Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 101
“นายดูรายการก็เลยมาเหรอ”
“อือ”
ฮาจุนเว้นจังหวะไปสักพักแล้วจึงพูดต่อ
“ฉันว่าน่าจะเป็นการออกอากาศที่ไม่ได้รับการยินยอม”
“ไม่อยู่แล้วสิ ทางเอเจนซี่ยืนยันว่าได้ตรวจสอบดูก่อนแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็คงจะเอาไปตัดต่อใหม่ทีหลัง”
“อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ มีแค่ส่วนนั้นแหละที่มันค่อนข้างแปลกเหมือนกับตัดมาแปะ”
เกิดความเงียบขึ้นหลังจากบทสนทนาสั้นๆ จบลง เขาไม่ได้มาเพื่อพูดอะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกไปก่อนดี ราวกับว่าความชื้นภายในปากเหือดแห้งไปหมด
ฮาจุนที่เผยอปากจะพูดหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายก็ถามคำถามที่ธรรมดาที่สุดออกไป
“นายโอเคไหม…”
“เรื่องอะไร”
“มันเป็นการล่วงล้ำชีวิตส่วนตัว… โดยไม่ได้รับการยินยอม”
“ฉันไม่ยอมปล่อยไปเด็ดขาด ถึงจะเรียกค่าเสียหายก็คงได้แค่เศษเงิน ถึงจะฟ้องก็คงมีการลงโทษกันภายใน ถึงมันจะไม่ได้มีความหมายอะไร แต่ก็เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ”
มูคยอมแค่นหัวเราะออกมา
“ไอ้ PD คนนั้นน่ะ ดูเป็นคนดีนะ แต่เป็นคนที่ร้ายกาจที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอเลย ฉันคิดว่าฉันเคยเจอคนแบบนี้มาเยอะแล้วนะ แต่ฉันคงจะได้เจออีกเยอะ”
พอเห็นไอศกรีมที่กำลังละลายแล้วก็ทำไม้ทำมือพร้อมกับพูดออกมา
“กินสิ อันนั้นอร่อยนะ”
“…นายซื้อมากินไม่ใช่เหรอ”
“ฉันกินวันหลังก็ได้”
ฮาจุนจึงหยิบช้อนขึ้นมาตักเข้าปากไปหนึ่งคำเล็กๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ รู้เพียงแค่ว่ามันมีกลิ่นลาเวนเดอร์ แต่แทบจะบอกไม่ได้เลยว่าอร่อยหรือไม่ ขณะที่ไอศกรีมละลายอยู่ในปาก มูคยอมก็ถามออกมา
“…มันไปถึงขั้นไหน”
“หือ”
“ในรายการน่ะ พูดไปถึงขั้นไหน”
ตอนที่จะกลืนลงคอก็รู้สึกเหมือนไอศกรีมอันอ่อนนุ่มกลายเป็นก้อนหินแข็งๆ ฮาจุนกลืนไอศกรีมลงไปอย่างยากเย็น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถเปิดปากพูดได้
“พาไปดู… บ้านสมัยเด็กของนาย แล้วก็สัมภาษณ์คนที่บอกว่าเป็นเพื่อนบ้าน เล่าเรื่องพ่อแม่ของนาย”
“พ่อเหรอ”
“อือ”
“แค่นั้นเองเหรอ บอกว่าคนนั้นมันบ้าใช่ไหม”
“อื้อ เล่าว่าเขาทำร้ายนายกับแม่”
มูคยอมเอนหลังพิงโซฟา
“เรื่องนั้นฉันก็เคยเล่าให้นายฟังแล้วนี่ ครั้งก่อนก็เล่าไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเป็นบ้า พยายามไล่ตามจับฉันกับแม่”
ฮาจุนพยักหน้า พอบอกไปว่าอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว มูคยอมก็เล่าให้ฟังคร่าวๆ แบบนั้น สวนฮาจุนที่คิดว่าไม่น่าถามเรื่องนั้นเลยก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
ถึงจะไม่ได้เล่าถึงเรื่องที่ว่าสาเหตุที่พ่อเป็นแบบนั้นเพราะความระแวงที่ผิดปกติ แต่ก็คิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องเล่าให้คนอื่นฟัง ฮาจุนเองก็ไม่คิดที่จะเปิดเผยอะไรถ้าหากไม่มีใครมาถาม
เพราะพ่อของคิมมูคยอมเป็นผู้ที่ใช้ความรุนแรงภายในครอบครัว มูคยอมเองจึงถูกตัดสินว่าเป็นคนแบบนั้นเช่นกัน สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ก็เป็นเพียงแค่คำที่กระตุ้นความสนใจและข้อมูลสั้นๆ ที่เลือกจะเสพเพื่อความสนุกสนานชั่วคราวเท่านั้น แต่ผู้เกี่ยวข้องคงจะมีเหตุผลที่ไม่พูดเรื่องนี้เลยมาจนถึงตอนนี้ แต่ดันเอาเรื่องแบบนั้นมาออกอากาศตามอำเภอใจเสียได้
คิมมูคยอมเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีมาก พอโดนจู่โจมจุดอ่อนโดยไม่คาดคิด ตอนนี้ก็คงจะไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“…เฮ้อ”
มูคยอมที่นั่งทำหน้าตาเฉยเมย และเหม่อมองไปในอากาศอยู่เงียบๆ ราวกับกำลังจมอยู่กับความคิด ยกมือขึ้นมาปิดหน้าและถอนหายใจออกมาเบาๆ ฮาจุนได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เป็นกังวลเพียงเท่านั้น
มูคยอมที่ปกปิดใบหน้าด้วยมือขนาดใหญ่ของตัวเองอยู่อย่างนั้นสักพักราวกับปวดหัว เอามือออกและยิ้มให้กับฮาจุน
“แต่ฉันก็หัวร้อนอยู่นะ หืม? แม่งเอ๊ย เฮงชวยฉิบหาย”
ฮาจุนหัวเราะไม่ออก รอยยิ้มของมูคยอมไม่มีความผ่อนคลายเหมือนปกติอยู่เลย มูคยอมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันไร้เรี่ยวแรง
“อีฮาจุน ขอโทษนะ นายกลับบ้านไปเถอะ”
“…”
“ตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ค่อยดี ฉันไม่อยากอยู่กับนายตอนที่ตัวฉันเป็นแบบนี้ เพราะกลัวว่าฉันจะไประบายอารมณ์ใส่นาย”
แต่ฮาจุนกลับไม่ลุกขึ้น เขาไม่ได้มาถึงบ้านของมูคยอมกลางดึกเพื่อที่จะมาบอกให้มูคยอมทำใจให้สบายและพักผ่อนให้เต็มที่ ถึงจะไม่ได้เตรียมคำตอบที่ชัดเจนว่ามาถึงที่นี่เพื่ออะไรก็ตาม
ฮาจุนเองก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงจะอยากอยู่คนเดียวในช่วงเวลาแบบนี้ แต่ว่าตอนนี้… เขาปล่อยคิมมูคยอมเอาไว้คนเดียวไม่ได้
“มัวแต่ทำไรอยู่ บอกให้ไปได้แล้วไง”
“ไม่ไป”
มูคยอมขมวดคิ้ว ลุกขึ้นและเดินเข้าไปใกล้ฮาจุนเมื่อได้ยินแบบนั้น พอถูกคว้าแขนเอาไว้ ฮาจุนเองก็ต้องลุกขึ้นยืนโดยที่ถูกบังคับ ใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ห่างเพียงคืบ สีหน้าของมูคยอมเคร่งเครียด และพอมองใกล้ๆ แล้ว ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธก็กำลังสั่นไหวด้วยความกระวนกระวายใจ
จะให้ดูสิ่งนี้สินะ ไม่สบายใจเลย ถ้าปล่อยให้อยู่คนเดียวคงได้เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ
ถึงช่วงนี้จะสงบลงไปบ้างหลังจากที่ขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้ง แต่จนถึงตอนนี้มูคยอมก็มีปัญหากับสื่อไม่น้อยเลยทีเดียว ที่อังกฤษ มีนักข่าวแท็บลอยด์ที่เขียนข่าวปลอมเกี่ยวกับตัวเขา และเขายังเคยทะเลาะวิวาทหรือทำลายกล้องของปาปารัสซี่ที่คอยติดตามเขาด้วย แน่นอนว่าพวกคนที่เอาเรื่องส่วนตัวของเขาไปออกอากาศโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่พวกเขาคงไม่สนหรอกว่ามูคยอมจะทำอะไรในขณะที่เขาโมโหแบบนี้
พอนึกถึงการกระทำต่างๆ ของมูคยอมที่เคยได้รับรู้มาทางอ้อมราวกับได้ไปเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ก็เกิดความกังวลขึ้นมาในทันที ระหว่างที่ฮาจุนปิดปากเงียบ ริมฝีปากของมูคยอมก็ยกยิ้มขึ้นมา เสียงที่ได้ฟังใกล้ๆ เป็นน้ำเสียงที่ลังเลเจือไปด้วยน้ำโห
“นี่นายกำลังหาเรื่องใส่ตัวเหรอ ถ้ามาเข้าใกล้คนที่กำลังโมโห แล้วเกิดพลาดขึ้นมานายอาจจะโดนหาเรื่องเอาได้นะ ฉันบอกให้ไปไง เวลาที่เป็นแบบนี้น่ะ อย่าดื้อนักเลย!”
