Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 110
ฮาจุนพยายามคงสติที่เริ่มเลือนราง แม้มันจะเหลืออยู่เพียงน้อยนิด คำพูดของมูคยอมที่บอกกันว่า ‘คิดแค่ว่าฉันชอบนายก็พอ’ ที่เหมือนดั่งมนตร์สะกดกำลังถูกท่องวนอยู่ในหัวของเขา ทว่าเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของชายตรงหน้า เสียงพูดที่ดังต่อมาจึงเริ่มลอยวนรอบหูอย่างแผ่วเบา
“โอเค คิมมูคยอมชอบนายนะ อีฮาจุน ฮาจุนอ่า ฉันรักนาย”
แม้ในตอนนี้ฮาจุนจะนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ แต่ภาพตรงหน้ากลับกำลงหมุนเคว้ง
ท้ายที่สุดความร้อนรุ่มและเฉอะแฉะก็เริ่มก่อตัวในร่าง ฮาจุนไร้สิ้นซึ่งสติสัมปะชัญญะ บิดร่อนสะโพกของตนราวกับว่ากำลังร้องขอของเหลวอุ่นร้อนที่ถูกอัดใส่ช่องทางด้านในหลายต่อหลายครั้งจนเอ่อล้น
ดวงไฟเล็กจิ๋วเหมือนดวงดาวเปล่งประกายอยู่บนเพดานห้อง หาใช่บนฟากฟ้ายามค่ำคืน ทว่าไม่นานแสงนั้นก็ค่อยๆ มืดลงอย่างเชื่องช้า
* * *
ในตอนที่ลืมตาขึ้น มูคยอมยังคงนอนอยู่บนตัวของเขา
ราวกับว่ากิจกรรมก่อนหน้าได้จบลงเป็นที่เรียบร้อย มูคยอมทำเพียงแค่นอนคว่ำและวางใบหน้าลงบนอกของคนใต้ร่าง เมื่อฮาจุนยกมือขึ้นลูบหัว มูคยอมก็เงยหน้า ก่อนดันตัวขึ้นพร้อมยิ้ม
“ตื่นแล้วเหรอ”
“…นายล่ะ ตื่นนานหรือยัง…”
“ไม่เท่าไหร่ สัก 5 นาทีได้มั้ง”
มูคยอมประทับริมฝีปากเหนือหน้าผากคนใต้ร่าง สายตาที่มองนิ่งลงมาจากคนซึ่งอยู่ห่างไปเพียงคืบ ทำเอาฮาจุนหน้าแดงเรื่อ จนต้องหันหน้าหนี
“ทำไมมองฉันอย่างนั้น”
“ก็นายสวย”
มุมปากของมูคยอมยกโค้งขึ้นอย่างไม่รู้วิธีที่จะเอาลง หากจะให้ยืมคำพูดจากที่ไหนสักแห่งมาอธิบาย สายตาของมูคยอมในตอนนี้หวานหยดเหมือนกับน้ำผึ้งเลยละ แม้จะสงสัยว่าคนตรงหน้าชอบใจอะไรนักถึงได้ยิ้มร่ามองกันแบบนี้ แต่ฮาจุนกลับไม่พูดอะไรออกไป เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะต้องวางตัวยังไง ทั้งหลบสายตาไปทางนั้นทีทางนี้ทีก็แล้ว ทว่าสุดท้ายจุดวางสายตาของฮาจุนก็ไปหยุดที่ใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้า
มูคยอมถอนหายใจ แล้วลูบเส้นผมของฮาจุนขึ้น
“ถึงจะรู้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่ละอายใจนะ”
“อะไรอีกล่ะ”
“ที่เมื่อกี้ฉันโมโห เพราะนายบอกแค่ว่าเจ็บ… แต่พอนายบอกว่าไม่ได้มีใครคนอื่นอีกแล้ว เอาจริงๆ ฉันก็รู้สึกดีนะ”
ฮาจุนส่งเสียงหัวเราะ หึ ออกมา
“ดังนั้นตอนนี้เลิกคิดอะไรแปลกๆ ได้แล้ว แล้วก็หยุดไปจับคนที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย”
“ถ้ารู้ก่อนฉันก็ไม่คิดแบบนั้นตั้งแต่แรกหรอกน่า”
มูคยอมพึมพำตอบและเงียบลงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแนบตัวเข้าชิด แล้วดึงฮาจุนเข้าอ้อมกอดราวกับว่าไม่สามารถต้านทานได้ แรงกอดแน่นที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวทำเอาฮาจุนเกือบหลุดไอ เขาจึงทุบลงบนหลังของมูคยอม กระนั้นคนกอดก็หาได้สนใจแรงแขนที่เหวี่ยงใส่ มูคยอมพูดงึมงำคนเดียวราวกับว่ากำลังขบเคี้ยวอะไรอยู่ ถ้าไม่ได้คิดไปเอง ตอนนี้ฮาจุนรู้สึกได้ถึงความสั่นไหวในน้ำเสียงของมูคยอม
“ทำไงเนี่ย แม่ง… ฉันรู้สึกดีมากเลย…”
ดีขนาดนั้นเลยหรือไงนะ ทั้งๆ ที่ฮาจุนก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก แต่เพราะมูคยอมบอกว่ามันดี เขาก็เลยไม่ได้รู้สึกแย่อะไร ดังนั้นฮาจุนจึงวาดยิ้มแล้วถามกลับไป
“อะไรมันจะดีขนาดนั้นกัน ครั้งแรกของนายหรือไง”
มูคยอมถอนหายใจยาวเหยียดราวกับว่ากำลังด่ำดิ่งอยู่ในห้วงอารมณ์
“ไม่ใช่เพราะเป็นครั้งแรก แต่เพราะว่ามีแค่ฉันต่างหาก หมายความว่านอกจากฉันแล้วก็จะไม่มีใครได้เห็นนายร้องโยเยน่ารักๆ แบบเมื่อกี้อีกแล้วไง แค่ได้เป็นครั้งแรกอย่างเดียวฉันคงไม่รู้สึกดีถึงขนาดนี้หรอกน่า”
ผิดคาด คำพูดนั้นกลับเรียกรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของฮาจุน
“ตัวโตขนาดนี้แล้วมาสะอึกสะอื้น น่ารักตรงไหน”
“…เพราะนายไม่รู้เรื่องนั้น ฉันก็เลยไม่สบายใจนี่ไง”
ขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง มูคยอมก็จับมือของฮาจุนขึ้นตบแก้มตัวเองเบาๆ
“ครั้งแรกที่ทำแบบนั้น วันต่อมาร่างกายก็ดีขึ้นใช่ไหม”
“ถึงจะเจ็บนิดๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรนะ ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย”
“ถึงฉันจะทำลงไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ แต่การที่ทำให้นายเจ็บฉันก็ควรโดนว่าสิ หรือให้ฉันเขียนจดหมายสำนึกผิดด้วยดีไหม”
“ช่างเถอะน่า เดี๋ยวก็ต้องมานั่งอ่านนั่งตรวจจดหมายอีก ฉันขี้เกียจนะ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันควรจะสำนึกผิดยังไงดี”
“ฉันเองก็โกหกนายเหมือนกัน ดังนั้นถือว่าเราต้องรับผิดกันคนละครึ่ง”
“อย่างน้อยรับเป็นของตอบแทนจากฉันหน่อยก็ได้”
“ของตอบแทนอะไร”
หลังคำถามนั้น มูคยอมก็ยกแขนขึ้นหนุนนอนและทำเสียงหงอยบ่นออกมา
“นายไม่รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมหรือไง 10 ปีของนายมันน่าเสียดายมากเลยนะ ที่ผ่านมาก็มีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับฉัน ดังนั้นไม่ว่าอะไร นายก็ช่วยรับไว้เถอะนะ”
“ที่ฉันไม่คบใครไม่ใช่เพราะว่านายเป็นคนสั่งให้ทำสักหน่อย แล้วทำไมฉันต้องมารับของจากนายด้วยล่ะ”
“นาฬิกาข้อมือก็ไม่เอา รถก็ไม่เอา เงินสดก็ไม่เอา ถ้างั้นฉันควรให้อะไรนายดี เสื้อผ้าหลายตัวที่ซื้อให้นายก็ไม่ชอบ”
“ก็ฉันไม่ได้ชอบนายที่เงินสักหน่อย ทำไมจะต้องอยากได้ของพวกนั้นด้วยล่ะ”
