Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 120
“พูดตามตรง ฉันคิดว่าแม่ไม่ค่อยชอบที่ฉันเป็นโค้ช”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะคิดว่าฉันควรจะไปได้สวยกว่านี้ ถึงจะเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่ก็คงจะเสียใจ ถึงแม่จะไม่พูดต่อหน้าฉัน แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหนแม่ก็จะเล่าเรื่องสมัยฉันเป็นผู้เล่นให้คนอื่นฟังเสมอ ทั้งๆ ที่ฉันลาออกมา 3 ปีแล้ว”
“ก็เป็นอย่างนั้นกันหมดนั่นแหละ ลุงพัคเองก็ยังอวดอยู่ตลอดเลยว่าฮยองมิน ลูกชายของตัวเองได้ที่ 1 ของชั้นตอนเรียนมัธยม”
มูคยอมพรมจูบลงไปบนเส้นผมของฮาจุน
“พอฉันลาออกเมื่อไหร่ นายก็จะสนุกกับการพูดเรื่องสมัยที่ฉันรุ่งที่สุดเลยไม่ใช่เหรอ”
คำพูดนั้น ทำให้ดวงตาสีดำกะพริบช้าๆ เหมือนกับลูกวัว และเผยรอยยิ้มออกมา
“งั้นเหรอ”
“ฉันว่าแม่คงจะสนุกกับการพูดคุยเรื่องราวในตอนนั้นกับคนอื่นๆ มากที่สุด ท่านคงไม่ได้เสียดายกับสิ่งที่นายเป็นอยู่ในตอนนี้หรอก ฉันบอกแล้วนี่ ว่าถ้านายไป ครอบครัวของนายก็จะยินดีด้วยกันหมด ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ”
ฮาจุนไม่ตอบอะไรไปสักพัก แล้วจึงพยักหน้าเล็กน้อย
“ใช่… นายพูดถูก”
รอยยิ้มของฮาจุนที่ตอบแบบนั้นช่างงดงาม แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีความเหงาจางๆ อยู่ที่ปลายริมฝีปากหรือที่ดวงตา มูคยอมจึงดึงคนรักที่หันหน้าเข้าหากันมากอดเอาไว้แน่น
แม้ว่าตอนนี้ฮาจุนจะอายุยี่สิบหกเท่ากับเขา แต่รอยยิ้มนั้นมีมุมที่คล้ายกับสีหน้าของภรรยาของผู้จัดการพัคที่เศร้าหมอง เพราะคิดว่าตนเองไม่ใช่คนสำคัญของทั้งผู้จัดการพัคผู้เป็นสามี และฮยองมินผู้เป็นลูกชาย
มูคยอมใช้ชีวิตโดยที่ให้ความสำคัญกับความสำเร็จของตัวเองเป็นอันดับ 1 และคิดว่าการที่ตัวเองไปได้สวยก็เป็นการทำเพื่อคนรอบข้างด้วยเช่นกัน ถึงจะเป็นความรู้สึกที่มูคยอมเข้าไม่ถึงซะทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าฮาจุนคงจะรู้สึกดีใจและสบายใจ ไปพร้อมกับรู้สึกว่างเปล่าเมื่อวางภาระที่แบกเอาไว้บนไหล่ลง
แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะต่อไปคิมมูคยอมจะเป็นภาระของอีฮาจุนเอง
“โค้ชอี”
มูคยอมที่เรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปแบบนั้น พรมจูบลงบนหน้าผากของฮาจุนพร้อมกับเสียงดังจุ๊บ
