Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 104
“พอฉันไม่เห็นนาย ฉันคิดว่าฉันคงจะตายในตอนนั้นเลย”
ฮาจุนซุกใบหน้าของเขาไว้ในอกของมูคยอม ถึงแม้ว่ามันจะไม่ต่างอะไรกับทัศนวิสัยอันมืดมิดแต่เขาก็ไม่ได้หลับตา ฮาจุนทำเพียงแค่กะพริบตาเพื่อฟังเสียงของอีกฝ่าย มันทำให้เขานึกถึงมูคยอมที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ และไม่สามารถไปสนามกีฬาได้เพราะหลุมใต้ตาของอีกฝ่าย
“เพราะอย่างนั้นฉันถึงได้รู้ว่าวิธีการแบบนั้นน่ะมันผิด แต่ถึงอย่างนั้น จนตอนสุดท้ายแล้วฉันก็ไม่อยากยอมรับว่าฉันชอบนาย ถ้าเราชอบกัน หรือคบกันจริงๆแล้วละก็… มันก็เห็นได้ชัดเลยว่าฉันจะกลับไปเป็นคนบ้ายิ่งกว่าเดิม”
“ทำไมล่ะ…”
“เพราะว่าฉันตัดสินใจแล้วว่าจนกว่าฉันจะตาย ฉันจะไม่มีทางเป็นคนแบบนั้นเด็ดขาด”
มูคยอมดันฮาจุนออกจากอกตนเอง นัยน์ตาสีนิลที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายใจมองมาที่เขาราวกับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
คงจะไม่รักใครไปตลอดชีวิต เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตอันยาวไกลในอนาคตได้ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่อย่างง่ายดาย ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะรักษาสัญญานั้นจนกระทั่งถึงวันนี้ ใครจะไปคิดว่าจะได้พบกับคนที่ทำลายความตั้งใจนั้นที่มูคยอมเคยคิดว่าตนเองเสียเวลาไปตั้งหนึ่งปีที่จะออกนอกลู่นอกทาง
“ฉันคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี ฉันไปถามแล้วก็ตอบตัวเองจนได้ข้อสรุปอย่างที่นายบอก ถ้าเรากลับไปเป็นคู่นอนกัน แค่มีอะไรกันแล้วตั้งสติให้ดี และฉันก็จะใช้ชีวิตต่อไปโดยในอนาคตก็จะไม่ข้ามเส้นแบบนี้อีก แต่ถ้านายเองก็มีใจให้ฉันอยู่เหมือนกัน การอยู่ในฐานะนั้นมันก็คงไม่ใช่เรื่องแย่สำหรับนาย ถูกแล้วที่ดื้อรั้นและเอาตัวเองเป็นหลัก นี่แหละคือเรื่องที่ฉันบอกว่าฉันทำไม่ได้ เป็นไงล่ะ ฟังดูแล้วน่าอายใช่ไหม”
มือของมูคยอมเสยผมหน้าม้าที่ไหลลงมาปรกหน้าผากของฮาจุนเล็กน้อย
“แล้วตอนนั้น… ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายชอบฉันแบบไหน คนเราก็ต้องมองคนอื่นตามมาตรฐานของตัวเองอยู่แล้วนี่นา”
“…แล้วนายเปลี่ยนใจแล้วเหรอ”
“ใช่”
“เรื่องที่ฉันชอบนายมาเป็น 10 ปีหรืออะไรทำนองนั้นเป็นเรื่องที่น่าทึ่งสำหรับนายเหรอ”
มูคยอมยิ้มอย่างขมขื่น
“สำหรับนายแล้วมันเหมือนกับการหายใจไหม”
“…”
“สำหรับฉันมันไม่ใช่ ฉัน…ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชอบใครสักคนแบบนั้นได้นานขนาดนั้น ถ้านายบอกว่ายังชอบฉันอยู่ แล้วเอาแต่พูดไร้สาระไปเรื่อย ฉันก็โง่จริงๆ แล้วสิ โชคดีที่ฉันไม่ได้โง่จนถึงขนาดนั้น”
มูคยอมถอนหายใจรดหน้าผากของเขา
“ให้ฉันเล่าเรื่องที่ไม่ได้ออกในรายการให้ฟังไหม”
“…เรื่องอะไรล่ะ”
“เรื่องไอ้คนคนนั้นกับแม่ที่นั่งอยู่บนรถคันเดียวกันและชนเข้ากับรั้วกั้นจนตาย”