ถ้าเป็นคนอื่นที่มาได้ยินก็อาจจะดีใจกับคำพูดนั้น แต่มูคยอมกลับแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอัดอั้น เขาขยับตัวเข้าชิดฮาจุน แล้วโอบเอวเอาไว้เหมือนกับคนหมดเรี่ยวหมดแรง
ฮาจุนเงียบไปพักหนึ่ง เขาถอนหายใจออกมาและตบไปที่ไหล่ของมูคยอมเบาๆ
“ถ้าเกิดฉันไปมีเซ็กส์หรือคบหากับคนที่ไม่ได้รู้สึกรักเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว ตอนนั้นนายจะมาหวงฉันหรือไง มันไม่ใช่เพราะนายสักหน่อย แต่เพราะว่าตัวฉันไม่อยากทำ ฉันก็เลยไม่ทำมันต่างหาก”
มูคยอมกำลังรู้สึกติดหนี้ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เว้นแต่ว่าถ้าตอนนั้นเขาฝันถึงช่วงเวลาแม้เพียงน้อยนิดที่จะได้อยู่กับมูคยอมจนตั้งอกตั้งใจเก็บถนอมตัวเองเอาไว้ มูคยอมก็คงจะคิดแบบนั้นได้ แต่เหตุผลที่เขาไม่มีประสบการณ์เลยจนถึงตอนนี้ ปัญหาใหญ่ที่สุดก็เพราะมัวแต่ก้มหน้าทำมาหากินและดูแลครอบครัวจนไม่มีเวลาว่าง จนประเด็นเรื่องความรักกลายเป็นเรื่องที่อยู่นอกลำดับความสำคัญไป และเพราะว่าฮาจุนไม่อยากจะเอาปัญหาของตัวเองไปใส่บ่าใคร บวกกับช่วงหลายปีมานี้เขาก็วุ่นวายไปกับการเล่าเรียนจากการเปลี่ยนเส้นทางอาชีพแบบกะทันหันอีกด้วย
มูคยอมที่นิ่งเงียบมองมองฮาจุนอยู่ เอ่ยถามออกมาราวกับว่าแอบประหลาดใจ
“นายไม่สงสัยสักนิดเลยเหรอ ว่าการคบใครสักคนจะเป็นยังไง หรือเซ็กส์จะให้ความรู้สึกแบบไหน”
“ก็สงสัยนิดๆ แหละมั้ง ไม่รู้สิ ฉันไม่สนใจอะไรแบบนี้อยู่แล้ว ตอนนั้นก็เลยไม่คิดอยากจะลองอะไร”
จากมุมของฮาจุนเขารู้สึกว่าคนที่คบคนนู้นคนนี้ทีแบบไม่ได้รู้สึกอะไรกับใครพิเศษเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจ ไม่รู้สิ ถ้าเกิดเขาไม่ได้มีใจให้มูคยอม บางทีเขาอาจจะเหงามากกว่านี้ แล้วก็อาจจะอยากได้ไออุ่นหรือการปลอบโยนจากคนอื่นไหมนะ แต่ก็เหมือนกับเรื่องเด็กขายไม้ขีดไฟในช่วงก่อนไฟบนหัวไม้ขีดจะดับลง ฮาจุนคิดว่าแค่ดวงไฟดวงเล็กๆ ที่กักเก็บไว้ในใจ เท่านี้ก็เพียงพอให้เขารู้สึกว่าไม่ต้องการสัมผัสจากใครอื่นอีกแล้ว
ดูเหมือนว่าตอนนี้มูคยอมกำลังใช้ความรักอันแสนบริสุทธิ์ ห่อหุ้มการกระทำและความรู้สึกที่เคยเคลือบแคลงใจว่าทำลงไปเพื่อปลอบโยนหรือสร้างความพึงพอใจให้ตัวเองหรือเปล่า จนเจ้าตัวเองก็เริ่มที่จะประหม่าขึ้นมานิดๆ แล้ว
ประสบการณ์ครั้งแรกกับมูคยอม แน่นอนว่ามันทั้งเจ็บและหนักหนา แต่หากตอนนั้นเขาพูดออกไปว่าเจ็บและขอให้หยุด เขาคิดว่ามูคยอมคงจะใจดีแล้วทำตามที่บอกอย่างแน่นอน ทว่าสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะกดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้และอดทนทำไปจนจบ ซึ่งก็เป็นตัวเลือกที่ทำเพื่อความสุขของตัวเองทั้งนั้น เพราะแบบนี้มันจึงแปลกที่มูคยอมจะต้องมารู้สึกผิดหรือตอบแทนกัน
