Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 112
การแข่งแบบลีกได้เดินทางมาถึงรอบสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อย ตอนนี้ร่างกายของมูคยอมฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บ และได้กลับมาอยู่ในสภาพที่ดีสุดๆ จนแอบรู้สึกเสียดายขึ้นมานิดๆ ที่จะต้องอยู่ในเกาหลีทั้งที่ฟิตปึ๊งปั๋งขนาดนี้ ถ้าเป็นตอนนี้ไม่ว่าจะให้ไปแข่งรอบชิงในลีกไหน มูคยอมคิดว่าเขาสามารถที่จะไปกวาดชัยชนะมาได้เรียบแน่ๆ
ก่อนการแข่งขัน ขณะที่เขากำลังยืนยืดแขนยืดขาเบาๆ อยู่ตรงอุโมงค์ทางออก ก็มีใครบางคนแตะลงบนไหล่ของเขา เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็ได้พบกับยูนิคอร์นตัวขาวผ่องที่แปลงร่างเป็นคนลงมาจุติบนโลก มายืนอยู่ตรงเขา แม้จะอยู่ในอุโมงค์ที่มืดครึ้ม แต่ฮาจุนก็ยังเปล่งประกายได้ด้วยตัวเอง และสาเหตุที่ร่างกายของเขาอยูในสภาพที่ยอดเยี่ยมสุดๆ แบบนี้ ก็เพราะคุณแฟนที่น่ารักของเขาไม่ใช่เหรอ
มุมปากของมูคยอมยกสูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว และในตอนที่เขามองใบหน้าของฮาจุนที่จ้องมองกลับมาแล้วส่งยิ้มให้กัน มูคยอมก็รู้สึกเหมือนได้เห็นทุ่งดอกไม้เบ่งบานเต็มหัวไปหมด แย่แล้วสิ จะแข่งแล้วแท้ๆ แต่แรงสู้กับเอาแต่ลดลงอยู่เรื่อยเลย
“โค้ชครับ ก่อนแข่งดูเหมือนว่าจะตาบอดเพราะว่าโค้ชสว่างจนแสบตาเลยล่ะครับ”
“พูดอะไรไร้สาระอีกแล้ว เดี๋ยวจะเช็คให้เป็นครั้งสุดท้าย มานั่งตรงนี้สิ”
ขณะที่มูคยอมพยายามควบคุมสีหน้าของตัวเอง ฮาจุนก็จับมือของมูคยอมจูงไปให้นั่งบนเก้าอี้พับ ก่อนที่ตัวเองจะนั่งคุกเข่าลงตรงหน้า แล้วก้มลง
“ไหนขอดูข้อเท้าอีกทีซิ ถึงนายจะบอกว่าไม่เป็นไรแล้วก็เถอะ”
“ข้ออ้างล่ะสิ จริงๆ นายตั้งใจจะมาแตะตัวฉันต่างหาก”
“ยื่นข้อเท้ามาเถอะน่า”
พอแกล้งแหย่ออกไป ฮาจุนก็เสียงแข็งขึ้นมาทันที ถึงบางครั้งฮาจุนจะดูไม่ค่อยแสดงท่าทางน่ารัก แต่เขาว่านั่นก็คือเสน่ห์ของเจ้าตัว เพราะมูคยอมรู้อยู่แล้วยังไงล่ะ ว่าสุดท้ายแล้วคำพูดกระโดกกระเดกแบบนี้ จะพังลงยังไงตอนที่อยู่บนเตียง
พอจินตนาการถึงสิ่งที่รอให้เกิดขึ้นหลังจบการแข่งขัน ความอยากเอาชนะก็ก่อตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง
“อีฮาจุนเหรอ”
และในตอนนั้นเอง ก็มีใครบางคนจากที่นั่งอยู่ทางฝั่งทีมเยือนเรียกชื่อฮาจุนขึ้นมา คนที่กำลังนั่งคุกเข่าดูข้อเท้าอยู่หันหน้าไปทางต้นเสียง และมูคยอมเองก็ลากสายตาขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน
นักเตะคนหนึ่งในชุดยูนิฟอร์มต่างทีมที่ยืนห่างออกไป กำลังมองลงมาที่พวกเขาสองคน
“ได้ยินว่ามาเป็นโค้ชอยู่ในโซล เรื่องจริงสินะ แล้วทำไมตอนแข่งรอบแรกฉันถึงไม่เห็นล่ะ”
ใครกัน
มูคยอมตากระตุกขึ้นในทันที นี่คือแบคทีเรียที่เขาเพิ่งเคยได้เห็นหน้าคร่าตาเป็นครั้งแรก แฟนที่แสนดีและไร้เดียงสาของเขาน่ะเนื้อหอมทั้งในและนอกทีม เพราะแบบนี้คงไม่มีวันที่เขาจะวางใจได้สักวินาทีหรอก
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
ฮาจุนทำเพียงตอบรับคำทักทายที่ดูไม่ค่อยจะเหมือนคำทักทายสักเท่าไหร่ของชายอีกคนด้วยสีหน้านิ่งเฉย ชายคนนั้นพูดต่อขึ้นมา ขณะที่ยืนรวมกลุ่มอยู่กับทีมตัวเอง และไม่ได้เดินเข้ามาใกล้
“ได้ยินว่าเคยไปทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กมานี่ ทำเสร็จแล้วเหรองานนั้น เป็นยังไงบ้างล่ะ พอมาโค้ชให้ทีมผู้ใหญ่แล้วพอจะทำไหวไหม”
“อืม ก็ทำแล้วภูมิใจดี แถมยังเป็นงานที่ถนัดด้วย”
“เอาจริงๆ ได้ยินว่าการมาเป็นโค้ชไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ แต่นายกลับได้เป็นเร็วเชียว ก็อย่างว่า นอกจากเรื่องที่ยั่วเก่งมาตั้งแต่เมื่อก่อน นายจะไปเก่งอะไรอีกล่ะ ผู้ใหญ่คงจะเอ็นดูกันมากมายเลยสิ”
คำพูดนั้นสร้างความไม่พอใจให้ผู้ฟัง ส่งผลให้หว่างคิ้วของมูคยอมยับย่นขึ้นในทันที เขาตั้งใจว่าจะลุกขึ้นจากที่นั่ง แต่ฮาจุนกลับกดไหล่กันเอาไว้ แล้วเป็นฝ่ายตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มบนหน้า
“ก็เพราะว่าฉันตั้งใจแล้วก็ยังเก่งอีกไง ผู้ใหญ่ก็คงจะรักแบบที่นายบอกนั่นแหละ”
ชายจากทีมเยือนอ้าปากออกราวกับว่ามีบางอย่างที่จะพูดอีก แต่กลับถูกสตาฟของฝั่งนั้นเรียกขึ้นมา บทสนาจึงได้ถูกตัดจบไป นักเตะที่เป็นฝ่ายเข้ามาพูดจาหาเรื่องนั่นเหล่มองฮาจุนด้วยใบหน้าฉุนเฉียว ก่อนจำใจเดินออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
มูคยอมเสียงแข็งขึ้นมา
“ไอ้นั่นมันทำไม จะเข้ามาหาเรื่องกันเหรอ”
“อย่าไปสนใจเลย แค่เพื่อนร่วมโรงเรียนตอนม.ปลาย ฉันกับเขาไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่”
มูคยอมตาโตขึ้นราวกับว่าตกใจแบบสุดๆ ก่อนจะถามออกมา
“มีคนไม่ลงรอยกับนายด้วยเหรอเนี่ย”
“มันก็แน่นอนอยู่แล้วไหม คนเราก็ต้องมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีในชีวิตบ้างสิ”