“ต่อไปก็ช่วยโฟกัสอยู่กับการดูแลคิมมูคยอมก็พอนะครับ”
ฮาจุนที่เบิกตากว้างยิ้มกว้างออกมาเพราะคำพูดนั้น และคราวนี้ฮาจุนก็เป็นฝ่ายพรมจูบลงบนแก้มของมูคยอม สุดท้ายทั้งสองที่พรมจูบไปทั่วราวกับกำลังแข่งกันพร้อมกับเสียงดังจุ๊บเบาๆ ก็หัวเราะคิกคักออกมา ทั้งสองต่างลูบไล้ใบหน้าของกันและกันจนผล็อยหลับฝันหวานไปทั้งคู่
“นี่พวกเธอไม่แม้แต่จะเก็บของ แต่มานอนอยู่แบบนี้น่ะเหรอ”
เมื่อแม่ของฮาจุนที่กลับมาบ้าน ปลุกทั้งสองให้ตื่นราวกับไม่อยากจะเชื่อ ทั้งสองที่นอนหลับอยู่บนเตียงเดียวกันลืมตาตื่นขึ้นมา
“ทำไมห้องถึงได้รกกว่าตอนแม่ออกไปล่ะ”
“ขอโทษครับ ผมจะส่งคนจากศูนย์บริการขนย้ายมาจัดการครับ”
มูคยอมยิ้มด้วยความประหม่า พร้อมกับพูดให้แม่ใจเย็นลง และเก็บแฟ้มเอกสารที่เสียบเอาไว้บนชั้นวางหนังสือลงในกระเป๋าเดินทางที่เอาติดมือมาด้วย ฮาจุนรู้สึกประหลาดใจเพราะคิดว่าอีกฝ่ายพูดเล่น ไม่คิดว่าตั้งใจจะขนไปต่างประเทศด้วยจริงๆ มูคยอมที่เคยตั้งใจเก็บของหันไปมองฮาจุนราวกับนึกอะไรออก
“ใช่ๆ วันนี้ตั้งใจว่าจะเอาอัลบั้มรูปให้ดูนี่ เลือกรูปสวยๆ เก็บไปสัก 2-3 รูปสิ ถ้าเอาไปหมดเลยคุณแม่คงจะเหงาแย่”
“คราวหน้าฉันก็ขอดูรูปนายด้วยได้ไหม”
ฮาจุนยื่นอัลบัมรูปให้พร้อมกับถามด้วยความระมัดระวัง กังวลว่าส่วนเล็กๆ น้อยๆ นั้นจะเป็นการไปยุ่งเรื่องของเขาตอนเป็นเด็ก แต่ถึงยังไงความโลภที่อยากจะเห็นคิมมูคยอมในแบบที่ไม่เคยเห็นก็ปิดเอาไว้ไม่มืด เลยต้องพูดออกมา
“ได้สิ เอามาเก็บไว้ด้วยกันซะสิ ยังไงฉันก็ไม่ดูรูปของตัวเองอยู่แล้ว”
มูคยอมที่ตอบด้วยความจริงใจส่งรูปภาพ 2-3 รูปในอัลบั้มของฮาจุนยิ้มไปด้วยแล้วเอ่ยชมไม่หยุด
“ว้าว อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เอง น่ารักสุดๆ ฮาจุนของฉัน น่ารักจริงๆ เลย เหมือนลูกวัวตั้งตอนนั้นเลยหรอ”
“พูดอย่างกับเคยเห็นแล้ว”
ฮาจุนที่เอาแจ่โวยวายก็ลอบยิ้มออกมา แต่มูคยอมก็ไม่ยอมแพ้แนบริมฝีปากไปที่แก้มของฮาจุนหลายต่อหลายที แต่แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง สุดท้ายก็อยู่กินมื้อเย็นด้วยกัน และจากนั้นทั้งสองก็ลงมาที่ลานจอดรถของอพาร์ตเม้นท์ด้วยกัน
“แล้วเจอกันนะ”
“โอเค กลับดีๆ นะ”
ที่ลานจอดรถมีแค่พวกเขาเท่านั้น หลังจากที่เก็บกระเป๋าเดินทางไว้หลังรถแล้ว ทั้งสองที่กล่าวลากันเหมือนปกติต่างก็จ้องมองกันสักพักก็จูบกันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาก่อน