“คิมมูคยอม”
“หืม”
“ที่ฉันบอกไปก่อนว่าเจ็บน่ะ… เพราะตอนนั้นนายถามว่าชอบหรือเปล่า ฉันเลยอยากจะแกล้งนายต่างหาก เอาจริงๆ ฉันรู้สึกดีนะที่ได้มีครั้งแรกกับนาย”
“…”
ดวงตาที่จ้องมองฮาจุนอยู่เบิกกว้างขึ้น สิ่งที่เขาพูดออกไปมันน่าตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ ฮาจุนไม่ได้คิดอะไรเยอะเลยด้วยซ้ำตอนพูด แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาแล้วสิ
“ฉันต้องไปอาบน้ำหน่อยแล้วละ”
หลังคำพูดที่บอกว่าจะไปอาบน้ำ ฮาจุนก็ขยับจากที่ เอาตัวออกจากอ้อมแขนของมูคยอม แล้วลุกออกจากเตียง แต่ทันทีที่ลุกขึ้นเรี่ยวแรงที่ขาก็หดหาย ทำเอาเขาเซจนเกือบจะล้มลง
“ระวังหน่อยสิ”
มูคยอมเข้าไปประกบด้านหลังในทันที เขาช้อนเอวของฮาจุนเอาไว้ แล้วหัวเราะคิกคักขึ้นมา
“ลูกวัวหัดเดินนี่”
“…ครั้งก่อนนายก็มาเรียกฉันว่าลูกวัว ชื่อเรียกอะไรเนี่ย”
แทนที่จะตอบกลับไป มูคยอมกลับยกฮาจุนขึ้นอุ้มอีกครั้ง เสียงของมูคยอมที่ดังขึ้นตามทางเดินไปถึงห้องน้ำฟังดูสดใสเหมือนกับเสียงฮัมเพลง
“รู้สึกดีไหมที่ได้มีครั้งแรกกับฉัน”
“…แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องรู้สึกไม่ดีล่ะ”
ถึงจะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แต่ฮาจุนรู้ดีว่าทุกคนไม่สามารถที่จะมีครั้งแรกกับคนที่ชอบได้ และการที่ได้มีครั้งแรกกับคนที่ชอบ ไม่ว่าจะคิดยังไง เขาก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นเรื่องที่เสียหายอะไรเลยด้วยซ้ำ
มูคยอมอมยิ้มขึ้นมาน้อยๆ แล้วย้อนถามกลับไปว่าจริงเหรอ ก่อนจะจับตัวฮาจุนที่อุ้มอยู่วางลง
“เดี๋ยวฉันอาบให้ เอาแบบสะอาดเอี่ยมอ่องจนถึงข้างในเลย”
“ไม่ต้องเลย! อย่ามาแตะนะ”
“เอาอีกแล้ว”
ประตูห้องน้ำปิดลงพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังขึ้น ในค่ำคืนมืดมิดเสียงหยดน้ำที่กระทบลงพื้นเหมือนก้อนกรวดกระจัดกระจายดังเคล้าไปกับเสียงของคนสองคน
——————————————————
รถยนต์สีบรอนซ์เงินจอดอวดเค้าโครงสุดโฉบเฉี่ยวอยู่ริมถนนที่เชื่อมต่อไปยังทางลาดชัน มูคยอมซึ่งประจำอยู่ตรงที่นั่งฝั่งคนขับมองดูเวลา ขณะนั้นเองเด็กนักเรียนในชุดเครื่องแบบที่ทยอยเดินออกมาจากซอยก็เริ่มหนาตาขึ้น
ปี้น หลังเสียงแตรสั้นๆ หลายคนตรงนั้นก็หันมามองที่รถ ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นเด็กหญิงชายคู่หนึ่งที่เดินมาด้วยกันเบิกตาขึ้นกว้าง แล้วเดินเข้ามาใกล้รถต้นเสียง มูคยอมปรับกระจกรถลง จนเมื่อได้สบตากับเด็กทั้งสอง เขาก็ปลดล็อกรถ ไม่ทันได้เอ่ยปากชวน เด็กหญิงก็ขึ้นมาจับจองที่นั่งบริเวณเบาะหลังแล้วบ่นพึมพำออกมา
“พี่มารอใกล้ๆ แบบนี้ได้ยังไงล่ะคะ คนอื่นเขาก็มองกันหมดน่ะสิ”
