Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 121
ฮาจุนเดินตามอีกฝ่ายอย่างสติล่องลอยราวกับเดินอยู่บนปุยเมฆทันทีที่มาถึง และแล้วก็มาถึงลานจอดรถโดยไม่รู้ตัว รถที่มีที่นั่งข้างคนขับอยู่ฝั่งซ้ายกำลังรอทั้งคู่อยู่ ฮาจุนรู้สึกไม่คุ้นเคยกับโครงสร้างของรถที่มีทิศทางตรงกันข้ามกับที่เกาหลี หลังจากที่ขึ้นรถและจัดแจงท่านั่งสองสามครั้งแล้วก็หันไปมองรอบๆ โดยไม่จำเป็น
ช่อดอกไม้ที่ได้รับทันทีที่มาถึง มืออุ่นๆ ของมูคยอมที่จับต่อหน้าผู้คนมากมาย ตำแหน่งที่นั่งคนขับที่ไม่คุ้นเคย ป้ายภาษาอังกฤษ ทิวทัศน์ที่มองเห็นนอกหน้าต่าง
สมองที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหลบนท้องฟ้าได้ไม่นานนักประมวลสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวจนตีกันไปหมด ฮาจุนกระวนกระวายใจและไม่รู้ว่าจะทำยังไง เหมือนกับเป็นคนที่มาครอบครองพื้นที่ที่ไม่ใช่พื้นที่ของตนเอง ฮาจุนสอดส่ายสายตาไปทั่วเพื่อทำให้จิตใจที่กระวนกระวายขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุสงบลง และแล้วคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เรียกชื่อด้วยเสียงทุ่มต่ำราวกับเบี่ยงเบนความสนใจของฮาจุน
“ฮาจุน”
พอหันหน้ากลับมามอง ใบหน้าที่ทำสายตาราวกับถามว่า ‘ทิ้งฉันไว้แล้วมองไปที่ไหนกัน’ กำลังขยับใกล้เข้ามา ฮาจุนเองก็ขยับหน้าตัวเองเข้าไปใกล้เช่นกัน จูบที่เริ่มต้นขึ้นราวกับเป็นการทักทาย แนบชิดมากขึ้นเมื่อลิ้นของทั้งสองคลอเคลียกัน
มือใหญ่จับด้านหลังศีรษะและดึงเข้าหาตัว ลิ้นของมูคยอมกวาดไปทุกซอกทุกมุมภายในช่องปากราวกับจะเติมเต็มความว่างเปล่าตลอดสิบวันที่ผ่านมา ฮาจุนส่งเสียงครางออกมาเบาๆ และสอดส่องไปทั่วช่องปากราวกับเลียนแบบอีกฝ่าย
แต่แล้วเมื่อลิ้นของมูคยอมตวัดขึ้นราวกับจะไปถูไถเพดานปาก ฮาจุนก็หมดเรี่ยวแรงและลืมที่จะเลียนแบบอีกฝ่ายไปเสียสนิท ฮาจุนปรับลมหายใจที่ถี่รัวและเปิดรับลิ้นที่โลมเลียทิ่มแทงไปทั่วทุกซอกมุมของเยื่อบุภายในปาก ราวกับกำลังตรวจสอบรูปร่างภายในปาก มูคยอมแลบลิ้นออกมาราวกับมอบลูกอมแสนหวานให้
และแล้วฮาจุนก็ดูดเลียลิ้นของอีกฝ่าย และรู้สึกได้ถึงการมีตัวตนอยู่ของคนรักอย่างเต็มที่ มูคยอมที่ยุติการจูบที่ยาวนานกว่าที่คิดกำลังฝืนหัวเราะอย่างแผ่วเบา เขาเสยผมของฮาจุนที่กระเซิงเล็กน้อยขึ้นไปแล้วถามคำถามขึ้นแสร้งทำท่าไม่พอใจ