“ฉันรู้ ถึงแม้ว่าฉันไม่รู้รายละเอียดก็ตาม แต่มันเป็นอุบัติเหตุ”
และแล้วทัศนวิสัยของฮาจุนก็มืดมิดขึ้น มูคยอมดึงเขาเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนของตนเองดังเดิม ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกังวลเรื่องอื่นอยู่อีกแล้ว
เมื่อคิดเช่นนั้น ฮาจุนจึงโอบแขนรอบแผ่นหลังของอีกฝ่าย
“ใครจะไปรู้ มันอาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุก็ได้”
“…”
“ฉันกังวลมาตลอดว่าวันหนึ่งคนคนนั้นจะฆ่าแม่ของฉัน… ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นจนได้สินะ”
มือของฮาจุนแข็งทื่อราวกับก้อนหิน แต่ไม่นานเขาก็ใช้มันลูบหลังของมูคยอม หลังจากกลืนน้ำลายแห้งไป เสียงที่ปริออกมาด้วยความตึงเครียดก็พรั่งพรูออกมาอย่างยากลำบาก
“อาจจะไม่เป็นแบบนั้น…ก็ได้นี่นา ทำไมนายถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“เพราะในที่สุดไอ้บ้าคนนั้นก็เริ่มระแวงในตัวฉันเหมือนกันอย่างไรละ” เสียงของมูคยอมอ่อนลงเล็กน้อย
“…”
“ฉันโตเร็วมาก ตอนที่อายุประมาณ 10 ขวบ ฉันก็สูงเกิน 160 เซนติเมตรแล้วน่ะสิ เพราะอย่างนั้นสำหรับสายตาไอ้คนคนนั้น ก็คงมองลูกของตัวเองเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกัน”
มูคยอมรู้สึกได้ว่าร่างกายของฮาจุนที่อยู่ในอ้อมกอดของตนเองนั้นแข็งทื่อ มูคยอมจึงกระชับอ้อมกอดให้แน่นยิ่งขึ้น
“นั่นเป็นเหตุผลที่ในที่สุดแล้วแม่ก็มีความกล้ามากขึ้น แม่บอกว่าจะทิ้งปีศาจบ้านั่นแล้วหนีไปกับฉัน…”
“…”
“วันนั้นเป็นวันที่พวกเราตัดสินใจหนีไปด้วยกัน แม่บอกฉันว่าหลังเลิกเรียนอย่าเพิ่งกลับบ้าน ให้รอก่อน ฉันรู้สึกดีใจที่คิดว่าในที่สุดฉันก็สามารถหลุดพ้นจากเงื้อมมือของไอ้คนนั้นและได้อยู่กับแม่แค่สองคน”
“คิมมูคยอม”
“แล้วอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในวันนั้นมันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ เหรอ นอกจากเรื่องนั้นฉันก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ มันไม่มีหลักฐานอื่น ไม่ใช่คดีใหญ่ และถึงแม้ว่าเด็กกำพร้าอายุ 11 ขวบจะพูดว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุก็ตาม แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครฟังอยู่ดี พออุบัติเหตุได้รับการจัดการ ฉันก็ถูกส่งไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทันที แล้วเรื่องราวมันก็จบลงแค่นี้”
ถึงแม้น้ำเสียงจะต่ำโดยไร้การขึ้นเสียง แม้ว่าเรื่องราวจะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกที่อยู่ในนั้นยังคงแจ่มชัด มูคยอมวางสายตาไปที่ศีรษะของฮาจุนที่ตัวแข็งทื่อและพูดไม่ออก
…ฉันปล่อยแขนนี้ได้ไหมนะ ถ้าปล่อยแล้วจะหนีไปหรือเปล่านะ พอได้ฟังเรื่องนี้แล้ว อีฮาจุนจะยังพยายามอยู่เคียงข้างฉันหรือเปล่า
ปีศาจตนนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่อันธพาลที่อยู่ในความเพ้อฝัน สุดท้ายแล้วไอ้คนคนนั้นอาจจะเป็นฆาตกรที่เอามือไปบีบคอแม่ แล้วโยนตัวเองเข้ากองไฟไปตามทางแห่งความตายก็ไม่อาจรู้ได้ มันเป็นความลับที่มูคยอมต้องการซ่อนเอาไว้มากที่สุด ไม่มีใครได้รู้ แม้แต่ผู้จัดการทีมอย่างพัคจุนซองเองก็ไม่รู้เช่นกัน และมันก็เป็นเหตุของข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวของมูคยอม
“ปล่อยก่อน” ฮาจุนพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม
อย่างไรก็ตาม มูคยอมไม่สามารถผ่อนแรงจากแขนของเขาได้ทันที
คงกลัวว่าจะเผชิญกับท่าทีที่หวาดกลัวของฮาจุนหลังจากที่ตนเองปล่อยมือออกไป มูคยอมกลัวว่าฮาจุนจะบอกว่าเราจบกันแค่นี้ แล้วมูคยอมก็จะไม่ได้ยินเสียงของฮาจุนที่กระซิบบอกว่าชอบกันเหมือนเมื่อครู่นี้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม มูคยอมก็รู้ด้วยว่าความกลัวนี้เป็นศัตรูพืชที่กัดกินและทำลายปีศาจตนนั้น
ความชอบมันคืออะไรกันนะ แล้วความรักล่ะ คำพูดเหล่านั้นสำหรับมูคยอมแล้วมันเกี่ยวข้องกับภาพแห่งความเศร้าโศก ความตาย และการทำลายล้างมากกว่าที่จะเกี่ยวข้องกับความอบอุ่น ความสวยงาม และความสุขมาโดยตลอด คนที่ทำให้มูคยอมคิดว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น ท้ายที่สุดแล้วคนคนนั้นจะไม่อยู่เคียงข้างตนเอง และตอนนี้มูคยอมก็รับความกลัวนั้นไม่ไหวแล้ว
มูคยอมกระแอมหนึ่งครั้งแล้วจึงค่อยๆ ผ่อนแรงที่แขนของตนเอง ฮาจุนที่ออกจากอ้อมแขนของมูคยอมพยุงตัวเองขึ้นแล้วนั่งเหลือบมองมูคยอมที่กำลังจ้องมองตนเองอย่างเงียบๆ
“…ทำไมนายถึงไม่เคยบอกฉันเลยล่ะ”
มูคยอมยักไหล่พร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น
“ถ้าฉันเล่าเรื่องพรรค์นี้แล้วนายเกลียดฉัน จะทำอย่างไรล่ะ”
ฮาจุนใช้มือขยี้ผมของมูคยอมอย่างแรงๆ จนกระเซอะกระเซิงด้วยสีหน้าที่บอกว่าไร้สาระ
“นายรู้จักแค่ตัวเองจริงๆ เลย คิมมูคยอม ฉันเกลียดคนที่ไม่ฟังใครนอกจากตัวเองมากกว่าคนที่มีพ่อไม่ปกติอีก มาตรฐานคืออะไรกันแน่ นายก็พูดไปตั้งหลายอย่างแล้ว แต่ดันไม่พูดเรื่องนี้เพราะบอกว่ากลัวว่าฉันจะเกลียดนายอย่างนั้นเหรอ”
“นายไม่คาใจ หรือไม่เกลียดฉันเลยเหรอ”
“ไม่ได้เกลียด! ถ้าฉันจะเกลียดนายด้วยเหตุผลนี้ ฉันคงเกลียดนายไปแล้ว! … ที่เห็นว่าเข้าโมเต็ล ถ้าเป็นแต่ก่อนฉันก็คิดว่าฉันคงจะโกรธ ถ้าหากว่านายตามเข้าไป นายน่าจะรู้ทันทีว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
“จริงเหรอ ขนาดนั้นก็ไม่โกรธฉันเหรอ”
“…นายคงไม่ชอบที่ฉันอยู่กับคนอื่นนี่นา ในอนาคตฉันก็จะระวังเรื่องนี้ไว้ ฉันคิดว่านายก็แค่ขี้หึงมากไปหน่อย และดูเหมือนว่า…นายค่อนข้างที่จะมีจินตนาการสูง”
มือที่เคยขยี้ผมของมูคยอมให้ยุ่งเหยิงเมื่อครู่ ตอนนี้กำลังลูบหัวมูคยอมอย่างอ่อนโยน
“นายตามฉันเข้าไปในโมเต็ลเพื่อจะไปตีฉันเหรอ”
“บ้าไปแล้วเหรอ ฉันจะไปตีนายทำไม ฉันจะไปลากนายยุนออกมาแล้วทำให้เขาต้องอับอายที่ทำเรื่องผิดศีลธรรมน่ะสิ!”
