Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 93
แรงเชียร์ที่อัดแน่นทั่วทั้งสนามอยู่แล้วแม้ไม่ได้ยิงลูกนั้น แปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องตะโกนดังสนั่นหวั่นไหว มูคยอมชิงคะแนนแรกของเกมมาได้ จากนั้น ทีมฝ่ายตรงข้ามที่เริ่มฟอร์มแตกกระเจิงก็เสียประตูให้อีกหนึ่งคะแนนเมื่อผ่านครึ่งแรกมาได้สี่สิบนาที การแข่งขันครึ่งแรกจบลงด้วยคะแนนสองต่อศูนย์ ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ต้องพยายามให้ถึงตอนสุดท้ายถึงจะรู้ผลก็จริง แต่ถ้าเป็นแบบนี้ การแข่งก็คงจะดำเนินไปได้อย่างไม่จำเป็นต้องกังวล
ช่วงพักครึ่ง พวกนักกีฬากรูกันเข้ามาในห้องล็อกเกอร์เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและเติมน้ำให้กับร่างกาย ส่วนบางคนก็ยุ่งอยู่กับการพันเทปหรือไม่ก็พ่นสเปรย์ตรงจุดที่รู้สึกปวดหรือไม่ก็ใช้งานหนักเกินไปหน่อยในครึ่งแรก มูคยอมเองก็เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วแล้วติดปลอกแขนลงบนแขนอีกครั้ง จากนั้นจึงเริ่มเดินวนรอบๆ พร้อมสังเกตท่าทีพวกนักกีฬา
“เมื่อกี้ตรงที่ถูกเตะเป็นไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรครับ แค่เฉียดๆ น่ะครับ”
ฮาจุนผู้ซึ่งพันเทปลงบนขาของนักกีฬาคนหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมาส่งสายตามองตามบทสนทนาที่ได้ยินมาจากด้านข้างโดยไม่ได้ตั้งใจ มูคยอมกำลังเอ่ยปากพูดกับนักกีฬาคนหนึ่งที่โดนเข้าแย่งลูกบอลในการแข่งครึ่งแรก
ไม่สามารถพูดได้ว่า ไม่รู้สึกถึงความเป็นเอกลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับความหลงตัวเองของจอมเผด็จการซึ่งกำลังมองพิจารณาประชาชนของตัวเองจากท่าทางนั้น แต่เมื่อเทียบกับตอนที่มูคยอมมักจะนั่งอยู่คนเดียวในเวลาพักครึ่งเพื่อทำสมาธิสำหรับครึ่งหลัง กำลังใจของทีมกลับเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งตัวมูคยอมเองก็ดูสบายใจขึ้นด้วย ตามที่แชฮุนพูด ดูเหมือนว่าการติดปลอกแขนจะส่งผลในแง่ดีมากจริงๆ
ในขณะที่กำลังคิดแบบนั้น ฮาจุนก็จับจ้องไปทางมูคยอมอย่างต่อเนื่อง ต่างกับความตั้งใจที่จะละสายตาออกมาในเวลาสั้นๆ มูคยอมหันหน้ามาสบตากันอย่างกะทันหันราวกับรับรู้ถึงสายตาของเขา
ฮาจุนสะดุ้งเบาๆ ครั้งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว แต่ก็พันเทปที่ทำค้างไว้จนเสร็จด้วยสีหน้าเฉยเมย จากนั้นก็เดินไปหามูคยอมแล้วตรวจดูสภาพอีกฝ่าย