แม้ฮาจุนจะพูดด้วยสีหน้าที่เหมือนกำลังถามว่า ‘ถามอะไรเพ้อเจ้อแบบนั้น’ แต่มูคยอมก็ไม่ยอมเชื่อง่ายๆ ไม่อยากจะเชื่อว่ามีคนที่เกลียดอีฮาจุนด้วย แค่ลองนับสมาชิกจำนวนมากในทีมซิตี้โซล ก็ไม่มีใครเลยสักคนที่ดูจะคิดกับฮาจุนในแง่นั้น
ดังนั้นจะต้องมีเหตุผลแน่ๆ ที่ไอ้คนที่เข้ามาทำเส้นประสาทเขาเต้นตุ้บๆ นั่นไม่ชอบฮาจุน ถ้าจะมีใครสักคนที่เข้ามาพูดจาเหน็บแนมใส่ฮาจุนซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน เหตุผลก็คงจะเป็น…
“ฉันว่าไอ้นั่นมันแอบมีใจให้นายนะ”
“…คิมมูคยอม คนบนโลกนี้ไม่ใครเข้าหาฉันด้วยวิธีแบบที่นายทำหรอกนะ”
คำพูดของฮาจุนที่เคล้าไปกับเสียงถอนหายใจน้อยๆ ทำเอามูคยอมถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับเจ้าลูกวัวอ่อนต่อโลกที่ไม่เคยแม้แต่จะไปเดตสักครั้ง วนเวียนอยู่แต่กับการเตะฟุตบอลอย่างกับนักเรียนตัวอย่าง จะไปตามใครเขาทันกันล่ะ
พอคิดว่าไอ้ผู้ชายคนนั่นน่าจะเกลียดฮาจุนจริงๆ มูคยอมกลับโล่งใจขึ้นมา วันนี้ระหว่างการแข่ง เขาคงจะต้องจดจ่อเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้มีโอกาสได้คุยกับไอ้นั่นเป็นครั้งที่สอง
ระหว่างที่กำลังยืดกล้ามเนื้อเป็นครั้งสุดท้าย เวลาเริ่มเตะลูกแรกก็ใกล้เข้ามา จากนั้นเหล่านักเตะก็เริ่มทยอยเดินออกไปยังสนามแข่งพร้อมกัน
“ว้าว นั่นมันอะไรน่ะ”
ก่อนเริ่มการแข่งขัน ขณะที่พวกเขากำลังยืนเรียงแถวกวาดตามองรอบสนามแข่ง จองคยูก็บ่นพึมพำขึ้นมาคนเดียวด้วยความตื่นตา มูคยอมเองก็กระพริบตามองภาพนั้น
เป็นเรื่องปกติที่จะได้เห็นป้ายเชียร์ของนักเตะดังๆ อย่างมูคยอมหรือจองคยูโชว์อยู่บริเวณที่นั่งของผู้ชม แต่ในวันนี้กลับมีป้ายเชียร์สองสามอันของใครบางคนที่ไม่ได้เป็นนักเตะอยู่ด้วยนี่สิ
‘รักนะ อีฮาจุนผิวขาวราวน้ำนม โค้ชอีฮาจุน สู้เขานะ L.O.V.E’
จองคยูหัวเราะฮ่าๆ ออกมา พร้อมกับหมุนต้นคอไปด้วย
“พลังจากการได้ออกโทรทัศน์นี่มันเยี่ยมเลยจริงๆ รายการนั้นถ่ายฮาจุนออกมาดีมากเลยนี่ พอยืนด้วยกันสองคน นายเหมือนเป็นตัวประกอบเลยอะ”
“ถ่ายดีแค่ไหนก็ออกมาดีได้ไม่เท่าตัวจริงหรอก กล้องเก็บความงดงามจากโค้ชอีของฉันไปได้ไม่หมดหรอกนะ”
ได้ยินแบบนั้นจองคยูก็เบ้หน้า ก่อนจะลดเสียงเบาลง
“โห… เอาจริงๆ ฉันก็เห็นด้วยกับที่นายพูดนะ แต่มันจะน่าหมั่นไส้เกินไปไหม ฉันดีใจนะที่พวกนายคบกันนะ แต่ช่วยคลั่งรักแต่พอดีหน่อย”
มูคยอมส่งเสียงหัวเราะออกมาราวกับรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ฟังนั้นเหลวไหล
