Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 85
“อืม…”
คงรู้สึกไม่สบายกับน้ำหนักที่ถูกทิ้งลงบนร่างกาย ฮาจุนจึงนิ่วหน้านิดๆ พร้อมกับพลิกตัวทันที มูคยอมไม่ยอมแพ้แล้วคราวนี้ก็ฝังใบหน้าลงตรงหน้าอกของฮาจุน เสียงหัวใจเต้นตึกๆ อย่างรัวเร็วเพราะฤทธิ์เหล้า ถูกส่งผ่านมาถึงเขาทั้งอย่างนั้น
“จริงๆ เลย… ไม่ใช่เล่นเลยนะ โค้ชอี”
กลายเป็นว่าไม่จำเป็นจะต้องทำการค้นหาความจริงที่อยู่ลึกลงไปข้างในใจเกี่ยวกับเรื่องเมื่อสิบปีก่อนของอีฮาจุน โดยดันทุรังให้อีกฝ่ายพูดออกมาจากปากของตัวเองแล้ว มูคยอมพึมพำด้วยเสียงราบเรียบและใบหน้านิ่งเฉย พร้อมกับจ้องมองกำแพงตรงหน้า
กำแพงติดวอลเปเปอร์สีขาวที่เห็นอยู่ข้างเตียง สะอาดสะอ้านไร้รอยขีดข่วนหรือขีดเขียน ไม่มีแม้แต่รอยเดียว แต่คงเพราะเป็นบ้านที่มีอายุยาวนาน โทนสีจึงเปลี่ยนไปขุ่นมัวอย่างช่วยไม่ได้
เวลาผ่านไปทำให้ทุกอย่างแปรเปลี่ยน ไม่ว่าจะไปในทิศทางที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม
ทุกวันบนโลกใบนี้ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงและสั่นคลอน ความจริงข้อนั้นคือสาเหตุที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้ ‘หมอนั่น’ เป็นบ้า
ตั้งแต่สมัยเยาว์วัยที่สุดเท่าที่จำความได้ คนสติไม่ดีที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของเขามักพูดเรื่องเดิมอยู่เสมอ พูดย้ำๆ อยู่นั่นว่าหากละสายตาไปเพียงครู่เดียว แม่ก็จะชายตามองคนอื่น และหากเจอใบเสร็จร้านค้าที่ตนเองไม่รับรู้มาก่อนแค่ใบเดียว ก็จะด่าทอแม่ว่าไปเจอใครถึงได้ซุกมันไว้ เพราะอย่างนั้นแม่ถึงไม่สามารถไปจ่ายตลาดตามใจชอบได้เลยสักครั้ง
ถึงแม้จะยิ้มแย้ม อนุญาตให้ไปพวกงานสังสรรค์ได้เป็นบางครั้ง ทว่าสุดท้ายอารมณ์ก็จะแปรปรวน แม่เตรียมตัวออกจากบ้านเสร็จแล้วก็ยังเข้าไปฉีกทึ้งเสื้อผ้าของแม่ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ตัว หากมีร่องรอยเพียงเล็กน้อยให้เห็นว่าแวะไปร้านอาหารหรือคาเฟ่มา ซึ่งไม่รู้ว่าติดมาจากไหน หรือบางทีเจ้าตัวอาจเอาติดมาด้วย หมอนั่นก็จะตะโกนแหกปาก บอกว่ามันเป็นหลักฐานว่าแม่ไปเจอผู้ชายที่นั่น
พ่อคนนั้นมักจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน แค่หนึ่งนาทีที่แล้วยังยิ้มเหมือนอารมณ์ดี แต่ถ้าจับผิดอะไรได้เล็กๆ น้อยๆ แค่จุดเดียว ก็จะเริ่มทะเลาะตั้งแต่ตอนนั้น ไม่สิ พูดให้ถูกต้องก็คือเริ่มซักไซ้และใช้กำลังเพียงฝ่ายเดียวมากกว่า สุดท้ายก็จบลงในบทสรุปเดิมร่ำไป
‘แกเปลี่ยนไป จะเปลี่ยนไปแน่
ครั้งนี้ยังจับไม่ได้ใช่ไหม แต่ทำเกินหน้าเกินตาแบบนั้นไป สุดท้ายความลับก็จะเปิดเผยเข้าสักวัน
แล้วก็แก แกเองก็เหมือนกัน พวกแกสองคนลองทำแบบนั้นดูสิ ฉันจะฆ่าทิ้งซะ!’
ตอนแรกมูคยอมรู้สึกได้เพียงแค่ความหวาดกลัวเท่านั้น แต่ทันทีที่โตพอจะคิดเองได้ เสียงตะโกนของคนคนนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคำพูดเหลวไหลที่จะไม่มีอีกแล้วบนโลกนี้ และไม่ต่างอะไรกับเสียงเห่าของหมาบ้า ‘แม่ไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ทำไมถึงได้ทำแบบนั้นเหมือนเดิมทุกวี่ทุกวันนะ ไอ้ปีศาจ ไอ้สัตว์ประหลาด อยากให้ไอ้คนบ้านั่นรีบตายไปได้แล้ว ถ้าฉันโตขึ้นกว่านี้อีกหน่อย ฉันจะฆ่ามันก่อนแล้วใช้ชีวิตกับแม่แค่สองคน’
เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เขาเชื่อมั่นว่าตนเองเกลียดชังคนคนนั้นไม่เว้นสักวินาทีเดียว ในระยะเวลาสั้นๆ ของทั้งชีวิตที่อยู่ด้วยกันมา แต่ส่วนหนึ่งของคำพูดที่คนคนนั้นตะโกนเหมือนเดิมทุกวันกลับซึมเข้าไปจนถึงใจกลางของเขาอย่างชัดเจน
ในแต่ละวันตั้งแต่หลังจากที่เขารับรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรต่อฮาจุน เขาก็ได้ยืนยันว่าเสียงของสัตว์ประหลาดตัวนั้นหลงเหลืออยู่ภายในใจเขามากแค่ไหน เพราะการกระทำของเขาที่เคยสงสัยและด่าทอฮาจุนเหมือนกันกับคนคนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน
กระทั่งตอนนี้ก็เหมือนกัน หากมีเครื่องพิสูจน์ว่าเขาครอบครองฮาจุนอย่างสมบูรณ์แบบ เขาก็อาจสติฟั่นเฟือนไปโดยสิ้นเชิงเหมือนหมอนั่นเข้าจริงๆ ไม่ใช่เหรอ
มูคยอมตั้งปณิธานว่าจะไม่กลายเป็นแบบนั้นเด็ดขาด ทว่าคำพูดของปีศาจติดตัวเขาอย่างเหนียวแน่นราวรอยสักที่สักไว้บนร่างกาย จนรู้สึกเหมือนว่ามันจะไม่หลุดออกไปเป็นอันขาด ลูกชายของปีศาจสืบทอดลักษณะนิสัยของปีศาจมา ราวกับคำสาปแช่งที่สืบทอดมารุ่นสู่รุ่น
ถึงแม้ว่าจะรับรู้เรื่องนั้นแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถออกห่างจากอีฮาจุนได้ ตำแหน่งที่ไม่แน่ชัดว่าเป็นคอหรือหน้าอก ร้อนเร่าดังถูกไฟเผาอยู่ทุกวันเพราะความรู้สึกราวถูกขังอยู่ในเขาวงกตไร้ซึ่งทางออก
มูคยอมฟังเสียงหัวใจพร้อมกับทอดมองกำแพงสีขาว แต่จู่ๆ ก็มีมือขยับมาแปะลงบนศีรษะ มือขยับขึ้นมาราวกับรับรู้ได้ถึงน้ำหนักที่ไม่ควรจะมีบนหน้าอก แล้วเริ่มคลำใบหน้าด้านข้างของมูคยอม เขาหลุดออกมาจากห้วงความคิดที่ยุ่งเหยิงราวกับไจไหมอย่างง่ายดาย เพราะสัมผัสจากนิ้วที่ทำให้ใบหน้ารู้สึกจั๊กจี้ มูคยอมยกตัวขึ้นช้าๆ เพื่อให้หน้าอกของอีกฝ่ายเป็นอิสระ
ฮาจุนกำลังปรือตาขึ้นครึ่งหนึ่ง ดวงตาที่ฉายชัดว่ายังไม่ตื่นดี จับจ้องมาทางมูคยอมซึ่งกำลังก้มลงมองตนเอง
“…อะไรน่ะ…”
น้ำเสียงไร้โทนสูงต่ำและยานคางราวกับละเมอ ดังออกมาเป็นคำถาม