“ก็ทำซะสิ”
“อะไรนะ”
“ถ้าอยากระบายอารมณ์ก็เอาเลย ทำตามที่ใจนายต้องการได้เลย”
มูคยอมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมราวกับไม่เข้าใจสิ่งที่ฮาจุนพูด ฮาจุนเอนตัวเข้าหาอ้อมอกของมูคยอมแทนที่จะแกะมือที่คว้าแขนของเขาเอาไว้ออก
“เรายังไม่ได้เป็นแฟนกัน ฉันยังไม่ได้ตอบนายเลย”
“…”
“วันนี้ถึงนายจะทำอะไร ฉันก็จะไม่ว่า จะด่าหรือจะอะไรก็ตาม… ทั้งหมดเลย ฉันจะไม่นับว่าเป็นการให้คะแนนการบ้าน ถ้านายโมโหก็ลงที่ฉันได้เลย อย่าทำเรื่องโง่ๆ อยู่คนเดียว ทำกับฉันสิ”
“… เป็นอะไรของนาย ทดสอบฉันเหรอ”
เขาเคยคิดว่าตัวเขาเองเป็นเหมือนกับของเล่นของอีกฝ่าย เพียงเพราะการที่เขายอมเป็นที่ระบายอารมณ์ของอีกฝ่ายในวันนี้ ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้วจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาตค
ฮาจุนฝังหน้าลงไปบนไหล่ของมูคยอม และยืนแนบชิดมากกว่าเดิม
“ขอร้องล่ะ มูคยอม อยู่กับฉันเถอะ…”
น้ำเสียงสั่นเครือที่ไม่สามารถซ่อนเอาไว้ได้ แม้จะพยายามแล้วก็ตาม คิมมูคยอมยืนนิ่งและไม่ขยับเขยื้อนราวกับรูปปั้น
ถึงพยายามจะไม่เป็นแบบนั้น แต่ก็ประหม่าเสียจนเสียงลมหายใจถี่รัวขึ้นเล็กน้อย มูคยอมจึงคว้าเอวและยกขาของฮาจุนขึ้น จากนั้นหน้าอกของฮาจุนก็พาดอยู่ที่ไหล่ของมูคยอม ราวแบกสัมภาระเอาไว้ หัวของฮาจุนจึงห้อยลง และเห็นเพียงแค่แผ่นหลังของอีกฝ่ายและส่วนหนึ่งของห้องนั่งเล่นจากด้านข้างเท่านั้น ถึงจะอยากตะโกนว่า ‘ปล่อยฉันลง ข้อเท้าของนายยังเจ็บอยู่ ทำแบบนี้ไม่ได้นะ’ แต่ก็ไม่มีเสียงออกมา ฮาจุนได้แต่เบิกตากว้างโดยไร้คำพูดใดๆ
มูคยอมแบกฮาจุนเอาไว้เหมือนแบกของ และค่อยๆ เดินไป พอสิ่งที่เห็นพลิกกลับด้านไปหมด เขาก็ถูกวางลงบนที่ไหนสักที่ สถานที่ที่คุ้นเคย มูคยอมที่มองลงมาที่ตัวเขา วันนี้ดูตัวใหญ่กว่าที่เคยเป็น รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกบีบคั้นจากแรงกดดันที่ไม่รู้สาเหตุ ความเงียบอันหนักหน่วงทำให้เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่างออกมา จึงถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ถอด เสื้อผ้าไหม…”
แต่แล้วมูคยอมก็ขึ้นมาบนเตียงแทนคำตอบ และก้มตัวลง ฮาจุนจ้องมองอีกฝ่ายพร้อมกับเอนตัวลงโดยอัตโนมัติ ยังไม่ทันได้ถอดเสื้อผ้าเลย แต่ไหล่ของเขาก็สั่นและขนลุกไปทั่วทั้งแขน มูคยอมกำลังมองฮาจุนราวกับจ้องเขม็งด้วยท่าทีที่เรียบนิ่งเป็นหินอยู่เช่นเดิม แต่เขากลับหนักใจยิ่งกว่าเดิม
ฮาจุนทนลมหายใจที่ถี่รัวขึ้นไม่ไหว และตั้งใจจะเปิดปาก แต่ถ้าเปิดปากออกตอนนี้ เขาคงจะหายใจหอบแน่ๆ จึงได้แต่หลับตาและพยายามหายใจให้เบาที่สุด แต่แล้วก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของมูคยอมลอยเข้ามาในหู
“ลืมตามามองฉันสิ”
ฮาจุนค่อยๆ ลืมตาอย่างช้าๆ จากนั้นใบหน้าของมูคยอมก็เข้ามาใกล้และประกบปากลงบนริมฝีปากของเขาทันที ลมหายใจที่ถี่รัวราวกับการบรรเลงดนตรีสั้นๆ หยุดลงภายในชั่วพริบตา แม้แต่เสียงหายใจก็หยุดชะงัก และดวงตาก็ปิดลงอีกครั้ง
คางเริ่มสั่นไหว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายที่กำลังโมโหจะกัดกินริมฝีปากของเขาทั้งอย่างนั้น จึงได้แต่หายใจถี่รัวโดยที่ประกบปากอยู่ทั้งอย่างนั้น โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกแบบไหน แต่แล้วมูคยอมก็หยุดเคลื่อนไหวและไม่ทำอะไรต่อ
ฮาจุนที่เกิดความสงสัยขึ้นมาค่อยๆ ขยับเปลือกตาและลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง และในตอนนั้นเอง มูคยอมจึงได้เริ่มขยับอีกครั้ง
อีกฝ่ายขยับหัวไปมาพลางบดขยี้ริมฝีปากของฮาจุน สัมผัสอันอ่อนโยนราวกับลูบไล้ พรมลงมาบนริมฝีปากหลายต่อหลายครั้ง ริมฝีปากที่ปิดเอาไว้อย่างแน่นหนาเพื่อเตรียมรอรับการจูบก็เปิดออกราวกับแตกร้าว
“ฮื้อ…”
เมื่อเกิดเสียงครางผสมกับเสียงหายใจ ริมฝีปากของฮาจุนก็แยกออกจากกัน มูคยอมจึงได้แลบลิ้นออกมา แต่มูคยอมกลับไม่ได้สอดลิ้นเข้าไปในทันที เพียงแค่โลมเลียริมฝีปากของฮาจุนอย่างช้าๆ เท่านั้น
สลับกันไปทั้งริมฝีปากบนและล่างอย่างช้าๆ ลมหายถี่รัวเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของฮาจุนอีกครั้ง เพราะการถูไถไปมาที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับการทาลิปสติก ไม่ใช่การหายใจที่ติดขัดและเยือกเย็นเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เป็นลมหายใจที่ทั้งอุ่นและชื้นแฉะ
“อือ อะ…”
ริมฝีปากที่เปืยกชื้นเพราะลิ้นของอีกฝ่ายโลมเลียหลายต่อหลายครั้งเป็นมันเงาและดูบวมขึ้นมาเล็กน้อย พอมูคยอมกดริมฝีปากลงไปอีกครั้งจนเกิดเสียงดัง คราวนี้ก็ประกบปากลงไปบนริมฝีปากล่างและกัด ฟันที่งับริมฝีปากเอาไว้ราวกับยึดเอาไว้เบาๆ โดยที่แทบไม่ได้ออกแรงเลย ขูดบริเวณเยื่อบุด้านในและปล่อยออก จากนั้นก็ทำแบบเดียวกันกับริมฝีปากบน