“มาถึงที่นี่แล้วเมินกันเลยแฮะ ตอนนี้มีอะไรที่น่าสนใจกว่าฉันเหรอ”
“โทษที ฉันแค่ประหม่านิดหน่อย… คงจะเป็นเพราะเพิ่งเคยมายุโรปครั้งแรกน่ะ”
ร่างกายที่สับสนแยกไม่ออกว่าตื่นเต้นหรือกังวล ได้พบคำตอบที่ถูกต้องแล้ว จังหวะการเต้นของหัวใจที่ไม่คงที่ก็สงบลง
หลังจากสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ หนึ่งครั้ง ฮาจุนก็มองเข้าไปในดวงตาของมูคยอมอย่างใจเย็น และฝังหน้าผากของตัวเองลงบนไหล่ของอีกฝ่าย
“ฉันคิดถึงนายนะ คิมมูคยอม”
มูคยอมยิ้มกว้างราวกับพอใจที่ได้ยินแบบนั้น
ถึงฮาจุนจะแทบไม่เคยได้ไปเที่ยวต่างประเทศ แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่เคยเดินทางไปแข่งขันที่ต่างประเทศอยู่สองสามครั้งในฐานะนักกีฬาทีมชาติ แต่ก็เพิ่งเคยมายุโรปเป็นครั้งแรก
เพราะการแข่งขันแบบประเมินผลกับประเทศในทวีปยุโรปไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่มีการจัดการแข่งขันระดับโลกอย่างเวิลด์คัพหรือโอลิมปิก ถึงจะเป็นเรื่องน่าขมขื่น แต่ยุโรปก็วุ่นอยู่กับลีกของพวกเขาเอง และบรรดาประเทศในเอเชียก็แข่งขันกับประเทศในเอเชียด้วยกันหรือไม่ก็ประเทศในอเมริกาใต้ที่อยู่ห่างไกลเป็นปกติ
“ระหว่างทางมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”
“ดูหนังไปเรื่องนึงแล้วก็นอนยาวเลย”
“มีใครมาเจ๊าะแจ๊ะด้วยหรือเปล่า”
“ไม่มีใครทำแบบนั้นเลย ที่นั่งดีสุดๆ เลยล่ะ ได้นั่งมาสบายๆ เพราะนายเลย ขอบใจนะ”
“ด้วยความยินดี”
ที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสที่มูคยอมจองเอาไว้ให้แม้ว่าฮาจุนจะบอกว่าไม่เป็นไรก็ตามนั้น สบายจนไม่รู้สึกว่ากำลังอยู่บนเครื่องบินเลยทีเดียว สามารถนอนเหยียดขาได้เหมือนนอนบนเตียง ส่วนผ้าห่มก็เป็นสีขาวและนุ่มเหมือนกับผ้าห่มในโรงแรม อีกทั้งยังประหลาดใจที่แม้แต่อาหารบนเครื่องยังมีเป็นคอร์ส
มูคยอมสตาร์ทรถทันทีที่รู้สึกว่าจูบและทักทายกันเพียงพอแล้ว ฮาจุนที่ถือช่อดอกไม้ที่มูคยอมให้เอาไว้ และใช้สายตานับกลีบดอกทีละใบๆ มองออกไปนอกหน้าต่างทันทีที่ขับรถออกมาจากสนามบินและแล่นไปบนเส้นทางธรรมดา ส่วนมูคยอมก็ยิ้มออกมาโดยไร้คำพูดใดๆ และไม่ได้ชวนคุยต่อ ปล่อยให้ฮาจุนได้สนุกกับทิวทัศน์ของลอนดอนที่เพิ่งเคยมาเยือนเป็นครั้งแรกให้เต็มที่
