Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 77
ในระหว่างที่คิดเรื่อยเปื่อย ทั้งสองคนก็เข้ามาในตึก ฮาจุนลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะไปที่ไหนดี แต่แล้วก็เลือกออฟฟิศของโค้ชเป็นจุดหมายปลายทาง ดูจากที่พวกโค้ชทุกคนออกไปอยู่ข้างนอก ตอนนี้น่าจะไม่มีใครอยู่เลย แต่โดยพื้นฐานแล้วก็เป็นที่ที่คนเข้าออกเยอะพอสมควรเหมือนกัน ที่แบบนี้เหมาะกับการเป็นพื้นที่เงียบสงบให้ทั้งสองพูดคุยกันในตอนนี้ มากกว่าที่ลับตาคนซึ่งไม่มีใครเข้ามาจริงๆ
ฮาจุนเข้ามาด้านในออฟฟิศก่อน จากนั้นจึงหมุนตัวกลับไปถามทันทีที่เสียงปิดประตูดังขึ้น
“ทำไม”
มูคยอมเพียงแค่ยืนพิงประตูจ้องมองฮาจุนซึ่งยืนห่างไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวนิ่งๆ คงเพราะร่างกายไม่แข็งแรง สายตาของมูคยอมที่จับจ้องมาทางเขาถึงดูเหนื่อยล้านิดหน่อย ฮาจุนเองก็สบตาคู่นั้นกลับโดยไม่ได้พูดอะไร ถ้าเป็นไปได้ ฮาจุนก็อยากจะเบนสายตาหนี แต่เขารู้สึกได้ว่าการเป็นฝ่ายหลบตาก่อนที่นี่ หมายความว่าคำนึงถึงความสัมพันธ์ที่มีมาจนถึงก่อนหน้านี้ เขาจึงอดทนพร้อมกับส่งสายตาสู้
หากตอบโต้กันอย่างเยือกเย็นทางดวงตาก็ยังจะพอทนไหว แต่มือเปล่าๆ ซึ่งไม่ได้จับอะไรกลับทนความประหม่าไม่ไหวและเอาแต่กำๆ คลายๆ อย่างเชื่องช้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะที่กำลังทอดมองกันและกันโดยไม่ได้พูดอะไร ฮาจุนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาในใจ และสุดท้ายก็จำต้องยอมรับความจริงที่ตนเองไม่อยากยอมรับ
‘…ฉันยังชอบคิมมูคยอมอยู่สินะ’
ความเสียใจหรือความเดือดดาลเพราะถูกดูแคลน ความผิดหวังต่อคนที่ชื่อคิมมูคยอม ดูเหมือนว่าความรู้สึกพวกนั้นคงเป็นเพียงเศษเสี้ยวเดียว และไม่ใช่ประเภทของความรู้สึกที่จะสามารถลบเลือนจิตใจที่ชื่นชอบอีกคนลงได้
ฮาจุนพยายามปรับสีหน้าให้จริงจังขึ้นอีกหน่อยแล้วเร่งอีกฝ่าย
“ถ้ามีเรื่องจะพูดก็รีบพูดเร็ว นายบอกว่าอย่ามาป้วนเปี้ยนนี่ แล้วยังเหลือเรื่องอะไรอยู่อีกถึงต้องเรียกคนอื่นเขามาคุย”
“…ได้ข่าวว่านายยื่นใบลาออก”
ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้าง ถึงจะไม่แปลกอะไรถ้าเรื่องรู้ไปถึงจองคยูก็เถอะ แต่เขาไม่คิดเลยว่าเรื่องจะไปถึงหูของมูคยอม
แต่ก็นะ เดิมทีสองคนนี้ก็สนิทกันอยู่แล้ว ถึงจะไม่ได้สนิทกันแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะตกใจอะไรขนาดนั้น ผู้จัดการทีมมองมูคยอมพิเศษกว่าใคร เพราะฉะนั้นก็อาจจะปรึกษากันด้วยก็ได้
“ใช่ ฉันยื่นไป แล้วได้รับวันหยุดพักร้อนนอกเวลาก็เลยไปเที่ยวสั้นๆ มาด้วย เพราะทุกคนแท้ๆ เลย ขอบใจนะ”