จูบที่นุ่มนวล เป็นไปอย่างช้าๆ และเปียกชื้นอย่างที่คาดไม่ถึง คล้ายกับจูบในครั้งนั้นที่มูคยอมมอบให้ในตอนรุ่งเช้าที่เขากำลังเมาในฤดูร้อนที่ผ่านมา จูบที่อีกฝ่ายจำไม่ได้
แม้จะเป็นคนบอกให้อีกฝ่ายระบายความโกรธ แต่ความตึงเครียดที่แผ่ซ่านไปทั้งตัวก็ค่อยๆ คลายลงอย่างช้าๆ ความชื้นร้อนๆ แผ่ซ่านไปในเปลือกตาราวกับสิ่งที่แข็งเป็นน้ำแข็งกำลังละลาย ถึงจะพยายามกลั้นเอาไว้ แต่ก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอ่อล้นที่ไหลรินลงมาบนขมับได้
มูคยอมเงยหน้าขึ้นและใช้ริมฝีปากเช็ดน้ำตาที่ไหลรินโดยไร้คำพูดใดๆ
“ฮื๊อ อือ”
เสียงเล็กๆ ที่แยกไม่ออกว่าเป็นเสียงสะอื้นหรือเสียงครางออกมาพร้อมกับน้ำตา มูคยอมประกบปากลงไปอีกครั้งและค่อยๆ สอดลิ้นเข้าไปด้านในราวกับตั้งใจจะดูดดื่มเสียงที่ว่านั่น
ลิ้นร้อนๆ ต้อนรับการมาถึงของมูคยอบอย่างรีบร้อน แขนของฮาจุนคลอเคลียอยู่ที่หลังคอของมูคยอมอย่างเก้ๆ กังๆ เป็นการใช้แขนสะกิดราวกับถามเบาๆ ว่าทำแบบนี้ได้หรือเปล่า
มือของมูคยอมที่ปัดป่ายไปที่คอ ผิวอันบอบบางบริเวณคาง หน้าอก และติ่งหูของฮาจุนแม้แต่ขณะที่กำลังจูบ ก็แทรกเข้าไปที่หลังคอในทันที ใช้มือช้อนหลังหัวของฮาจุนขึ้นมา และดันลิ้นเข้าไปลึกๆ ราวกับสอดใส่
ในตอนนั้นเอง ฮาจุนออกแรงไปที่แขนและดึงมูคยอมเข้ามากอด แค่กำลังจูบกันอยู่แท้ๆ แต่เขากลับสั่นสะท้านไปทั่วทั้งตัว
“อ๊ะ อื้อ อือ”
ลิ้นที่สอดเข้าไปจนลึก เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าและแนบแน่น หลังจากกวาดเพดานปาก ถูไถบริเวณช่องคออย่างอ่อนโยน และถอนออกเพื่อให้เขาพักหายใจแล้ว ก็สอดเข้าไปห่อหุ้มลิ้นอีกครั้ง
ลิ้นที่ถูกทิ่มแทงและบดขี้หลายต่อหลายครั้งเจ็บแปลบและรู้สึกเหมือนกับจะชาขึ้นมา แต่ที่รู้สึกว่ารับรู้อะไรได้ช้าลงก็เป็นเพียงแค่การคิดไปเองเท่านั้น เมื่อมูคยอมประกบปากและดูดดึงลิ้นของเขา ความรู้สึกเสียวซ่านราวกับกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเนื้อหนังอันบอบบางของเขาก็พุ่งขึ้นมา ฮาจุนจึงเอนหลังพลางส่งเสียงที่สูงขึ้นกว่าเดิมออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ฮ๊าา อ๊า…!”
ลิ้นที่เร็วรัวจนเกิดเสียงชื้นแฉะ ยังคงละเลงไปไม่หยุด ความเร่าร้อนพลุ่งพล่านและน้ำตาไหลรินเพราะความรู้สึกดี เขาสบตากับมูคยอมด้วยสายตาที่พร่ามัว แต่แล้วมูคยอมก็พร่ำบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงอันเร่าร้อน
“ฮู่วว อีฮาจุน… วันนี้นายต้องโดนดุ”
ฮาจุนกะพริบตาที่เปียกชื้นพลางช้อนตามองอีกฝ่ายราวกับสงสัยการคาดโทษที่ไม่คาดคิด ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อที่จะป้องกันการเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นเท่านั้น เขาทำผิดอะไรถึงต้องมาถูกดุกันล่ะ
“ถึงจะรู้ว่านายก็มีมุมที่ดื้อรั้นอยู่บ้าง แต่ถ้ามันอันตรายก็ควรจะหนีไปซะสิ แต่กลับพุ่งเข้าใส่ก่อนเนี่ยนะ นายเป็นแบบนี้ตลอดเลยได้ยังไง”
“…อ๊ะ อันตรายอะไรกัน…”
“ปากเก่งจังนะ ถ้างั้นก็อย่าร้องไห้สิ”
มูคยอมพูด และพรมจูบลงบนแก้ม เมื่อเขาถดตัวพลางครางออกมาเบาๆ เพราะความร้อนที่มาจากริมฝีปาก แขนอันทรงพลังของอีกฝ่ายก็ดึงไหล่ของเขาเข้ามากอด
เสียงงึมงำเหมือนพูดคนเดียวลอยเข้ามาในหู เป็นคำพูดที่ดูเหมือนว่ามูคยอมจะโมโหใส่ตัวเองมากกว่าโมโหใส่ฮาจุน
“บ้าไปแล้วเหรอ มันใช่เรื่องที่จะมาระบายอารมณ์ใส่นาย เพราะเรื่องที่ไอ้ชั่วนั่นทำหรือไง”
ดูจะเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ และริมฝีปากก็ประกบมาอีกครั้งก่อนที่จะได้ตอบออกไป พอลิ้นถูกกัดอย่างแผ่วเบาก่อนที่ความรู้สึกอันวาบหวามจะจางหายไป ความรู้สึกชาก็แผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า รู้สึกจั๊กจี้ราวกับมีป๊อปปิ้งแคนดี้อยู่ภายในปาก
ระหว่างที่หายใจหอบพลางพยายามเอาชนะจูบที่ไม่คาดคิด มูคยอมก็ถอดเสื้อเชิ้ตของฮาจุนออก และพรมจูบไล่ลงไปบนร่างกายของเขา ด้วยความที่ใส่เพียงเสื้อคลุมออกมาเท่านั้น กางเกงและชั้นในที่ไม่ได้เลือกมาอย่างใส่ใจเท่าไหร่นัก จึงถูกถอดออกไปด้วยภายในพริบตา
บริเวณต้นคอและกระดูกไหปลาร้าที่อ่อนไหวขึ้นมาเพราะถูกมือปัดป่ายไปหลายต่อหลายครั้ง เร่าร้อนขึ้นมาเพียงแค่ริมฝีปากเฉียดผ่าน ฮาจุนพยายามหยัดตัวขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่ริมฝีปากของมูคยอมที่ไล่ลงไปถึงหน้าอกและกลืนกินยอดอกของเขา
“อะ อ๊ะ!”
แต่มือของมูคยอมที่คว้าและดึงไหล่ของฮาจุนไว้กลับเร็วกว่า มูคยอมที่คว้าไหล่เอาไว้เพื่อไม่ให้ฮาจุนหนีไป ดูดดึงยอดอกและผิวหนังบริเวณนั้นจนเกิดเสียงขึ้น
ขณะที่ดูดแผ่นอก ก็ใช้ลิ้นบดขยี้ก้อนเนื้อเล็กๆ ที่อยู่บนอกราวกับจะฝังกลับลงไปใต้ผิวหนัง แต่ยิ่งบดขยี้มากเท่าไหร่ ยอดอกกลับยิ่งแข็งตัวราวกับต่อต้าน