Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 78
เพราะแบบนี้ คิมมูคยอมถึงคิดว่าเขาง่ายนัก มูคยอมเคยบอกว่ามีคนช่วยสนองให้ทันทีก็เลยสบายด้วยนี่นะ ติดใจคนที่ช่วยสนองให้ทันที ตอนนี้ก็เลยขี้เกียจหาคนอื่นแล้วหรือเปล่า
การแตะต้องตัวเขาซึ่งอยู่ข้างกันไม่ว่าที่ไหนเมื่อไร และแค่จับถอดเสื้อผ้าก็ทำได้แล้ว ย่อมสบายกว่าการไปตามหาคนอื่นที่ไหนสักที่แล้วต้องพยายามพูดคุยยั่วยวนกันและกันเท่านั้นถึงจะมีเซ็กส์ได้อยู่แล้ว ฮาจุนคิดว่าจะไม่มีเรื่องให้เขาต้องรู้สึกเสียใจกับการที่มูคยอมมองเขาแบบนั้นไปมากกว่านี้ แต่การทำให้คนอื่นโศกเศร้าก็มีอีกสารพัดวิธีเช่นกัน
ความรู้สึกละอายในตนเองไม่ได้มาจากคิมมูคยอมเพียงคนเดียว แต่ครึ่งหนึ่งก่อเกิดจากปฏิกิริยาตอบสนองของตัวเขาเอง ฮาจุนมั่นใจว่าตนเองรู้สึกเป็นห่วงอีกฝ่ายขึ้นมานิดหน่อย เพราะแต่ละส่วนที่สัมผัสลงบนผิวร้อนรุ่มกว่าอุณหภูมิที่มือกับริมฝีปากจดจำได้อย่างแม่นยำ จนดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไข้ขึ้นจริงๆ
สำหรับคิมมูคยอม เขาคงเป็นคนที่ง่ายจริงๆ นั่นแหละ เสียงหัวเราะอันไร้กำลังดังออกมาโดยไม่รู้ตัว เพราะเสียงหัวเราะนั้น ตอนนั้นมูคยอมถึงได้เงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า
“…หัวเราะทำไม”
ฮาจุนหัวเราะอย่างขมขื่นออกมาอีกครั้งแล้วตอบกลับ
“ถ้างั้นร้องไห้ดีไหม สถานการณ์นี้มันตลกสำหรับฉันนะ”
“เรื่องที่ฉันพูดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น”
“ฉันรู้ เพราะแบบนั้นถึงยิ่งน่าขำไง”
ในขณะที่มูคยอมเงยหน้าขึ้น ฮาจุนจึงใช้แขนดันอีกฝ่ายออกอย่างแรงจนหลุดออกจากอ้อมแขนของมูคยอม
“ทำอะไรน่าขำแค่พอดีๆ เถอะ ตอนนี้หลบไปสักที การฝึกซ้อมน่าจะเริ่มแล้ว ทั้งฉันทั้งนายต่างก็หายตัวมานานเกินไปแล้ว”
รู้สึกได้ว่ามีคนเปิดประตูเสียงดังจากด้านนอกพอดี คราวนี้มูคยอมก็ปักหลักต่อไปไม่ได้ และต้องหลบออกจากประตูที่เคยยืนขวางไว้ โค้ชคนหนึ่งโผล่พรวดเข้ามาทางช่องประตู
“หืม ทั้งสองคนมีธุระอะไรกันเหรอ”
โค้ชเดินไปยังที่ของตัวเองราวกับเข้ามาหาอะไรบางอย่างพลางถามขึ้น ฮาจุนยิ้มพร้อมกับตอบ
“ครับ มีโปรแกรมที่ต้องตรวจสอบด้วยกันนิดหน่อยน่ะครับ ตอนนี้กำลังจะออกไปแล้วครับ”
“โอเค รีบออกไปกันได้แล้ว”
ฮาจุนรีบออกมาจากประตูแล้วมูคยอมก็เดินตามหลังเขามา ในระหว่างที่เดินเรียงแถวไปตามทางเดิน โดยมีฮาจุนเดินข้างหน้าและมูคยอมเดินข้างหลัง ทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก
คิดว่าหากอดทนพอสมควรในช่วงไม่กี่เดือนที่เหลือแล้วจะไม่มีปัญหาเสียอีก แต่นี่มันสถานการณ์อะไรตั้งแต่วันแรกที่กลับมาทำงานกัน ไม่คิดเลยว่าคิมมูคยอมที่เคยบอกเขาว่าอย่ามาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ จะเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ฮาจุนเสยผมหน้าม้าขึ้นพร้อมกับพยายามปรับสภาพจิตใจให้กลับสู่สภาวะปกติก่อนออกจากประตูตึก
“รอก่อน ยังคุยกันไม่จบเลยนะ”
เขายกมือขึ้นมาบนประตูแล้วแต่มูคยอมก็เข้ามาใกล้กว่าเดิม ฮาจุนไม่ได้ดึงดันเปิดประตูออกแล้วหนีไป
สีหน้าของมูคยอมดูร้อนใจไม่น้อย แถมยังดูอาลัยอาวรณ์อย่างมากด้วย แต่นั่นเป็นเพียงความรีบร้อนของเด็กน้อยที่อยากได้ของเล่นที่เคยเล่นกลับคืนมาเท่านั้น จนถึงก่อนหน้านี้ไม่นาน ฮาจุนเคยพึงพอใจกับบทบาทในฐานะของเล่นหรือเครื่องใช้ แต่ในตอนนี้ ความรู้สึกอยากอยู่ในตำแหน่งนั้นได้เหือดหายไปจนหมดสิ้นแล้ว
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจจิตใจที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างง่ายดายแล้วอยากเก็บของที่เคยทิ้งกลับมาอีก แต่น่าเศร้าใจที่ของเล่นของอีกฝ่ายคือคนคนหนึ่ง ไม่ใช่หุ่นยนต์หรือตุ๊กตาพลาสติก
“เรื่องที่ฉันจะพูดมีเรื่องเดียว ตอนนี้นายไปหาที่อื่นเพื่อระบายความต้องการทางเพศซะ”
คราวนี้ฮาจุนไม่รอคำตอบอีกต่อไปแล้วเดินแยกตัวออกมาบนสนามหญ้า ฮาจุนก้มหัวเบาๆ ให้โค้ชจองพร้อมบอกให้รู้ว่าจะรับช่วงโค้ชชิ่งต่อ จากนั้นก็เลี่ยงมูคยอมไปสังเกตนักกีฬาคนอื่นๆ และเขาก็ไม่ได้จ้องมองไปทางฝั่งของมูคยอมอีกเลย
ถึงไม่เกิดเรื่องแบบนั้นก็ไม่ได้กลับสนามฝึกมานานอยู่แล้ว และยิ่งเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เวลาที่ร่างกายรับรู้จึงผ่านไปไวกว่าเดิม ฮาจุนจัดการจบการฝึกเช้าที่เสร็จสิ้นลงอย่างรวดเร็วมากๆ แล้วมุ่งหน้าไปยังศูนย์อาหาร จองคยูซึ่งจองที่ไว้แล้วโบกมือให้
“ฮาจุน นานๆ ทีมากินข้าวด้วยกันสิ”
ฮาจุนกวาดตามองแวบหนึ่งแต่บนโต๊ะไม่มีมูคยอม ช่วงนี้ก็ไปกินข้าวเที่ยงข้างนอกอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ ฮาจุนครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามของจองคยู นักกีฬาจำนวนหนึ่งถามสารทุกข์สุกดิบ ฮาจุนยิ้มบางพร้อมโกหกกลับไปว่าหยุดพักเพราะเรื่องเล็กน้อยของที่บ้าน แล้วจึงตักข้าวขึ้นมา
ฮาจุนไม่ได้อยากอาหารขนาดนั้น เขากลืนอาหารลงคอเอื่อยๆ อย่างพอเหมาะจนคนรอบข้างไม่คิดว่าแปลก แต่แล้วจองคยูก็วิพากษ์วิจารณ์ออกมาด้วยความเอือมระอาเหมือนที่เคยทำ
“ได้รับวันพักร้อนที่รอมานานแล้วใช้ไปกับเรื่องที่บ้านจนหมดซะได้ หาแฟนสักหน่อยสิ ฉันพูดหลายรอบแล้วนะว่าคนที่อยากนัดบอดกับนายนี่ต่อแถวยาวเป็นขบวน”