“แล้วไม่คิดบ้างเหรอว่าที่ผ่านมาพฤติกรรมบ้าบอของนายทำใครเขาลำบากบ้าง คนเราถ้าหว่านเมล็ดลงไปแล้ว ก็ต้องรู้จักยอมรับผลที่จะออกด้วยสิ”
“…โอเค ฉันยอมแล้ว”
พอเริ่มพูดเรื่องผลกรรมที่สั่งสมมา จองคยูก็ห่อเหี่ยวลงเสียดื้อๆ มูคยอมชำเลืองมองจองคยูที่เป็นแบบนั้น เอียงหัวไปด้านข้างแล้วพูดขึ้นมา
“จะว่าไปก็เกินคาดเหมือนกันนะ ฉันคิดว่านายจะไม่พอใจเสียอีก ถ้าฉันกับฮาจุนคบกัน”
“ทำไมฉันต้องไม่พอใจด้วยล่ะ การที่นายสองคนคบกันแทนที่จะตีกันไปมา ไม่ว่าจะกับฉันหรือกับทีมมันก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว แค่อยู่ด้วยกันได้ดีๆ แบบไม่มีปัญหา ฉันก็ไม่ได้ติดใจอะไรหรอก”
ระหว่างที่กระซิบคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงบ่นพึมพำจากทีมฝั่งตรงข้าม
“น่าขำสิ้นดี มาทำป้ายเชียร์อะไรให้ของเก่าๆ ที่โละตัวเองทิ้งไปแล้ว”
มูคยอมและจองคยูหันหน้าไปทางต้นเสียงพร้อมกัน ช่องว่างระหว่างคิ้วของมูคยอมลดระยะห่างลง มันคือไอ้คนเมื่อก่อนหน้านี้
“นี่ พอเถอะ เดี๋ยวเขาก็ได้ยิน”
“แล้วฉันพูดอะไรผิดหรือไง โค้ชได้ลงแข่งด้วยหรือเปล่าล่ะ พวกที่ไม่ได้สนใจฟุตบอลจริงๆ ก็คลานเข้ามาดูกันในสนามแข่งแค่เวลาแบบนี้นี่แหละ”
แม้นักเตะในทีมเดียวกันจะพยายามห้ามปราม แต่เจ้านั่นก็ยังพล่ามต่อ จองคยูที่จับสังเกตได้ว่าสีหน้าของคนข้างๆ ดูไม่ค่อยสู้ดี ก็ยกมือขึ้นจับไหล่ของมูคยอมไว้แน่นในทันที
“คิมมูคยอม ถ้าเรามีปัญหาแบบนั้นที่นี่ คิดให้ดีนะว่าใครจะเสียใจที่สุด”
“…ไอ้เวรนี่ฉันเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกเลย มันเป็นใคร”
“เป็นเพื่อนสมัยม.ปลายของฮาจุนที่เคยเล่นทีมเดียวกัน แต่ว่าไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ ได้ยินมาว่าเพราะว่าเล่นตำแหน่งเดียวกัน ก็เลยน่าจะแข่งกันมา แล้วเจ้านี่ก็น่าจะมีอะไรสักอย่างคิดค้างในใจ ซึ่งอาจจะเป็น… ความรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า เอาเป็นว่านายทำเป็นไม่รู้เรื่องไปเถอะ ยังไงหลังจบนัดนี้ก็ไม่น่าจะมีงานที่ต้องมาเจอกันอีก”
“ถ้าไอ้พวกนั้นมันมาพูดถึงเมียนายแบบนี้ นายจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไหวหรือไง”
“…ถึงจะไม่อยู่เฉย แต่ไว้รอให้แข่งจบก่อนดีกว่า แล้วค่อยว่ากัน”