“ทำไมคิดจะลาออกจากทีมล่ะ ประท้วงว่าจะลาออกเพราะฉันเหรอ”
“ฉันตั้งใจทำตามคำพูดของคิมมูคยอมคนเก่งนะ แล้วนายยังไม่พอใจอะไรอีก? โอเค คิดดูแล้ว ไอ้ฉันที่เป็นคนธรรมดาทั่วไปดูเหมือนว่าไม่จำเป็นจะต้องลาออกจากงานเพราะมัวแต่ทำตามคำขอของนายที่เป็นถึงคนดังระดับโลก ก็เลยรับใบลาออกกลับคืนมาน่ะ จะไม่มีเรื่องที่ทำให้นายไม่สบายใจแล้ว ทีนี้พอแล้วใช่ไหม”
“พอได้แล้ว ฉันไม่ได้เรียกมาคุยเรื่องพวกนี้”
หาเรื่องคนอื่นเขาตามอำเภอใจแล้วยังจะเป็นฝ่ายตัดบทก่อนอีก มูคยอมกำลังทอดสายตามองฮาจุนโดยจงใจทำสีหน้าจริงจัง
‘ตั้งใจจะพูดเรื่องน่ารังเกียจอะไรอีกนะ’ ฮาจุนเตรียมใจแล้วรอคอยคำพูดถัดไปของอีกฝ่าย
“ฉัน…”
“…”
“ขอโทษ”
จากนั้น คำพูดที่โพล่งออกมาปนกับเสียงถอนหายใจก็ทำให้ดวงตาของฮาจุนเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ทว่าในคำขอโทษกลับไม่มีคำที่บ่งบอกว่าหมายถึงเรื่องอะไร ฮาจุนจึงถามให้แน่ใจก่อนจะเดาสุ่มความหมายของมัน
“เรื่องอะไร”
“คำที่ฉันพูดกับนายที่บ้านฉันครั้งก่อน คำที่ฉันเคยพูดกับนายก่อนหน้านั้น รวมถึงการกระทำด้วย ทุกอย่างเลย ฉันเข้าใจผิดไป แล้วก็พล่ามไปเรื่อยทั้งที่คิดไปเอง แถมยังดื้อด้านอีก ฉันผิดเอง”
ช่วงเวลาอันไม่คาดฝันโถมเข้าใส่อย่างกะทันหันทำให้ฮาจุนกะพริบตาปริบๆ
คิมมูคยอมเป็นคนที่เลือกใช้คำพูดได้ร้ายกาจและเอาแต่ใจ แต่อย่างน้อยก็โชคดีที่ไม่ใช่คนใจแคบกับการสำนึกผิดและการกล่าวขอโทษ มูคยอมน่าจะขึ้นมาถึงตรงนี้ได้เพราะเป็นคนแบบนั้น แต่ครั้งนี้ฮาจุนไม่คิดเลยว่ามูคยอมจะยอมอ่อนให้ เพราะเขาเองก็ถากถางอีกฝ่ายไปด้วยเหมือนกัน
มูคยอมเคยสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ของเขาและแชฮุนตอนไปสนามฝึกซ้อมนอกสถานที่มาแล้ว ครั้งนี้คือครั้งที่สอง เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่ตกใจกับเรื่องนั้น แต่อีกฝ่ายก็ข้ามเส้นมาจริงๆ ไม่ใช่แค่ตัวเขาเอง แต่แชฮุน และแฟนคลับรุ่นเก่าที่ยังสนับสนุนเขาจนเขารู้สึกซาบซึ้ง รวมถึงกลุ่มโค้ชกับนักกีฬาในทีมซิตี้โซล ก็โดนเหมารวมเข้าไปในการระบายความโมโหของอีกฝ่าย มูคยอมด่าทอเขา อย่างกับเขาเป็นมนุษย์ที่สานสัมพันธ์อันไม่บริสุทธิ์ใจกับสมาชิกในทีมเพื่อที่จะรักษาตำแหน่งโค้ช
ต่อให้บอกว่าฮาจุนหลับนอนกับคนอื่นโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นนักกีฬาหรือโค้ชจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องอดทนฟังคำดูแคลนพวกนั้น เพราะคิมมูคยอมกับเขาเพียงแค่มีความสัมพันธ์แบบตกลงปลงใจกันว่าจะใช้เวลาตอนกลางคืนร่วมกัน อีกฝ่ายจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธเรื่องชีวิตส่วนตัวของเขา