มูคยอมจะเดินทางไปลอนดอนในอีกสองวัน เลื่อนไปอีกไม่ได้แล้ว ฮาจุนยังมีเรื่องที่ต้องจัดการเพื่อไปประเทศอังกฤษอยู่อีกนิดหน่อย จึงตัดสินใจตามไปในอีกสิบวัน
ถึงจะไปส่งที่สนามบิน แต่การที่ต้องอยู่ห่างกับคนรักที่เจอหน้ากันทุกวันแม้จะแค่ไม่กี่วัน ก็เป็นความทรมานที่ทั้งสองเพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรก
ฮาจุนรู้สึกว่าตัวเองน่าขำสิ้นดี เขาใช้ชีวิตโดยที่มูคยอมไม่ได้รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเขามาตั้ง 10 ปี แต่ตอนนี้เขากลับไม่เคยคิดเลยว่าการที่ต้องแยกจากกันแค่ไม่กี่วันจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นขนาดนี้
“ดีนะที่ได้ใช้เวลาช่วงคริสมาสต์ด้วยกันก่อนไป ถ้าได้ไปดูพลุปีใหม่ด้วยกันที่ลอนดอนก็คงดี”
“ปีหน้าต้องได้ดูด้วยกันแน่”
ฮาจุนให้คำยืนยันเพื่อเป็นการปลอบใจเมื่อได้ฟังคำพูดที่เต็มไปด้วยความเสียดายของมูคยอม พร้อมกับประสานมือลงบนหลังมือของอีกฝ่ายที่วางอยู่บนแก้มของเขา ถึงวันนี้เขาก็อยากจะนอนหลับไปพร้อมกันกับมูคยอม แต่เขาเองก็มีเรื่องที่ต้องสะสางเพื่อการเดินทางอันยาวไกลเช่นกัน ตอนนี้ควรจะเป็นช่วงเวลาที่เขาจะต้องอยู่เคียงข้างครอบครัวที่อยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ไม่มากร่วมกับเขา
มูคยอมถอนหายใจออกมาสั้นๆ และถามออกมาด้วยสายตาอันเฉียบคมราวกับสอบสวน
“ระหว่างที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ถ้ามีคนมาขอเบอร์นายจะทำยังไง”
“แกล้งทำตัวเป็นสมาชิกกลุ่มศาสนาที่ปฏิเสธอารยธรรมเครื่องจักรเลยไม่ใช้โทรศัพท์”
“แล้วตอนฝึกล่ะจะทำยังไง”
“ไม่ให้ผู้เล่นคนอื่นแตะต้องตัวตามอำเภอใจ”
“ถูกต้อง ถึงฉันจะยอมทนให้นายไปแตะต้องตัวคนอื่นได้เพราะเลี่ยงไม่ได้ แต่ต่อไปนายจะปล่อยให้คนอื่นมาเจ๊าะแจ๊ะนายไม่ได้ อย่ามองว่าพวกนั้นเป็นคน ให้คิดว่าเป็นแบคทีเรีย ถ้าทดลองอย่างระมัดระวังก็คงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเกิดไปสัมผัสโดยที่ไม่ได้ตั้งใจล่ะก็ นายก็จะติดเชื้อไง”
ให้มองคนเป็นแบคทีเรียงั้นเหรอ นี่มันอะไรกัน เพราะเอ็นดูในจินตนาการตลกๆ ของอีกฝ่ายก็เลยยอมเออออไปด้วย แต่จะมีผู้ชายสักกี่คนกันที่ตามตื๊อขอเบอร์ผู้ชายด้วยกัน ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่มูคยอมจินตนาการขึ้นมา จึงเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องกังวลเลย
ช่วงนี้มูคยอมเอาแต่ถามคำถามแบบนั้นกับฮาจุนโดยไม่ทันตั้งตัวขึ้นมาบ่อยๆ ราวกับว่าเป็นการทบทวนความจำก่อนสอบซะอย่างนั้น มันน่าหมั่นไส้นักที่มูคยอมเอาแต่กำชับฮาจุนอยู่ฝ่ายเดียว ฮาจุนจึงเช็คเงื่อนไขที่ตัวเองตั้งขึ้นมาขำๆ บ้าง
“นายไปลอนดอนแล้วจะทำยังไงบ้างนะ”
“ไม่ไปปาร์ตี้ ไม่ก่อเรื่อง ไม่มองคนอื่นแล้วก็ตั้งใจเตะฟุตบอลอย่างเดียวจนกว่าคุณโค้ชจะมา”
เมื่อเทียบกับข้อบังคับยิบย่อยของมูคยอมแล้ว ถึงจะค่อนข้างเรียบง่ายตามที่อีกฝ่ายพูด แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนที่ไม่ได้มีจินตนาการไปไกลเหมือนมูคยอม ตอนแรกก็เป็นแค่การพูดคุยตกลงกันก็น่าจะพอแล้ว แต่มูคยอมกลับกำหนดรายละเอียดยิบย่อยเต็มไปหมด
ถึงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าลายเซ็นที่เซ็นไว้บนร่างกายไม่เลือนไปก่อนที่จะได้เจอกันอีกครั้งก็คงดี ภาพความทรงจำเก่าๆ ที่เสียดายแม้แต่การที่ความเจ็บปวดที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายลบเลือนหายไป ตอนที่ถูกอีกฝ่ายกอดครั้งแรก ผุดขึ้นมาราวกับเดจาวู แม้แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมมูคยอมถึงอยากสัก
มูคยอมพรมจูบลงบนหน้าผาก แก้ม และริมฝีปากของฮาจุน และพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“ระหว่างที่ฉันไม่อยู่ อย่าไปมองคนอื่นนะ”
“ใครห่วงใครกันแน่เนี่ย… นายนั่นแหละดูแลตัวเองด้วย”
ฮาจุนเถียงกลับไปพลางใช้ปลายนิ้วตีหน้าผากของอีกฝ่าย ถึงจะกำลังยิ้มอยู่ แต่สายตาของมูคยอมก็ดุดันมาก ถึงจะพูดเหมือนพูดเล่น แต่ฮาจุนเองก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่น เพราะเขาเองก็ไม่ได้พูดเล่นเหมือนกัน
มูคยอมสตาร์ทรถและขับออกไป ฮาจุนมองด้านหลังของรถที่ขับออกจากลานจอดรถพลางโบกมือลาอยู่อย่างนั้น ตอนที่อยู่ด้วยกันเขาไม่รู้สึกหนาวเลย แต่พอมูคยอมจากไปสายลมเย็นๆ ก็พัดผ่านมา
ช่วงฤดูหนาวปลายเดือนธันวาคม ในพื้นที่ห่างไกล การแข่งขันรอบคัดเลือกแชมเปี้ยนส์ลีกกำลังจะสิ้นสุดลง และการต่อสู้อันดุเดือดของพรีเมียร์ลีก รวมถึงบ็อกซิ่งเดย์ก็กำลังดำเนินต่อไป หัวใจสั่นไหวด้วยความกังวลและความรู้สึกอันซับซ้อนเหมือนกับคนที่ส่งคนรักไปสนามรบ