จากคำพูดบอกว่าไม่มีเรื่องที่จะต้องเจอกันอีก นั่นก็หมายความว่าความสามารถของชายคนนี้ไม่ได้มีมากพอที่จะได้เข้าไปเล่นในทีมตัวแทนด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับฮาจุนที่มักถูกเรียกตัวอยู่เสมอ แม้ส่วนใหญ่จะได้เป็นตัวสำรองก็ตาม ก็เป็นไปได้ที่ไอ้คนนี้น่าจะด้อยกว่าฮาจุนจริงๆ หากไม่นับรวมที่เคยอยู่ทีมเดียวกันเมื่อตอนม.ปลาย ก็น่าจะชัดเจนตามที่จองคยูบอกว่าไอ้คนที่ดูไม่น่าจะมีอะไรเหมือนฮาจุนเลยสักอย่างนี่ กำลังรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า
ถึงจะเป็นคนที่ไม่ควรค่าพอที่จะประเคนหมัดให้ แต่มูคยอมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโหขึ้นมา และตอนนี้ภายในใจของเขากำลังเดือดปุดๆ ตั้งแต่ก่อนเริ่มแข่ง นักเตะคนอื่นๆ ยืนเรียงแถวกันอยู่ไม่นาน การแข่งขันก็เริ่มขึ้นพร้อมกับเสียงนกหวีด
ความอยากเอาชนะที่ก่อนหน้าที่สงบลงไปได้ลุกโชนขึ้นอีกครั้งอย่างคาดไม่ถึง มูคยอมเล่นด้วยท่าทีที่ตั้งใจจะขยี้ฝั่งตรงข้ามให้แหลก นักเตะคนอื่นๆ ในทีมต่างก็ถูกโน้มนาวไปด้วยท่าทางนั้น จนตั้งอกตั้งใจเล่นกันราวกับอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้ชนะไม่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ทีมตรงข้ามที่พ่ายแพ้ไปในการแข่งขันรอบที่ 1 น่าจะมีเวลาเตรียมตัวสำหรับการแข่งนัดนี้มาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้ก็น่าจะไม่สามารถสร้างผลงานที่มีเกียรติได้
ในการแข่งขันครึ่งแรก คะแนนก็ถูกตีห่างไปแล้วถึง 2 ประตูต่อ 0 และในช่วง 30 นาทีหลัง ทีมซิตี้โซลก็ได้โอกาสในการเตะลูกโทษไป และแน่นอนว่าผู้เตะลูกโทษในวันนี้ก็คือคิมมูคยอม เขาวางลูกฟุตบอลลงตรงหน้า ปรับลมหายใจให้คงที่ ก่อนไปยืนประชันหน้ากับนักเตะอีกทีมที่ยืนเรียงกันเป็นกำแพง ไอ้ผู้ชายคนเมื่อกี้ก็มายืนสกัดอยู่ในกลุ่มนักเตะตรงหน้าด้วย
มูคยอมคงจะสบายใจขึ้น หากเขาเลือกที่จะไม่สนการแข่งสนอะไรทั้งนั้นแล้ววิ่งเข้าใส่ไอ้เวรนั่น จากนั้นกระชากคอเสื้อมันซะ แต่นี่คือบนสนามหญ้า เวลาที่อยู่บนสนามฟุตบอลก็มีแค่วิธีเดียวที่จะคุยกันได้ ก็คือการคุยด้วยลูกฟุตบอลยังไงละ
คะแนนในตอนนี้คือ 2 ต่อ 0 แม้จะยังเหลือเวลาอีก 15 นาที แต่แนวโน้มว่าทีมซิตี้โซลจะชนะก็นำไปไกล จนดูยังไงก็ไม่น่าจะแพ้ได้เป็นอันขาด แต่ถึงแม้จะแพ้ ผลชนะเลิศก็ยืนยันแล้วว่าเป็นของทีมซิตี้โซล
มูคยอมที่พยักหน้าลงหนึ่งครั้งและถอยหลังไปเล็กน้อย เขาวิ่งเข้าไปและเตะลูกหนังดัง ‘ตู้ม’ ลูกฟุตบอลลอยออกไปเหมือนกับกระสุนปืนใหญ่ ขณะเดียวกันผู้คนในสนามก็ส่งเสียง ‘ว้าว!’ ขึ้นมา ตามมาด้วยเสียงที่ดังจอแจ
“ลูกเมื่อกี้นี่ถ้าถูกอัดเข้าตรงๆ คือตายเลยน่ะนั่น”
