Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 100
ฮาจุนจัดโต๊ะหนังสือแสนรกซึ่งไม่ได้จัดมานาน หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาลพร้อมกับแม่ และจัดการบันทึกการฝึกที่ถูกเลื่อนออกไปเล็กน้อยด้วย รวมถึงบันทึกการฟื้นฟูร่างกายของมูคยอมด้วยเช่นกัน
การฟื้นฟูร่างกายของมูคยอมเป็นไปอย่างรวดเร็วตามคาด ซึ่งก็น่าจะเข้าร่วมการแข่งขันนัดต่อไปได้ ก่อนอื่นตรวจสอบสภาพร่างกายโดยที่ให้คนอื่นรับหน้าที่แทนไปก่อน และหากพิจารณาแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร มูคยอมก็จะได้ลงแข่งอีกครั้งตั้งแต่นัดหน้า
เขาวุ่นอยู่กับการบ้านที่เรียนร่วมกับโค้ชคนอื่นๆ ได้สักพักก็ลงไปนอนเล่นอินเทอร์เน็ตบนเตียง และกลับมานั่งที่โต๊ะหนังสืออีกครั้ง พร้อมกับนึกถึงมูคยอม เมื่อย้อนกลับไปมองช่วงเวลาต่างๆ ที่ได้ใช้ไปกับอีกฝ่ายแล้ว รอยยิ้มบางๆ ก็ปรากฎขึ้นมา แต่พอไปถึงส่วนที่เป็นกล่องดำ ก็เกิดเครื่องหมายคำถามขึ้น
แต่การที่พอแก้ปัญหาไม่ได้ก็ล้มเลิกความตั้งใจ และข้ามไปยังปัญหาต่อไป ก็เป็นจุดสำคัญของการแก้ปัญหาเช่นกัน พอมองแบบนั้นแล้ว ต่อไปก็จะได้รู้คำตอบได้ด้วยตัวเองเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องไปยึดติดอยู่กับความอยากรู้อยากเห็นในตอนนั้นมากเกินไป ตอนนี้ตัวเขาเองตัดสินใจจะอยู่เคียงข้างมูคยอมแล้ว ไม่ว่ายังไงเขาก็คงจะได้รู้เกี่ยวกับอีกฝ่ายในทุกแง่มุม
“พี่ไม่ดูทีวีเหรอ”
“ไหนพี่บอกจะมาดูด้วยไง”
พอตกกลางคืน พวกน้องๆ ที่กินผลไม้อยู่ที่ห้องนั่งเล่นก็เดินมาเรียกเขา จะว่าไปแล้ว วันนี้เป็นวันที่สารคดีที่มูคยอมไปถ่ายจะออกอากาศทางทีวี
จะพลาดไม่ได้สิ ฮาจุนเก็บสมุดโน้ตที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะและออกไปที่ห้องนั่งเล่น บรรดาคนในครอบครัวที่ได้ข่าวมาว่าฮาจุนเองก็จะปรากฎตัวในสารคดีในช่วงเวลาสั้นๆ ต่างก็เปิดทีวีรอช่วงเริ่มต้นของรายการสารคดีอย่างใจจดใจจ่อ
ดูเหมือนว่าทุกคนจะคาดหวังกับรายการที่มีมูคยอมเป็นตัวเอกมากเกินไป ฮาจุนจึงได้เตือนอีกครั้ง
“ออกมาแค่นิดเดียวเอง เป็นตัวประกอบฉากตอนมูคยอมฝึกซ้อมแค่นั้นเอง”
“เถอะน่า! วันหลังต้องไปหาโหลดเก็บไว้แล้วละ”
ทันทีที่พูดจบ สารคดีก็เริ่มต้นขึ้นด้วยเสียงของมินแจยอง
‘ดวงดาวแห่งวงการฟุตขอลในเอเชีย อัจฉริยะที่ไม่เคยมีมาก่อนที่หาโอกาสกลับมาเกาหลีได้ยาก ฮันรยูสตาร์แห่งวงการกีฬา… ‘ ถึงแม้เขาจะมีฉายาสุดอลังการมากมาย แต่มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่รู้จักตัวตนของเขา