แก้วที่แตกไปแล้ว ประกอบกลับคืนยังไงก็ไม่มีทางเป็นเหมือนเดิม เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว และความรู้สึกที่เสียไปก็ไม่อาจกู้คืนมาด้วยคำขอโทษเพียงไม่กี่คำ ถึงอย่างนั้น รับคำขอโทษไว้คงจะดีกว่าไม่รับ ฮาจุนจึงตอบกลับอย่างสงบนิ่ง
“ไม่เป็นไร”
เพราะชอบมานาน ความรู้สึกที่สงบเงียบและมหาศาลจนยากจะบรรยายออกมาด้วยคำเพียงคำสองคำอย่างเช่นผิดหวังหรือเงียบเหงา จึงกลืนกินตัวฮาจุนเอาไว้ ถ้าให้หาคำที่เหมาะสมจริงๆ ก็น่าจะใกล้เคียงกับคำว่าว่างเปล่าที่สุดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกของเขาที่มีให้คิมมูคยอมมันเกินกว่าความรักใสซื่อบริสุทธิ์ มันเป็นความรู้สึกซับซ้อนที่เชื่อมโยงกับหัวใจของวายร้ายที่ปรารถนาความเป็นอัจฉริยะ
เหตุผลที่ถึงกับดึงดันเรียกมาขอโทษ ก็เพื่อยกเลิกคำพูดที่บอกว่า ‘อย่ามาป้วนเปี้ยน’ ซึ่งอีกฝ่ายเคยพูดทำร้ายจิตใจเขาหรือเปล่า แต่ฮาจุนไม่ต้องการอยู่ข้างกายมูคยอมไปมากกว่านี้แล้ว
ถึงแม้จะมีบ้างเป็นบางครั้งที่ความรักข้างเดียวของเขาช่างเลือนรางและน่าเศร้าหมอง แต่เขาก็ไม่รู้สึกลำบาก สำหรับฮาจุนผู้แอบรักข้างเดียวมาเป็นสิบปี การรักษาตำแหน่งข้างกายของคนที่ตัวเองชอบไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม เป็นเรื่องที่ต้องสิ้นเปลืองกำลังตัวเองเกินกว่าที่เตรียมใจไว้ในตอนแรก ตอนนี้เขาไม่ปรารถนามันและอยากกลับไปในที่ที่ตัวเองควรอยู่
ถึงอย่างนั้น เขาก็ได้รับหลายสิ่งหลายอย่างมาในช่วงที่อยู่ข้างกายและใช้เวลายามค่ำคืนกับอีกฝ่าย ฮาจุนปล่อยความโกรธกับความเศร้าโศก และกำลังพยายามรวบรวมเพียงความทรงจำที่ดีมาเก็บรักษาไว้ เหมือนเก็บเปลือกหอยที่ถูกซัดสาดมาตามชายหาดหลังพายุพัดผ่านไป
“ขอบใจที่มาขอโทษนะ ฉันจะรับไว้ แต่จากนี้ไปก็เลี่ยงไม่ให้มีเรื่องที่จะทำให้ไม่สบายใจกันทั้งสองฝ่ายดีกว่า ตอนนี้เหลืออีกแค่ไม่กี่เดือนแล้วจนกว่าจะจบฤดูกาล ที่ผ่านมาการทำตัวสบายๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้นนี่”
“…”
“ฉันจะคิดว่านายพูดเรื่องพวกนั้นเพราะไม่พอใจก็เลยโกรธแล้วกัน ฉันก็จะลืมเรื่องที่นายพูดตอนนั้นไปซะ เพราะฉะนั้นนายเองก็อย่าเก็บไปใส่ใจเลย แล้วจากนี้ไปก็เจอกันแค่ที่สนามฝึก ในฐานะนักกีฬากับโค้ชทีมเดียวกันจริงๆ เถอะ”
เมื่อฮาจุนรับคำขอโทษอันไม่คาดคิดแล้วจบเรื่องโดยไม่เหลืออะไรติดค้าง ไม่รู้ทำไม ความรู้สึกสิ้นสุดซึ่งบ่งบอกว่า ‘จบ’ จริงๆ แล้วจึงทำให้รู้สึกทั้งดีและใจหาย ฮาจุนสะสางบทสนทนาเรียบร้อยแล้วจึงขยับมือส่งสัญญาณบอกให้มูคยอมหลบไป