ฮาจุนแย้มรอยยิ้มบางทันทีที่มูคยอมแสดงความจงเกลียดจงชังออกมา
“เพราะว่าเป็นลูกก็อาจจะมีนิสัยที่คล้ายกับพ่อบ้างเล็กน้อย แต่นายน่ะต่างจากพ่อของนายอย่างสิ้นเชิงเลยนะ ฉันก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกัน…แต่ก็คิดแบบนั้นแหละ”
ฮาจุนที่ติเตียนอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้เอาแต่มองลงไปที่มูคยอมโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ มีแสงแห่งความเห็นใจอย่างแจ่มชัดในนัยน์ตาสีนิลที่มีศีลธรรมของอีกฝ่าย มูคยอมมองดูท่าทางของฮาจุนแล้วจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“อีฮาจุน นายสงสารฉันเหรอ”
“หือ”
ฮาจุนเบิกตากว้างด้วยความเขินอายและไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
“ไม่หรอก สงสารงั้นเหรอ ไม่ใช่อะไรแบบนั้นหรอกน่า…”
“ทำไมถึงไม่ใช่ล่ะ อย่าพูดแบบนั้นเลย สงสารฉันหน่อยสิ”
“…”
“ว่าอย่างไรล่ะ สงสารคิมมูคยอมผู้โชคร้ายหน่อยได้ไหม แล้วก็ช่วยอยู่เคียงข้างฉันต่อไปได้ไหม”
“…อย่างไรก็ดี ฉันคงพูดอะไรไม่ได้…”
ในระหว่างที่ฮาจุนลดระดับการบ่นลงนั้น มูคยอมก็คว้ามือของฮาจุนมาแล้วก็จุมพิตลงบนฝ่ามือ อีกฝ่ายลูบแก้มของฮาจุนอย่างตามอำเภอใจ จากนั้นจึงรั้งเอวเข้ามาแล้ววางใบหน้าลงบนต้นขาของฮาจุน
ฮาจุนถอนหายใจทันที เขาลูบหัวมูคยอมอีกครั้ง และบ่นพึมพำด้วยเสียงต่ำ
“แต่ว่านะคิมมูคยอม ถึงแม้ว่ามันจะไม่เหมือนกัน แต่ฉันว่าฉันเข้าใจความรู้สึกของนายนะ”
“ความรู้สึกอะไรเหรอ”
“อันที่จริงฉันเองก็มีเรื่องที่ไม่สามารถเล่าให้คนอื่นฟังได้เหมือนกัน”
“เรื่องอะไร”
“พ่อของฉันฆ่าตัวตายตั้งแต่ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ถึงแม้ว่ามันจะไม่เลวร้ายเท่ากับการทำอาชญากรรม และเพียงเพราะพ่อของฉันตายแบบนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันต้องทำแบบนั้นด้วยเหมือนกันนี่ เพราะอย่างนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเอ่ยถึง ก็จริงอยู่ที่ไม่จำเป็นต้องพูดถึง แต่ฉันก็ไม่ได้พูดออกมาเพราะไม่มีความจำเป็นที่จะพูดอย่างไรละ ก็เลยกลับกลายเป็นว่าฉันปกปิดมันเอาไว้”
มูคยอมออกแรงแขนที่โอบเอวเขาไว้ มูคยอมเงยหน้าขึ้นและมองขึ้นไปที่ฮาจุนด้วยสายตาที่ตกใจมาก
“ฉันไม่เห็นรู้เรื่องนั้นเลย โค้ชของฉันคงลำบากมากเลยสินะ”
“…แต่มันเทียบกับของนายไม่ได้เลย”