รักที่เป็นรักข้างเดียว กับรักที่รักกันทั้งสองฝ่ายมันแตกต่างกันมาก ถึงจะมีประสบการณ์รักข้างเดียวมา 10 ปี แต่ก็ช่วยอะไรในความสัมพันธ์ครั้งแรกของเขาไม่ได้เลย แม้ว่ารถที่แล่นออกไปจะลับสายตาไป แต่ฮาจุนก็ยังคงยืนผ่อนลมหายใจที่กลายเป็นไอสีขาวออกมาอยู่ที่เดิม และหลังจากนั้นอีกสักพักจึงก้าวท้าวเดินออกมาจากตรงนั้น
ทำความเข้าใจวัฒนธรรมต่างประเทศ
ช่วงห้าโมงเย็นตามเวลาท้องถิ่นของประเทศอังกฤษ ฮาจุนที่ลงจากเครื่องบินที่สนามบินลอนดอน ฮีทโธรว์หลังจากที่เดินทางมาเป็นเวลา 12 ชั่วโมง กำลังถือกระเป๋าและลากกระเป๋าเดินทางอีกหนึ่งใบ เขาสวมชุดเรียบง่ายที่ดูไม่เหมือนคนที่จะมาอาศัยอยู่ที่นี่ในอีกหลายปีต่อจากนี้ เพราะส่งของทั้งหมดไปที่บ้านของมูคยอมหมดแล้ว เลยไม่มีของที่ต้องถือมาเองมากนัก
ฮาจุนรีบต่อไวไฟที่อาคารผู้โดยสารที่เชื่อมต่อไปยังด่านตรวจคนเข้าเมือง การที่ต้องแยกจากคนรักที่มักจะอยู่ด้วยกันทุกวันเป็นเวลาสิบวัน โดยที่อยู่คนละประเทศกันนั้น ไม่ได้มีเรื่องที่อึดอัดใจแค่เรื่องสองเรื่อง
‘อยากเจอลูกวัวเร็วๆ จัง’
‘ฉันถึงสนามบินแล้ว’
‘เครื่องน่าจะลงจอดแล้วนะ’
‘ยังไม่ถึงเหรอ’
ทันทีที่โทรศัพท์ต่อไวไฟ โทรศัพท์ก็สั่นพร้อมกับแจ้งเตือนข้อความพูดคนเดียวของมูคยอม ฮาจุนถอนหายใจด้วยความโล่งอกในขณะที่เขาปัดหน้าจอขึ้นอย่างรวดเร็วและกวาดสายตาอ่านข้อความในช่วงสิบวันที่ผ่านมาที่กองรวมกันอยู่ในหน้าต่างแชท
สิบวันยาวนานเหมือนหนึ่งปี สาเหตุไม่ใช่เพราะเสียใจที่ต้องอยู่ห่างกันเท่านั้น
บางครั้งตอนที่วีดีโอคุยกัน การที่อีกฝ่ายขอให้ช่วยตัวเองให้ดู มันก็ยังพอทนได้ แต่นอกจากจะน่าอายแล้ว จะให้เปิดกล้องช่วยตัวเองอยู่ในบ้านที่อยู่กับคนในครอบครัวได้ยังไง ทุกครั้งที่ปฏิเสธไปว่าทำไม่ได้ มูคยอมก็จะงอนและรบเร้ายิ่งกว่าเดิม
ที่จริงก็มีเรื่องที่ยากจะทนอยู่อีก ระหว่างที่อยู่ห่างกัน มูคยอมก็มักจะโทรหาหรือส่งข้อความมาตามตารางเวลาของฮาจุนไม่เคยขาด ทั้งตอนออกไปทำงาน ตอนเริ่มการฝึกซ้อม ตอนซ้อมเสร็จ และตอนเลิกงาน
แม้ว่าบางครั้งจะมีนัดหรือต้องออกไปข้างนอก มูคยอมก็จะมาเช็กทุกเช้า และโทรมาเช็กอีกครั้งเมื่อถึงเวลากลับบ้าน แม้ที่อังกฤษจะเป็นช่วงดึกหรือช่วงเช้ามืด อีกฝ่ายก็ติดต่อมาไม่ขาด
อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อฮาจุนได้รับสายจากมูคยอมที่โทรมาเช็กตารางเวลาด้วยน้ำเสียงอู้อี้เหมือนตื่นขึ้นมากลางดึก เขาเองก็ทนไม่ไหวจึงขึ้นเสียงด้วยความโมโห
‘เวลาห่างกันตั้งเก้าชั่วโมง ทำอะไรของนายเนี่ย ถึงเวลานอนก็นอนซะสิ!’