‘ทำไมนายถึงมาอยู่ห้องฉันล่ะ’ ฮาจุนกวาดสายตามองมูคยอมอย่างเชื่องช้าด้วยสีหน้างงงวย จากนั้นก็คงสรุปอะไรบางอย่างได้ จึงหัวเราะหึๆ ออกมาอย่างกะทันหัน
มูคยอมเองก็หัวเราะเบาๆ ออกมาให้กับสีหน้านั้น ถึงอีกฝ่ายถามว่าทำไมมาอยู่ที่นี่ หรือไล่เขาออกไปด้วยความโกรธ เขาก็คงไม่มีอะไรจะพูด แต่พอส่งยิ้มมาให้กันจึงรู้สึกขอบคุณไม่น้อย
มูคยอมก้มตัวลงอีกครั้ง ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ แล้วจับมือของอีกฝ่ายขึ้นมาก่อน เมื่อหันหน้าไปประทับริมฝีปากลงบนฝ่ามือข้างนั้น อีกฝ่ายก็หัวเราะคิกคักออกมาโดยไม่รู้ว่ามีอะไรน่าขำ
“จั๊กจี้”
“อีฮาจุน”
“ทำไม”
มูคยอมหลับตาลง
คำที่เขาเคยพูดออกมาจากปากหลายครั้งต่อหน้าฮาจุนจนถึงตอนนี้ แต่พูดไปเรื่อยตามที่สถานการณ์จะพาไปเพื่อให้หลุดพ้นสถานการณ์นั้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่มันลอดออกมานอกริมฝีปากโดยอัตโนมัติราวกับตีรวนขึ้นมาจากในท้อง
“ขอโทษนะ”
ศีรษะของมูคยอมกดต่ำลงไปอีก จนตอนนี้แทบจะพาดร่างกายตัวเองทับเหนือร่างของฮาจุนอยู่แล้ว มูคยอมมุดใบหน้าลงบนพื้นที่ของหมอนที่เหลืออยู่ เลยลำคอของอีกฝ่ายขึ้นไปเล็กน้อย จากนั้นก็กระซิบข้างหูอีกหนึ่งครั้ง
“ขอโทษ”
ขอโทษเรื่องอะไรและขอโทษทำไม ถ้าให้อธิบายที่มาทั้งหมดอย่างละเอียด เขาก็ไม่สามารถพูดจนจบได้ มูคยอมพูดขอโทษสั้นๆ เกี่ยวกับการทำผิดอันเนิ่นนานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทันใดนั้น เสียงอ่อนเปลี้ยเจือเสียงหัวเราะเบาบางก็ตอบกลับมา
“จริงๆ เลย ดูเหมือนว่าช่วงนี้ได้ฟังแต่คำขอโทษจากนาย แม้แต่ในฝันก็เลยยังพูดขอโทษด้วยอีก”
‘ไม่ใช่ความฝันสักหน่อย โค้ชอี
ไม่รู้ล่ะ คิดแบบที่นายอยากคิดเลยแล้วกัน’
“ขอโทษ”
“บอกแล้วว่าไม่เป็นไรไง”
คำที่ตอบกลับมาปนกับเสียงถอนหายใจราวกับเหนื่อยหน่าย ทำให้ครั้งนี้ มูคยอมโพล่งคำพูดที่ขบคิดอย่างถี่ถ้วนและเชื่องช้าออกมาจากปาก ราวกับถูกดันออกมา
“ถ้างั้น… ชอบนะ”
เขารู้สึกได้ว่าคำพูดนั้นทำให้ตัวของฮาจุนชะงักเกร็งขึ้นเล็กน้อย
มูคยอมซึ่งเป็นคนเอ่ยปากเอง ก็เบิกตาโตโดยไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน บริเวณหัวใจเริ่มค่อยๆ รู้สึกสบายขึ้น ราวกับก้อนอะไรบางอย่างร้อนๆ ที่เคยแผดเผาช่วงระหว่างลำคอกับหน้าอก และทำให้เขากินก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับตลอดทั้งช่วงนี้หลุดออกไป
ช่วงแรกหลังเริ่มเล่นฟุตบอล มูคยอมยังคงทิ้งนิสัยเดิมไปไม่ได้และเคยขโมยของครั้งหนึ่ง เขาโกหกเพื่อปิดบังความจริงเรื่องนั้น แต่สุดท้ายก็ถูกจุนซองจับได้ เขาจำความรู้สึกสบายใจอันน่าสิ้นหวังที่ว่าเป็นแบบนี้กลับดีเสียอีก ซึ่งเคยรู้สึกในตอนนั้นได้ ถึงแม้ว่าจะคล้ายคลึงกับในตอนนั้น แต่ก็เป็นความรู้สึกแปลกใหม่อย่างมาก และแตกต่างกับตอนนั้นเช่นกัน
ถึงแม้ว่าจะไม่คุ้นเคยกับมันก็ตาม แต่เขาก็ค่อยๆ ไล่ตามความรู้สึกที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างอย่างนุ่มนวลไป ไม่นาน ฮาจุนที่กำลังฝันอยู่ก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสงบจนฟังดูราบเรียบ
“อื้อ ฉันด้วย”
เป็นน้ำเสียงที่คล้ายกับเวลาตอบคำถามน่าเบื่อของเด็กน้อยตามความเคยชิน ลำคอกับดวงตาของมูคยอมรู้สึกร้อนขึ้นราวกับเป็นหวัดเพราะคำพูดที่ถูกเอ่ยออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขากัดฟันสะกดกลั้นมันไว้ แต่ขนตาล่างกลับเปียกชื้น แล้วสุดท้ายความเปียกนั้นก็ร่วงหล่นลงด้านล่างอย่างเชื่องช้า
ตอนฮาจุนบอกเขาว่าชอบแล้วร้องไห้งอแง ถึงจะดูน่าสงสารนิดหน่อยแต่ก็ยังน่ารัก ทว่าพอตัวเองได้อยู่ในสถานะนั้นเข้าจริงๆ ก็อย่าว่าแต่น่าสงสารและน่ารักเลย คงเหมือนคนโง่เง่าด้วยซ้ำ คำพูดที่ว่าใครทำอะไรก็ได้แบบนั้น เป็นคำที่มีไว้เพื่อเขาหรือเปล่านะ
มูคยอมมุดใบหน้าลงตรงใกล้ๆ ลำคอของอีกฝ่ายไม่เลิกและไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้ แต่เพราะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก มูคยอมจึงยกหน้าขึ้นแวบหนึ่ง ฮาจุนพึมพำด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มราวกับเคอะเขิน
“อ่า… พรุ่งนี้ฉันต้องซื้อหวยแล้วละ เพราะดื่มเหล้ามากไปหรือเปล่านะ ฝันแบบนี้ครั้งแรกเลย”
‘มีสติอยู่หรือเปล่าเนี่ย เรื่องที่อีฮาจุนฝันถึงคิมมูคยอมตอนนี้ มันเป็นฝันที่น่าเอาไปซื้อหวยตรงไหนกัน’ มูคยอมรู้สึกอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาโดยไม่จำเป็นจึงพูดอีกหนึ่งครั้ง
“ชอบนะ”
“นายชอบฉันเหรอ”
“อีฮาจุน ฉันชอบนาย ชอบจริงๆ มากๆ”
ตอนยั่วยวนคนอื่นก่อนจะไปมีเซ็กส์กัน เขาสามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่านี้ แต่พอถึงเวลาที่ตั้งใจจะบอกว่าชอบเข้าจริงๆ ดันพูดออกมาได้แค่คำพูดออดอ้อน
ฮาจุนหัวเราะหึๆ แล้วหันหน้าไปด้านข้างราวกับไม่อยากจะเชื่อ
“ฝันแบบเห็นลึกลงไปในใจเลยนะเนี่ย…”
ฮาจุนคิดไปเองว่าการสารภาพรักของมูคยอมเป็นความฝัน สีหน้าของฮาจุนครึ่งหนึ่งปรากฏให้เห็นวี่แววของการล้อเล่น ทั้งที่ตาปิดลงไปแล้วด้วยความง่วงงุน ถึงอย่างนั้น มูคยอมก็ไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างง่ายดาย ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน เป็นความจริง หรือบอกให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมามองเขาตรงๆ ฮาจุนซึ่งอยู่ตรงหน้าเขาดูสบายใจอย่างแท้จริงแบบที่ไม่ได้เห็นมานาน เมื่ออยู่ในความฝันที่เจ้าตัวคิดไปเอง
ถึงจะคิดว่าเป็นความฝันก็เถอะ แต่ยังตอบเขาว่า ‘ฉันด้วย’ ได้ยังไงกัน ถึงเขาจะไม่ได้จงใจพูดพล่ามเพื่อหวังให้เจ็บปวด แต่เขาก็ทดสอบจิตใจของฮาจุนและเอาแต่เพิกเฉยมาตลอดแท้ๆ
ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ถึงมูคยอมจะรู้สึกยินดีกับความจริงที่ว่าฮาจุนมีเขาอยู่ในใจ แต่เขาก็มักสงสัยว่ามันอาจเป็นความรู้สึกจอมปลอมที่จะเปลี่ยนไปในเวลาไม่นานก็ได้ เขาขยะแขยงตัวเองที่คิดแบบนั้น และแม้ว่าเขาจะผลักไสฮาจุนออกไปแล้ว แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ก็กลัวว่าความชื่นชอบนั้นจะจากเขาไปจริงๆ เหมือนกัน
ขนาดตัวเขาเองยังคิดว่ามันน่ารังเกียจถึงที่สุด แต่ฮาจุนยังตอบเขามาแบบนั้นได้ยังไง
“โค้ชอีของพวกเรา…”
“จะบอกว่ากินเก่งเหรอ”
เหมือนพูดออกไปแค่ไม่กี่ครั้ง แต่คงเพราะจำคำที่เขาเคยบอกว่ากินเก่งได้ ฮาจุนจึงตอบกลับมาทันที
ฮาจุนพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า เมื่อประทับริมฝีปากลงบนปากของฮาจุนเบาๆ ตอนนั้นฮาจุนถึงได้ลืมตาขึ้น ดวงตาฉ่ำเยิ้มและมึนเบลอเนื่องมาจากความเมามายและความง่วงงุนเบิกกว้างขึ้นในชั่วขณะ
“อะไร นายร้องไห้เหรอ”
ฮาจุนพูดอย่างรวดเร็วราวกับตกใจพร้อมทั้งเลิกคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาแตะลงตรงใต้ตาของมูคยอม ทว่าไม่นาน รอยยิ้มขมขื่นเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ก็ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของฮาจุน เป็นเพราะว่าเขายังคงอยู่ในห้วงความฝัน
เมื่อปลายนิ้วของฮาจุนที่เคยสัมผัสตรงขอบตาขยับมาลูบไล้ริมฝีปากของมูคยอม ดวงตาของฮาจุนก็หรี่ลงแวบหนึ่ง ดวงตาของอีกฝ่ายเซ็กซี่ คราวนี้มูคยอมจึงประทับริมฝีปากลงบนเปลือกตา ฮาจุนยังคงมึนค้างอยู่เนื่องมาจากเหล้าและการหลับใหล เพราะอย่างนั้น ถึงมูคยอมจะทำแบบนี้ไป อีกฝ่ายก็ไม่ได้ผลักออก มูคยอมรู้สึกเอ็นดูสีหน้าที่มึนงงเล็กน้อยจากการประทับริมฝีปากของเขา
ฮาจุนมักจะพกสมุดโน้ตไปไหนมาไหนและจดบันทึกเรื่องการฝึกซ้อมในแต่ละวันอย่างตั้งใจ เขาไม่ใช่ทีมรักษาพยาบาลหรือนักกายภาพบำบัดจึงไม่จำเป็นจะต้องมุ่งมั่นทำอะไรกับสภาพร่างกายนักกีฬาเลย แต่ทุกครั้ง เขาก็จะพาตัวเองไปสังเกตสภาพร่างกายนักกีฬาโดยตรง อีกทั้งยังคลายกล้ามเนื้อให้ เมื่อได้รับวันพักร้อนอย่างจุใจถึงสิบวัน เขาดันกลับมาทั้งที่ผ่านไปแค่ห้าวันเท่านั้น เป็นโค้ชอีผู้ขยันและจริงใจ
เขาคนนั้นสั่งสมความรู้สึกภายในใจมาสิบปี ซ้อนทับมันขึ้นไปเป็นปราสาทโดยไม่มีใครรู้ ถ้าหากได้เห็นทิวทัศน์ของปราสาทนั้น ไม่ว่าใครก็ต้องประทับใจแม้ไม่ใช่คิมมูคยอมผู้เป็นตัวเอก หากไม่ชื่นชมก็คงจะทนไม่ไหว
“โค้ชอีของพวกเราน่ะ หน้าตาดีจริงๆ เลย…”
“…”
“แถมยังเท่ น่ารัก ใจดี จริงใจ ฉลาด เข้มแข็ง แล้วก็เซ็กซี่อีกต่างหาก… ตัวคนเดียวก็สมบูรณ์แบบขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงมาชอบคนแบบฉันได้นะ”
ตอนมูคยอมพูดจบ ขอบตากับแก้มของฮาจุนก็แดงเรื่อ แม้ถูกชมในความฝันก็ยังเขินหรือไงนะ แต่ถึงอย่างนั้น สีหน้าก็ยังบึ้งตึง ฮาจุนกะพริบตาอย่างเชื่องช้าพร้อมกับเงยหน้ามองมูคยอม จากนั้นก็ตอบกลับหน้ามุ่ย
“นายพูดอะไรเนี่ย… ลองไปถามคนที่เดินผ่านไปมาสักร้อยคนดูสิ ว่านายสมบูรณ์แบบ หรือว่าฉันสมบูรณ์แบบกันแน่”
เป็นแค่คนที่เดินผ่านไปมา เพราะฉะนั้นย่อมรู้เพียงภาพลักษณ์ที่แสดงให้เห็นอยู่แล้ว การแสร้งทำเป็นเท่ ทำเป็นเข้มแข็ง ทำเป็นดีเลิศ และทำเป็นคนไร้ซึ่งข้อบกพร่อง การกระทำแบบนั้นคือตัวตนของคิมมูคยอมทั้งชีวิต
มีบางส่วนที่มูคยอมอยากปกปิดเอาไว้ แต่เขาก็รู้ดีว่าคนอื่นภาคภูมิใจในตัวเขา อีกทั้งเขายังมีภาพลักษณ์ที่พอจะโอ้อวดได้เยอะ ตัวเขาเองก็พึงพอใจในส่วนนั้นเหมือนกัน การแสดงให้คนที่รู้จักเพียงผิวเผินได้เห็นเพียงด้านนั้นด้านเดียว ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการทำงาน แต่ต้องทำแบบนั้น ความรู้สึกของเขาถึงจะดีขึ้นด้วย
‘แต่อีฮาจุน นายเห็นตัวฉันที่ไม่ได้เป็นแบบนั้นมาเยอะจนมากเกินไปด้วยซ้ำ’
“ฉันเป็นผู้ชายที่ยังบกพร่องอยู่เยอะ โค้ชอีก็รู้นี่”
“แหงอยู่แล้วสิ นายมันไม่ได้เรื่อง ฉันรู้มาตั้งแต่เมื่อก่อนว่านายเห็นแก่ตัวแล้วก็นิสัยไม่ดี แต่พอได้ใช้เวลาใกล้ชิดกัน นายกลับไม่เอาใจใส่คนอื่นยิ่งกว่าที่คิดอีก… แถมยังขี้บังคับแล้วก็อารมณ์แปรปรวนง่ายด้วย”
เขาเห็นด้วยเต็มร้อย แต่พอฮาจุนหยิบยกตัวเขาขึ้นมาตำหนิเข้าจริงๆ น้ำเสียงเศร้าสร้อยก็ถูกเปล่งออกมาโดยอัตโนมัติ
“ก็เลยไม่ชอบเหรอ”
“เวลานายทำแบบนั้นก็โกรธอยู่หรอก… แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบ…”
“ชอบตรงไหนของฉันล่ะ”
“ไม่รู้ ช่วงนี้ฉันก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกัน… มองหน้านายแล้วก็ชอบหรือเปล่านะ”
“หน้าเหรอ ชอบส่วนไหนบนหน้าฉันที่สุด”
“ก็ดูดีหมดเลยนะ จมูกกับหน้าผากละมั้ง คางนายก็สวยดี”
ฮาจุนตอบกลับครบทุกคำถามในบทสนทนาที่ดำเนินไปอย่างน่าสนใจ แล้วเขาก็หัวเราะหึๆ ขึ้นมาซะอย่างนั้น
“เรื่องที่ดีกว่าที่เคยคิดไว้ก็เยอะ”
“…เรื่องไหนล่ะ”
“นายทำดีกับฉันบ่อยเหมือนกันนี่ เงินก็ใช้เยอะ ฉันยังไม่เคยใช้เงินกับเรื่องนายแม้แต่ร้อยวอน แต่นายใช้เงินกับเรื่องฉันกว่าสิบล้านวอนเข้าไปแล้ว”