ไม่ใช่คำพูดที่ได้ฟังแค่ครั้งสองครั้งจนตอนนี้แทบจะท่องได้แล้ว แต่ในวันนี้ คำแสดงความเห็นที่ได้ยินเป็นประจำของจองคยูซึ่งเขาเคยหัวเราะแล้วปล่อยผ่านไปทุกครั้ง กลับฝังลึกเข้ามาในหู ฮาจุนวางแก้วที่แตะอยู่ตรงริมฝีปากลงกับโต๊ะพร้อมกับไตร่ตรองคำที่อีกฝ่ายพูด
‘แฟน’
‘ถ้ามีแฟน ถ้าไม่ได้ตัวคนเดียว เขาก็จะไม่ต้องฟังเรื่องแบบเมื่อกี้อีกต่อไปได้ใช่ไหม’
คิมมูคยอมเคยจับผิดและต่อว่าเขาถึงขนาดนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าอีกฝ่ายสงสัยในความสัมพันธ์ของเขากับแชฮุนและคิดว่าทำเรื่องผิดครรลองคลองธรรม มูคยอมคงไม่ลากข้อเสนอเรื่องคู่นอนให้ยืดเยื้อออกไปกับคนที่มีแฟนอีก
“ลองดูดีไหม”
เมื่อฮาจุนตอบกลับราวกับพูดคนเดียวด้วยเสียงแผ่วเบา จองคยูก็ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพร้อมเบิกตากว้าง
“จริงเหรอ นายนึกอยากแล้วเหรอ แค่บอกมาก็พอ มีเพื่อนคุณยอนซูที่โอเคมากๆ อยู่นะ ชอบฟุตบอลด้วย แล้วก็สนใจนายมากๆ ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วล่ะ”
“…จะลองคิดดู”
“โอ้โฮ เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย ดูเหมือนว่าคนเราต้องได้พักผ่อนสักหน่อยถึงจะสบายใจขึ้นสินะ เอาแต่บอกว่าไม่สนใจอยู่ทุกครั้งแท้ๆ”
ฮาจุนยิ้มอย่างขมขื่น
เพราะว่าอยู่คนเดียวมันเหงา เพราะเบื่อ เพราะคนอื่นเขาก็มีกันหมด… ฮาจุนเห็นผู้คนปรารถนาในการคบหาคนรักด้วยเหตุผลหลากหลายอย่าง แต่เพราะเขากักเก็บคิมมูคยอมเอาไว้ในหัวใจเพียงคนเดียว ฮาจุนจึงไม่เคยรู้สึกใจจดใจจ่ออยู่กับความสัมพันธ์แบบนั้นเป็นพิเศษเลย
บางครั้งเขาก็กล่าวโทษหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงให้แค่มูคยอม และนึกอยากลองใช้เวลาพูดคุยกันอย่างอบอุ่นกับคนที่ใจตรงกันเหมือนคนอื่นๆ แต่กระทั่งเรื่องนั้นก็เป็นเพียงความต้องการผิวเผินหรือไม่ก็เกือบจะเป็นการหัวเราะเยาะตัวเองที่รู้สึกเฉยเมยกับคนอื่นมากกว่า เขาไม่ได้กลุ้มใจที่เหงากับการใช้เวลาคนเดียวแล้วไม่ได้รู้สึกยากเกินจะทน
หากจะพูดให้ชัดเจนมากขึ้นก็ต้องบอกว่าไม่มีเวลาว่างให้ได้รู้สึกเหงาละมั้ง ตั้งแต่คุณพ่อจากไป เขาก็ฝ่าฟันผ่านช่วงเวลามาด้วยมือทั้งสองข้างอย่างไม่มีจังหวะจะได้คิดอะไร แล้วมาถึงชีวิตในตอนนี้จนได้
พอได้สำรวจตัวเองครู่หนึ่งจึงลงบทสรุปได้ว่าเรื่องอย่างการนัดบอดเป็นการกระทำที่เกินตัว หากจะออกไปนัดบอด ก็ต้องมีความรู้สึกชื่นชอบอีกฝ่ายอยู่ในใจและมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ถึงจะถูกต้อง แต่ถ้าออกไปด้วยเหตุผลแค่ว่าอยากหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่กำลังเผชิญก็ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ด้วยดี และมีแต่จะเป็นการเสียมารยาทกับคนที่สละเวลาอันมีค่าเพื่อมาพบเขาเท่านั้น