“แล้วมันทำไม ให้คนอื่นเห็นไม่ได้หรือไงกัน”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย รถคันนี้ยี่ห้ออะไรเหรอคะ ใช่เฟอร์รารี่ไหม”
“คันนี้ปอร์เช่ ที่พูดแบบนั้นคืออยากให้พี่ขับเฟอร์รารี่มาหรือเปล่าเนี่ย”
โดยไม่ต้องรอให้เสียเวลา รถเริ่มวิ่งออกสู่ท้องถนนและไปจอดลงตรงหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง เมื่อมูคยอมเดินไปถึงด้านหน้า เซ็นเซอร์จากในร้านก็สั่งการให้ประตูเปิดออก
เมื่อเดินผ่านประตูที่เปิดเข้าไป แม้จะพยายามไม่แสดงท่าที แต่เด็กทั้งสองก็ถึงกับต้องหันมองรอบตัวน้อยๆ อย่างห้ามตัวเองไม่ได้ อาจเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศของร้านอาหารดูเป็นทางการมากจนเกินไป เด็กหนุ่มจึงได้กระซิบถามมูคยอมขึ้นมา
“พวกเราใส่ชุดนักเรียนเข้ามาในนี้ได้ใช่ไหมครับ”
“เครื่องแบบก็เป็นชุดสุภาพของนักเรียนไม่ใช่เหรอ นี่ก็แค่ที่กินข้าวเอง สบายๆ น่า”
เมื่อเด็กทั้งสองถูกพามานั่งที่โต๊ะ มูคยอมที่จองทุกอย่างเอาไว้ล่วงหน้าแล้วก็สั่งออกมาสั้นๆ เสร็จสรรพแล้วเขาก็หันไปพูดกับเด็กทั้งคู่ที่กำลังสนุกไปกับการใช้สายตากวาดมองภายในร้านอาหารที่เรียบหรู
“ที่ผ่านมาสบายดีกันไหม”
“สบายดีครับ พี่มาเล่นด้วยกันอีกสิ แม่ก็บอกว่าคิดถึงพี่นะครับ”
“ถึงนายไม่บอก พี่ก็ตั้งใจว่าจะไปหาอยู่แล้ว”
ก่อนเริ่มมื้ออาหารมูคยอมได้รับแชมเปญ ส่วนเด็กๆ ได้เป็นแชมเปญไร้แอลกอฮอล์มาดื่ม ใบหน้าของเด็กแฝดที่หันมาชนแก้วกันเบาๆ แดงเรื่อด้วยความเขินอาย หลังดื่มแชมเปญไปหนึ่งอึกมินคยองก็หรี่ตาลง
“ว่าแต่ ทำไมอยู่ๆ พี่ถึงชวนให้มาเจอกันล่ะคะ”
“หืม”
มูคยอมหัวเราะน้อยๆ
“ก็แค่อยากเลี้ยงข้าวน้องๆ ของเพื่อนสักมื้อเอง”
“ไม่ใช่เพราะมีเรื่องอะไรเหรอคะ”
เจ้าเด็กชื่อมินคยองนี่รู้ทันกันอย่างที่คาดไว้ เห็นแบบนี้มูคยอมก็วางแก้วลง
“โอเค เอาจริงๆ ฉันมีเรื่องที่อยากจะถามอยู่”
ถึงฮาจุนจะทำเท่และบอกว่าที่ตัวเองไม่ได้คบใคร แค่เพราะว่าเจ้าตัวรู้สึกไม่อยากจะทำ แต่มูคยอมก็คิดว่าเขาไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ เป็นเวลากว่า 10 ปีเชียวนะที่ฮาจุนครองโสดและเฝ้ามองกันมา เพราะแบบนี้ความละอายใจที่เขามีจึงยิ่งทวีเทียบเท่าช่วงเวลาที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน
ทั้งพวงแก้มและขอบตาที่แต่งแต้มไปด้วยสีแดงระเรื่อ ใบหน้าที่มีหยาดน้ำตาร่วงหล่นเป็นเม็ด ผิวขาวใสที่ประดับไปด้วยดอกไม้สีอ่อนที่เบ่งบานขึ้นทันตาเมื่ออารมณ์วาบหวามก่อตัวจนร้อนรุ่ม หรือแม้กระทั่งเรือนร่างที่สั่นไหวเพียงแค่เขาสอดใส่ตัวตนเข้าไป ทั้งหมดนี้ไม่เคยมีใครเคยได้สัมผัสหรือเชยชม คนที่ได้เห็นด้านเหล่านั้นของฮาจุนมีเพียงคนเดียวเท่านั้นบนโลกใบนี้ ซึ่งก็คือเขา!