แต่มูคยอมกลับไม่กระดิกตัวเลยแม้แต่น้อยและยืนอยู่ราวกับยามเฝ้าประตู ฮาจุนเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยพลางเร่งอีกฝ่าย
“ออกไปกันเถอะ ตอนนี้ใกล้จะเริ่มฝึกแล้ว”
คนใจร้อนดูเหมือนจะมีแค่ฮาจุนเพียงคนเดียว มูคยอมตอบกลับด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกไม่ต่างกับตอนแรก
“แค่นั้นเหรอ”
“อะไร”
“ฉันบอกว่าขอโทษไง แล้วจบแค่นั้นเหรอ”
“…ถ้างั้นต้องทำอะไรมากกว่านี้อีกล่ะ”
มูคยอมมองฮาจุนซึ่งทำสีหน้างงงวยขึ้นมาแล้วเอียงหัวไปด้านข้างเล็กน้อย
“เรื่องนั้นน่ะ บอกว่าจะลืมไม่ได้สิ”
“หมายความว่ายังไง?”
“ถ้านายตัดสินใจว่าจะลืมมันไปจริงๆ… นายก็กลับไปเป็นแบบตอนก่อนที่จะมีเรื่องแบบนั้นได้ด้วยไม่ใช่เหรอ”
หัวคิ้วของฮาจุนย่นเข้าหากันเล็กน้อย
“ก่อนที่จะมีเหรอ”
“ฉันจะไม่เข้าใจผิดแบบนั้นอีกแล้ว จะไม่เข้าไปยุ่งโดยไม่จำเป็นด้วย ฉันจะแก้ไขทุกอย่างเอง เพราะฉะนั้นกลับไปเป็นแบบเดิมกันเถอะ”
“…ฉันกับนาย เดิมทีเป็นโค้ชกับนักกีฬานี่ นั่นน่ะคือ ‘แบบเดิม’ ของเรา”
“อย่าพูดแบบนั้นสิ นายก็เข้าใจที่ฉันพูดไม่ใช่เหรอ”
“เฮ้อ” ฮาจุนถอนหายใจด้วยความทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วยกสองมือขึ้นลูบใบหน้าแรงๆ ราวกับล้างหน้าแบบไม่ใช้น้ำ เขาลูบขึ้นไปถึงเส้นผม หลังจากนั้นก็ประสานมือไว้หลวมๆ ตรงท้ายทอย จิตใจที่สงบลงได้อย่างยากลำบากหลังจากผ่านมาหลายวันมีความระส่ำระส่ายก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
เขาไม่อยากพูดคุยอยู่ที่นี่ต่อไปมากกว่านี้ แต่มูคยอมกลับเริ่มพูดเพิ่มเติมยาวกว่าครั้งอื่นๆ
“จะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นอีกครั้งแล้ว เรื่องที่ฉันเข้าใจผิดแล้วพูดจาดูถูกนายตามใจชอบ ฉันขอโทษจากใจจริง ที่ฉันเคยบอกว่านาย… ช่วยสนองให้พวกนักกีฬาพร้อมกับทำงานเป็นโค้ช ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆ ฉันเอาชนะความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ก็เลยพูดไม่คิดจริงๆ นั่นแหละ ขอโทษนะ”
“หรือว่าตอนนี้นาย กำลังหมายถึงว่านายไถ่โทษฉัน เพราะฉะนั้นก็ให้กลับไปเป็นคู่นอนกันอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ”
ไม่มีคำตอบย้อนกลับมาจากมูคยอม ฮาจุนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งเพราะความเงียบที่ตีความได้ว่าอีกฝ่ายยอมรับ จากนั้นไม่นาน ฮาจุนก็กัดเนื้อด้านในปาก
‘ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้กับฉันนะ’
ฮาจุนอดกลั้นความอยากกระชากปกเสื้ออีกคนมาซักถามเรื่องนั้นไว้อย่างยากเย็น เขากดโทสะที่ตีตื้นขึ้นเพื่อไม่ให้มีความเดือดดาลปนอยู่ในน้ำเสียงพลางฝืนยิ้ม
“ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ”
“ก่อนจะเกิดเรื่องนั้น ความสัมพันธ์ของฉันกับนายก็ไม่มีปัญหาอะไรเลยนี่ ถ้าลืมเรื่องนั้นแล้วปล่อยผ่านไป จะมีเหตุผลอะไรที่กลับไปเป็นแบบก่อนหน้านั้นไม่ได้อีก”
“การลืมและปล่อยผ่านไปหมายความว่าอย่ายกเรื่องนั้นมาพูดกันอีก ฉันใช้ชีวิตเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นจริงไม่ได้หรอกนะ เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้ว และคำพูดของนายก็ไม่ได้หายไปไหน”
การเริ่มต้นกับมูคยอมกลายเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้ตัวเอง เขาตระหนักถึงความจริงข้อนั้นได้ก่อนหน้านี้ที่สนามฝึกนอกสถานที่ การแกล้งทำตัวเหมือนมีความสัมพันธ์เพียงชั่วข้ามคืนอยู่บ่อยๆ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าตนเป็นภาระ ทำให้ภาพลักษณ์ของคนที่ชื่อว่าอีฮาจุนฝังลึกแบบนั้นในสายตาของคิมมูคยอม
ถึงแม้ว่าในสายตาอีกฝ่ายจะสะท้อนภาพว่าเขาเป็นคนที่หลับนอนกับนักกีฬาคนอื่นๆ เช่นเดียวกัน ทว่าฮาจุนก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่ยุติธรรม แต่การต่อว่าคนอื่นโดยอ้างว่าเข้าใจเรื่องนั้นผิดมันอีกปัญหาหนึ่งไม่ใช่เหรอ
‘ถึงอย่างนั้นก็มาจนตอนนี้แล้ว จะร้องไห้อ้อนวอนบอกความจริงกับคิมมูคยอมว่านายเป็นคนแรกของฉัน ในชีวิตของฉันมีแค่นายอีกเหรอ ทำไมล่ะ ป่านนี้แล้วยังจำเป็นต้องพูดเรื่องแบบนั้นด้วยหรือไงกัน เขาไม่ใช่คนผิดที่ต้องยืนยันความบริสุทธิ์สักหน่อย และเขาไม่คิดอยากทำตัวขี้ขลาดแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
ถ้าแสดงหลักฐานต่อหน้าชายหนุ่มที่บอกขอโทษ จากนั้นก็บอกให้กลับไปเป็นคู่นอนกัน แล้วอีกฝ่ายจะทำอะไรอีกล่ะ’
“ไหนๆ ก็พูดขึ้นมาแล้ว ฉันจะพูดแบบไม่อ้อมค้อมนะ การที่ฉันกับนายอยู่กันแค่สองคนแบบนี้ในตอนนี้ก็ทำให้ฉันอึดอัดใจแล้ว”
“…”
“กับคนที่แค่อยู่ด้วยกันก็ไม่สะดวกใจ แล้วจะทำเรื่องที่มากกว่านั้นด้วยวิธีไหนได้ ไม่ว่านายจะยังก็เถอะ แต่ฉันไม่เอาด้วย แล้วฉันก็ไม่อยากให้นายยกมาพูดกับฉันอีกเป็นครั้งที่สอง”
“ไม่เอาเหรอ”
“ใช่ ไม่เอา”
ฮาจุนปฏิเสธอย่างเฉียบขาดแล้วเดินไปทางประตู แต่มูคยอมก็ไม่คิดจะเบี่ยงตัวหลบ
“หลบไป ฉันจะออก”
“…ลองคิดดูอีกทีสิ โค้ชอี ฉันจะทำให้นายไม่รู้สึกเสียดายจริงๆ ที่ผ่านมานายก็รู้สึกไม่แย่นี่”
“ใช่ มันไม่แย่ แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกอยากมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับนาย”
“เฮ้อ” มูคยอมยกหัวที่พิงประตูขึ้นแล้วถอนหายใจออกมาสั้นๆ
“เข้าใจแล้ว แค่ขอโทษมันไม่พอสินะ ถ้างั้นต้องทำยังไง นายถึงจะอยากขึ้นมาอีกครั้งล่ะ”
‘ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่น่าจะอยากขึ้นมาอีกครั้งแล้ว ทำไมถึงทำตัวตื๊อไม่หยุดแบบนี้อย่างไม่สมกับเป็นคิมมูคยอมเลยนะ’
“ถ้ามีเรื่องที่นายต้องการ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ขอแค่บอกมา จนถึงตอนนี้ ฉันยังไม่เคยทำอะไรให้นายเลยใช่ไหมล่ะ เรื่องนั้นฉันก็พลาดเอง นายน่าจะมีหลายเรื่องที่ต้องใช้เงินเยอะเพราะครอบครัว ถ้าต้องการ ในส่วนนั้นฉันก็ช่วยได้นะ จะมากเท่าไรก็ได้”
‘เงินอย่างนั้นเหรอ’ ยิ่งพูดยาวไปก็ยิ่งไม่น่าฟัง ริมฝีปากของฮาจุนโค้งลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
คิดซะว่าเป็นเรื่องดีแล้วกัน พูดเรื่องที่จะได้ฟังในวันแรกและจะไม่ได้ฟังอีกออกมาให้หมด และถ้าฟังคำพูดพวกนั้นทั้งหมดแล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป คิมมูคยอมก็น่าจะปิดปากเงียบใช่ไหม
เขาไม่เคยจินตนาการเลยว่าวันที่เขาจะเป็นฝ่ายปฏิเสธคิมมูคยอมก่อนจะมาถึง เรื่องของคนเราไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้แม้แต่นิดเดียวเลยจริงๆ เป็นแบบนั้นเสมอเลย
“ถ้านอนเพราะต้องการให้ช่วยก็คุยกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
“…”
“คิมมูคยอม ฉันบอกเอาไว้นะ ตอนนี้ฉันจะไม่นอนกับนายแล้ว ไม่ว่านายจะทำอะไรยังไงก็ตาม จะไม่มีเรื่องที่ทำให้ฉันเปลี่ยนความคิด”
มูคยอมไม่ตอบอะไรอยู่พักหนึ่ง เขากดใบหน้าที่เคยเงยขึ้นเล็กน้อยลงมาให้มันตั้งตรงอย่างช้าๆ
“ถ้างั้นจะให้ทำยังไง”
ฮาจุนเบิกตากว้างให้กับน้ำเสียงอารมณ์เสียอย่างฉับพลัน บรรยากาศอ่อนแรงและเหนื่อยล้าที่ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของมูคยอมจนถึงเมื่อครู่นี้ เลือนหายไปโดยไม่ทั้นตั้งตัว ฮาจุนตัวแข็งทื่อไปโดยไม่รู้ตัวเพราะใบหน้าบึ้งตึงราวกับเจ็บปวด และแววตาที่เหมือนกับสัตว์ไร้ทางสู้
‘หมับ’ มือใหญ่คว้าลำคอด้านหลังแล้วดึงเข้าหาราวกับกระชาก ฮาจุนตกใจและตั้งใจจะสะบัดออก แต่มืออีกข้างของอีกฝ่ายกลับเกี่ยวเอวเขาดึงเข้าไป ทำให้ร่างกายใกล้ชิดจนแทบแนบสนิทกับตัวมูคยอม ฮาจุนยกมือขึ้นดันแผ่นอกของอีกคนออกพร้อมทั้งพยายามไม่ให้พูดเสียงดัง
“ปล่อย ถอยไปตรงโน้นเลย”
“ช่วงที่นายไม่อยู่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย นอนก็ไม่หลับ น้ำยังกลืนไม่ลงเท่าที่ควร อีกแค่ไม่กี่วันก็ถึงการแข่งแล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ถ้าไม่ใช่นายก็คงมีสภาพแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ยังไงเล่า!”
“เรื่องนั้นทำไมเป็นเพราะฉันล่ะ นายมีความสามารถดีนี่ คนที่อยากนอนกับนาย ปกติต่อแถวเรียงกันมาเลยไม่ใช่หรือไง เลือกสักคนจากพวกนั้นสิ เพราะตอนนี้ฉันไม่เอาแล้ว”
“หยุดพูดว่าไม่เอาสักที”
เสียงอันกลัดกลุ้มดังออกมาจากส่วนลึกในลำคอของมูคยอม ฮาจุนออกแรงใช้แขนผลักอีกฝ่ายออกไป
“บอกว่าให้ถอยไปไง”
“ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น จะไม่ทำอะไรเลย”
‘ถ้าที่ทำอยู่นี่คือไม่ทำอะไรเลย แล้วจะเรียกมันว่าอะไรเล่า เจ้าโง่!’
“เพราะฉะนั้นอยู่นิ่งๆ แค่แป๊บเดียวนะ”
ฮาจุนอยากตะโกนเสียงดังออกมาว่าให้ถอยไป แต่น้ำเสียงที่ฟังดูจนตรอกทำให้ฮาจุนกัดริมฝีปากแล้วทำเพียงเขม้นมองมูคยอมเท่านั้น
คงคิดว่าความเงียบคือการให้ความร่วมมือแบบไม่ได้พูดออกมา มูคยอมจึงฝังใบหน้าลงตรงลำคอของฮาจุนช้าๆ หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อปลายจมูกและริมฝีปากร้อนแห้งราวกับใบไม้แห้งเมื่อเทียบกับตอนปกติ สัมผัสลงบนผิว หลังของฮาจุนก็ขนลุกเกรียว
ในระหว่างที่กำหมัดแน่นและอดทน มูคยอมก็ไม่ได้ทำอะไรเขามากไปกว่านั้นตามที่พูดไว้ เพียงแค่แนบจมูกกับริมฝีปากลงตรงลำคอของฮาจุน แล้วสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เหมือนกำลังดมกลิ่นเท่านั้น
ทว่าทุกครั้งที่ลมหายใจร้อนรุ่มของอีกฝ่ายสัมผัสลงบนผิวอ่อนใต้คางจนรู้สึกจั๊กจี้ ภาพด้านหน้าก็พร่ามัว และลำตัวที่ถูกกักขังไว้ในอ้อมแขนของอีกฝ่ายก็ทำท่าจะสั่น จิตใจของฮาจุนแยกออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งรู้สึกโกรธและรู้สึกเหลวไหลกับข้อเสนอที่ไม่อยากจะเชื่อนั้น ส่วนอีกฝั่งหนึ่งกลับรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของตัวเขาเองซึ่งจมอยู่ในลมหายใจ อุณหภูมิร่างกาย และเรี่ยวแรงของแขนแข็งแกร่งที่ร่างกายของตนคุ้นเคย พร้อมทั้งยังรู้สึกผ่อนคลายราวกับได้กลับไปยังสถานที่ที่ควรต้องกลับไปหาอย่างแจ่มชัด ฮาจุนกัดฟันแน่นในปาก