ฮาจุนตั้งใจจะตัดบทปฏิเสธว่าไม่คิดจะไปแล้ว แต่ที่ข้างๆ ฮาจุนกลับมีถาดอาหารวางลงอย่างกะทันหัน เมื่อเงยหน้าขึ้นไปจึงเห็นชายหนุ่มซึ่งเขาไม่คิดว่าจะเข้ามาใกล้อย่างฉับพลันขนาดนี้ กำลังนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยใบหน้านิ่งเฉย ในระหว่างที่สีหน้าของฮาจุนกำลังเกร็งทื่อแบบไม่มีใครรู้ จองคยูผู้ตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยก็รีบออกท่าทาง
“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะเปิดรูปให้ดู เป็นสาวสวยสุดๆ ไปเลย หน้าที่การงานก็ดี ทำงานกับบริษัทการเงินขนาดใหญ่”
“โว้ว สวยจริงๆ แฮะ”
ฮาจุนทำไม่ได้ทั้งปฏิเสธ หรือทั้งรับปากเพราะชายที่นั่งลงด้านข้าง และในระหว่างที่เขากำลังเลือกคำตอบ รอบข้างก็พากันเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวมากขึ้น มูคยอมปริปากพูดขึ้นมาก่อน
“ใครสวยถึงขนาดนั้น”
“คนที่ฮาจุนจะไปนัดบอดด้วยน่ะ ไม่รู้ทำไมถึงบอกว่าคิดจะไปแล้วนะเนี่ย มีเพื่อนคนหนึ่งของคุณยอนซูขอไว้ว่าถ้ามีโอกาสก็ให้ช่วยนัดแนะมาเจอกันให้ได้ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วน่ะ”
คำพูดนั้นทำให้คนตั้งคำถาม รวมถึงตัวฮาจุนไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
บางทีเขาคงรู้สึกถึงอุณหภูมิที่เย็นยะเยือกลงได้คนเดียว ฮาจุนอยากดีดตัวลุกขึ้นจากที่ แต่หากทำแบบนั้นก็น่าจะมีหลายคนที่คิดว่าเขาทำตัวแปลกๆ ฮาจุนจึงยกยิ้มแล้วยื่นโทรศัพท์มือถือให้จองคยูแทน
“อื้อ ขอช่องทางติดต่อหน่อยสิ”
รู้สึกได้ถึงสายตาของมูคยอมที่จ้องมองมา แต่ฮาจุนก็มองแต่หน้าจองคยูเท่านั้น คนที่รู้สึกเหมือนสายตาของอีกฝ่ายจะจ้องแก้มของตนจนทะลุเป็นรูก็คงมีแค่เขาคนเดียวอีกนั่นแหละ
“ว้าว ในที่สุดฮาจุนก็จะมีแฟนแล้วสินะ! ได้เลย ถ้าผู้ชายแบบนายใช้ชีวิตโสดไปเรื่อยๆ ก็สิ้นเปลืองทรัพยากรประเทศเปล่าๆ”
จองคยูฮัมเพลงพร้อมกับกดเบอร์แปลกลงในโทรศัพท์ของฮาจุน
“ชื่อคุณซงอึนจูนะ ติดต่อไปให้ได้ล่ะ ขอให้ไปได้สวย”
“พี่ครับ ช่วยนัดบอดให้ผมด้วยสิ”
เมื่อนักกีฬาจำนวนหนึ่งพูดอย่างเง้างอน จองคยูจึงพูดหยอกล้อไปว่ามาตรฐานของตัวเองสูง โตกว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยมาใหม่ เมื่อฮาจุนตัดสินใจว่าจะปฏิเสธแต่กลับถูกสถานการณ์พาไปจนได้รับเบอร์โทรติดต่อมา เขาก็รู้สึกว่าตัวเลขสิบหลักที่ถูกจิ้มลงมือถือทิ้งน้ำหนักลงบนฝ่ามือของเขาอย่างหนักอึ้ง เขาลุกขึ้นจากที่ด้วยความรู้สึกเหมือนท้องอืด