หนึ่งในโค้ชของทีมซิตี้โซลพูดขึ้นคนเดียวด้วยความตกใจ และตาของฮาจุนก็เบิกโพลงขึ้นเช่นกัน
ลูกฟุตบอลที่มูคยอมเตะไม่ได้ลอยไปยังประตู แต่กลับลอยไปที่กำแพงมนุษย์ข้างหน้า แน่นอนว่าบอลนั้นก็ลอยเข้าไปปะทะกับใบหน้าของนักเตะทีมฝั่งตรงข้ามอย่างแม่นยำ จนกรรมการต้องสั่งหยุดการแข่งขันชั่วคราว เพื่อเดินเข้าไปดูสถานการณ์
“เลือดกำเดาไหล”
“โอ๊ย คงจะเจ็บน่าดู ไปทำอีท่าไหนถึงเอาหน้ามารับบอลได้เนี่ย”
ระหว่างที่ผู้คนต่างถอนหายใจกันออกมา นักเตะทีมฝั่งตรงข้ามที่กำเดาแตกก็เดินเข้ามาใกล้มูคยอมพร้อมชี้นิ้วใส่ มูคยอมแสดงสีหน้าขอโทษ พร้อมยกสองมือขึ้นมา ทำไม้ทำมือว่าตนไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น
ไม่รู้เพราะอะไร ฮาจุนกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เมื่อได้เห็นว่าเพื่อนร่วมโรงเรียนสมัยม.ปลายที่เหน็บแนมเขาอยู่ก่อนหน้านี้ กำลังเดินออกมานอกสนามด้วยสภาพที่เลือดกำเดาไหล
โชคดีที่ดูเหมือนว่านักเตะที่โดนบอลอัดจะไม่ได้บาดเจ็บมากมายอะไร และได้กลับลงไปเล่นในสนามอีกครั้งเมื่อเลือดกำเดาหยุดไหล ระหว่างนั้นเองมูคยอมก็ทำไปได้อีกประตู จนคะแนนตีห่างขึ้นมาอีก และสุดท้ายการแข่งขันก็จบลงโดยที่ซิตี้โซลเป็นฝ่ายชนะไปอย่างไม่มีการพลิกโผ
หลังแข่งเสร็จมูคยอมก็ถอดเสื้อยูนิฟอร์มทีมออก แล้วเดินไปหานักเตะที่ตัวเองเตะบอลอัดใส่ไปก่อนหน้านี้ อกเปลือยเปล่าเหมือนกับแนวเทือกเขาของมูคยอมที่อยู่ๆ ก็ปรากฏออกมาให้ได้เห็น บวกกับท่าทางที่ดูมีมารยาทราวกับว่าจะมาเพื่อปรองดอง ทำเอาผู้คนในสนามต่างก็ชอบใจ จนต้องยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปกันเอาไว้
“เมื่อกี้ขอโทษด้วยนะ”
พอเห็นมูคยอมที่เดินเข้ามาทำทีเหมือนว่าจะมาแลกเสื้อ นักเตะคนก่อนนี้ก็ทำท่าจะถอดเสื้อด้วยสีหน้าไม่พอใจ ร่างกายแข็งแรงกำยำของมูคยอมที่ถอดเสื้อออกแล้ว สร้างบรรยายกาศของการขมขู่ฝั่งตรงข้ามยิ่งกว่าตอนที่มีเสื้อผ้าปกปิดอยู่เสียอีก
ก่อนที่คนโดนบอลอัดไปจะได้ถอดเสื้อออก มูคยอมก็เดินเข้าไปโอบไหล่เอาไว้หลวมๆ และกระซิบเสียงเบาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ความสามารถก็ไม่มี แล้วยังอยากจะเล่นบอลต่ออีกเหรอ”
“‘…อะไร ว่าไงนะ…”
“ถ้าอยากจะเตะบอลในสนามต่อไป ก็อย่าปากพล่อยให้มันมาก เรื่องพูดฉอดๆ น่ะ ให้เป็นเรื่องของคนที่ต่อจะให้ทำตัวอย่างนั้นก็ยังมีคนมาเรียกตัวดีกว่า เหมือนฉันนี่ ดังนั้นถ้าไม่ใช่ตัวหลักอะไร ก็ควรใช้ชีวิตแบบเจียมตัวหน่อยสิ”