ถึงแม้ว่าจะมีเส้นทางที่สามารถเข้าตัวเมืองได้เร็วกว่า แต่มูคยอมตั้งใจเลือกขับไปบนเส้นทางที่สามารถมองเห็นสถานที่ท่องเที่ยวและย่านคึกคักที่มีผู้คนพลุกพล่าน ถึงจะเป็นสถานที่ที่ต่อไปจะได้มาเดินดูไปด้วยกัน แต่ตอนที่มาครั้งแรกก็มักจะตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งอยู่แล้ว
ด้วยความที่เป็นช่วงเย็น จึงมองเห็นดวงอาทิตย์จึงกำลังลับขอบฟ้าอยู่ไกลๆ ท้องฟ้าสีแดงที่มีเมฆประปรายอยู่เหนือตึกเก่าที่สร้างจากก้อนอิฐและหลังคาทรงแหลม
“เพราะเป็นเมืองใหญ่ ฉันก็เลยคิดว่าคงจะไม่ต่างกับโซลเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่แฮะ”
“ที่นี่มีตึกเก่าๆ เยอะน่ะ”
แต่ถึงยังไง แสงของพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าก็ไม่ได้ต่างกันนัก ระหว่างที่มองท้องฟ้านอกหน้าต่างก็ได้ยินเสียงระฆังมาจากที่ไหนสักที่ เป็นเสียงที่ดังมาจากหอนาฬิกาสูงที่ดูจะห่างจากถนนอีกฟากเล็กน้อย
ใช่เสียงระฆังของบิ๊กเบนที่เคยได้แต่ฟังมาเท่านั้นหรือเปล่านะ ฮาจุนไม่ถามมูคยอมและเอาแต่ครุ่นคิดอยู่ภายในใจ พอตั้งใจขับรถอ้อมไกลๆ เหมือนแท็กซี่นำเที่ยวแล้ว ก็มาถึงบ้านพักสุดหรูทางตะวันตกเฉียงเหนือของเวสต์ลอนดอนดึกกว่าที่คิดเอาไว้
หลังจากที่ขับผ่านบ้านสุดหรูที่มีพื้นที่กว้างขวางไม่กี่หลังแล้ว รถก็ค่อยๆ ลดความเร็วลง ดูเหมือนว่าจะมาถึงบ้านของมูคยอมแล้ว ฮาจุนจึงจ้องมองภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างตั้งใจแทนการมองออกไปข้างนอก เมื่อกดรีโมท ประตูหน้าบ้านก็เปิดอัตโนมัติ ฮาจุนถามออกมาระหว่างที่ผ่านประตูเข้ามายังเส้นทางเข้าบ้าน
“ที่นี่คือสวนเหรอ”
“ก็คงต้องบอกว่าอย่างนั้นใช่ไหมนะ”
ถึงจะผ่านประตูใหญ่เข้ามาแล้วก็ต้องขับเข้าไปอีกสักระยะ ภายนอกหน้าต่าง สนามหญ้าที่ดูแลเป็นอย่างดีเหมือนกับสนามกอล์ฟนั้นเขียวชอุ่ม และถูกปูเอาไว้เป็นอย่างดีเหมือนกับพรม และไกลออกไปก็มีต้นไม้ใบเขียวขนาดใหญ่รายล้อมบริเวณบ้านเอาไว้จนแทบจะเหมือนอยู่ในป่า กว้างเกินไปที่จะเรียกว่าสวนหรือลานหน้าบ้าน
ตอนแรกที่เข้ามา ฮาจุนคิดว่ากำแพงกับประตูเตี้ยเกินไปจนข้างนอกสามารถมองเข้ามาได้หรือเปล่า แต่ถ้าต้องเข้ามาไกลถึงขนาดนี้ถึงจะเห็นตัวตึกแล้ว คงแอบมองเข้ามาจากข้างนอกไม่ได้แล้วละ ในที่สุดภาพของตัวบ้านก็ปรากฎเข้ามาในสายตา
“…คิมมูคยอม นายเป็นเจ้าชายเหรอ”
ถึงจะเคยเห็นรูปมาบ้าง แต่พอเห็นของจริงใกล้ๆ แล้ว ก็พบว่าเป็นบ้านสุดหรูที่มีเสาสีขาวเหมือนกับคฤหาสน์หรือปราสาทของชนชั้นสูงที่เคยเห็นในหนัง ถ้าไม่นับตัวอาคารที่ค่อนข้างเตี้ยไปสักหน่อยก็เหมือนมากทีเดียว