“นายไม่มีตรงไหนเป็นปัญหาใช่ไหม”
ก่อนยิงลูกโทษ มูคยอมก็ถูกแย่งลูกแบบผิดกติกาจนล้มกลิ้งไปกับพื้นสนามครั้งหนึ่ง เพราะอย่างนั้นบางทีก็อาจมีจุดที่รู้สึกปวดสักเล็กน้อยก็ได้ แต่มูคยอมก็ส่ายหน้าให้กับคำถามของฮาจุน
“ปกติดี”
ฮาจุนคิดว่าโล่งอกไปทีพร้อมกับพยักหน้า ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากเช็กตรงจุดที่โดนกระแทกเมื่อครู่นี้สักครั้ง เขาจึงจับมูคยอมนั่งลงบนเก้าอี้แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าอีกฝ่าย
“จุดที่โดนกระแทกคือตรงนี้ใช่ไหม”
ในขณะที่กำลังวิ่งเลี้ยงบอลไปทางโกล ฝ่ายตั้งรับฝั่งเลบานอนก็เตะเข้าที่หน้าแข้งส่วนล่างของมูคยอมจนล้ม ปรากฏว่าเท้าของฝ่ายนั้นไม่โดนลูกบอลเลย และเป็นการทำฟาวล์โดยเล็งไปแค่ตรงขาของตัวรุกในเขตโทษ เพราะอย่างนั้นนักกีฬาคนดังกล่าวจึงได้รับใบเหลือง ส่วนมูคยอมก็ได้รับโอกาสในการยิงลูกโทษและทำคะแนนแต้มแรกของการแข่งได้
“พอนายกดก็เจ็บนิดๆ เหมือนกันนะ”
มูคยอมพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่หัวคิ้วของฮาจุนกลับย่นเข้าหากันเล็กน้อย เพราะไม่ใช่ส่วนข้อต่อ ถ้าไม่ถึงขั้นกระดูหักก็ไม่น่าเกิดปัญหาระยะยาวถึงขั้นมีผลกระทบอะไร แต่รอยแดงช้ำกลับเริ่มแผ่ลามแล้ว การโจมตีเพื่อแย่งบอล เบี่ยงออกไปจากตรงที่มีปลอกรัดขาอย่างแปลกประหลาด
สมัยเป็นนักกีฬา ฮาจุนเกลียดการแย่งบอลแบบฝ่าฝืนกฎ การกระทำที่โจมตีขาคนที่กำลังวิ่ง มีจุดประสงค์ชัดเจน และต่อให้บอกว่ามันไม่ได้ลุกลามไปเป็นอาการบาดเจ็บใหญ่โตอะไร นั่นก็เป็นเพียงผลที่เกิดจากความโชคดีเท่านั้น ทำพฤติกรรมแบบนี้ซึ่งไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บแบบไหนกับเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกันเนี่ยนะ
คงไม่ถึงกับจำเป็นต้องจัดการอะไรเป็นพิเศษ แต่อย่างน้อยก็ทายาลดอาการฟกช้ำไว้น่าจะดีกว่า ฮาจุนลุกขึ้น
“นั่งอยู่ตรงนี้สักเดี๋ยวนะ”
ในขณะที่ทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวาย ฮาจุนก็ไปรับยาทาสำหรับรอยช้ำมาจากสมาชิกทีมรักษาพยาบาลแล้วกลับมาที่เดิม เพราะไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงกับต้องไปรบกวนทีมพยาบาล มูคยอมดึงถุงเท้าข้อยาวที่สวมตอนแข่งลง และยังนั่งอยู่ตรงที่เดิมอย่างสงบเสงี่ยมตามคำสั่งของฮาจุน
ฮาจุนลดตัวลงอีกครั้งแล้วบีบยาทาสีขาวขุ่นลงจนเต็มปลายนิ้วข้างซ้าย รอยช้ำบริเวณระหว่างน่องกับข้อเท้าเริ่มสีเข้มขึ้น ฮาจุนกดนวดลงตรงนั้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะถามถึงจุดอื่นว่าไม่เป็นอะไรใช่หรือเปล่า
“จุดอื่น…”
แต่แล้ว ฮาจุนก็ลืมเลือนไปชั่วขณะว่าตัวเองตั้งใจจะพูดว่าอะไร เขาค่อยๆ หยุดมือที่ทายาทั้งที่สบตากับมูคยอม
ตัวของฮาจุนแข็งทื่อราวกับเหยื่อที่สบตาเข้ากับสัตว์ร้าย คิดว่าเห็นตั้งกี่ครั้งจนชินแล้วเสียอีก แต่ดวงตาคู่ที่ไม่ได้มองมานานมากในช่วงล่าสุดมานี้ กำลังจ้องมาที่เขาเขม็งราวกับจะเจาะให้ทะลุ แววตาร้อนแรงและเจิดจ้าของมูคยอมผู้ซึ่งกำลังลิ้มรสชาติแห่งชัยชนะ เหมือนกำลังมีไฟลุกโหมอยู่ด้านหลังรูม่านตาคู่นั้น
ทันทีที่จบการแข่งต้องทำให้ได้ นั่นคือสัญญาระหว่างเขากับมูคยอมที่เคยทำกันไว้ในช่วงเวลาหนึ่ง
มูคยอมเคยบีบบังคับเขาให้กลับมามีความสัมพันธ์แบบคู่นอนกันอีก แต่ในช่วงเวลาเพียงคืนเดียวกลับเปลี่ยนคำพูดจากหน้ามือเป็นหลังมือ แล้วตอนนี้ก็ยืนกรานว่าถ้าไม่ได้เป็นแฟนก็ไม่เอา แต่ต่อให้พูดแบบนั้น ก็ไม่ใช่ว่าจู่ๆ มูคยอมจะกลายเป็นคนอื่น
ความเคยชินในความปรารถนาซึ่งน่าจะติดอยู่ในร่างกายของมูคยอมมาอย่างเนิ่นนาน ก็ไม่มีทางที่จะแปรเปลี่ยนไป
“…จุดอื่นไม่มีตรงไหนที่เจ็บแล้วใช่ไหม”
ฮาจุนพูดต่อแบบนั้นอย่างยากลำบาก แล้วก้มหน้าลงไปหาน่องของอีกฝ่ายเพื่อหลบตา
“ไม่มีตรงไหนเจ็บแล้ว”
ความร้อนรุ่มที่แฝงอยู่ในเสียงทุ้มต่ำนั้น ฮาจุนก็รู้สึกได้
อีกฝ่ายกำลังบอกว่าไม่มีตรงไหนเจ็บแต่มีปัญหาอย่างอื่นหรือเปล่า ร่างกายแข็งเกร็งขึ้นเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ตรงไหนสักแห่งระหว่างหูกับคางก็ทำท่าจะร้อนวูบวาบขึ้นราวกับเป็นหวัด
“ถ้าทุกคนเตรียมพร้อมเสร็จแล้วก็รวมตัวกันด้านนี้!”
ในตอนนั้น ผู้จัดการทีมก็ปรบมือพร้อมกับเรียกรวมตัวนักกีฬา ฮาจุนเก็บมือที่ยังคงวางอยู่บนน่องของอีกฝ่าย มูคยอมถอนหายใจเบาๆ จนแทบไม่ได้ยินแล้วจึงดึงถุงเท้าให้กลับเข้าที่
ฮาจุนดันร่างกายที่เคยนั่งคุกเข่าให้ลุกขึ้นตัวตรง ใบหน้าที่ยกยิ้มเบาบางจนแทบจะเหมือนใบหน้าปกติของมูคยอมเข้ามาสู่สายตา กระทั่งรอยยิ้มนั้นก็ดูไม่หนักแน่นราวกับใช้มันเป็นเปลือกหุ้มสีหน้าของสัตว์ร้ายไว้อย่างยากลำบาก
…เขาไม่เคยบอกมูคยอมว่าไม่ได้มาตั้งแต่แรก อีกฝ่ายพูดเรื่องสภาพร่างกายย้ำๆ พร้อมกับยืนกรานว่าจะต้องมีเซ็กส์กับเขาให้ได้ เพราะอย่างนั้น เขาจึงบอกความคิดเห็นของตัวเองไปอย่างแน่ชัดแล้ว ว่าไม่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่จะเป็นยังไง เขาก็จะทำตามที่อีกฝ่ายต้องการจนกว่าจะถึงวันกลับ เขาไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนั้นด้วยความสบายใจเลยแม้แต่น้อย
พวกนักกีฬาต่างกำลังหันหลังยืนฟังคำสั่งสำหรับการแข่งครึ่งหลังของผู้จัดการทีม ฮาจุนมองดูภาพนั้นด้วยกันกับสตาฟคนอื่นๆ เวลาลงสนามใกล้เข้ามาแล้ว ก่อนที่พวกนักกีฬาจะออกไปสู่สนาม พวกโค้ชก็มุ่งหน้าไปยังทางออกสนามเพื่อไปตรงม้านั่งแล้วเตรียมพร้อมเกี่ยวกับการแข่งล่วงหน้ากันก่อน
“โค้ชอี เดี๋ยวสิ”
ในตอนนั้น มูคยอมก็เรียกฮาจุนให้หยุด ก่อนที่จะทันได้ตอบอะไร มือของมูคยอมก็คว้าแขนของเขาไว้แล้วดึงไปทางฝั่งตัวเอง
ฮาจุนตกใจแล้วหันมองรอบข้าง แต่ไม่มีใครสนใจพวกเขาเลยแม้แต่คนเดียว เดิมทีการสวมกอดและหยอกล้อคนโน้นทีคนนี้ที เป็นเรื่องปกติประจำวันของพวกนักกีฬา เป็นเพียงความร้อนตัวไปเองเท่านั้น หากแค่ยืนใกล้กันหรือโอบกอดแบบธรรมดาๆ ก็ไม่มีใครสนใจเลยแม้แต่น้อย มูคยอมลดเสียงลงถามอย่างรวดเร็วราวกับกระซิบ เสียงของเขาทุ้มต่ำและแผ่วเบา ทว่าอัดแน่นไปด้วยความร้อนรุ่ม
“ในครึ่งหลังฉันก็อยากได้กำลังใจน่ะ”
“…”
“กอดหน่อยได้ไหม”
“ดึงคนอื่นเขามาแล้ว ยังจะถามอะไรอีก”
ฮาจุนทำเป็นเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่มูคยอมก็เพียงแค่หัวเราะหึๆ อย่างเก้อเขินให้กับคำตอบที่ดูหนักใจพอสมควร จากนั้นก็โอบแขนรอบเอวด้านหลังของฮาจุนและก้มหัวลงเล็กน้อยเพื่อเคลื่อนใบหน้าลงไปใกล้บริเวณลำคอ
ไม่ได้เป็นการกระทำเหมือนตอนอยู่กันแค่สองคน ที่มักจะกดใบหน้าและฝังจมูกลงบนผิวเนื้อ แต่เมื่อมูคยอมสูดลมหายใจลึกราวกับสูดดมกลิ่นกายของเขา ลมหายใจที่คนอื่นไม่รู้สึกถึงมัน ก็แตะลงบนผิวของฮาจุนให้เขาได้รู้สึกอย่างว่องไว
ด้านหลังคอรู้สึกสะท้านราวกับขนลุก ภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปชั่วขณะราวกับคนมีอาการโลหิตจาง แต่แขนของมูคยอมรองรับด้านหลังของเขาไว้ ฮาจุนจึงสามารถประคองตัวเองอยู่ได้อย่างมั่นคง
ในความเป็นจริง ช่วงเวลาที่มูคยอมกอดฮาจุนแล้วเอียงใบหน้ามาใกล้ๆ คอของเขา น่าจะเป็นชั่วขณะสั้นๆ ไม่ถึงห้าวินาทีดีด้วยซ้ำ เพราะมูคยอมคลายแขนออกก่อนที่พวกสตาฟจะออกไปด้านนอกจนหมดแล้วเสียอีก
“ครึ่งหลังฉันก็จะเล่นให้เต็มที่นะ”
มูคยอมใช้ฝ่ามือตบหลังของคนที่ตนดึงเข้ามากอดเบาๆ ทำทีเหมือนเป็นการสวมกอดแบบไม่มีอะไรแอบแฝง จากนั้นจึงวิ่งไป ฮาจุนก็รีบเดินออกจากทางออกไปตรงสนามตามคนอื่นๆ แล้วมุ่งหน้าไปยังที่ของตัวเอง ผู้คนที่ลุกออกจากที่ไปครู่หนึ่ง ทยอยกลับมานั่งตรงที่เดิมทีละคนสองคนจนเต็มสนามกีฬาอีกครั้ง เวลาผ่านไปไม่นาน พวกนักกีฬาก็เดินออกมาจากอุโมงค์ พร้อมกันกับที่การแข่งขันครึ่งหลังเริ่มต้นขึ้น
ฮาจุนกางสมุดโน้ตถือไว้ ยังเป็นเรื่องไม่แน่นอนว่าจะได้เข้าร่วมเป็นสตาฟทีมชาติอย่างเป็นทางการหรือไม่ แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ตอนได้อยู่ที่เดียวกันกับทีมชาติก็ต้องทำให้ดีที่สุด
ฮาจุนบันทึกเรื่องทุกเรื่องของนักกีฬาทีมซิตี้โซลและเอาใจใส่อย่างละเอียด อย่างเช่นเรื่องรูปแบบการเล่นของทีม ความเคยชินในเวลาแข่งขัน การเปลี่ยนแปลงในแต่ละการแข่งขัน และคุณสมบัติเฉพาะทางร่างกาย เขาคิดที่จะจดบันทึกเรื่องต่างๆ พวกนั้นของนักกีฬาทีมชาติด้วยเช่นกัน
ฮาจุนดูการแข่งขันอย่างตั้งใจ พร้อมกับจดอย่างขมักเขม้นอยู่เรื่อยๆ เช่นเดียวกันกับตอนแข่งครึ่งแรก แต่แล้วในชั่วขณะหนึ่ง การเขียนของเขาก็เชื่องช้าลงและหยุดไปในที่สุด ฮาจุนมองกระดาษโน้ตสีขาวแล้วจมอยู่ในห้วงความคิด ใบหน้าของเขาหันไปทางมูคยอมซึ่งกำลังวิ่งอย่างแข็งขันเหนือสนามหญ้า
ดวงตาสีดำมองไล่ตามการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา แต่ก็เป็นเพียงครู่เดียวเท่านั้น ฮาจุนจับปากกาให้ถนัดมืออีกครั้งแล้วเขียนจุดลงตรงท้ายประโยคที่เขียนมาอย่างต่อเนื่อง การแข่งขันดำเนินไปโดยไม่มีตัวแปรยิ่งใหญ่อะไรและไร้ซึ่งสถานการณ์พลิกผัน เมื่อการแข่งครึ่งหลังผ่านไปได้สี่สิบนาที มูคยอมก็ทำประตูได้อีกหนึ่งคะแนน จึงทำให้คะแนนทิ้งห่างออกไปอีก จากนั้นการแข่งขันก็จบลงด้วยคะแนนสามต่อศูนย์ นับเป็นชัยชนะอันสมบูรณ์แบบ
* * *
รถบัสที่ขับให้พวกนักกีฬาทีมชาติ เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวไปด้วยความดีใจในชัยชนะ มูคยอมผู้ได้รับตำแหน่งกัปตันครั้งแรกหลังจากมาเป็นนักกีฬาอาชีพ ทันทีที่นั่งลงบนเบาะก็เปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นอย่างรอต่อไปไม่ไหว ปกติแล้วเขามักจะตรวจเช็กกระแสตอบรับการแข่งขันหรือข่าวที่เกี่ยวข้องตอนอยู่คนเดียวที่บ้าน แต่วันนี้เขากลับใจร้อนขึ้นมานิดหน่อย
หน้าหลักของเว็บไซต์ขึ้นแบนเนอร์เขียนว่า ทีมชาติเกาหลีเอาชนะเลบานอนไปได้ด้วยคะแนนสามต่อศูนย์ เมื่อกดเข้าไป คอมเมนต์ของผู้คนที่ดูการแข่งขันแล้วเขียนไว้ก็ปรากฏขึ้นมาเป็นแถว
‘*******
คิมมูคยอม555 กัปตัน55555’
เริ่มตั้งแต่คอมเมนต์แรกสุดที่เข้ามาสู่สายตาก็ไม่ถูกใจเขาเสียแล้ว มูคยอมเพียงแค่เลิกคิ้วแล้วเลื่อนหน้าจอลง
‘*******
ถึงอย่างนั้นก็มีความเป็นผู้นำยิ่งกว่าที่คิดนะ นึกว่าจะเป็นพวกสนแต่ตัวเองคนเดียวซะอีก’
‘*******
ดูท่าจะชอบที่ได้ติดปลอกแขนนี่’
ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งไม่ชอบใจมากขึ้น มูคยอมเลื่อนหน้าจอลงต่อๆ กันพรวดเดียว แล้วจู่ๆ คอมเมนต์หนึ่งก็เข้ามาสู่สายตาของเขา
‘*******
วันนี้ชนะก็จริง แต่ใช้แผนกองหน้าตัวหลอกไม่ได้ผล คิมมูคยอมต้องมองภาพให้กว้าง ไม่มีใครคอยส่งบอลให้กองกลางกับกองหลังด้วย’
แล้วก็ข้างล่างนั้น
‘*******
ตอนมีอีฮาจุนอยู่ด้วยน่ะดีเลย บอลขวางตอนศึกอุรุกวัยครั้งที่แล้วอย่างกับภาพฝัน TT’
มูคยอมไม่เลื่อนหน้าจอลงต่อแล้วจ้องไปตรงคอมเมนต์นั้นเพียงอันเดียว จากนั้นก็ปิดหน้าจอ สายตาของเขาจับจ้องไปทางด้านข้างโดยอัตโนมัติ ฮาจุนซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างเพียงแค่สอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ไม่หลอมรวมเข้าไปในบรรยากาศเสียงดังโวยวาย และมีท่าทีเหมือนกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเองเงียบๆ คนเดียว
ทีมชาติใช้เทรนนิ่งเซ็นเตอร์ในเมืองพาจูเป็นสถานที่ฝึกซ้อม แต่การรวมตัวกันที่พาจูก่อนเคลื่อนย้ายมายังสนามแข่งซึ่งตั้งอยู่ในโซล เป็นการสิ้นเปลืองพลังงานและเวลาในหลายๆ ด้าน เพราะอย่างนั้นวันนี้จึงยืมสนามฝึกของซิตี้โซลซึ่งอยู่ใกล้กับสนามแข่งมาเป็นจุดรวมพล เหล่าทีมชาติยินดีกับชัยชนะอยู่ที่นั่น ซึ่งเป็นสถานที่ที่มูคยอมกับฮาจุนมาเป็นประจำ
“ทุกคนทำได้ดีมากครับ!”
“ทำได้ดีมากครับ!”
ผู้จัดการทีมกล่าวลาสั้นๆ ก่อนแยกย้าย
“วันนี้กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่ แล้วก่อนที่กลุ่มที่ไปแข่งต่างประเทศจะออกเดินทาง ก็มารวมตัวฉลองกันอีกสักครั้งเถอะ โดยส่วนตัว ฉันคิดว่าเรื่องการรวมพลังกันในทีมดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับตอนแข่งคัดเลือกรอบแรกปีที่แล้ว ขอให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงปีหน้าแล้วกันนะ”
“ครับ!”