“…”
“พอดีว่าฉันสนิทกับโค้ชอีฮาจุนน่ะ เวลาได้ยินใครมาพูดไม่ดีใส่เขา ก็เลยไม่ชอบใจเท่าไหร่”
มูคยอมตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นเสื้อของตัวเองให้
“มัวทำอะไรอยู่ล่ะ ถอดเสื้อแล้วยิ้มหน่อยเร็ว”
หลังจากได้เสื้อของอีกฝั่งมาถือไว้ มูคยอมก็เดินกลับมายังม้านั่งข้างสนาม และที่ตรงนั้นก็มีฮาจุนที่กำลังรออยู่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย มูคยอมเดินถือเสื้อมา และหันมอง
“ไปขอโทษมาแล้ว”
ฮาจุนที่ตั้งใจจะพูดบางอย่าง เอียงหัวน้อยๆ แล้วจึงเปิดปากออกมาอีกครั้ง
“เก่งมาก ทำไมวันนี้ถึงได้ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ได้ล่ะ”
ตอนนี้เหลือการแข่งอีกแค่ไม่กี่รอบสำหรับลีกนี้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรอดูผลของการแข่งขันที่เหลือ เพราะว่าชัยชนะของทีมซิตี้โซลได้รับการยืนยันแล้ว ส่วนทีมที่ไล่ลำดับต่ำลงไปยังคงอยู่ระหว่างการต่อสู้กันอย่างดุเดือด เช่นเดียวกับผลการแข่งขันที่ยังคงขึ้นๆ ลงๆ กลับกันทางด้านของนักเตะทีมซิตี้โซล ตอนนี้พวกเขามีเวลาว่างแล้ว เมื่อขึ้นมาบนรสบัสที่เต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายเนื่องจากความตื่นเต้น มูคยอมก็ไปนั่งข้างๆ ฮาจุน แล้วถามขึ้น
“วันนี้ไปบ้านพักกันไหม”
“ไปสิ
ฮาจุนพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม บ้านพักที่ว่าคือของขวัญที่มูคยอมเพิ่งซื้อให้กับเขาเมื่อไม่นานมานี้ ถึงก่อนหน้านั้นฮาจุนจะโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวันว่าไม่ว่าอะไรเขาก็จะไม่รับเอาไว้แน่ แต่มูคยอมกลับหาของเพียงชิ้นเดียวที่เขาไม่สามารถปฏิเสธมาให้เขาจนได้
ในตอนแรกฮาจุนถึงกับงงไปเลย เพราะคิดว่ามูคยอมกำลังแกล้งกันเล่น แต่เมื่อมูคยอมได้พาเขาก้าวเท้าเข้าไปยืนในบ้านโล่งที่ไม่มีใครอยู่ ในตอนนั้นเองฮาจุนถึงได้รู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าบ้านเก่าของเขา ไม่ได้เป็นของใครอื่นอีกแล้ว
บ้านเป็นจุดเริ่มต้นความทรงจำที่ย้อนกลับไปไกลที่สุดของฮาจุน ความทรงจำที่ยังหลงเหลืออยู่เมื่อตอนที่พ่อยังมีชีวิต หลังจากที่พ่อจากไป เขาก็จับมือแม่กับน้องเอาไว้ พากันย้ายบ้านไปหลายต่อหลายรอบ ไม่ว่าจะเป็นห้องในชั้นกึ่งใต้ดิน ห้องบนดาดฟ้า ห้องชุดทั่วไป คอนโดสองห้องนอน มาจนถึงคอนโดปัจจุบันที่อยู่นี้ แต่สำหรับฮาจุนแค่ที่เดียวที่เป็น ‘บ้านของเรา’ มาเสมอ ก็คือบ้านหลังนั้น บ้านที่ไม่ใช่ของเขามานาน
แม้จะรู้ว่าเป็นฝันลมๆ แล้งๆ แต่นี่ก็เป็นบ้านที่เขาเฝ้าฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งจะเอามันกลับมาให้ได้ และถึงจะเป็นคำพูดที่ฟังดูไม่มีทางเป็นจริง แต่ฮาจุนก็ได้พูดออกไปหลายต่อหลายครั้ง ว่าในอนาคตเขาจะต้องคืนหนี้ก้อนนี้ให้กับมูคยอมอย่างแน่นอน ก่อนที่เขาจะเผยหยดน้ำตาออกมาอย่างน่าอาย
แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วพอได้บ้านกลับมา ถึงได้รู้ว่ามันอยู่ไกลจากโรงเรียนของเด็กแฝดเอาซะมากๆ จึงทำให้เป็นเรื่องยากที่จะย้ายกลับเข้าไปอยู่ในทันที แต่ก็ดูเหมือนว่าหลังจากที่น้องทั้งสองคนตัดสินใจเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว เราก็น่าจะต้องมาคิดเรื่องย้ายบ้านกันอีกที
แต่มูคยอมกลับบอกว่าพอดีเลย และชวนให้ใช้บ้านหลังนี้เป็นบ้านพักตากอากาศก่อนที่ทุกคนจะย้ายมา แค่พริบตาเดียว มูคยอมก็ซื้อเตียงซื้อเฟอร์นิเจอร์อะไรเข้ามาเต็มไปหมด ไปจนถึงกระทั่งการตกแต่งภายใน ผ่านไปไม่นานมูคยอมก็ได้เปลี่ยนบ้านที่เคยโล่งให้เป็นที่ที่คนจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ เมื่อได้พบกับมูคยอม ฮาจุนถึงได้รู้สึกขึ้นมาจริงๆ ว่าขอแค่มีเงิน ไม่ว่าอะไรในโลกนี้เราก็สามารถที่จะจัดการกับมันในแค่เพียงชั่วพริบตาเดียว
ถ้าดอกไลแลคบานเร็วๆ ก็คงจะดี เขาอยากจะให้มูคยอมได้เห็นเหลือเกินว่าบานหลังนี้งดงามแค่ไหนในตอนที่ฤดูไม้ไม้ผลิมาเยือน
ทั้งสองเข้าไปยืนข้างกันในตัวบ้าน ถ้าเป็นปกติมูคยอมก็คงจะต้องฝังหน้าเข้าที่ลำคอหรือริมฝีปากของฮาจุนไปแล้ว แต่เขากลับเดินไปยังห้องนั่งเล่น แล้วถอดเสื้อบอลที่เพิ่งได้มาก่อนหน้านี้ออก แล้วโยนลงถังขยะ
เมื่อเห็นแบบนั้น ฮาจุนก็มั่นใจในความสงสัยที่เขามีก่อนหน้า และถามออกไป
“คิมมูคยอม เมื่อกี้นายตั้งใจทำแบบนั้นเหรอ”
“หืม”
“ตอนที่ยิงลูกโทษเข้าหน้าหมอนั่น นายตั้งใจแน่ๆ”
ฮาจุนขมวดคิ้วมุ่น แล้วเดินเข้ามาใกล้
“มันจะเป็นเรื่องเอานะ เกิดเขาบาดเจ็บใหญ่โตขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ”
“ไม่มีใครโดนบอลอัดแล้วตายหรอกน่า”
“แล้วใครเขากลัวว่าหมอนั่นจะตายกัน ฉันกลัวว่านายจะโดนนินทาต่างหาก แค่ด่ากลับไปก็จบแล้ว เขาไม่ใช่คนที่เราต้องเจอบ่อยๆ เลยด้วยซ้ำ”
มูคยอมไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำเพียงยักไหล่ขึ้นน้อยๆ แล้วก้าวเท้าไปนั่งที่โซฟา ฮาจุนเหม่อมองมูคยอมที่ทำเช่นนั้น ก่อนจะเดินตามไปนั่งข้างๆ