‘เดี๋ยวค่อยนอนต่อก็ได้’
‘ตื่นระหว่างที่หลับอยู่บ่อยๆ มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ นายไม่รู้เหรอ’
‘ถ้าเป็นห่วงก็รีบมาสิ’
เวลาที่ทำอย่างอื่นก็มีบางครั้งที่ไม่ได้รับโทรศัพท์หรือไม่ได้เช็คข้อความ พอนึกขึ้นได้ก็เช็คโทรศัพท์ และแน่นอนว่าจะมีข้อความของมูคยอมปรากฎอยู่เสมอ
เมื่อไม่กี่วันก่อน วันที่ไม่ได้รับสายจากมูคยอมเพราะนัดเจอโค้ชจองเพื่อที่จะพูดคุยและถ่ายทอดงานให้ ฮาจุนปรายตาลงไปมองข้อความที่มูคยอมรัวส่งมา
‘ทำอะไร อยู่กับใครหรือเปล่า’
‘คงมีแค่ฉันที่คิดถึงนาย’
‘คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่า ฉันก็คิดถึงเรื่องอื่นอยู่บ้าง’
‘ไม่เป็นไร ยังไงฉันก็เอาชนะมันได้ เพราะฉันแข็งแกร่ง’
‘โค้ชอี อ่านแล้วทำไมไม่ตอบล่ะ’
ไปสรรหาคำพูดชวนขนลุกแบบนี้มาจากไหนกัน…
มูคยอมไม่เคยส่งข้อความตามจิกเขาแบบนี้มาก่อนเลย ตอนนี้เขารู้สึกโล่งใจสุดๆ ที่จะไม่เจออะไรแบบนั้นอีกแล้ว ฮาจุนพิมพ์ข้อความตอบกลับไป
‘ฉันก็ถึงแล้ว เดี๋ยวออกไป’
ฮาจุนตอบกลับไปสั้นๆ แบบนั้น แต่แล้วก็มองหน้าจอพลางครุ่นคิดอยู่สักพักก็ส่งสติ๊กเกอร์กระต่ายถือหัวใจเอาไว้ในมือไปหาอีกฝ่าย แต่แล้วอีกฝ่ายก็รัวส่งสติ๊กเกอร์รูปสัตว์ต่างๆ ทั้งถือหัวใจอยู่ กอดหัวใจ โปรยหัวใจ และสติ๊กเกอร์จูบกัน กลับมาติดๆ กันไม่หยุด
อาคารผู้โดยสารที่มีแค่ผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาสเท่านั้นที่สามารถใช้บริการได้นั้นช่างเงียบเหงา ตรงหน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองมีคนอยู่แค่คนสองคนเท่านั้น ฮาจุนส่ายหัวขณะที่ย้อนนึกถึงช่วงสิบวันที่ผ่านมา แต่พอเข้าใกล้เกท หัวใจของเขากลับเต้นแรง ตอนนี้แค่ผ่านประตูนั้นไปก็จะได้เจอมูคยอมแล้ว
ในที่สุดคนที่อยู่ข้างหน้าก็ออกจากเกทไป และฮาจุนก็เดินไปอยู่ตรงหน้าด่านตรวจคนเข้าเมือง เขากลัวว่าเจ้าหน้าที่จะถามอะไรที่ซับซ้อน แต่ก็ไม่มีคำถามที่ยากถึงขั้นนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ผมสีน้ำตาลตรวจสอบวีซ่าแล้วถามว่ามีงานทำหรือยัง เขาก็ตอบไปว่าน่าจะได้ทำงานในทีมฟุตบอล เธอก็เบิกตากว้างราวกับตกใจและยิ้มออกมา
ฮาจุนเองก็ยิ้มและขอบคุณกับคำที่เธอพูดว่า ‘หวังว่าจะมีช่วงเวลาที่ดีที่ลอนดอน’ จากนั้นก็เดินออกมานอกเกท น่าจะใช้เวลาตรวจไม่ถึง 10 นาที
เมื่อออกมาที่ล็อบบี้ ภาพที่ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเดินไปเดินมาดูยุ่งวุ่นวายก็ปรากฎเข้ามาในสายตา เสียงประกาศก็เป็นภาษาอังกฤษ ป้ายไฟ ป้ายประกาศ ตัวหนังสือในโฆษณาที่ติดอยู่บนกำแพงก็เช่นกัน ความรู้สึกที่ว่าได้มาต่างประเทศจริงๆ แล้วถาโถมเข้ามา