พวกนักกีฬาตอบรับอย่างแข็งขัน ในระหว่างที่พวกเขารีบแยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง มูคยอมก็หันหน้าซ้ายขวามองหาฮาจุน ไม่ได้เดินทางกลับจากสนามฝึกทีมชาติก็จริง แต่ข้อเสนอชวนให้ไปกลับที่ทำงานด้วยรถคันเดียวกันก็น่าจะยังใช้ได้ผลอยู่
“คิมมูคยอม”
ได้ยินเสียงของคนที่กำลังตามหามาจากทางด้านหลัง
มูคยอมหมุนตัวขวับ ฮาจุนสะพายกระเป๋าไว้บนไหล่แล้วยืนอยู่ตรงนั้น
“โค้ชอี ตามหาอยู่เลย กลับบ้านกัน”
มูคยอมยิ้มพร้อมเดินเข้าไปหาฮาจุนใกล้ๆ เมื่อยืดแขนไปทางลานจอดรถราวกับเป็นคนรับส่ง ฮาจุนก็เดินตามมูคยอมไปจนถึงหน้ารถของเขาโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ
มูคยอมติดเครื่องยนต์ เตรียมจะเคลื่อนรถออก แต่ฮาจุนซึ่งนั่งลงตรงเบาะด้านข้างแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยก็ถามขึ้น
“จากนี้ไปมีนัดอื่นหรือตารางงานอื่นหรือเปล่า”
“ไม่มีนะ”
ช่วงนี้ไม่มีกะจิตกะใจอยากไปเจอและเที่ยวเล่นกับคนอื่นเลยแม้แต่น้อย มูคยอมจึงไม่ได้ออกไปเที่ยวกลางคืนมานานมากแล้ว เมื่อส่ายหน้า ฮาจุนจึงโพล่งขึ้นราวกับประกาศออกมา
“ถ้างั้นวันนี้ก็ไปบ้านนายสิ”
“หา?”
ข้อเสนออันฉับพลันและน่าตกใจของฮาจุน ทำให้มูคยอมเกือบจะเหยียบคันเร่งพลาด เขาเบิกตากว้างแล้วทอดสายตามองฮาจุน อีกฝ่ายขมวดคิ้วราวกับไม่ถูกใจอะไรบางอย่างแล้วเผยอปากราวกับมีเรื่องจะพูด แต่ก็ปิดปากลงอีกครั้ง จากนั้นจึงเสยผมด้านหน้าขึ้นราวกับอึดอัดใจ
น้ำเสียงที่เยือกเย็นลงพอสมควร ถูกเปล่งออกมาหลังจากนั้น
“ทำไมนายทำทุกอย่างตามใจตัวเองคนเดียว”
“…อะไร”
“ตอนที่นายยืนกรานว่าให้กลับไปเป็นคู่นอนทั้งที่ทำให้คนอื่นเขาอับอาย นั่นก็เป็นความต้องการของนายคนเดียว พอคนเขาตัดสินใจได้อย่างยากเย็นว่าจะทำตามคำพูดของนาย คราวนี้ดันบอกว่าจะไม่ทำถ้าไม่ได้คบกันเป็นแฟน ถ้าจะไม่ทำน่ะ นายก็อย่าแสดงออกมาสิ ฉันหมายถึงเรื่องที่นายแสดงออกว่าต้องการแล้วทำตัวให้คนอื่นอารมณ์ไม่ดีอยู่เรื่อยเรื่องเดียวนั่นแหละ”
‘ทำตัวให้อารมณ์ไม่ดีงั้นเหรอ… ฉันเนี่ยนะ…’
มูคยอมคิดว่าเขากำลังพยายามเพื่อให้ดูดีต่อหน้าฮาจุนเท่าที่จะทำได้ แต่กลับได้รับคำพูดสะเทือนใจนิดหน่อย ไม่สิ สะเทือนใจหนักพอสมควร ทว่าเขาก็พอจะรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่จังหวะที่จะแย่งอีกฝ่ายพูด
“ทำไมนายถึงได้ทำทุกอย่างตามอำเภอใจแล้วตัดสินทุกอย่างตามใจชอบ ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ ฉันเคยพูดอะไรนอกเหนือจากบอกว่าให้ทำตามที่นายต้องการหรือไง อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น แล้วที่ฉันกลุ้มใจในช่วงที่ผ่านมาหลังจากนายก่อเรื่องแบบนั้นไว้ มันมีความหมายอะไรกันแน่”
ฮาจุนพูดถึงตรงนั้นแล้วไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก เพียงแต่พรูลมหายใจออกมาสั้นๆ ราวกับหมดแรงที่จะพูดต่อ เขาเท้าคางพลางมองตรงไปข้างหน้าเท่านั้น
มูคยอมรู้สึกอยากแก้ตัวโดยด่วนแต่กลับสะกดความต้องการนั้นไว้อย่างยากลำบาก