอวดเก่งเพราะหลงลืมสภาพความเป็นจริงไป เขารีบปั้นยิ้มพร้อมกับจัดที่จัดทาง
“จองคยู ถ้างั้นฉันจะไปทักทายพวกโค้ชสักหน่อยนะ”
“อืม ได้สิ ไว้เจอกัน”
ฮาจุนกล่าวขอตัวอย่างรวดเร็วแล้วรีบหลบออกไปจากตรงนั้น เขาไม่กล้าแม้แต่จะหันไปด้วยซ้ำ พอแยกตัวออกมาได้ไกลแล้วถึงเหลือบมองและพิจารณามูคยอมซึ่งยืนอยู่ข้างจองคยู รู้สึกราวกับได้ย้อนกลับไปสมัยเด็กที่เข้าหาอีกฝ่ายเพราะอยากคุยด้วยเป็นครั้งแรก กลับไปตอนที่ได้ลอบสังเกตทั้งสองซึ่งกำลังพูดคุยกันอย่างลับๆ
คำว่าอาการไม่ดีคงไม่ใช่เรื่องโกหก ใต้ตาทั้งสองข้างดำคล้ำและใบหน้าซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด ฮาจุนโล่งใจเพราะบอกว่าร่างกายไม่มีอะไรผิดปกติ แต่บอกว่าไม่ป่วยตรงไหนแท้ๆ ทำไมสภาพถึงเป็นแบบนั้นได้
ก่อนที่จะมีเรื่องแบบนั้นกับเขา มูคยอมก็เคยออกมาฝึกโดยทำสีหน้าไม่ดี จนทำให้ทั้งทีมไม่เข้าขากันราวกับเว้นระยะห่าง จนเขาถามออกไปโดยอัตโนมัติว่าป่วยตรงไหนหรือเปล่า แม้แต่ตอนนั้น สภาพร่างกายของมูคยอมก็ยังเป็นปกติดี ทำให้ทุกคนเขาเป็นกังวลกันอย่างสุดขีดแต่แล้วก็รู้สึกเหมือนโดนหลอกเพราะเจ้าตัวทำคะแนนได้ถึงห้าประตู เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ไม่เท่าไรเอง
การตกต่ำของสภาพจิตใจ ถ้าหาสาเหตุได้ก็จะแก้ปัญหาได้ แต่การทรุดโทรมของสภาพร่างกายนั้นเป็นปัญหาที่แตกต่างออกไป ยิ่งไปกว่านั้น ถึงขนาดรับการตรวจที่โรงพยาบาลมาแล้วแต่กลับบอกว่าไม่พบความผิดปกติอะไรอีก เรื่องนี้สมควรที่ต้องกังวล เพราะไม่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองจะเป็นอย่างไร แต่ตนเป็นโค้ชของทีมนี้ อีกทั้งเรื่องที่ว่ามูคยอมเป็นตัวทำคะแนนของทีมก็ไม่เปลี่ยนแปลง
ฮาจุนเข้าไปรวมกลุ่มพูดคุยกับพวกนักกีฬา แต่แล้วนักกีฬาคนหนึ่งก็มองไปทางด้านหลังของฮาจุนพร้อมแสดงสีหน้ายินดี
“พี่มูคยอม ตอนนี้ดีขึ้นบ้างแล้วเหรอครับ”
‘…ถ้าบอกว่าอย่าป้วนเปี้ยนใกล้ๆ ตัวเขาเองก็ต้องพยายามที่จะเลี่ยงออกไปสักหน่อยไหมนะ’
ฮาจุนถอนหายใจแล้วกล่าวขอตัวกับพวกนักกีฬาพลางเดินออกจากตรงนั้นอีกครั้ง พวกโค้ชมองฮาจุนแล้วเป็นฝ่ายยกมือขึ้นเพื่อทักทายเขาก่อน
“โค้ชอี เรื่องที่บ้านเรียบร้อยดีแล้วเหรอ”
“ครับ เพราะทุกคนเลย ขอโทษที่หยุดพักอยู่คนเดียวนะครับ ช่วงที่ผ่านมาไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหมครับ”
“มีสิ สภาพร่างกายคิมมูคยอมไม่ดี ทุกคนก็เลยกังวลกันหมด”
“ผมได้ยินมาแล้วล่ะครับ จู่ๆ ร่างกายแย่ลงได้ยังไง”
“โอ๊ะ มาทางนั้นพอดีเลย”
ฮาจุนสะดุ้งโหยงแล้วเตรียมที่จะก้าวเท้าหนีอีกครั้ง ในขณะที่กำลังลังเลเพราะตอนนี้ไม่มีกลุ่มไหนให้เดินไปร่วมวงแล้ว ฮาจุนก็ได้ยินเสียงมาจากทางด้านหลัง
“โค้ชอี”
มูคยอมเรียกชื่อเขาออกมาชัดเจนมากเกินกว่าจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน อีกทั้งยังมีสายตาของคนอื่นมองมาอยู่ด้วย ฮาจุนจึงหันไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาเผชิญหน้ากับคิมมูคยอมแบบใกล้ๆ เป็นครั้งแรกของวัน ฮาจุนถามออกมาผ่านทางสายตาเพราะไม่สามารถพูดออกเสียงได้
‘ทำไมตามมาอยู่เรื่อยเลยล่ะ นายบอกว่าอย่ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ นี่?’
ทว่ามูคยอมก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทั้งที่ไม่มีทางที่จะไม่รู้ แล้วตอบกลับมาแบบไม่สัมพันธ์กันกับสิ่งที่เขาถามไปเลย
“ผมอยากคุยด้วยสักครู่ครับ”
มูคยอมทำตัวสุภาพอ่อนน้อมเพราะอยู่ต่อหน้าคนอื่น ฮาจุนเองก็ลบเลือนสีหน้ากล่าวโทษมูคยอมแล้วตอบกลับโดยทำเป็นไม่สนใจ
“…เรื่องอะไร ถ้าเรื่องฝึกซ้อมก็คุยกันตรงนี้”
“ไม่ใช่ครับ มีเรื่องที่อยากปรึกษาโค้ชน่ะครับ”
มูคยอมส่งสัญญาณบอกให้โค้ชคนอื่นๆ รีบไปพร้อมกับทำตัวน่าหงุดหงิดอยู่เงียบๆ พวกสตาฟต่างก็รู้ดีว่าฮาจุนได้รับความนิยมสูงในหมู่นักกีฬาจึงช่วยรับฟังเรื่องต่างๆ เป็นอย่างดี ในสถานการณ์ตอนนี้ที่มูคยอมอาการย่ำแย่ หากมีเรื่องไหนที่พอจะทำให้สภาพร่างกายของมูคยอมดีขึ้นเพียงแค่น้อยนิด พวกเขาก็พร้อมจะให้การสนับสนุนและต้อนรับด้วยความยินดี
เพิ่งบอกเขาว่าอย่ามาป้วนเปี้ยนไม่นานแต่จู่ๆ ท่าทางก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือนี่มันอะไรกันแน่ ฮาจุนรู้สึกไม่พอใจ แต่เพราะไม่สามารถยืนปักหลักอยู่ตรงนั้นได้ จึงก้าวเดินไปอย่างไร้ซึ่งทางหนี
ฮาจุนเดินนำหน้ามูคยอมพร้อมกับตัดสินใจว่าจะคิดว่าเป็นแบบนี้ดีกว่า อย่างไรซะ เขาก็ไม่มีทางหลบเลี่ยงเวลาที่จะอยู่ด้วยกันในทีมเดียวกันไปได้ทุกวินาทีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ต้องทำใจให้คุ้นชินเข้าไว้ บางทีมูคยอมเองก็อาจจะอยากกะประมาณเรื่องการวางตัวหลังจากนี้ให้แน่ใจเลยมาขอเวลาที่จะคุยกันตามลำพังก็ได้
ฮาจุนกระตุกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มเพียงครู่เดียวแล้วลบเลือนมันไป เป็นรอยยิ้มแบบที่ไม่ค่อยจะได้ยิ้มสักเท่าไรนัก ลองเลียนแบบมูคยอมแล้วบอกให้อีกฝ่ายถอดเสื้อผ้าทันทีที่เข้าไปในไหนสักที่บ้างดีไหมนะ ในเมื่ออีกฝ่ายถากถางว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองคน นอกจากเรื่องนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรให้คุยอยู่แล้ว