“ก็เพราะในความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนน่ะ ผู้คนไม่ค่อยอยากได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ยากลำบากและความทุกข์หรอกนะ มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นี่ พอได้ฟังก็จะรู้สึกหนักใจ ถ้าจะให้เอ่ยถึงมันก็คงยาก เพราะงั้นเราก็ทำกันแค่พวกเราสองคนเถอะ อย่างไรเสีย ตอนนี้พวกเราก็บอกกันหมดเปลือกแล้วนี่นา มันยากลำบากในแบบของพวกเรา พวกเราก็มาให้กำลังใจกันในแบบพวกเรากันเถอะ เอาแบบนี้แหละ”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ฮาจุนก็ปิดริมฝีปากที่แยกจากกันเล็กน้อย
มูคยอมไล่สายตาตามดวงตาสีนิลที่มองลงมาที่ตนเองอย่างราวกับว่าไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ในที่สุดมูคยอมก็ยืนขึ้นเมื่อเห็นว่าฮาจุนตัวสั่นและน้ำตาไหล
ฮาจุนบ่นอู้อี้ด้วยน้ำเสียงงึมงำเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา และไม่แม้แต่จะปล่อยมือจากแขนของมูคยอมที่กำลังโอบกอดตนเองเอาไว้
“ไม่สิ ทำไม… คนที่โดนรายการเล่นข่าวอย่างไม่เป็นธรรมมันคือนายนะ แต่ฉันกลับเป็นคนที่เอาแต่ร้องไห้ แปลกจริงๆ… ปกติฉันเป็นคนไม่ค่อยร้องไห้นะ”
ราวกับว่ามูคยอมได้ตั้งกฎไว้ว่าควรจะดื่มกินน้ำตาของฮาจุนอย่างไม่มีเงื่อนไข ครั้งนี้ก็เช่นกันที่มูคยอมใช้ริมฝีปากจูบซับมันออกไป
“ที่ผ่านมาเหนื่อยมากเลยใช่ไหม”
ฮาจุนไม่ตอบ แต่กลับเอาหน้ามาแตะไว้ที่ริมฝีปากของมูคยอม และหลังจากนั้นไม่นาน ฮาจุนก็ลดเสียงลงและเบะปากตอบราวกับเป็นเด็กที่กระทำความผิดมา
“แค่นิดหน่อย… ไม่เท่าคนอื่น….”
“ฉันนึกว่าเหนื่อยแทบตายเสียอีก อย่าให้ฉันคร่ำครวญอยู่แค่ฝ่ายเดียวสิ”
จากคำพูดนั้น ฮาจุนจึงพยักหน้าลงเล็กน้อยอย่างช้าเกินไป
“อือ… เหนื่อยมากเลย”
“นายทำดีแล้ว”
ฮาจุนยิ้มออกมาขณะที่น้ำตากำลังไหลอาบแก้มราวกับว่ามันเพิ่งไหลทะลักออกมาอีกรอบจากการปลอบใจสั้นๆ ของมูคยอม มูคยอมเบิกตากว้างราวกับแปลกใจกับสีหน้าเช่นนั้นของเขา ขณะที่อีกฝ่ายจูบซับน้ำตาอีกครั้งนั้น ฮาจุนก็ยังคงพูดต่ออย่างแผ่วเบา
“เพราะงั้น…การชอบนายมันถึงไม่เหนื่อยเลยแม้แต่น้อย”
“…”
“ถ้าเกิดว่าฉันไม่ได้ชอบนาย…คงจะเหนื่อยกว่านี้แน่ๆ”
ชีวิตที่เหมือนกงล้อดูเหมือนจะไม่มีทางออก เมื่อกลับมาจากการฝึกซ้อมทั้งวัน บรรดาน้องๆ ที่หมดแรงนั้นเล่นกันเงียบๆ ที่มุมห้องด้วยกันอย่างไม่สมกับที่เป็นเด็ก และแม่ก็มักจะเมาและนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะหรือผ้าห่มเป็นประจำ เขารู้สึกกังวลใจว่าแม่กำลังจะตายตามพ่อไปหรือเปล่า จึงมีหลายครั้งที่เขาไปตรวจดูการหายใจของแม่ขณะที่แม่กำลังนอนหลับ
