Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 80
ฮาจุนเกือบจะหลับตาลงแต่ก็ฝืนไว้ ใจของเขาร่วงลงไปอยู่ตรงตาตุ่มเนื่องจากคำพูดห้าพยางค์ที่แทรกเข้ามาในหูอย่างกะทันหัน แต่ถึงแม้ตอนนี้มูคยอมจะพูดแบบนี้ ความหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายแค่พูดออกมาเพื่อเรื่องอะไรอีก กลับถาโถมเข้ามาก่อนความคาดหวัง
เพราะในคำว่า ‘ชอบ’ ที่อีกฝ่ายพูดออกมา เปลือกอันราบเรียบที่เคยห่อหุ้มแม้แค่ตอนที่พูดอย่างเย้ยหยันเมื่อครู่นี้ กลับปลดเปลื้องออกแล้วเผยให้เห็นความคิดภายในใจอันแข็งกระด้าง หยาบกร้าน และรุนแรงออกมาทั้งอย่างนั้น
“ถ้าพูดแบบนั้นแล้วจะเปลี่ยนใจหรือเปล่า นายเป็นแบบนี้เพราะอยากฟังคำนั้นเหรอ”
“…”
“นายไม่คิดเหรอว่าถ้าพูดแบบนั้นแล้วมันอาจจะแย่ลงกว่านี้ก็ได้ ฉันก็บอกไปแล้วว่าจะทำตัวให้ดี จะทำทุกอย่างที่นายขอ แล้วเหตุผลมันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือไง …ยังไงซะ ถ้านายหมดใจแล้ว คำพูดแบบนั้นก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปเหมือนกันนี่”
“ฉันเคยขอให้นายชอบฉัน เคยบอกว่าอยากคบนายสักครั้งหรือไง นายหยุดเดามั่วไปคนเดียวสักที ขอร้องล่ะ ฉันจะต้องพูดอีกกี่รอบกันแน่ ว่าตอนนี้ฉันอยากให้มันจบแล้ว”
การพูดคุยกันน่าจะเป็นวิธีการพื้นฐานในการคลายความขัดแย้งและความเข้าใจผิด แต่ยิ่งเขาคุยกับคิมมูคยอมก็ยิ่งรู้สึกหมือนเรื่องมันยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะทำให้จบลงเหมือนทุกทีได้ แต่มันก็น่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ ถ้าหากใช้ชีวิตในฐานะเพื่อนร่วมทีมอย่างเหมาะสมและไม่ล้ำเส้นกัน อย่างน้อยก็น่าจะสะสางช่วงเวลาที่ผ่านมาให้เรียบร้อยแล้วเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดีได้ แต่กระทั่งเรื่องนั้น อีกฝ่ายก็ยังตั้งใจจะขัดขวาง
ฮาจุนเคยรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้ตลอดเวลา แต่สุดท้าย คิ้วของเขากลับขมวดเล็กน้อย และริมฝีปากก็แค่นหัวเราะออกมาราวกับเยาะเย้ยตัวเอง
“นายพูดแบบนั้นออกมาหน้าตาเฉยได้ยังไงนะ”
ฮาจุนใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะเปลี่ยนความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดแล้วส่งผ่านให้อีกฝ่ายรับรู้ ตอนที่ตัวเองดีใจเพราะไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองอีกฝ่ายแม้เพิ่งถูกปฏิเสธมา ฮาจุนยังรู้สึกเหมือนกับว่าตอนนั้นมันเพิ่งจะผ่านมาเมื่อสองสามวันนี้เอง แต่ไม่คิดเลยว่าคำพูดนั้นจะย้อนกลับมาหาเขาในรูปแบบนี้
‘จงใจทำแบบนี้งั้นเหรอ เพราะอยากทำให้เขารู้สึกเสียใจที่บังอาจเผยความรู้สึกให้คิมมูคยอมได้รู้ใช่ไหม’
“ถ้างั้นต้องทำยังไงล่ะ ในเมื่อตอนนี้นายไม่เอาอะไรเลยสักอย่าง!”