“ถึงด้านนอกจะเป็นแบบนี้ก็เถอะ แต่ข้างในเป็นแบบโมเดิร์นนะ เพราะฉันเปลี่ยนใหม่หมดเลย”
“พอมาดูใกล้ๆ แล้วก็หลังใหญ่มากจริงๆ ดูแลบ้านคนเดียวไม่เหนื่อยเหรอ”
“ฉันไม่ได้ดูแลบ้านคนเดียวสักหน่อย ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญอยู่นะ แต่ก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสเจอกันหรอก ไม่ต้องห่วง”
ประตูที่ปิดเอาไว้ดูกลมกลืนกับตัวกำแพงตึกที่ดูคลาสสิกเปิดออกอัตโนมัติ ราวกับเป็นการพิสูจน์คำพูดของมูคยอมที่บอกว่าภายในบ้านเป็นแบบโมเดิร์น แล้วรถก็เคลื่อนตัวเข้าไปข้างในนั้น
ฮาจุนที่เข้ามาในโรงจอดรถใต้ดินยังคงปิดปากเงียบอยู่เช่นเดิม ฮาจุนคิดมาตลอดว่าแค่วิลล่าในโซลที่มูคยอมอยู่ก็กว้างมากแล้ว แต่ที่นี่น่าจะกว้างเป็นสองเท่า รถที่เรียงรายกันก็มีเยอะกว่ามาก
“ลงรถกัน”
รู้สึกเหมือนเข้ามาในตึกสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่าเข้ามาในบ้านที่มีคนอาศัยอยู่เสียอีก ฮาจุนลงจากรถด้วยความรู้สึกประหลาด และเดินตามหลังมูคยอมที่เปิดประตูบานหนึ่งเข้าไป เมื่อเข้ามาข้างในแล้วก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ทันสมัยแตกต่างกับภายนอกของตัวบ้าน
เมื่อขึ้นลิฟต์และเปิดประตูเข้าไปก็เจอภายในของตัวบ้านทันที ฮาจุนที่เดินไปบนทางเดินยาวๆ จนมาถึงพื้นที่กว้างๆ ไม่มีแม้แต่แรงที่จะชื่นชมหลงเหลืออยู่
พื้นที่ที่มีเพดานสูง ปูเหมือนกระเบื้องหินอ่อนสองสี พร้อมบันไดขึ้นชั้นสองทั้งสองฝั่ง ทั้งเยือกเย็นและหรูหราเกินกว่าที่จะบอกว่าเป็นห้องรับแขก แต่ก็ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อย่างโซฟาอยู่ ราวกับว่าไม่ได้เอาไว้ใช้เป็นห้องรับแขกตั้งแต่แรก ต้องเรียกว่าอะไรนะ ล็อบบี้? ฮอลล์?
มูคยอมที่เฝ้ามองฮาจุนที่หันไปมองรอบๆ ด้วยสีหน้าที่ดูประหม่าเล็กน้อย เป็นฝ่ายเปิดปากพูดออกมาก่อน
“ตอนเด็กๆ ฉันมองว่าบ้านแบบนี้น่ะเจ๋งสุดๆ แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าบ้านมันกว้างเกินไป เลยคิดว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นดีไหม แต่ฉันก็ใช้ความพยายามไปเยอะเลยเพื่อปรับเปลี่ยนแต่ละจุดไปเรื่อยๆ ถ้านายอยู่แล้วรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย้ายไปที่อื่นได้เสมอ แค่บอกฉันก็พอ”
“ไม่หรอก!”
มูคยอมปิดปากเงียบเพราะคำตอบของฮาจุน ที่พูดด้วยเสียงอันดังราวกับตกใจ
“บ้านสวยขนาดนี้จะย้ายทำไม ถ้าจะเดินดูให้ทั่วคงใช้เวลาทั้งอาทิตย์เลย”
“ไม่นานขนาดนั้นหรอก”
พอมองฮาจุนที่ตาเป็นประกายเหมือนกับตอนที่มองสถานที่ท่องเที่ยวตอนขับรถผ่านก่อนหน้านี้แล้ว มูคยอมก็ยิ้มออกมา
“ไปอาบน้ำก่อนสิ นั่งเครื่องมานาน นายไม่เหนื่อยหรือไง”
ฮาจุนรู้สึกตื้นตันใจเหลือเกิน ที่นี่คือบ้านของคิมมูคยอม ถึงจะเคยเห็นภายนอกบ้านจากในข่าวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นภายในตัวบ้านเลย
มีกี่ห้องกันนะ แล้วห้องน้ำล่ะ ห้องนอนอยู่ไหนนะ ฮาจุนหันซ้ายหันขวามองไปทั่วพลางพูดคนเดียวอยู่ในใจไม่หยุด ขณะที่ถูกมูคยอมจับมือให้เดินไปด้วยกัน
มีทั้งโซพาตัวใหญ่และเก้าอี้ ชั้นติดผนังและโต๊ะที่สัมผัสได้ถึงเสน่ห์อันหรูหราและสะอาดสะอ้าน มีแม้กระทั่งเตาผิงติดผนังในพื้นที่ที่ปูพรมหรูหรา ฮาจุนจึงถามออกมาพร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง
“ตรงนั้นจุดไฟได้จริงไหม”
“แน่นอน เดี๋ยวมาจุดกันไหม”
“ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”
“แค่ใส่ฟืนเข้าไปเอง เป็นการจุดไฟด้วยไฟฟ้าน่ะ แค่กดรีโมทไม่นานก็ติดแล้ว”
ระหว่างที่หันไปมองรอบๆ ด้วยสายตาที่เป็นประกายก็เข้ามายืนอยู่ในห้องน้ำที่ทั้งกว้างและมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ถึงสองอ่าง ไม่ใช่สไตล์ที่มีกำแพงสูงขึ้นมาเหมือนกับอ่างอาบน้ำในอพาร์ตเม้นท์หรือบ้านทั่วไป แต่ใกล้เคียงกับสไตล์ที่ขุดให้ต่ำลงไปบนพื้นมากกว่า
คงจะเป็นเพราะขอบอ่างมีพื้นที่กว้างและมีระบบระบายน้ำที่ดี นอกจากพื้นที่ที่มีฝักบัวแล้ว พื้นที่อื่นก็แห้งไม่เปียกน้ำแม้ว่าจะไม่ได้มีการใช้แผงกั้นพื้นที่
ฮาจุนถอดเสื้อผ้าออกอย่างไร้สติและยืนอยู่ใต้ฝักบัวด้วยความช่วยเหลือจากมูคยอม เมื่อร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยน้ำอุ่นๆ ความอยากรู้อยากเห็นที่มีก็ลดลงไปหนึ่งระดับ พร้อมกับผ่อนลมหายใจออกมาโดยอัตโนมัติ ถึงจะคิดว่าเดินทางมาอย่างสะดวกสบายบนที่นั่งชั้นหนึ่ง แต่ก็เป็นการเดินทางระยะไกล ร่างกายคงจะเหนื่อยล้าโดยไม่รู้ตัว
ฮาจุนรู้สึกดีเสียจนส่งเสียงออกมา และแล้วมูคยอมที่ร่างกายเปลือยเปล่าเหมือนกันก็ขยับเข้ามาแนบชิด เมื่อพิงหัวลงบนไหล่กว้างๆ ของมูคยอม มูคยอมก็ถูฟองสบู่ลงบนเรือนร่างของฮาจุน สัมผัสมืออันอ่อนโยนของอีกฝ่าย ทำให้ฮาจุนส่งเสียงครางออกมาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว ฮาจุนเองก็วางมือลงบนไหล่ของอีกฝ่าย และลูบไล้ไปตามเรือนร่าง
กล้ามเนื้อตั้งแต่คอลงมาถึงหลัง… ก็ยังคงเหมือนเมื่อสิบวันก่อน กล้ามเนื้อคอ… ก็ไม่ตึงแข็ง ฮาจุนกังวลว่าตอนที่อีกฝ่ายล้มในนัดแก้มือ อาจจะกระแทกไหล่ผิดท่าได้ แต่พอสัมผัสทั้งกล้ามเนื้อสะบัก กล้ามเนื้อหมุนข้อไหล่ และกล้ามเนื้อไหล่เบาๆ แล้ว… ทุกอย่างปกติดี
“โค้ชอี กำลังทำอะไรครับ”
มูคยอมถามราวกับซักไซ้ มือของฮาจุนกดลงไปบนกล้ามเนื้อหลังอันแข็งแกร่ง ไล่ไปตามช่วงกระดูกสันหลังลงไปจนถึงบริเวณกระดูกก้นกบ
“…สัมผัสนายไง”
“ฉันกำลังสัมผัสนายด้วยความรัก แต่ตอนนี้นายกำลังทำงานอยู่นี่”
มันก็จริงอยู่ที่สัมผัสร่างกายไปทั่วเหมือนกัน แต่ก็สังเกตได้ถึงความแตกต่าง ฮาจุนหน้าแดงพลางพูดแก้ตัว
“ฉัน ฉันก็ทำ… ด้วยความรัก ฉันอยากรู้ว่าที่ผ่านมาบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ก็เลยลองเช็คดู”
“เอาไว้ดูแลผู้เล่นทีหลังนะ ตอนนี้ดูแลแฟนก่อน”
เมื่อพูดแบบนั้นแล้ว นิ้วของมูคยอมเองก็ลูบไล้ไปตามกระดูกสันหลังของฮาจุน ราวกับว่าเกิดประกายไฟเล็กๆ ที่แม้แต่น้ำก็ไม่สามารถดับได้ ในทุกส่วนที่มือของมูคยอมลูบไล้ผ่านไป
“อะอือ…”
ริมฝีปากเปียกชื้นคลอเคลียอยู่ข้างต้นคอและไล่ขึ้นไปจนถึงคาง ลิ้นโลมเลียคางและแก้มของฮาจุน จนมาถึงริมฝีปาก เมื่อประกบปากอยู่ใต้ฝักบัว น้ำที่หลั่งไหลลงมาก็ไหลเข้าไปในปากด้วย ส่วนล่างของร่างกายที่เริ่มร้อนขึ้นมา สัมผัสเข้ากับหน้าท้องของกันและกัน
อาจจะเป็นเพราะน้ำและฟองสบู่ จึงได้รู้สึกว่าส่วนลับที่สัมผัสนุ่มลื่นเป็นพิเศษ มือใหญ่ของมูคยอมจับสะโพกทั้งสองข้างของฮาจุน และนวดคลึงราวกับจะทำให้ขยายออก
“สัมผัสของฉันทีสิ”
จากนั้นมูคยอมก็จับมือของฮาจุนไปที่ส่วนล่างของตนเอง เมื่อน้ำเสียงกระเส่าลอยเข้ามาในหู ร่างกายที่อ่อนเพลียก็เกร็งเล็กน้อย
มือที่เปียกน้ำจับสิ่งที่ลุกชูชันเหมือนกับไม้พลองเอาไว้ เมื่อค่อยๆ ขยับมือขึ้นลงโดยที่จับสิ่งนั้นเอาไว้ในมือ มูคยอมก็แทรกนิ้วเข้ามาระหว่างเส้นผมด้านหลังหัวด้วยความรู้สึกดี ประกบปากจูบกันอีกครั้งพร้อมกับเสียงชื้นแฉะ มืออีกข้างของมูคยอมแผ่เข้าไปด้านในสะโพก ราวกับจะสอดนิ้วเข้ามาในอีกไม่ช้า และตัวของฮาจุนจะกระตุกทุกครั้งที่นิ้วของมูคยอมเฉียดผ่านปากช่องทางรัก
เพราะสายน้ำอุ่นๆ ที่สาดลงมาเป็นเส้นบางๆ และฟองสบู่ที่สลายตัวไปส่วนหนึ่ง จึงทำให้รู้สึกเหมือนร่างกายที่แนบชิดกันกำลังถูไถกันแม้จะแค่กอดกันเฉยๆ เท่านั้นก็ตาม
“ฮ้า อึก…”
แก่นกายของมูคยอมที่สั่นไหวอยู่ในมือกำลังถูไถอยู่กับแก่นกายของฮาจุนโดยไม่รู้ตัว ฮาจุนที่หลับตาและหายใจกระเส่า เผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมา และลูบไล้ไปตามร่างกายส่วนล่างของมูคยอม
“ลื่นไปหมดเพราะฟองสบู่…”
แต่แล้วปากที่พูดออกมาแบบนั้นก็หยุดพูดโดยที่ปากยังเผยอออก ดวงตาของฮาจุนที่ปิดลงช้าๆ เพราะความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง และการลูบไล้อย่างเชื่องช้าด้วยความรัก เบิกกว้างราวกับเพิ่งตื่นนอน
ฮาจุนปล่อยมือและถอยหลังออกห่างจากมูคยอมหนึ่งก้าวทันที ดวงตาที่ตื่นตกใจมองไปยังกลางลำตัวของมูคยอม
“เป็นอะไร”
“คิมมูคยอม นาย…!”