“ถ้างั้นกินข้าวกันดีๆ ล่ะ”
“หืม กินหมดแล้วเหรอ ทำไม จะไปนัดบอดก็เลยตื่นเต้นจนกลืนข้าวไม่ลงเลยหรือไง”
ฮาจุนถึงกับรู้สึกขอบคุณจองคยูที่สร้างข้ออ้างขึ้นมาให้ก่อน ฮาจุนหัวเราะเจื่อนๆ พลางยกถาดอาหารขึ้น
“ใช่เลย ต้องรีบติดต่อไปซะแล้ว”
“โชคดีนะ”
ฮาจุนหันหลังแล้วเดินแยกห่างจากโต๊ะ มูคยอมมองตามภาพด้านหลังของเขาพักหนึ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ ออกมาพร้อมกับวางช้อนลงบนถาดอาหารตามเดิม จองคยูจิ๊ปาก
“เห็นยกข้าวมาก็คิดว่าจะไม่เป็นไรแล้ว แต่วันนี้ก็จะไม่กินหรือไง ดูดแค่เชคอย่างเดียวมันจะไปมีแรงได้ยังไง ถ้านายเป็นแบบนี้ ฉันล่ะเป็นห่วงว่าจะทรุดลง ลองกลืนๆ ลงคอสักหน่อยเถอะ”
“อิมจองคยู ทำไมนายยุ่งเรื่องชาวบ้านอีกแล้วล่ะ”
“ไอ้นี่ กินข้าวไม่ได้มาหลายวันแต่มีแค่นิสัยที่แย่ลงนะ คนเขาเป็นห่วงแท้ๆ ทำไมทำตัวไม่น่ารักเลย”
“คนอื่นจะมีแฟนหรือไม่มีแฟนก็อย่าทำเป็นรู้ดีแล้วเข้าไปยุ่มย่ามสิ ไม่รู้หรือไงว่าโค้ชอีเกลียดอะไรแบบนั้น”
“เรื่องนั้นหรอกเหรอ นักกีฬาคิมมูคยอม คุณนี่มีตาหามีแววไม่จริงๆ นะครับ ไม่เห็นเมื่อกี้หรือไง ที่เขาดีใจ บอกจะรีบติดต่อไปน่ะ?”
“โค้ชอีใจดี แล้วนายก็ไปกดดันเขา เขาก็เลยเออออตามเป็นมารยาทเท่านั้นแหละ”
นักกีฬาคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ หัวเราะพร้อมช่วยพูดเสริม
“เห็นโค้ชอีเป็นแบบนั้น แต่เขาไม่แกล้งทำเป็นชอบเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบหรอกนะครับ โค้ชปฏิเสธทุกครั้งแต่นี่ขอช่องทางติดต่อครั้งแรกเลย”
เมื่อมูคยอมส่งสายตาเย็นเยียบราวคลื่นลมหนาวจากไซบีเรีย นักกีฬาที่พูดเสริมเชิงเห็นด้วยกับจองคยูก็เริ่มกินข้าวเงียบๆ อีกครั้งโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรผิด มูคยอมจิบน้ำเย็นพอชุ่มริมฝีปากเล็กน้อยราวกับตั้งใจจะดับอารมณ์ร้อนลง
ทว่าไม่นาน เขาก็เอนตัวพิงพนักราวกับไร้เรี่ยวแรงพร้อมกับพูดพึมพำ
“…ยังไงสิ่งที่เห็นกับตาก็ดีกว่าไม่เห็นสินะ”
“อะไร”
มูคยอมเพียงแค่ส่งสายตาแข็งกระด้างให้จองคยูเท่านั้น ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
***
เพราะเป็นเวลาพักเที่ยง ออฟฟิศของโค้ชจึงว่างเปล่า ฮาจุนเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้าแล้วนั่งลงบนที่ของตัวเอง เขาไม่แม้แต่จะบันทึกเบอร์ที่จองคยูกดให้แล้วลบมันทิ้งไปทั้งอย่างนั้น
ไม่มีทางที่เขาจะติดต่อไป เขาคิดจะไปนัดบอดเพียงเพราะไม่อยากให้คิมมูคยอมปฏิบัติต่อเขาตามใจชอบ แล้วคนคนนี้ทำอะไรผิดถึงต้องใช้เวลาแบบไร้ประโยชน์กับผู้ชายแบบเขาแล้วแยกจากกันไปล่ะ
‘พวกนั้นรู้หรือเปล่า ว่านายปล่อยน้ำแหมะๆ ตอนถูกผู้ชายแทงประตูหลัง ที่นายทำมันเรียกว่าเล่ห์เหลี่ยมนะ เล่ห์เหลี่ยม’
ฮาจุนนึกถึงคำที่มูคยอมเคยพูดทำร้ายจิตใจ เขาเอนหลังพิงพนักแล้วหงายหน้าขึ้น ดวงตาของเขาปรือปิดลง
คนพวกนั้นเป็นแฟนคลับที่เหลืออยู่ซึ่งยังคงมาหาเขาบ้างเป็นครั้งคราว และตอนนี้ก็เป็นเหมือนกับเพื่อน สนิทกันขึ้นอีกหน่อยก็ไม่ต่างอะไรกับญาติมิตร ในกลุ่มคนพวกนั้นมีคนที่แต่งงานแล้ว และมีคนที่คบกับแฟนหนุ่มมานานแล้วด้วย
เพราะอย่างนั้น เขาจึงรู้สึกว่าคำพูดของมูคยอมเป็นการดูหมิ่นกันอย่างมาก แต่ถ้าหากเขาไปนัดบอด คำพูดของมูคยอมก็ไม่มีจุดผิดเลย ตามที่อีกฝ่ายพูด เขาเป็นคนที่รู้สึกดีจนน้ำตาไหลในขณะมีเซ็กส์กับผู้ชาย และยังคงไม่สามารถเกลียดชังชายคนนั้นที่เคยพูดดูแคลนตัวเองได้ ถ้าหากออกไปเจอผู้หญิงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม โดยแกล้งทำตัวไม่สมกับเป็นตัวเองและแกล้งทำเป็นมีความชื่นชอบต่อเธอ มันก็คงจะเป็นเพียงการกระทำที่หลอกลวงเธอไม่ใช่เหรอ
ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ก็คงพักเต็มสิบวันแล้วค่อยกลับมาแล้ว เขาควรจะลดเวลาที่จะได้เจอคิมมูคยอมลงอีกสักหน่อยก็ยังดี
วันแรกที่ไปออกทริปครอบครัว เขายัดโทรศัพท์มือถือไว้ลึกในกระเป๋าและไม่เอาออกมาดูตลอดทั้งวัน เพราะอยากลืมเรื่องที่โซลให้หมดทุกอย่างสักพักหนึ่ง เขาตะลอนไปสถานที่ท่องเที่ยวจนทั่ว พอกลับมายังที่พักถึงได้เช็กดู แล้วจึงเห็นว่ามีสายไม่ได้รับหลายสาย
ไม่ว่ามูคยอมจะโทรมาเพื่อระเบิดความโกรธที่เหลืออยู่ใส่เขามากกว่านี้ หรือโทรมาเพื่อขอโทษเพราะเปลี่ยนความคิดในเวลาเพียงวันเดียว ไม่ว่าแบบไหนก็ตาม เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าจะยอมรับมันได้โดยไม่สั่นคลอน อย่างไรซะ เขาก็คุยโทรศัพท์ไม่สะดวกอยู่แล้วเพราะอยู่ต่างประเทศ แต่ถึงจะกลับมาที่โซลแล้ว เขาก็ไม่ได้ลองติดต่อไป
เขาเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป ระยะเวลาห้าวันสั้นเกินไปสำหรับการเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของอีกฝ่าย และไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์แม้แต่น้อย
แค่ลาออกไปเสียเฉยๆ เลยดีไหมนะ กลับมาทำงานในตำแหน่งเดิมได้แค่วันเดียว ความรู้สึกผิดที่ตัดสินใจอย่างไม่รอบคอบว่าจะกลับมาก็ถาโถมเข้าใส่ ดูเหมือนว่าการลาออกจากงานคงเป็นคำตอบที่ถูกต้องแล้วแท้ๆ แต่คงเป็นผลจากการไปเที่ยวมา เขาจึงมองโลกในแง่ดีเกินความจำเป็นจนทำให้มุมมองต่อความเป็นจริงมันพร่ามัวไป เขาคิดผิดโดยสิ้นเชิงเลยทีเดียว