มูคยอมลดเสียงพูดให้เบาลงแต่ตอบกลับคำพูดของเขาด้วยน้ำเสียงกระโชกราวกับรู้สึกไม่ยุติธรรม ฮาจุนจ้องอีกฝ่ายเขม็งแล้วในที่สุดก็เป็นฝ่ายหลุบสายตาลงมองปลายเท้าก่อน
“คนที่ได้รับชัยชนะมาตลอดแบบนายอาจจะไม่รู้ก็ได้”
“อะไร”
“แต่บนโลกนี้ก็มีเรื่องที่ไม่เป็นไปตามความต้องการเหมือนกันนะ”
มูคยอมน่าจะใช้ชีวิตมาโดยไม่เคยถูกปฏิเสธมาก่อน เพราะฉะนั้นฮาจุนก็เข้าใจหากอีกฝ่ายจะยอมรับไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฮาจุนไม่เคยคิดว่าคิมมูคยอมเป็นผู้ชายนุ่มนวลที่จะเลือกใช้แค่คำพูดอ่อนหวานเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะตัดสินความรู้สึกของคนอื่นแล้วตีความใหม่ตามใจชอบถึงขนาดนี้ด้วยเหมือนกัน
ฮาจุนรู้สึกว่างเปล่าขึ้น ไม่ว่าจะหนักแน่นแค่ไหนแต่ความรักข้างเดียวไม่มีประโยชน์ใดๆ ในการจะทำความเข้าใจอีกฝ่ายเลย ฮาจุนคิดว่าตนเองเฝ้ามองเพียงมูคยอมมาสิบปี แต่เขารู้อะไรเกี่ยวกับมูคยอมบ้างล่ะ แม้แต่ความเปล่งประกายที่เคยคิดว่าตัวเองได้ครอบครองอยู่ชั่วเวลาสั้นๆ สุดท้ายก็จางหายไปอย่างรวดเร็วถึงขนาดนี้
เมื่อฮาจุนสะบัดมือออกแล้วลุกขึ้นยืนในที่สุด มูคยอมก็ดันตัวลุกขึ้นตาม ฮาจุนใช้นิ้วชี้อีกฝ่ายพร้อมพูดเตือน
“อย่าตามมานะ เพราะนาย ฉันถึงอยากยื่นใบลาออกอีกครั้งเต็มทน นายปรับสภาพจิตใจให้สงบอยู่ตรงนี้อย่างว่าง่ายๆ แล้วยืดกล้ามเนื้อซะ”
เขาคิดว่าคำพูดแบบนั้นจะไปเตือนอะไรอีกฝ่ายได้ แต่มูคยอมกลับชะงักไปแล้วคางก็เกร็งทื่อขึ้น ฮาจุนปล่อยมูคยอมไว้ตรงสนามหญ้าแล้วก้าวเดินไปอย่างฉับไวโดยไม่พูดอะไรออกมาอีกเลยแม้แต่คำสั้นๆ เขาเข้าไปในห้องน้ำแทนที่จะเป็นออฟฟิศ จากนั้นก็เปิดก๊อกตรงอ่างล้างหน้าแล้ววักน้ำเย็นใส่หน้าของตัวเองแรงๆ สองสามครั้ง ภาพใบหน้าเปียกน้ำหยดติ๋งๆ สะท้อนให้เห็นในกระจก แม้แต่ตัวเขาก็ไม่คุ้นเคยกับสีหน้านั้น
ถึงไม่ได้คบกันในฐานะคนรัก แต่ก็มีความสัมพันธ์ทางกายมานาน ก็เลยน่าจะเป็นความสัมพันธ์ที่มีส่วนร่วมกับอีกฝ่ายอยู่สักนิดเหมือนกัน
ฮาจุนไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะอย่างนั้นจึงไม่เคยตัดความสัมพันธ์กับใครด้วย และเพราะไม่เคยตัดความสัมพันธ์กับใครจึงไม่เคยรู้สึกแบบเดียวกันกับตอนนี้เลยเหมือนกัน เขาคิดว่าจัดการทั้งความเศร้าเสียใจและความโกรธไปเรียบร้อยแล้ว แต่ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายและเรียกชื่อด้วยคำที่รู้จักได้ กลับกองสุมอยู่ใต้เท้าราวโคลนเลน คงเพราะเขาไม่เคยมีประสบการณ์ทั้งด้านความรักแบบมีคนรู้สึกร่วมกัน และการจากลา จึงไม่มีอะไรเป็นไปตามที่เขาต้องการเลยสักอย่าง