แม้ว่าจะได้รับคำชื่นชมในความสามารถ แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าเขาจะได้เป็นนักเตะมืออาชีพหรือเปล่า หลังจากที่ใช้ร่างกายอันเหนื่อยล้าจากการฝึกซ้อมไปหางานพาร์ตไทม์ระยะสั้นทุกครั้งที่มีเวลา สุดท้ายทุกอย่างก็สูญเปล่าเพราะเงินที่ได้มานั้นมันน้อยเกินไป เขาคิดว่ามันเป็นหนทางที่ดี ก็เลยเลือกหนทางนี้ แต่มีบางวันที่เขาเอามองแต่เพดานต่ำๆ ทึบๆ คิดวันละ 12 ครั้งว่าจะลาออกให้หมดเลยดีไหม ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้วไปหางานอย่างอื่นที่มันสามารถหาเงินได้
หลังจากที่ได้พบกับซุปเปอร์สตาร์ในอนาคตที่รุ่นราวคราวเดียวกันอันส่องแสงเปล่งประกายราวกับดวงอาทิตย์ ที่ได้นั่งคุกเข่าลงต่อหน้าเขาแล้วส่งกำลังใจสั้นๆ ให้กับเขา ก็มีแสงบางๆ ปรากฏขึ้นทุกวันราวกับถูกขังอยู่ในถ้ำ การได้เห็นอีกฝ่ายออกไปสู่โลกที่กว้างใหญ่ทำให้เขามีความสุขราวกับว่ามันเป็นเรื่องของเขาเอง
มันทำให้เขาชอบมองขึ้นไปบนท้องฟ้ามากกว่ามองเพดาน และทำให้การเตะฟุตบอล และการดูฟุตบอลนั้นสนุกยิ่งขึ้น แม้ว่าฮาจุนจะไม่ถนัดงานที่ใช้มือ แต่พอเอาแต่นึกถึงมูคยอมที่เอาแต่ใช้มือได้อย่างกระฉับกระเฉง เขาก็เลยฝึกผูกเชือกรองเท้าให้น้องๆ อยู่บ่อยๆ โดยไม่รู้ว่าทำไม
เพราะว่ากลัวว่าจะถูกจับได้ว่าต่างจากคนอื่นจนไม่กล้าเข้าใกล้ แต่เมื่อถูกเรียกตัวมาด้วยกันหรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ เขาก็มักจะมองหาอีกฝ่ายอยู่เสมอ เขามักจะแอบมองมูคยอมที่พูดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าบึ้งตึงหรือแสยะยิ้มที่ดูคล้ายกับการเย้ยหยันด้วยความรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้เห็นสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลก
ทันใดนั้น เมื่อเขาได้พบกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงง่ายๆ หัวใจของเขาก็เต้นรัวจนถึงกลางคืน ในตอนท้ายของวัน การรวบรวมรูปภาพหรือบทความของอีกฝ่ายที่ออกมาใหม่ในวันนั้นเป็นความสนุกสนานเล็กๆ น้อยๆ ของวันที่ผ่านมาโดยที่ไม่รู้สึกลำบากเลยแม้แต่น้อย ชีวิตของเขาในตอนนั้น มีเพียงหัวใจที่คิดถึงมูคยอมที่เป็นสิ่งที่ชัดเจนและเปล่งประกายเพียงแค่เท่านั้น
ริมฝีปากของมูคยอมที่คอยจูบซับน้ำตาอยู่ ตอนนี้เลื่อนมาประกบริมฝีปากของฮาจุนเอาไว้ อีกฝ่ายใช้แขนดึงร่างกายของเขาเข้ามากอด แล้วใช้มือขยุ้มผมของฮาจุน ฮาจุนได้รับการปลอบประโลมจากร่างกายของมูคยอมที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่เก่งด้านร่างกายมากกว่าคำพูด มูคยอมผละริมฝีปากออกมาแล้วเรียกชื่อเขา
“อีฮาจุน”
“อือ”
“ฉันถูกเค้นให้พูดแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ไหนๆ ฉันก็พูดมันออกไปหมดแล้ว นายช่วยให้คะแนนฉันหน่อยสิ”
เงาที่ปกคลุมใบหน้าของฮาจุนได้หายไปจนหมด คะแนนถูกล็อกผลเอาไว้อยู่แล้วตั้งแต่ก่อนส่งการบ้าน