แต่อีฮาจุนก็ไม่ใช่คิมมูคยอม เขาเป็นมนุษย์หน้าไม่อายจนพูดว่าจะลาออกจากปากตัวเองซ้ำๆ ไม่ได้
“โค้ชอี คุยกันสักครู่หน่อยไหม”
ฮาจุนกำลังควบคุมจิตใจอันสับสนวุ่นวายให้สงบลงเพียงคนเดียว แต่แล้วผู้จัดการทีมก็เข้ามาในออฟฟิศพลางเรียกฮาจุนไป เขาตกใจอยู่คนเดียวอย่างไม่จำเป็นพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“อ้อ ครับ ผู้จัดการทีม”
“ตั้งแต่วันนี้ไป ฉันอยากให้นายเข้าร่วมโค้ชชิ่งคิมมูคยอมด้วยตัวเองอีกครั้งนะ ไม่สิ นักกีฬาคนอื่นน่ะ ให้โค้ชคนอื่นรับผิดชอบดูแลต่อสักระยะ ส่วนนายตั้งใจกับการโค้ชชิ่งคิมมูคยอมคนเดียวก็พอ”
ฮาจุนกะพริบตาปริบๆ แล้วตอบ
“คิมมูคยอมสภาพจิตใจตกต่ำลงมาก ผมเลยจงใจแยกตัวออกมาเพื่อให้สภาพแวดล้อมเขามีการเปลี่ยนแปลงครับ แล้วผมก็คิดว่าเห็นผลลัพธ์ที่ดีด้วย เพราะพอเปลี่ยนแล้วก็ทำประตูได้ตั้งห้าประตูเลยนะครับ”
“อืม ตอนนั้นก็ใช่ แต่ช่วงนี้สภาพร่างกายก็แย่ลงเหมือนกันน่ะสิ เพราะทั้งสองคนอายุเท่ากันก็เลยรู้สึกว่าคิมมูคยอมน่าจะสบายใจกับโค้ชอีมากกว่าโค้ชคนอื่นน่ะ”
ไม่มีทางเป็นแบบนั้นไปได้หรอก แต่เขาก็บุ่มบ่ามเปิดเผยเรื่องความแตกแยกของตนเองกับคิมมูคยอมให้ผู้จัดการทีมรู้ไม่ได้ ฮาจุนยิ้มพร้อมกับพูดตอบ
“คิมมูคยอมบอกแบบนั้นเองเหรอครับ”
“ก็ไม่ได้พูดออกมาหรอก แต่เป็นการวินิจฉัยของฉันน่ะ ตั้งแต่บ่ายวันนี้ก็ฝากด้วยล่ะ ช่วงนี้เขาฝึกซ้อมตามปกติไม่ได้แล้วก็รับโปรแกรมฝึกซ้อมแยกต่างหากอยู่”
มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่กำลังยิ้ม แต่ในใจของฮาจุนกำลังเดือดพล่าน เขาพยายามทำให้มันสงบลง
คิมมูคยอมต้องออกปากว่าอะไรสักอย่างแน่ๆ มูคยอมเป็นนักกีฬาที่มักจะใช้สถานะของเขาในสโมสรให้เป็นประโยชน์ และที่กรีนฟอร์ดซึ่งเป็นทีมต้นสังกัดเดิมของมูคยอมเองก็เช่นกัน
มีด้านที่สื่อนำเสนออย่างครึกโครมอยู่ก็จริง แต่ในสโมสรกีฬายักษ์ใหญ่ก็มีเรื่องการเมืองกับสงครามแย่งความเป็นใหญ่อยู่จริงๆ มูคยอมซึ่งย้ายสังกัดไปเข้าร่วมลีกหนึ่งของอังกฤษในช่วงวัยสิบกว่าปีและเป็นนักกีฬาชาวเอเชียเพียงหนึ่งเดียวในทีม ไม่ได้ครอบครองสถานะในตอนนี้อย่างสบายๆ และง่ายดาย แต่ในซิตี้โซล เขาขึ้นครองตำแหน่งราชาแบบอัตโนมัติโดยไม่จำเป็นต้องต่อสู้แบบนั้น เพราะฉะนั้น แค่ใช้โค้ชหน้าใหม่คนเดียวให้เกิดประโยชน์ตามอำเภอใจก็ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายราวปอกกล้วยเข้าปาก
“ทราบแล้วครับ”
‘แค่ทำๆ ไปก็พอแล้วน่า แค่ทำๆ ไป’