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากเลิกงานก่อนเวลาไปทั้งอย่างนี้ แต่เขาดันรับคำสั่งพิเศษจากผู้จัดการทีมมาแล้ว อีกทั้งยังหายหน้าจากสนามฝึกนานเกินไปไม่ได้ ฮาจุนจึงก้าวเท้าอันหนักอึ้ง มุ่งหน้าไปยังสนามหญ้าอีกครั้ง แต่ข้างมูคยอมมีใครคนอื่นอยู่ด้วย
ใครคนนั้นคือจองคยู กัปตันทีมผู้ฝึกซ้อมโปรแกรมของผู้รักษาประตูอยู่ไกลๆ จนถึงเมื่อครู่นี้ เมื่อเดินเข้าไปใกล้ จองคยูก็หันมาทำหน้าสงสัยให้ฮาจุน ฮาจุนเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า ฉันมองจากทางโน้นแล้วรู้สึกเหมือนบรรยากาศของพวกนายสองคนแปลกๆ ไปน่ะ”
จองคยูผู้มีความอยากรู้อยากเห็นค่อนข้างสูงเป็นทุนเดิม หรี่ตาลงราวกับไม่ไว้ใจ
“พวกนายทะเลาะกันใช่ไหม คิดดูแล้ว ช่วงนี้พวกนายสองคนดูไม่สบายใจกันทั้งคู่เลยนะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ความเห็นไม่ตรงกันนิดหน่อยเพราะเรื่องฝึกซ้อมน่ะ”
‘ทั้งสองคนไม่ได้คุยเรื่องไร้สาระอะไรกันใช่ไหมนะ’ ฮาจุนร้อนใจขึ้นมาแล้วรีบปั้นยิ้มพลางหันหน้าไปหามูคยอม
“คิมมูคยอม ไปวิ่งเหยาะๆ สักหนึ่งรอบ ผ่อนคลายร่างกายสักหน่อย ต่อจากนั้นจะได้เริ่มโปรแกรมอื่นกัน”
มูคยอมยังคงหน้าตึง แต่ก็คงไม่คิดจะดื้อดึงกระทั่งตอนที่จองคยูอยู่ด้วย เขาจึงปัดกางเกงพึ่บพั่บพลางลุกจากที่ มูคยอมเริ่มขยับเท้าอย่างเชื่องช้าโดยไม่ได้บ่นอะไรออกมาสักคำ แต่แล้วเขาก็หยุดอยู่ตรงจุดหนึ่งก่อนจะวิ่งไปถึงครึ่งรอบเสียอีก
ถึงอย่างนั้น เขาก็วิ่งไปถึงจุดที่ห่างออกไปจากจองคยูกับฮาจุนพอสมควร มูคยอมเท้าสะเอวเงยหน้ามองท้องฟ้าครู่หนึ่ง แล้วเดินไปตรงม้านั่งสำหรับนั่งพักซึ่งอยู่ตรงริมสนามฝึกราวกับหงุดหงิด เขาเปิดขวดน้ำที่วางไว้พลางยกมันขึ้นดื่มแล้วก็นั่งอยู่อย่างนั้น มูคยอมนั่งงอตัว ประสานนิ้วรองไว้ใกล้ๆ คาง และเพียงแค่ทอดสายตามองนักกีฬาคนอื่นเท่านั้น
ฮาจุนเบิกตากว้างทอดสายตามองท่าทางของมูคยอมอย่างงุนงง ตอนนั้นจองคยูถึงได้แอบกระซิบความจริงบางอย่างกับฮาจุนอย่างระมัดระวัง
“หมอนั่นน่ะ ช่วงนี้วิ่งได้ไม่ถึงหนึ่งรอบดีหรอก ฉันบอกแล้วไง ว่าอาการหนักมากแล้ว ไม่ใช่แค่กินไม่ได้ นอนไม่หลับ แรงไม่มีแล้วก็อ่อนล้าเฉยๆ ที่บอกว่าเป็นประมาณนั้นก็แค่ขี้โม้นั่นแหละ จริงๆ คงเป็นหนักกว่าที่นายจินตนาการไว้อีกมั้ง”
“…ทำไมถึงเป็นขนาดนั้นกันแน่”
“ไม่รู้สิ ถามไปแล้วว่ามีเรื่องอะไร หมอนั่นก็ไม่ตอบ คนอื่นเขาเป็นห่วงกันจะแย่ ปกติเป็นคนที่ต่อให้ฟ้าถล่มก็ยังดูแลร่างกายตัวเองอย่างเคร่งครัดตลอดแท้ๆ ฉันล่ะไม่เข้าใจสถานการณ์เลยจริงๆ ถ้าบอกว่าป่วยเป็นอะไรตรงไหนยังจะดีกว่า อย่างน้อยแบบนั้นก็ให้ยาได้”