ฮาจุนที่นั่งอยู่บนโซฟา จ้องมองหน้าจอด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตัวเขาเองที่ไล่ตามมูคยอมมาเป็น 10 ปี สามารถพูดได้เลยว่าแทบจะไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับมูคยอมข้อมูลไหนในรายการนี้ที่เขาไม่รู้
บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ตัวเขาสงสัยเกี่ยวกับจุดเปลี่ยนของมูคยอมมากกว่าก็ได้ละมั้ง ฮาจุนเอียงหัวพลางคิดว่านั่นไม่ใช่คำถามที่มีเหตุผลหรอก แต่อาจจะเป็นความโลภอย่างหนึ่งที่อยากจะรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับมูคยอมก็ได้
เรื่องราวของมูคยอมปรากฎขึ้นบนหน้าจอไปทีละเรื่อง เรื่องที่ได้พบเจอกับผู้จัดการทีมพัคจุนซอง
และถูกปั้นให้เป็นนักกีฬา อัลบั้มรูปจบการศึกษา สมัยที่เป็นนักกีฬาโรงเรียนมัธยมต้น สมัยเล่นลีกอังกฤษ ดิวิชั่น 2 ผลงาน EPL และภาพตอนที่เล่นอยู่ในเคลีก อาจจะเป็นเพราะเป็นสารคดี จึงไม่มีการเอ่ยถึงเรื่องราวความรักของมูคยอมเลย
“เอ้ย นั่นพี่นี่!”
“อะไรเนี่ย จู่ๆ พี่ก็โผล่มาเฉยเลย”
หลังจากฉายภาพที่ได้รับบาดเจ็บและกำลังจะเข้าสู่ฉากฝึกฟื้นฟูสมรรถภาพ จู่ๆ กล้องก็จับไปที่ใบหน้าของฮาจุน
ออกมาเยอะกว่าที่คิดไว้ซะอีก ฮาจุนมองหน้าจอพร้อมกับอ้าปากออกเล็กน้อยด้วยความงุนงง มินคยองและฮาคยองดูจะตื่นเต้น เป็นภาพตอนที่ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการฝึกซ้อมของมูคยอม
“พี่ออกมาตลอดเลย”
ต่อด้วยภาพวันที่มาเพื่อถ่ายทำเพิ่มเติม ภาพตอนที่ฝึกซ้อมและพูดคุยกับมูคยอมก็ถูกถ่ายเอาไว้ด้วย
ดูไม่น่าจะเป็นฉากที่สำคัญเท่าไหร่ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงถ่ายเขาเยอะขนาดนั้น ฮาจุนที่นึกว่าตัวเองจะโผล่มาแค่นิดเดียวจึงมาดูทีวีร่วมกับคนในครอบครัว ทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าควรวางตัวยังไง และได้แต่รอให้ฉากที่มีตัวเองโผล่มาผ่านไปเร็วๆ
เมื่อฉากฝึกฟื้นฟูสมรรถภาพผ่านไป ก็นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับพลังใจเหนือมนุษย์ของมูคยอม และต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนกว่าจะก้าวสู่ระดับโลกในฐานะนักกีฬาชาวเอเชีย ถึงจะเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจ แต่ก็เป็นข้อมูลที่เขารู้อยู่แล้ว
‘…และนั่นคือ นักกีฬาคิมมูคยอม ผู้ครอบครองตำแหน่งซูเปอร์สตาร์แห่งวงการกีฬาในขณะนี้ และเขาเองก็มีอดีตอันแสนเจ็บปวดอยู่เช่นกันค่ะ’
และแล้วหน้าจอก็เปลี่ยนไปในทันที เป็นภาพย่านที่อยู่อาศัยที่ดูแร้นแค้น มินแจยองเดินตามเส้นทางไป
‘นี่คือย่านที่นักกีฬาคิมมูคยอมอาศัยอยู่ในสมัยเด็ก ความจริงที่ว่านักกีฬาคิมมูคยอม แม้ว่าเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กนั้นจะเป็นที่เลื่องลือ แต่ไม่ค่อยมีคนที่รู้เกี่ยวกับสมัยที่เขาอยู่กับครอบครัวเลยนะคะ’
แล้วกล้องก็จับภาพไปที่บ้านเก่าๆ หลังหนึ่ง พร้อมกับอธิบายว่าเป็นบ้านที่มูคยอมอาศัยอยู่ในตอนที่ยังเป็นเด็ก ฮาจุนที่นั่งเท้าคางดูทีวี เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะเขาเองก็ไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับช่วงก่อนที่มูคยอมจะเข้าไปอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก
เขารู้เพียงแค่ว่า พ่อแม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อตอนที่มูคยอมอายุสิบเอ็ดปี และอาศัยอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก
จนกระทั่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น และตอนนี้สถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนั้นก็ปิดไปตั้งนานแล้ว ทั้งมูคยอมและผู้จัดการพัคเองก็ไม่เคยเล่าเรื่องราวสมัยเด็กของมูคยอมอย่างละเอียดมาก่อน
ภาพเปลี่ยนไปเป็นภาพมินแจยองสัมภาษณ์ชาวบ้านในละแวกนั้น ใบหน้าของผู้ถูกสัมภาษณ์ถูกปิดเอาไว้จึงมองไม่เห็น
‘คุณเป็นเพื่อนบ้านสมัยที่นักกีฬามูคยอมยังเป็นเด็กใช่ไหมคะ’
‘ครับ ใช่แล้วครับ’
‘นักกีฬาคิมมูคยอมเป็นเด็กแบบไหนครับ’
‘เป็นเด็กที่เข้มแข็งครับ ชาวบ้านละแวกนี้ก็คิดแบบนั้นกันหมดครับ ทั้งๆ ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก แต่เขาก็กลายเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จได้ เยี่ยมไปเลยครับ’
‘สภาพแวดล้อมที่ยากลำบากนี่มันเป็นยังไงเหรอคะ’
‘พ่อของเขา ไม่สิพ่อของนักกีฬาคิมมูคยอม เฮ้อ เป็นคนเสเพลสุดๆ ไปเลยครับ เป็นคนที่ใช้ความรุนแรงในครอบครัวด้วย’
‘คนที่ใช้ความรุนแรงในครอบครัวเหรอคะ’
‘ครับ รู้จักความหวาดระแวงว่าภรรยาจะนอกใจใช่ไหมครับ เขา ไม่สิ พ่อของนักกีฬาคิมมูคยอมเป็นแบบนั้นครับ ปกติจะเป็นคนที่รักภรรยามาก แต่ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยครับ เขาทำร้ายภรรยาทุกวันเพราะโรคหวาดระแวงที่ว่านั่น ส่วนนักกีฬาคิมมูคยอมที่เป็นลูกชายก็โดนด้วยครับ ตำรวจเคยมาหาถึงที่บ้านด้วยนะครับ พวกเราที่เป็นเพื่อนบ้านต่างก็คิดว่าคงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นสักวัน แต่พ่อแม่ของเขาก็จากไปเสียก่อน…’
ฮาจุนที่ได้ฟังบทสนทนา ขมวดคิ้วจนเป็นรอย มินคยองและฮาคยองต่างก็อ้าปากเหม่อมองหน้าจอ
…คิมมูคยอมอนุญาตให้นำเสนอข้อมูลแบบนี้งั้นเหรอ จู่ๆ เรื่องที่ยังไม่เคยเล่าเลยสักครั้งก็ถูกนำมาถ่ายทอดผ่านทางทีวีเนี่ยนะ
ทั้งฉากสัมภาษณ์ น้ำเสียง และการนำเสนอดูแปลกทั้งหมด ไม่สามารถลบความไม่เหมาะสมที่จู่ๆ สารคดีเกี่ยวกับความสำเร็จของคนคนหนึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องอื่นเข้ามา และความไม่เข้ากันราวกับยัดเยียดชิ้นส่วนอื่นๆ ลงไปในโปรแกรมที่สมบูรณ์แบบแล้วออกไปได้เลย ถึงจะเป็นการชื่นชมราวกับว่านักกีฬาคิมมูคยอมเอาชนะสภาพแวดล้อมของครอบครัวที่ยากลำบากได้และกลายเป็นฮีโร่ เป็นคนที่เยี่ยมยอด แต่ก็เป็นเนื้อหาที่ทำให้เสียความรู้สึกเหมือนกับตะปูที่ยื่นออกมา
ฮาจุนเปิดโทรศัพท์และเข้าสู่เว็บไซต์ด้วยความรู้สึกลางไม่ดี แล้วก็เป็นไปตามที่คาด นอกจากชื่อของมูคยอมแล้ว ศัพท์ต่างๆ ที่เพิ่งจะถูกพูดถึงในรายการเช่น หวาดระแวงว่าภรรยานอกใจ ต่างก็เป็นคำที่ถูกค้นหาแบบเรียลไทม์มากที่สุด และแล้วก็ตัดเข้าสู่โฆษณา
ฮาจุนลุกขึ้นจากโซฟาและเดินเข้าห้องไป เขารีบโทรหามูคยอมอย่างรีบร้อน แต่เมื่อสัญญาณต่อสายดังอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็ตัดเข้าสู่ระบบฝากข้อความ อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ อาจจะออกอากาศตามที่มูคยอมอนุญาตก็ได้ แต่หัวใจของเขากลับเต้นแรงด้วยความไม่สบายใจ ฮาจุนยืนทำตัวไม่ถูกอยู่อย่างนั้นสักพักก็หยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวม
“แม่ ผมไปข้างนอกแป๊บนะ เดี๋ยวมา”
“ดึกป่านนี้จะไปไหน”
ฮาจุนบอกคนในครอบครัวที่ยังอยู่หน้าทีวีเอาไว้ และรีบตรงไปที่ประตูบ้านทันที เขาวิ่งไปที่หน้าโครงการอพาร์ทเม้นท์ เรียกแท็กซี่และบอกจุดหมายให้คนขับทันที เขารู้สึกว่าวันนี้แท็กซี่ที่แล่นไปอย่างรวดเร็วบนถนนโล่งๆ เชื่องช้าซะเหลือเกิน
“ลุงครับ เร็วหน่อยครับ”
“ครับ ตอนนี้ผมขับเร็วที่สุดแล้วครับ”
ฮาจุนที่ลงมาจากแท็กซี่ลืมกล่าวขอบคุณคนขับที่ปกติเขามักจะทำเสมอ และรีบขึ้นลิฟต์ไป ทันทีที่ออกจากลิฟต์ก็รีบไปที่หน้าประตูและกดออด แต่ก็ไม่มีการตอบรับจากด้านใน
ไม่มีวิธีเปิดประตู ถึงแม้จะบันทึกข้อมูลไว้ในลิฟต์เพราะเข้าออกบ้านหลังนี้บ่อยๆ แต่เขาไม่มีกุญแจที่จะเปิดเข้าไปข้างใน
“คิมมูคยอม”
เขากดออดอีกครั้งพลางเรียกชื่อของมูคยอม แต่ก็ยังไร้เสียงตอบรับเช่นเคย
ไม่อยู่บ้านเหรอ…
เขาลองโทรหาอีกครั้ง ถึงวันนี้จะโทรหาอีกฝ่ายหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็เจอระบบรับฝากข้อความทุกครั้ง จึงไม่ได้คาดหวังเท่าไหร่นัก
‘หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…’
เขาเก็บโทรศัพท์และลองเคาะประตูแทนการกดออด
“คิมมูคยอม! คิมมูคยอม! มูคยอม!”
ไม่ตอบเช่นเดิม ฮาจุนที่เคาะประตูหลายต่อหลายครั้ง ไหล่ตกเพราะไม่รู้จะทำยังไงดี ในหัวของเขาคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่หยุด
…ใช่แล้ว คงจะเป็นเนื้อหาที่ได้รับการยินยอมแน่ๆ ถึงจะคิดด้วยสามัญสำนึกแล้วก็น่าจะถูก แต่ทำไมเขาถึงต้องตกใจจนมาถึงที่นี่กันนะ ถ้ามูคยอมมาเจอเข้าอาจจะคิดว่ามันแปลกก็ได้ แต่ยังไงเขาก็ไปจากที่นี่ไม่ได้ง่ายๆ แน่ ฮาจุนยืนอยู่หน้าประตูบ้านราวกับเด็กหลงทาง
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์…”
เขายืนพิงประตูอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกไม่ยุติธรรมที่ไม่รู้สาเหตุทำให้รู้สึกจุกอกราวกับน้ำตาจะไหล
ถ้าเกิดว่า เป็นการออกอากาศที่ไม่ได้รับการยินยอม… แล้วจะทำยังไงล่ะ
เขาได้แต่ยืนมองดูพื้นหินอ่อนอยู่อย่างนั้น แต่แล้วก็ได้ยินเสียงประตูลิฟต์เปิด ฮาจุนรีบเงยหน้าขึ้นมาทันที
“อีฮาจุน?”
คนที่ออกมาจากลิฟต์ คือมูคยอมที่เขาเฝ้ารอ ฮาจุนรีบหยัดตัวที่พิงประตูขึ้นมา และเข้าไปใกล้อีกฝ่ายทันที สีหน้าของมูคยอมปกติดี
“เกิดอะไรขึ้น ถึงได้มาหากันกลางดึก ไหนบอกเจอกันพรุ่งนี้ไง”
“…นายไปไหนมา…”
“หา? ฉันเหรอ”
มูคยอมทำหน้าเขินๆ และมีท่าทีลังเล แต่แล้วก็ค่อยๆ ยกมือข้างหนึ่งที่ไพล่เอาไว้ข้างหลังขึ้นมาช้าๆ และยื่นออกมาข้างหน้า
“ฉันอยากกินไอศกรีมเลยออกไปซื้อมาน่ะ…”
ในมือของเขามีถุงที่มีรูปไอศกรีมอยู่จริงๆ ฮาจุนเหม่อมองถุงที่อยู่ในมืออีกฝ่าย
ว่าแต่ มูคยอมไม่ได้ใช้ไม้ค้ำด้วยซ้ำ เมื่อวานยังเดินกระเผลกใช้ไม้ค้ำอยู่เลย เมื่อวานคงจะแกล้งทำเป็นตีหน้าเศร้าทั้งๆ ที่ไม่ได้เจ็บจริงๆ สินะ พอใจเย็นลงแล้วก็ถามราวกับจับผิด
“ไปทำเองเลยหรือไงถึงได้นานขนาดนี้…”
“ร้านนี้ไม่ได้อยู่แถวนี้ ฉันก็เลยขับรถไปซื้อน่ะสิ ถึงจะไม่ควรกินอะไรแบบนี้กลางดึก แต่บางทีก็อยากกินนี่นา”
“โอเค… เข้าใจแล้ว ฉันกลับบ้านก่อนนะ”
คงจะไม่มีอะไรจริงๆ พอหายกังวล เรี่ยวแรงทั้งหมดก็หายไปจนอยากจะไปนั่งพักที่ไหนสักที่ ตอนที่เดินผ่านมูคยอมไปเพื่อที่จะไปขึ้นลิฟต์ มูคยอมก็คว้าแขนของฮาจุนไว้
“จะไปไหน มาถึงที่นี่แล้วนะ เข้ามาก่อนสิ มีเรื่องอะไร ถึงได้มาล่ะ”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
“ไม่มีที่ไหนล่ะ ถ้าไม่มีอะไร นายคงไม่มีทางมาถึงที่นี่กลางดึกหรอก หรือว่าใจร้อนอยากให้คะแนนขึ้นมาล่ะ”
พอเห็นใบหน้ายิ้มแย้มตรงหน้าแล้ว ก็แยกไม่ออกว่าเป็นเนื้อหาที่ได้รับการยินยอมให้ออกอากาศ หรือว่ายังไม่รู้เรื่องกันแน่ ฮาจุนจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายและถามออกมา
“…นายไม่ได้ดูรายการเหรอ วันนี้เป็นวันที่ฉายสารคดีของนายนะ”
“อันนั้นน่ะเหรอ ไม่เห็นต้องรีบเลย ฉันตั้งใจว่าอีกเดี๋ยวค่อยดู ทำไมล่ะ มีฉากแปลกๆ หรือเปล่า คนที่รับผิดชอบเขาบอกว่าตรวจสอบก่อนออกอากาศเรียบร้อยแล้ว”
“ทำไมนายไม่รับโทรศัพท์เลย”
“ฉันลืมพกออกไปด้วย เข้ามาก่อนสิ ไหนๆ ก็มาแล้ว ฉันปล่อยให้กลับไปเฉยๆ ไม่ได้หรอก”
มูคยอมดึงข้อมือของฮาจุนและเปิดประตูบ้าน ในเมื่อไม่มีเหตุผลที่จะยืนยันว่าจะกลับบ้าน จึงได้แต่เดินโซเซตามอีกฝ่ายเข้าไปและนั่งลงบนโซฟาตามที่มูคยอมพาไป มูคยอมตักไอศกรีมให้ฮาจุน และเพิ่งจะได้เช็กโทรศัพท์ในตอนนั้น หว่างคิ้วของมูคยอมที่มองหน้าจอโทรศัพท์ขมวดเข้าหากัน
“ทำไมโทรมาหาหลายสายเลยล่ะ”
ได้ยินเสียงมูคยอมพูดคนเดียวลอยเข้ามาในหู ชัดเลยว่าไม่ได้มีแค่สายของฮาจุนเท่านั้น มูคยอมเหลือบมองฮาจุนและลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วโทรไปหาใครสักคน
“ว่าไง พี่ ผมเอง มีอะไรหรือเปล่า”
ถึงจะรู้ว่าการแอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์มันไร้มารยาท แต่โสตประสาทกลับจดจ่ออยู่กับเสียงของมูคยอมที่กำลังคุยโทรศัพท์ในทันที เสียงของมูคยอมเบาลง ดูเหมือนว่าจะเดินออกไปไกลกว่าเดิมจนฮาจุนฟังไม่ค่อยได้ยิน
“นี่มันหมายความว่ายังไง ไหนบอกว่าเช็กแล้วไง!”
มูคยอมที่ลดเสียงคุยโทรศัพท์ลงไปชั่วครู่ จู่ๆ ก็ตะโกนออกมา ฮาจุนเองก็สะดุ้งตกใจโดยไม่รู้ตัว คงจะเป็นเพราะเขากำลังตั้งใจฟังเสียงของมูคยอมอย่างเต็มที่ มูคยอมพูดกับปลายสายอีกสองสามคำ และวางสายด้วยความหงุดหงิด
“ช่างเถอะ แค่นี้แล้วกัน ไว้คุยกันทีหลัง ในเมื่อมันออกอากาศไปแล้วจะทำไงได้ …ถึงจะฟ้องไปก็คงได้แค่เศษเงิน แค่ไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง”
จากนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างตกลงบนพื้น พอหันไปมองด้วยความลังเล ก็เห็นว่าโทรศัพท์ของมูคยอมกระเด็นไปที่ปลายเท้าของเขา
เป็นเนื้อหาที่ไม่ได้รับการยินยอมก่อนจริงๆ ด้วย ฮาจุนได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ กลืนน้ำลายแห้งๆ ลงคอราวกับว่าตัวเองเป็นคนผิด ถึงจะเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองเหมือนคนงี่เง่าที่ไม่รู้ว่ากังวลอะไรถึงได้มาที่นี่ ทั้งๆ เป็นเรื่องที่ตัวเขาเองช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็ทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้เหมือนกัน
ได้ยินเสียงฝีเท้าของมูคยอมที่เดินมาบริเวณโซฟา ฮาจุนข่มใจที่เต้นรัว เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองใบหน้าของมูคยอม
ก่อนที่จะเดินมาถึง ฮาจุนกังวลว่ามูคยอมจะโมโหมากหรือเปล่า แต่มูคยอมก็แค่ทำสีหน้าบึ้งตึงราวกับเหนื่อยล้าอยู่หน่อยๆ และนั่งลงตรงข้ามฮาจุน