ฮาจุนหันซ้ายหันขวามองหามูคยอมอยู่สักพัก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย อีกฝ่ายยังคงสูงเป็นที่สะดุดตาแม้แต่ที่นี่ก็ตาม
“กวางน้อย มาแล้วเหรอ”
เพราะอีกฝ่ายค่อยๆ เดินเข้ามาดึงเขาไปกอดจากข้างหลังก่อนที่จะได้พูดทักทายกันเสียอีก
มูคยอมใส่แว่นกันแดดสีเข้มราวกับว่าจะมีคนจำได้ เสื้อโค้ทสีดำตัวยาวเหมาะกับมูคยอมที่เป็นคนตัวสูงมาก ฮาจุนจินตนาการถึงสายตาที่อยู่หลังเลนส์สีเข้มของอีกฝ่าย พลางโอบมือไปด้านหลังเพื่อกอดกลับและพักหายใจอยู่สักพัก
เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมมูคยอมถึงได้ฝังหน้าลงบนต้นคอของเขาและดมกลิ่นอยู่บ่อยๆ ถึงจะไม่ได้จมูกดีเหมือนมูคยอม แต่กลิ่นกายของอีกฝ่ายที่ไม่ได้กลิ่นมานาน ทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจผ่อนคลายความเหนื่อยล้าที่มี
แต่เมื่อรับรู้ได้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน ฮาจุนที่หยัดตัวขึ้นก็ตีหน้าอกของมูคยอมพลางถามออกมา
“ตอนนั้นก็ลูกวัว แล้วกวางน้อยนี่อะไรอีก”
“ไม่ได้เจอกันมานาน ก็ต้องเรียกชื่อที่มันน่ารักกว่าลูกวัวสิ”
ก็คงจะอย่างนั้น ขณะที่ฮาจุนคิดแบบนั้น มูคยอมก็ยื่นมือออกมา
ฮาจุนได้แต่กะพริบตา ไม่ได้ยื่นมือไปจับในทันที ในมือของมูคยอมมีช่อดอกไม้ขนาดพอดีที่มีทั้งดอกกุหลาบ ดอกโคลเวอร์ และใบหญ้าที่ไม่ได้มีสีเข้มจนเกินไปอยู่
“จะมามือเปล่าก็ยังไงๆ อยู่ ของขวัญตอนรับน่ะ”
ระหว่างที่ฮาจุนรับช่อดอกไม้มาถืออย่างงุนงง มูคยอมก็แย่งกระเป๋าเดินทางและกระเป๋าถือไปถือเองอย่างแนบเนียน สัมภาระก็มีอยู่แค่นั้น ไม่เห็นต้องให้ใครมาถือให้จึงตั้งใจจะเอากลับมาถือเอง แต่แล้วมูคยอมก็ยกมือห้ามฮาจุนโดยไร้คำพูดใดๆ ฮาจุนที่สบายตัวขึ้นลังเลและพูดขอโทษออกมา
“ขอโทษ ฉันไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย”
“พูดอะไรของนาย ของขวัญอยู่นี่ไง ชิ้นเบอเริ่มเลย”
จากนั้นก็ใช้มือข้างที่ไม่ได้ลากกระเป๋าเดินทาง คว้ามือของฮาจุนเอาไว้
ใครจะว่ายังไงก็ช่างเขาสิ พอคิดอย่างนั้นแล้วก็ไม่อยากปล่อยมือของฮาจุนไปเลยจริงๆ ฮาจุนพยายามข่มใจที่เต้นรัวเอาไว้ และรีบร้อนก้าวเดินไปอยู่เคียงข้าง
มูคยอม รับรู้ได้ถึงนิ้วของมูคยอมที่แทรกอยู่ระหว่างมือของเขาได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังลืมที่จะสนใจสายตาของผู้คนไปเสียสนิท