ฮาจุนคำนวณเงินแม่นยำกว่าที่เห็น ถ้าจุดที่ฮาจุนคิดว่ามันเป็นเสน่ห์ในตัวเขา คือความร่ำรวยล่ะก็ เขาดึงดูดอีกฝ่ายให้หนักแน่นกว่านี้อีกสักนิดก็น่าจะดีเหมือนกัน
“ฉันมีดีแค่เงินเท่านั้นล่ะ ยังไม่ได้ใช้ไปเยอะอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”
“ทำไมแม้แต่ในฝัน นายก็ยังอวดดีได้นะ…”
‘ไม่ใช่แบบนี้หรอกเหรอ’
มูคยอมปิดปากเงียบเพราะรู้สึกเหมือนว่าถ้ายิ่งพูดก็จะมีแต่คะแนนลดลง คราวนี้เขาประทับริมฝีปากลงบนแก้มของฮาจุน ‘จุ๊บ’ ฮาจุนได้รับจูบที่เกิดเสียงแผ่วเบานั้น แต่ก็ไม่ได้ผลักมูคยอมออก บางทีคงเป็นเพราะคิดว่าอยู่ในความฝัน
วันที่ปฏิเสธคำสารภาพรักของฮาจุน ฮาจุนร้องขอให้เขากอดและจูบตอนอยู่บนเตียงเดียวกัน ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถร้องขอเรื่องเดียวกันได้หรือเปล่า เพราะสถานะของเราแตกต่างกัน แต่ไม่ว่ายังไง ในตอนที่ฮาจุนยอมรับสัมผัสจากเขาเพราะคิดว่านี่คือความฝัน การลองขออะไรสักอย่างดูก็น่าจะเป็นการกระทำที่หลักแหลมทีเดียว
“กอดหน่อยได้ไหม”
“ถามอะไรเนี่ย”
พอได้ยินน้ำเสียงเพิกเฉย มูคยอมก็ยิ้มอย่างขมขื่นขึ้นมา เพราะแยกไม่ออกว่ามันเป็นการแสดงความเห็นชอบว่าได้อยู่แล้ว หรือมันเป็นการตำหนิว่าป่านนี้แล้ว ยังจะถามอะไรทุกเรื่องเหมือนไม่เคยไปได้
เมื่อกางแขนออก ถึงจะไม่ได้พูดอะไรอย่างอื่นอีก แต่ฮาจุนก็ตะแคงข้างหันมาโอบแขนไปด้านหลังของมูคยอม แล้วดึงตัวเขาไปซุกในอ้อมกอด ทั้งร่างกายที่ดึงไปกอด ทั้งเตียงที่เขานอนอยู่ ทุกที่ต่างมีกลิ่นของฮาจุนโชยออกมา กลิ่นที่เหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล กระทั่งกลิ่นกายอบอวลก็ยังคล้ายกับฮาจุนผู้เสมอต้นเสมอปลาย
‘จูบได้ไหม’
เขาตั้งใจจะถามออกไปแบบนั้น แต่ก็ล้มเลิก อีฮาจุนในห้วงความฝันจะต้องตอบว่าได้อย่างแน่นอน แต่พอนึกถึงฮาจุนตอนรับจูบจากเขาบนรถเมื่อครู่นี้แล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ พร้อมบอกว่าค่อยทำคราวหน้า ไม่รู้ทำไม มูคยอมจึงไม่สามารถพูดคำนั้นออกมาได้
ฮาจุนวัยสิบหกปีในตอนที่เริ่มชอบเขา วันส่วนใหญ่ใช้ไปกับการสวมเครื่องแบบนักเรียนไปโรงเรียน เรียนคาบเช้าไม่กี่ชั่วโมงแล้วตลอดทั้งบ่ายก็เข้าร่วมการฝึกซ้อม เป็นวันเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานจนเลือนรางอยู่ในความทรงจำตอนนี้
เป็นช่วงเวลาที่มูคยอมคุ้นเคยกับการเตะฟุตบอลไปพร้อมๆ กับได้ยินคนบอกว่าเป็นอัจฉริยะ และเข้าออกบ้านของจุนซองเป็นประจำ อีกทั้งยังเป็นช่วงเวลาผ่านมาประมาณหนึ่งปีหลังหนีออกมาจากสถานที่สกปรกราวคอกหมู