มูคยอมมองฮาจุนที่พูดไม่ออกได้แต่ทำปากพะงาบๆ ราวกับถามว่าเป็นอะไร ฉีกยิ้มออกมาทันทีพร้อมกับชี้ไปที่ร่างกายส่วนล่างของตัวเอง
“อ๋อ ตรงนี้เหรอ”
ดวงตาที่เบิกกว้างของฮาจุนไม่สามารถละสายตาจากส่วนนั้นของมูคยอมได้ มูคยอมแสยะยิ้มออกมา
“อย่ามองด้วยสายตาเร่าร้อนแบบนั้นสิ ฉันคิดว่านายน่าจะเหนื่อย แล้วก็เอาแต่นึกถึงนัดที่แข่งแพ้ แต่ก็ดันมีอารมณ์ขึ้นมา”
“อะไรเนี่ย นาย ทำไมตรงนั้นถึงเป็นแบบนั้นล่ะ…”
ฮาจุนที่ไม่รู้ว่าจะต้องสาธยายออกมาเป็นคำพูดยังไง ได้แต่ถามด้วยสีหน้าที่คลุมเครือเท่านั้น
มูคยอมที่ได้เจอกันในรอบสิบวัน ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง คออันแข็งแกร่งชวนมอง ไหล่และหน้าอกที่ทั้งกว้างและแข็งแกร่ง กล้ามหน้าท้อง ซี่โครงและกล้ามเนื้อเล็กๆ บริเวณเอวที่สรรค์สร้างให้มีรูปร่างที่หนาและเห็นสัดส่วนได้อย่างชัดเจน ร่างกายอันกำยำ และแก่นกายขนาดใหญ่ที่ใหญ่กว่าขนาดโดยเฉลี่ยไปมากแม้จะยังไม่แข็งตัว แต่ว่า…
“พวกนักกีฬาก็ทำกันหมดนั่นแหละ ฉันเองก็ต้องไปฝึกซ้อมเหมือนกัน ก็เลยทำไง”
‘น่าอาย’ ฮาจุนยืมคำพูดที่แม่มักจะพูดออกมาเวลาที่ดูทีวีมาใช้ แล้วก็พูดอยู่วนไปวนมาแบบนั้นอยู่ในใจ
ส่วนอื่นยังเป็นเหมือนเดิม แต่ส่วนที่เปลี่ยนไป คือการที่ส่วนนั้นของมูคยอมมันราบเรียบขึ้นมาก
ในส่วนที่เคยมีขนลับอยู่นั้น ไม่มีแม้แต่ขนอ่อนอยู่เลยแม้แต่เส้นเดียว มีแค่ผิวหนังลื่นๆ เหมือนกับผิวหนังส่วนอื่นๆ เท่านั้น ตอนนั้นผิวหนังในส่วนนั้นที่เปียกน้ำและมีแสงไฟของอ่างส่องกระทบ จึงดูส่องประกายแวววาว
ตอนที่ยืนตัวแนบชิดกัน ฮาจุนไม่ได้มองให้ดีก็เลยไม่รู้ ที่รู้สึกว่าส่วนนั้นลื่นเป็นพิเศษก็ไม่ได้เป็นเพราะฟองสบู่ซะอย่างนั้น
เป็นภาพที่ลืมตามองดูได้ยากเหลือเกิน ฮาจุนเบือนหน้าราวกับเพิกเฉยต่อความเป็นจริง และค่อยๆ เดินไปแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