“ทำไมเอาแต่ยิ้ม แล้วไม่พูดอะไรเลยล่ะคะ”
“ไม่มีอะไรหรอก”
มูคยอมกระแอมไอหนึ่งครั้ง แล้วตีหน้าขรึมเพื่อกดริมฝีปากที่วาดโค้งขึ้น
ไม่เพียงแค่การฉวยเอา 10 ปีของฮาจุนไปทั้งที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่เขาจะต้องชดใช้ความผิดที่ไปย่ำยีคืนแรกอันแสนพิเศษด้วยค่ำคืนที่เจ็บปวดนั่น
กระนั้นคนโดนกระทำก็ใจกว้างให้อภัยคนเลวอย่างเขาที่ไม่รู้กระทั่งความหมายที่แท้จริงของคำว่าเซ็กส์ ที่เกือบจะต้องเจอะเจอกับการแก้แค้นอย่างน่าหวาดกลัวจนคุกเข่าร้องไห้ ไหนจะที่ฮาจุนบอกอีกว่าชอบแค่ไหนที่ได้มีครั้งแรกกับเขา อย่างน้อยที่สุดเขาก็ควรจะใช้เงินตอบแทนกลับไป
“พี่จะถามอะไรเหรอคะ”
“ครั้งนี้ฉันเป็นหนี้บุญคุณโค้ชอีฮาจุนครั้งใหญ่เลยละ ฉันก็เลยอยากจะหาของขวัญให้เขาสักหน่อย”
“พี่ก็หาของขวัญเองได้นี่คะ”
“ไม่ใช่แค่ของขวัญธรรมดาแบบนั้นสิ ฉันอยากให้ของดีๆ แต่ก็ถามฮาจุนไปแล้วนะว่าเขาอยากได้อะไรไหม หมอนั่นก็บอกว่าไม่มีอะไรที่อยากได้ ฉันก็เลยมานั่งเครียดอยู่นี่ไง”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ก็…”
เด็กทั้งสองพนักหน้าขึ้นลงราวกับว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่ได้ยิน ในความคิดของแฝดทั้งสองพี่ชายของพวกเขาไม่ใช่คนประเภทที่อยากได้อยากมีอะไรเป็นพิเศษ ไม่สิ คงจะถูกกว่าถ้าบอกว่าพี่ชายของพวกเขาลืมความรู้สึกอยากได้ไปแล้ว เพราะมัวแต่ใช้ชีวิตจนไม่มีเวลามาอยากได้อะไรเลยนี่สิ
แม้ในตอนที่พูดเรื่องการย้ายไปสังกัดลีกในยุโรป ทั้งๆ ในตอนนั้นก็พอจะมีเงินจำนวนหนึ่งอยู่ในมือแท้ๆ แต่ฮาจุนกลับไม่ได้ใช้เวลาสนุกไปกับเวลาพักผ่อนที่มีเลยแม้แต่น้อย มินคยองเองก็เคยได้ยินที่พี่ชายของตนคุยกับแม่ ว่าจะต้องเก็บเงินไว้สำหรับค่าลงทะเบียนเรียนในระดับมหาวิทยาลัยของพวกเขา
“คนในครอบครัวก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ ว่าปกติแล้วโค้ชอีอยากได้อะไร”
“อืม… แต่ว่าพี่ของพวกเราไม่ค่อยอยากได้อะไรเลยจริงๆ นะคะ”
เด็กๆ กำลังตั้งใจครุ่นคิดเป็นอย่างมากดูจากคิ้วที่ขมวดมุ่น แต่ก็ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องที่จะคิดออกง่ายๆ จนมูคยอมรู้สึกห่อเหี่ยวในใจ เป็นพระก็ไม่ใช่ คนเราจะไม่อยากได้อะไรขนาดนั้นเลยหรือไงนะ
“มีช่วงราคาไหมคะ”
“ไม่รู้สิ ก็สักพันล้าน หรือสองพันล้านวอน ไม่ๆ ฉันว่าอย่าไปคิดเรื่องราคาดีกว่า”
“หา เท่าไหร่นะคะ”