ฮาจุนซึ่งทอดมองอีกฝ่ายอยู่ไกลๆ หลุบตาลง ถึงจะไม่ใช่ความผิดของเขา แต่จิตใจกลับรู้สึกหนักอึ้ง ราวกับได้ยินใครบอกว่าอย่างน้อยก็มีความรับผิดชอบต่อสภาพทรุดโทรมของมูคยอมหน่อย ฮาจุนพอจะทนไหวหากต้องเผชิญหน้ากับคิมมูคยอมผู้แข็งกระด้าง แต่เป็นเรื่องยากเกินไปหากต้องมองเห็นคิมมูคยอมผู้อ่อนแออยู่ต่อหน้าต่อตา
ในช่วงที่เขาไม่อยู่ห้าวันมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฮาจุนไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียวตั้งแต่ต้นจบจบ ทั้งเรื่องสถานการณ์ ทั้งเรื่องคิมมูคยอม จะว่าเป็นการแพทย์ทางเลือกหรือความเชื่อทางไสยศาสตร์อะไรก็ไม่ใช่ ที่โรงพยาบาลก็บอกว่าไม่มีสาเหตุ แล้วอีกฝ่ายไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าถ้ามีเซ็กส์กับเขาแล้วจะอาการดีขึ้น? เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นกันแน่
——————————————————
‘คิมมูคยอม ถูกถอดถอนออกจากรายชื่อนักกีฬาที่ลงเล่นในการแข่งขัน ‘ทำไมกัน?’ เกิดความขัดแย้งกับทางสโมสรหรือเปล่านะ’
‘คิมมูคยอม “สภาพร่างกายเสื่อมถอย” การแข่งนัด A ใกล้เข้ามาแล้ว’
‘“จริงๆ แล้ว ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน…” ความคิดที่สวนทางของคิมมูคยอมกับซิตี้โซล’
มูคยอมได้ชื่อว่าเป็นคนทำคะแนนถึงห้าประตูในการแข่งขันแรกของฤดูกาลครึ่งหลัง แต่เมื่อเขาคนนั้นถูกถอดออกจากรายชื่อนักกีฬาที่จะทำการลงแข่งขันครั้งต่อไป เพียงเพราะเรื่องนั้นเรื่องเดียว ข่าวจึงแพร่กระจายเป็นวงกว้างในชั่วพริบตา ฮาจุนกวาดตาอ่านพาดหัวข่าวบนหน้าหลักของมุมข่าวกีฬาในเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงถอนหายใจพลางปิดโทรศัพท์
ความเป็นกังวลฉายชัดบนใบหน้าด้านข้างของผู้จัดการทีม ย่อมเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ถ้านักกีฬาระดับเดียวกับคิมมูคยอมร่างกายทรุดโทรมลงในระหว่างที่มาอยู่ในทีมซิตี้โซล ก็ต้องมีพวกคนที่จะตามหาสาเหตุนั้นจากเรื่องความสามารถในการดูแลนักกีฬาของสโมสรอย่างแน่นอน
มูคยอมนั่งอยู่ตรงม้านั่ง เขาวางผ้าขนหนูสำหรับเล่นกีฬาพาดตั้งแต่บนหัวลงมาปิดใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรเลยจนถึงตอนนี้ บนอัฒจันทร์กับในสนามเสียงดังกึกก้อง แต่บริเวณม้านั่งของทีมซิตี้โซลกลับไม่สามารถลบเลือนบรรยากาศอึมครึมออกไปได้ตั้งแต่ช่วงแรก ถึงแม้ว่ามูคยอมจะไม่ได้ลงเล่น แต่ยังนับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายที่ผู้ทำประตูคนอื่นๆ ก็เล่นได้อย่างมีพลัง การแข่งขันจึงกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น
“ซ้าย! บุกมาทางซ้ายอีกสิ! ซ้ายว่างอยู่!”
โค้ชคนหนึ่งในกลุ่มโค้ชซึ่งดูการแข่งขันอยู่ตรงม้านั่งจะโกนเสียงดังเป็นการเชียร์ ฮาจุนจับตาดูการแข่งขันตาเขม็งแล้วรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาจึงหลับตาลงครู่หนึ่ง
พอนอนไม่ค่อยหลับเหมือนปกติ ตาก็แห้งตึง ฮาจุนนอนหลับๆ ตื่นๆ อยู่สามคืนแล้ว แค่ดูการแข่งขันเฉยๆ ก็ยังรู้สึกเหนื่อย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครบางคนซึ่งนอนก็ไม่หลับ กินก็ไม่ได้ตลอดช่วงนี้ จะลงเล่นบนสนามเหมือนตอนปกติได้ ฮาจุนจ้องมองพวกนักกีฬาด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก จากนั้นก็สะบัดศีรษะเบาๆ
‘นี่…พอได้แล้วน่า แค่นี้ก็พอแล้ว ขอโทษไปแล้วด้วย อีกทั้งยังนึกถึงคิมมูคยอมเท่าที่จะทำได้แล้วไม่ใช่เหรอ’
ฮาจุนครุ่นคิดอยู่สองสามคืนแล้วจึงตัดสินใจ หลังจากที่เถียงกันวุ่นวายอยู่พักหนึ่งในวันแรกของการกลับมาทำงาน มูคยอมก็ไม่ขอให้ฮาจุนกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป พร้อมทั้งไม่บังคับฝืนใจเขาเลยด้วย แต่ก็ทำให้เขาได้รู้อยู่เรื่องหนึ่งอย่างแจ่มชัด ถึงจะไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่อาการที่เหมือนกับไข้ขึ้นของคิมมูคยอม ไม่ใช่การแกล้งทำเป็นไม่สบายและไม่ใช่การประท้วง แต่เป็นอาการที่แท้จริง สภาพร่างกายของมูคยอมมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ ไม่มีวี่แววว่าจะทุเลาลงเลย
ถ้าหากคิมมูคยอมจำเป็นต้องมีเซ็กส์กับอีฮาจุนถึงขนาดนั้นก็มีเหตุผลที่ตัวเขาจะเปลี่ยนความคิด หากฮาจุนเพียงคนเดียวผ่อนคลายความรู้สึกลง ทั้งมูคยอม ทั้งผู้จัดการทีม และทีมทั้งทีมก็จะทำงานได้อย่างราบรื่นไร้ปัญหา ไม่ใช่แค่ลีกเท่านั้น แต่อีกไม่นานจะมีการแข่งขันเวิลด์คัพรอบคัดเลือกแบบแบ่งโซน หากมูคยอมอยู่ในสภาพแบบนั้นก็ลำบากแน่
ก่อนงานจะผิดพลาด ฮาจุนมีภาระที่จะต้องทำหน้าที่อย่างมุ่งมั่นและจริงใจจนกว่าจะจบฤดูกาล ถึงจะดื้อดึงต่อไป ก็ไม่มีใครที่จะได้รับประโยชน์เลยสักคนเดียว ทั้งที่ทำตัวเหมือนไม่มีทางที่จะกลับไปทำเรื่องแบบเดิมอีกครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็ทำตามความตั้งใจของมูคยอม เพราะอย่างนั้นก็เป็นเรื่องจริงที่เขารู้สึกเสียศักดิ์ศรีอยู่เหมือนกัน หัวใจที่รู้สึกเหมือนถูกกรีด หรือความรู้สึกเคืองระคายเหมือนขอบขนมปังแข็งๆ และความรู้สึกขัดแย้งต่อมูคยอมยังคงไม่หายไปไหน แต่ฮาจุนก็ตัดสินใจว่าจะไม่คิดเยอะ และคิดว่าเวลาจะช่วยเยียวยาเอง
เรื่องทุกอย่างบนโลกใบนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ ถ้าตั้งใจว่าจะคิดให้มันเรียบง่ายก็ย่อมสามารถทำแบบนั้นได้ ถ้าการแข่งวันนี้จบลง ต้องเป็นฝ่ายเข้าไปคุยก่อนแล้วสิ ชวนให้กลับไป กลับไปมีความสัมพันธ์แบบเดิมตามที่นายต้องการ
ฮาจุนไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยึดมั่นโดยไม่มีเหตุผลว่าถ้ามีเซ็กส์กับเขาแล้วอาการจะดีขึ้น แต่ถ้ามูคยอมลองเอาของเล่นกลับไปเล่นอีกครั้ง แล้วจากนั้นก็ตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้สภาพร่างกายของตัวเองทรุดโทรม มูคยอมก็อาจจะปล่อยเขาไปในทันทีอีกครั้งก็เป็นได้
“ฮาจุน วันนี้จบแล้วมีนัดหรือเปล่า”
ในระหว่างที่ฮาจุนเข้ามาในห้องพักแล้วตรวจตราดูพวกนักกีฬาในช่วงพักครึ่ง จองคยูก็เริ่มพูดกับเขาหลังถอดถุงมือฉีดสเปรย์เย็น ฮาจุนส่ายหน้า
“ไม่นะ”
“ถ้างั้นวันนี้ไปดื่มกับฉันไหม”
ฮาจุนยิ้มแห้ง
“แข่งเสร็จแล้วไปทันทีเลยเหรอ นายจะไม่เหนื่อยหรือไง ถ้าดื่มหลังแข่งทันทีมันไม่ดีต่อร่างกายด้วยนะ”
“โอ๊ย แค่บางครั้งบางคราวจะเป็นอะไรไป เหล้าที่ดื่มหลังแข่งเสร็จเนี่ยสุดยอดที่สุดแล้ว แน่นอนว่าต้องหลังจากชนะด้วยนะ”
ไม่ว่าอย่างไร ดูเหมือนสองสามวันมานี้เขาคงทำท่าทีหงอยๆ ออกมาให้เห็นเสียแล้ว จองคยูกำลังเป็นห่วงเขาอยู่จึงไม่มีทางที่จะไม่รู้ เพราะอย่างนั้นฮาจุนจึงไม่ได้ตอบอะไรอยู่ครู่หนึ่งและยกยิ้มเพียงอย่างเดียว
ถ้าการแข่งวันนี้จบลง เขาตั้งใจว่าจะไปคุยกับมูคยอมทันที แต่จริงๆ แล้วจิตใจด้านที่อยากถ่วงเวลาสถานการณ์นี้ออกไปอีกหน่อย กลับโงหัวขึ้นมากระซิบเขาว่าให้ตอบรับข้อเสนอที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่นี้ซะ
“เอาสิ เวลาตรงกันแบบนี้ก็ต้องดื่มกันอยู่แล้ว”
“เยี่ยมเลย เราเคยดื่มด้วยกันแค่ตอนสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานเอง มาอยู่ทีมเดียวกันแล้วก็ยังไม่เคยได้ดื่มกันแค่สองคนสักครั้งเลยนี่ นานๆ ทีได้กระชับความสัมพันธ์ก็ดีเหมือนกัน”
ฮาจุนมองจองคยูยกยิ้มอย่างดูดีแล้วยิ้มตาม ช่วงนี้จองคยูก็น่าจะกังวลเรื่องมูคยอมด้วยเหมือนกัน เพราะทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมานาน แถมจองคยูยังเป็นกัปตันทีมอีกต่างหาก
ฮาจุนรู้สึกว่ามันน่าขำนิดหน่อยกับความจริงที่ว่าความกังวลทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยมีสาเหตุจากเขาเพียงคนเดียว เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่รู้สึกว่าตัวเองได้กลายเป็นคนที่มีอำนาจอย่างแรงกล้าถึงขนาดนี้ รู้สึกอย่างกับได้กลายเป็นผู้มีอิทธิพลซึ่งซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด
ทันทีที่การแข่งครึ่งหลังเริ่มขึ้นก็ยิงได้หนึ่งประตู หลังจากนั้น เมื่อผู้ตั้งรับป้องกันได้เป็นอย่างดีจนรักษาคะแนนเอาไว้ได้ ผู้จัดการทีมก็ให้มูคยอมลงสนามในตอนก่อนจบการแข่งขันสามนาที เวลาที่เขาลงสนามสั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่มูคยอมก็ยังไม่สามารถแสดงพละกำลังในการแข่งขันแบบเดิมออกมาให้เห็นได้ แน่นอนว่าความเร็วของเขาตกลง รวมถึงความแม่นยำในการยิงประตูก็ลดลงอย่างเด่นชัด การเคลื่อนไหวก็อืดจนเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทำไมวันนี้เขาถึงไม่ได้รับเลือกให้ลงแข่ง สโมสรคงจะรายงานกับสื่อมวลชลอย่างเหมาะสมว่าเป็นเป็นหวัดหรือไม่ก็จับไข้
ผู้จัดการทีมให้มูคยอมลงแข่งครู่เดียวเพื่อไม่ให้ลืมความรู้สึกของการแข่งไปเท่านั้น และคงไม่ได้คาดหวังอะไรนัก หลังจบการแข่งแล้วจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม การแข่งขันก็จบลงโดยได้รับชัยชนะ บรรยากาศในห้องล็อกเกอร์จึงไม่แย่ ฮาจุนเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องสตาฟ จากนั้นก็ไปขึ้นรถจองคยู จองคยูพูดขึ้นอย่างสดใสร่าเริง
“กินอะไรกันดีล่ะ ฉันเลี้ยงเอง”
“ไม่เป็นไร ฉันก็จะจ่ายด้วย”
“ตอนคนเขาบอกว่าจะเลี้ยงก็ยอมๆ หน่อยเถอะน่า โอกาสใช่ว่าจะมาบ่อยๆ”
“งั้นก็เอาแพงๆ”
ฮาจุนพูดเล่น แต่จองคยูกลับพยักหน้าพร้อมกับเลือกเมนูให้
“ถ้างั้นก็กินเนื้อวัวกัน เวลาหมดแรง เนื้อวัวเนี่ยดีที่สุดแล้ว”
“วันนี้ฉันจะเรียกนายว่าลูกพี่หนึ่งวันแล้วกันนะ”
ยิ้มรับมุกเสร็จ จองคยูก็หัวเราะคิกคักพลางสตาร์ตรถ จุดหมายปลายทางคือร้านเนื้อย่างซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารที่เคยไปสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานทั้งทีมในตอนต้นฤดูกาล ฮาจุนลงจากรถแล้วเดินไปที่ร้าน แต่แล้วก็ชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่งตรงแถวๆ ปากซอยคับแคบ
มันคือจุดที่ผู้จัดการทีมพัคหมดสติไป วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารกับมูคยอม ถึงไม่ได้หันหน้าเข้าหากัน อยู่ใกล้เพียงปลายจมูกแบบนั้น ฮาจุนก็ใจเต้นตึกตักอยู่แล้ว แต่เพราะอีกฝ่ายชมเขาว่า ‘หน้าตาดี’ ด้วยใบหน้าเฉยเมย หัวใจก็เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง แล้วมือสั่นๆ ก็ทำแก้วน้ำหลุดมือเสียได้ ดวงตาของเขาพร่ามัวขึ้นมาเมื่อเห็นภาพเหล้าหกหมดเกลี้ยงจนเจิ่งนองทั่วทั้งโต๊ะ