“ถ้าฉันเปลี่ยนคอนโดที่ฮาจุนอยู่ตอนนี้ให้ พี่พวกเธอเขาจะชอบไหม”
มินคยองเบิกตาโต เธอมองหน้ามูคยอม ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าเป็นฉันน่ะชอบแน่ๆ แต่พี่ฮาจุนคงไม่รับเอาไว้หรอกค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ”
ตามมาด้วยฮาคยองที่ถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
“คอนโดเหรอพี่ พันล้านเลยเนี่ยนะ ต่อให้เป็นหนี้บุญคุณมากแค่ไหน ผมว่าเงินขนาดนั้นมันไม่เยอะไปหน่อยเหรอครับ”
“พูดถึงคิมมูคยอมก็ต้องนึกถึงความซื่อสัตย์สิ อีกอย่างเงินฉันก็มีเยอะจะตายไป”
“โห เอาจริงๆ ผมก็ได้ยินมานะว่าเพราะผู้จัดการทีม พี่เลยคืนเงินค่าตัวแล้วมาเล่นกับทีมนี้ พี่นี่สุดยอดเลยจริงๆ เลยนะเนี่ย”
ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอาหารว่างก็มาเสิร์ฟ มินคยองที่เพิ่งหั่นหอยเชลล์เบิร์นขนาดพอดีคำเข้าปากโพล่งถามมูคยอมขึ้นมา ราวกับว่าเพิ่งนึกบางอย่างได้
“เมื่อตอนนั้นคุณนักเตะมูคยอมก็ให้ตุ๊กตาแมวมาเป็นของขวัญนี่คะ”
“ใช่”
พอมานึกถึงในตอนนี้ เขาก็รู้สึกเขินๆ ขึ้นมา มินคยองมองมูคยอมที่ตอบฝืนๆ ออกมาอย่างสนอกสนใจ ก่อนจะยกแก้วเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ขึ้นกระดกอีกหนึ่งอึก
ระหว่างนั้นเองฮาคยองก็เอ่ยปากขอตัวไปเข้าห้องน้ำและลุกออกจากที่นั่ง เมื่อเห็นว่าแฝดของตัวเองเดินห่างออกไป มินคยองก็เปิดปากพูดขึ้นมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัว
“คือว่า คุณนักเตะคิมมูคยอม สำหรับหนูน่ะ ต่อให้พี่ฮาจุนจะบอกว่าชอบขวดแชมพูในห้องน้ำ หนูก็ว่าดีค่ะ”
“…หืม”
“เพราะพวกเรา พี่เขาไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างที่ใจตัวเองต้องการเลย ดังนั้นถ้าพี่ฮาจุนชอบอะไร หนูก็ชอบค่ะ”
มูคยอมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอโดยไม่ตอบอะไรกลับไป ส่วนมินคยองก็ตักหอยเชลล์ส่วนที่เหลือเข้าปาก
มูคยอมไม่ชินเท่าไหร่เมื่อต้องมาคุยกับคนที่เด็กกว่าตัวเองประมาณหนึ่ง ระหว่างที่กำลังคิดหาประเด็นอื่นเพื่อที่จะเปลี่ยนเรื่อง มินคยองก็อุทาน ‘อ้อ’ ออกมาราวกับว่านึกคำตอบดีๆ ออก แล้วจึงรีบพูดขึ้น
“เอาจริงๆ ก็มีสิ่งที่พี่ชายของหนูอยากได้อยู่นะคะ เป็นบ้านหลังเก่าที่เราเคยอยู่ค่ะ”
“บ้านเหรอ”
อยู่ๆ คำพูดเมื่อก่อนของฮาจุนที่บอกว่าตัวเองเคยอยู่ในบ้านที่มีสวน ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันที