Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 137
เสี้ยวหนึ่งในใจรู้สึกอุ่นวาบขึ้น มูคยอมจึงประทับริมฝีปากลงบนกระหม่อมของฮาจุน ไม่รู้ทำไม มูคยอมถึงรู้สึกอยากทำให้อีกฝ่ายคลายกังวลมากขึ้น เขาจึงเปิดเผยความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันออกมา แม้ว่าจะพูดไม่เก่งก็ตาม
“ฉันก็รู้นะ”
“…อะไร”
“ยิ่งลำบากก็จะยิ่งอยากคิดดีด้วย ฉันก็รู้เรื่องนั้นเหมือนกัน”
ฮาจุนลูบแผ่นหลังมูคยอมโดยปราศจากคำพูด ความเงียบดำเนินต่อไปชั่วครู่ แล้วเขาก็ได้ยินเสียงที่เรี่ยวแรงเหือดหายไปอย่างสมบูรณ์แบบแทรกเข้ามาระหว่างทั้งคู่
“ตอนนี้ฉันง่วงจริงๆ แล้ว…”
“ฉันจะทำความสะอาดให้เอง นายนอนเถอะ”
มูคยอมยกตัวขึ้น เขารู้สึกวุ่นวายใจไปหมด เมื่อก้มลงมองใบหน้าของลูกวัวน้อยที่ลดการระวังตัวจนเหลือศูนย์ และหลับตาลงด้วยความวางใจในอ้อมแขนของชายหนุ่มผู้คุมขังตัวเองไว้แล้วคุกคามจนถึงเมื่อครู่นี้
ถ้าอยู่แบบนี้ต่อไปแล้วถูกจับล็อกอีกหรือถูกจับกินอีกจะทำยังไง ไม่กังวลเรื่องแบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียวสินะ
เขารู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าเพราะอีฮาจุน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถเป็นบ้าได้เพราะอีฮาจุนอีกนั่นแหละ
“คิมมูคยอม”
มูคยอมก้มลงมองฮาจุนโดยไม่ได้พูดอะไร เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะหลับไปในทันทีแต่อีกฝ่ายกลับเรียกชื่อเขา ในขณะที่มูคยอมกลืนน้ำลายลงลำคอแห้งผาก ฮาจุนก็เรียกชื่อเขาอีกครั้ง
“มูคยอม”
“…อื้อ”
“ชอบนะ”
“…”
“ต่อให้นายไล่ ฉันเองก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะหายไปได้ง่ายๆ… เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องกังวลนะ…”
ฮาจุนพึมพำราวกับละเมอแล้วไม่นานก็หลับเป็นตาย มูคยอมมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายแล้วเอนตัวลงนอนพร้อมถอนหายใจเพื่อควบคุมหัวใจที่เต้นตึกตักให้สงบ
เขาเจอโค้ชถูกคนมากๆ เลย ขอบตาของมูคยอมฉ่ำน้ำ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกอยากร้องไห้ มูคยอมจึงรั้งฮาจุนที่หลับไปแล้วเข้ามากอดกระชับ “ขอโทษนะ ขอโทษ” แม้ฮาจุนจะอยู่ในห้วงนิทราแต่เขาก็ยังกระซิบบอกอยู่หลายครั้ง จากนั้นถึงได้เงียบลงเพราะกลัวจะรบกวนการนอนของอีกฝ่าย
* * *
สองวันผ่านไป การแข่งขันใกล้เข้ามาแล้ว สนามฝึกของกรีนฟอร์ดห้อมล้อมไปด้วยบรรยากาศการฝึกซ้อมที่คึกคักถึงขีดสุดอย่างต่อเนื่อง
เหตุการณ์ถูกกักกุมตัวอันไม่คาดคิดซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานซืน ทำให้ไหล่ เอว และขาของฮาจุนยังคงขัดตึงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดขยับตัวลำบาก ฮาจุนจึงออกมาทำงานโดยไม่ผัดวันเพิ่มอีก เขาไม่อยากสร้างภาพลักษณ์ว่า โค้ชหน้าใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มทำงานได้แค่ของสองเดือน กลับแกล้งทำเป็นป่วยไปเสียแล้วตั้งแต่ตอนนี้
เพราะยังเหลือปัญหาที่ต้องแก้ไขด้วย นักกีฬาหน้าใหม่เจ้าของดวงตาสีเขียวมะกอก ซึ่งเข้าทีมมาในช่วงเวลาใกล้เคียงกับเขา วันนี้ก็กำลังฝึกซ้อมอย่างมุ่งมั่น
“มาร์โค”
เมื่อถึงเวลาพักเบรกชั่วคราวหลังวิ่งเสร็จ ฮาจุนก็เดินเข้าไปหาอีกคนซึ่งกำลังดื่มน้ำอยู่
อีกฝ่ายตกใจจนชะงักแล้วหันมามองฮาจุน มีเรื่องโน้นเรื่องนี้หลายส่วนไปหมดที่ทำให้เขากลุ้มใจ แน่นอนว่ามีเรื่องที่ว่ามาร์โคทำแบบนั้นกับเขาเพราะคิดอะไรอยู่กันแน่ กับเรื่องที่ว่ามาร์โครับรู้สถานการณ์อะไรบางอย่างเพราะตอนนั้นมูคยอมเข้ามาแทรกแล้วกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายหรือเปล่า…
ฮาจุนไม่คิดจะเปิดเผยความสัมพันธ์กับมูคยอมให้คนอื่นได้รู้ที่นี่ ถ้าหากอีกฝ่ายรู้แล้ว เขาก็วางแผนว่าจะต้องขอร้องก่อนว่าให้เก็บเป็นความลับ
“เราคุยกันหน่อยไหม”
มาร์โคทำตามคำขอของฮาจุนอย่างว่าง่าย เมื่อก้าวเดินไปพร้อมส่งสายตา จึงเห็นว่ามูคยอมซึ่งเคยยืนอยู่อีกทางก็ขยับตัวตามมาด้วย
ทั้งสองเข้ามาในห้องรับรองที่ไม่มีคนใช้ แล้วฮาจุนก็ถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
“เมื่อวันก่อน นายอยากบอกว่าอะไร”
“…”
“ฉันอาจเข้าใจผิดไปก็ได้ เพราะอย่างนั้นก็เลยคิดว่าต้องยืนยันให้มั่นใจน่ะ”
มาร์โคนิ่งเงียบ ส่วนฮาจุนก็รอ บางทีมูคยอมอาจจะกำลังฟังบทสนทนาอยู่ข้างนอกประตู ปากที่เคยปิดเงียบค่อยๆ เปิดพูดขึ้น
“อยากบอกว่าขอบคุณน่ะครับ”
“…”
“จุน”
“หืม”
“มีคนที่คบหากันอยู่หรือเปล่าครับ”
ไม่ปล่อยผ่านไปเฉยๆ จริงๆ ด้วย
ฮาจุนรู้สึกลำคอตีบตันและลังเลที่จะตอบ เขาวิเคราะห์อย่างแน่ชัดไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายถามด้วยจุดประสงค์แบบไหน
ไม่รู้ว่ามาร์โคชอบเขาในเชิงนั้นจริงๆ เหมือนที่มูคยอมพูด หรือมาร์โคเปลี่ยนเรื่องพูดเพราะสังเกตเห็นความสัมพันธ์ของเขากับมูคยอม แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ฮาจุนก็รับรู้อย่างแน่ชัดว่าไม่สามารถตอบกลับเป็นคำพูดที่อีกฝ่ายต้องการได้
“มี”
เป็นวิธีการพูดที่เหมือนกับตัดบทอย่างเด็ดขาด มาร์โคทำหน้านิ่ง
“เขาเป็นคนค่อนข้างขี้หึงเลยล่ะ แต่งานที่ฉันทำคืองานที่ต้องเข้าหาคนอื่นเยอะ ฉันอยากเลี่ยงเรื่องที่ทำให้เขากังวลให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ไม่อยากทำให้เขาเข้าใจผิดด้วย เข้าใจใช่ไหมว่าฉันหมายความว่าอะไร”
“…หรือว่า เพราะแบบนั้น เมื่อวานก็เลยไม่มาเหรอครับ เพราะผมเหรอ”
ถ้าหากไม่มีคนที่คิดเอาไว้ในใจว่าคนที่เขาคบคือใคร ก็คงไม่ถามคำถามนี้ออกมา
ฮาจุนหลับตาลงครู่หนึ่งแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่ จากนั้นก็ส่งยิ้มบาง
“มาร์โค”
“ครับ”
“ฉันเองก็ช่วยนายอยู่ แต่แฟนของฉันก็… เป็นคนที่จะช่วยเหลือนายได้มากยิ่งกว่าฉันอีกนะ”
“…”
“ถ้านายไม่ยกเรื่องนี้มาพูดอีก พวกเราสองคนสัญญาว่าจะอยู่ข้างนาย”
‘แต่ถ้าหากเอาเรื่องนี้มาพูดอยู่เรื่อยๆ การใช้ชีวิตในกรีนฟอร์ดก็คงต้องลำบากขึ้นทั้งสองฝ่าย’ ฮาจุนตัดคำพูดด้านหลังออก เพราะต่อให้ไม่พูด อีกฝ่ายก็คงจะเข้าใจ
ถ้ามาร์โคมีความรู้สึกให้เขาเกินกว่าความชื่นชอบในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่มีต่อโค้ชจริงๆ เรื่องที่คุยกันในตอนนี้คงเป็นคำพูดที่ใจร้ายไม่น้อย แต่ฮาจุนไม่มีวิธีการอื่นแล้ว เรื่องแบบนี้ไม่มีทางที่จะจบลงอย่างมีความสุขกันทุกฝ่าย แต่สามารถชักจูงเรื่องราวไปในทิศทางที่คนจำนวนมากที่สุดจะมีความสุขได้
“เข้าใจแล้วครับ”
โชคดีที่มาร์โคยิ้มบางๆ ราวกับตัดสินใจว่าจะยอมรับข้อเสนอของเขา
“จุน จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะครับ”
“ฉันก็เหมือนกัน”
สำหรับนักกีฬาที่กำลังก้าวผ่านการปรับตัวแสนเหนื่อยยากหลังย้ายสังกัดมา การตั้งเป้าหมายของตัวเองในทีมสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด สำคัญมากเสียจน ถ้าเอาไปชั่งบนตาชั่งสองแขนพร้อมกันกับความชื่นชอบครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งเกิดขึ้นชั่วคราวด้วยแรงผลักดันของความเหงา จานชั่งก็จะเอียงไปทางสิ่งแรกทันทีโดยที่ไม่สามารถเทียบเคียงน้ำหนักให้ตาชั่งสมดุลได้
หลังจากจับมือกันครู่หนึ่ง มาร์โคก็เปิดประตูออกไปก่อน เจ้าตัวส่งสายตาทักทายราวกับเห็นมูคยอมยืนรออยู่ด้านนอก แล้วจึงเดินจากไป
มูคยอมเดินเข้ามาในห้องรับรอง อีกฝ่ายยักไหล่พร้อมพูดประชด
“เด็กๆ นี่ไม่มีความกระตือรือร้นเอาซะเลย”
“ปากเก่งจริง โชคดีแล้วนะที่จบลงด้วยดี ไม่งั้นจะดึงดันให้ทำอะไรอีกก็ไม่รู้”
“เห็นไหมล่ะ คำนวณมาแล้วชัดๆ บอกแล้วว่านายไม่จำเป็นต้องเห็นใจเด็กนั่นขนาดนั้น”
“ทำแบบนั้นมันไม่ดีตรงไหน ชีวิตของตัวเอง ตัวเองก็ต้องใส่ใจอยู่แล้ว”
มูคยอมพยักหน้าราวกับบอกว่ามันก็ใช่ จากนั้นก็เดินเข้ามาใกล้แล้วยกแขนพาดไหล่เขา
“แล้วยังไงต่อ สถานการณ์คือฉันต้องตามดูแลเด็กนั่นเหรอ”
“นายแค่คอยดูเวลามีคนอื่นมาเบ่งใส่สักหน่อยก็พอ นายทำเรื่องแบบนั้นได้ดีเลยถ้านายตั้งใจจะทำ เอาจริงๆ ตอนได้ฟังเรื่องมาร์โคครั้งแรก นายก็คิดว่าเขาน่าสงสารเหมือนกันนี่”
“ให้ตายสิ ทำไมฉันต้องช่วยไอ้เด็กไม่รู้กาลเทศะคนนั้น…”
“คิมมูคยอม”
ฮาจุนเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่แฝงความดุเล็กน้อยราวกับปรามไม่ให้พูดแบบนั้น มูคยอมหัวเราะหึๆ แล้วหันหน้าเข้ามาหา
“ไม่เอาแบบนั้น”
“อะไร”
“เรียกแบบเมื่อวันก่อนดูสิ แบบน่ารักๆ”
เมื่อคืนก่อน ส่วนหนึ่งก็ด้วยบรรยากาศ แต่เพราะไม่อยากเซ้าซี้ฮาจุนที่เพิ่งได้นอนหลับด้วย มูคยอมจึงปล่อยให้คืนนั้นผ่านพ้นไปอย่างไม่ชัดเจน แต่ก็ไม่ยอมลืมคำเรียกชื่อแปลกใหม่นั้นไปเช่นกัน ฮาจุนขมวดคิ้วพร้อมถามว่าพูดเรื่องอะไร แต่ถึงอย่างนั้น แก้มก็ค่อยๆ ขึ้นสีเรื่อ
“ถ้านายไม่เรียก ฉันจะไม่ช่วยหมอนั่น”
“เฮ้อ…”
ฮาจุนโพล่งขึ้นเสียงเรียบราวกับยอมแพ้
“มูคยอม”
“อีกที”
“มูคยอม”
“อีกรอบหนึ่ง”
“มูคยอม! มูคยอม มูคยอม มูคยอม! พอใจหรือยัง นายนี่ไม่ปล่อยผ่านไปสักอย่างจริงๆ”
มูคยอมแสร้งแสร้งตะเบะความเคารพแล้วตอบรับกลับโดยจงใจทำเหมือนตัวเองเป็นนักกีฬาผู้ฮึกเหิม
“จงอย่าสร้างศัตรู ผมจะทำตามคำสั่งนะครับโค้ช ยิ่งเป็นคนที่อันตรายมากเท่าไร ยิ่งต้องเก็บไว้สังเกตการณ์ข้างๆ ตัว วิธีนี้ถูกต้องแล้ว”
ทั้งสองออกมาจากห้องเก็บของแล้วเดินเคียงข้างกันไป จู่ๆ ฮาจุนก็ถามขึ้นเพราะนึกขึ้นมาได้
“ว่าแต่นายน่ะ ทำไมถึงซื้อของแบบนั้นมา”
“ของแบบนั้นอะไร”
“กุญแจมือไง”
เมื่อฮาจุนลดเสียงลง มูคยอมถอนหายใจออกมาสั้นๆ ลังเลอยู่สักพักก่อนจึงหัวเราะแก้เขิน
“ก็แค่ อยากลองทำแบบล็อกนายไว้สักครั้งหนึ่ง”
“แบบเดียวกับเมื่อวันก่อนน่ะนะ”
“อืม ไม่หรอก ไม่ใช่แบบนั้น ฉันตั้งใจจะทำโดยให้นายเห็นชอบด้วยก่อนนั่นแหละ กลายเป็นรู้สึกผิดไปเลย”
‘อะไรกัน’ ฮาจุนหัวเราะอย่างอ่อนใจเล็กน้อย เขากังวลขึ้นมานิดหน่อยว่ามูคยอมอยากขังเขาไว้ในบ้านจริงๆ เลยซื้อมันมาไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้วหรือเปล่า แต่ดูเหมือนจะทำไปเพราะเมาจนขาดสตินั่นแหละ
“ถ้างั้นคราวหน้าไว้ทำกันอีกนะ”
คำพูดที่ตอบกลับมาอย่างชัดเจนทำให้มูคยอมเบิกตากว้าง อีกฝ่ายย้อนถามด้วยสีหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“นายพูดจริงเหรอ”
“อื้อ แต่ไม่เอาแบบนั้น ตกลงกันก่อนตั้งแต่แรกเหมือนที่นายพูด แล้ว…”
ฮาจุนกำลังจะพูดต่อว่า ‘ตอนวันหยุดครั้งต่อไป’ แต่ก็ตัดสินใจว่าจะกระตุ้นแรงบันดาลใจของนักกีฬาในฐานะโค้ชสักหน่อย
“…ถ้าชนะในลีกนี้หรือในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก หรือไม่ก็เข้ารอบ 16 ทีมในเวิล์ดคัพ”
“จริงนะ อีฮาจุน ห้ามเปลี่ยนคำนะ”
จู่ๆ มูคยอมก็หัวเราะฮ่าๆ อย่างร่าเริงพร้อมกับวิ่งไปกระโดดล็อกคอนักกีฬาคนอื่น นักกีฬาที่โดนจู่โจมอย่างกะทันหัน ร้องโวยวายเสียงดังพร้อมกับเหวี่ยงแขนไปมา แต่มูคยอมเอนตัวหลบการโจมตีไปได้ด้วยความว่องไว
แม้อยู่ในช่วงฤดูหนาว สนามหญ้าก็ยังคงเป็นสีเขียวสด พอมองดูภาพนักกีฬาวิ่งอยู่บนนั้นจากไกลๆ ก็รู้สึกได้ว่าวันนี้ยังคงมีพลังและสงบสุขเช่นเคย ฮาจุนรู้สึกเหมือนกำลังมองดูฝูงม้าวิ่งเล่นอยู่ในฟาร์ม
ฮาจุนหยิบสมุดโน้ตที่วางไว้ครู่หนึ่งขึ้นมาถือ เขากับโค้ชรุ่นพี่คอยดูนักกีฬาที่กำลังฝึกซ้อมโดยการเลี้ยงลูกผ่านสิ่งกีดขวางเพื่อส่งบอลเข้าโกลทีละคน ถ้ามีนักกีฬาที่เลี้ยงบอลพลาดไปโดนสิ่งกีดขวางล้ม หรือเท้าพันกันจนเซ โผล่มาเป็นครั้งคราว นักกีฬาคนอื่นๆ ที่ดูอยู่ก็จะปรบมืออย่างโอเวอร์แล้วส่งเสียงหัวเราะขำขัน
งานนักกีฬาฟุตบอลอาชีพเป็นงานที่ต้องลงแข่งในสถานที่ที่กำหนดไว้เป็นระยะเวลาเก้าสิบนาทีแล้วคว้าชัยชนะมา ถ้าอยู่ในช่วงเพิ่งโยกย้ายสังกัด คนมากมายก็จะยกมาเป็นหัวข้อสนทนากันปากต่อปากราวกับเล่นเกม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่เสียจนทำให้พวกเขาพูดถึงกันนานขนาดนั้น
ทั้งฮาจุนที่เคยเลิกอาชีพนักกีฬาเพราะอาการบาดเจ็บ แม้ใกล้จะถึงเวลาต้องย้ายสังกัดไปต่างประเทศอยู่แล้ว ทั้งมูคยอมซึ่งมีชีวิตเหลือรอดเพียงคนเดียวจากครอบครัวที่แตกหัก และตอนนี้ก็กำลังเตะบอลด้วยรอยยิ้มอยู่บนสนามหญ้าตรงโน้น ทั้งมาร์โคที่หันหลังจากบ้านเกิดมา และกำลังพยายามเพื่อให้ได้เข้าไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ อยู่ ทั้งแฮร์รี่ เจ้าของรอยแผลเป็นยาวตรงต้นขาที่กำลังเป่านกหวีดอยู่ข้างๆ เขาในตอนนี้พร้อมกับออกคำสั่งกับพวกนักกีฬาไปด้วย… เป็นเหมือนกับที่มูคยอมพูด ไม่มีใครมายืนอยู่ตรงนี้ได้ง่ายๆ เลยสักคนเดียว
ลูกบอลถูกนักกีฬาคนหนึ่งใช้เท้าเตะอย่างแรงดังปัง มันเคลื่อนที่ออกจากจุดเดิมมาตกลงตรงหน้าแฮร์รี่กับฮาจุน แฮร์รี่แผดเสียงแว้ด
“เตะเบี้ยวอะไรขนาดนั้น หา เตะแบบนี้แล้วจะส่งลูกหรือทำประตูได้ไหม”
จากนั้นก็ยิ้มหนึ่งทีพร้อมกับบอกฮาจุน
“เตะกลับไปให้หน่อย”
“ครับ”
ฮาจุนเตะลูกบอลที่ตกอยู่ตรงหน้าตัวเองออกไปยาวๆ ลูกบอลที่ถูกเตะโดยผู้เล่นกองหลังซึ่งเคยโด่งดังในช่วงหนึ่ง ตกลงตรงหน้านักกีฬาที่ยืนอยู่อย่างแม่นยำ “ว้าว” พวกนักกีฬาต่างพากันส่งเสียงโห่ร้องพร้อมปรบมือ
มูคยอมส่งเสียงร้องด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็สบตากับเขาแล้วชูนิ้วโป้งให้ ชายหนุ่มที่เคยเมาเหล้าแล้วมองเขาด้วยดวงตาดำทะมึนและมืดมนราวท้องทะเลยามค่ำคืน หายลับไปแล้วเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น มูคยอมที่วิ่งร่วมกันกับนักกีฬาคนอื่นๆ อยู่เหนือสนามหญ้า ไม่เปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไรนัก จากภาพลักษณ์ของเด็กหนุ่มที่เขาเฝ้ามองมาตลอดตั้งแต่สมัยอายุสิบหกปี
‘สำหรับฉัน คิมมูคยอมสำคัญที่สุด’
ฮาจุนพูดทวนคำที่เคยบอกกับมูคยอมเมื่อไม่นานมานี้ในใจ
ฟุตบอลที่เริ่มเล่มเพราะลุ่มหลงไปกับเงินสนับสนุนและอาหารว่าง กับชีวิตนักกีฬาที่วิ่งไล่ตามความเพ้อฝันซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นจริงเมื่อไร เพราะคำชี้แนะที่บอกว่าตัวเองมีความสามารถ แทนที่จะมองหาตำแหน่งงานที่ไม่น่าจะพอกินพอใช้ สู้ตั้งอกตั้งใจเล่นฟุตบอลแล้วตั้งเป้าว่าจะเป็นมืออาชีพเร็วๆ น่าจะดีกว่า
ผลลัพธ์ที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จซึ่งเคยขยับใกล้เข้ามา กลับหายวับไปราวกับฝันกลางวัน การตัดสินใจอย่างหนักแน่นตามความเป็นจริงต้องมาเป็นอันดับแรกสุด เขาจึงหันหลังให้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วตัดสินใจว่าจะเป็นโค้ชอย่างรวดเร็ว เพราะเขาไม่มีทั้งเงินและเวลามากพอที่จะยึดติดกับความเป็นไปได้อันน้อยนิด ในสถานการณ์ที่ต่อให้เขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ความเป็นไปได้ที่จะได้กลับไปทำอาชีพเดิมก็ต่ำมากเสียจนต่ำลงกว่านี้ไม่ได้แล้ว
สำหรับใครบางคน สนามหญ้าสีเขียวสดน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของความหลงใหล ความฝัน หรือความหวัง แต่สำหรับเขา มันคือความเป็นจริงที่เฉียบขาดเสมอมา มีแค่เขาคนเดียวหรือเปล่านะ บางทีคนที่มองพื้นที่สีเขียวนี้เป็นเวทีแห่งความฝัน อาจมีจำนวนน้อยกว่าคนที่ไม่ได้มองแบบนั้นก็ได้
มีใครคนหนึ่งโปรยผงระยิบระยับลงบนความเป็นจริงนั้น แล้วทำให้แต่ละวันอันแสนจืดชืด หอมหวานขึ้นมานิดหน่อย ชีวิตที่เขาไม่เคยจินตนาการมาก่อนและได้รับมาในตอนนี้ ก็เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายมอบให้ เพราะฉะนั้น ถ้าหากเสียสละตัวเองเพื่ออีกฝ่ายได้อีกสักหน่อยก็คงจะไม่มีอะไรเสียหาย
ขอโทษนะ ขอโทษ….. นึกถึงน้ำเสียงเศร้าหมองที่เคยได้ยินข้างหูตอนหมดสติไม่รู้ว่ามันถูกต้องหรือเปล่าแต่เหมือนว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้มันดีอยู่แล้ว ฮาจุนผลอยหลับไปพร้อมกับความคิด
ฮาจุนก้มลงมองข้อมือที่เคยถูกล็อกไว้ หวนนึกถึงความรู้สึกอันว้าวุ่นเมื่อสองคืนก่อน ความอึดอัดและความโกรธเคือง ความว่างเปล่าและความสับสน เขาจำได้กระทั่งความดีใจแปลกๆ ที่แหวกเข้ามาแทรกกลางความไม่พอใจที่ถูกกระทำเรื่องไม่ยุติธรรมใส่ ฮาจุนหลับตาลงนิ่งๆ แล้วลืมตากลับขึ้นมา ดวงตาของมูคยอมมืดมนและไม่ปรากฏความรู้สึกราวกับกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง
‘นายก็กังวลว่าจะเสียฉันไปเหมือนกันสินะ’
ฮาจุนคิดว่าความหึงหวงบ่อยๆ ของมูคยอม เป็นเหมือนกับความต้องการเป็นเจ้าของเพียงคนเดียว หรือไม่ก็ความต้องการครอบครองที่เกิดจากนิสัยดื้อดึงและการสร้างจินตนาการที่พรั่งพรู แต่มูคยอมเองก็จะเป็นเหมือนกันกับเขาไหมนะ ที่ยังคงรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาเป็นบางครั้งเวลาอยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย
ฮาจุนรู้สึกเขินอายกับความจริงที่ว่าตัวเองรู้สึกดีใจนิดๆ กับความกระวนกระวายของมูคยอม เช่นเดียวกับมูคยอมที่สาบานว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก เขาเองก็สาบานในใจว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกเหมือนกัน
เขาไม่มีอะไรเลย ต่างกับมูคยอมซึ่งเป็นเหมือนกับยักษ์ในตะเกียงวิเศษที่ทำอะไรก็ตามให้มีจริงขึ้นมาได้ด้วยการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว สิ่งที่เขาสามารถมอบให้อีกฝ่ายได้จึงมีไม่มาก มีเพียงตัวเปล่าๆ กับคำพูดน่าฟังเท่านั้น
เพราะอย่างนั้น เมื่ออีกฝ่ายต้องการ ไม่ว่าเมื่อไร เขาก็จะยื่นแขนทั้งสองข้างไปโอบกอด ถ้ามีคำที่เจ้าตัวอยากฟัง ถึงจะน่าอายนิดหน่อย แต่เขาก็จะพูดให้ฟังกี่ครั้งก็ได้
ถ้าพวกถ้อยคำหวานหรือคำสัญญาของเขามีค่า ฮาจุนก็จะพูดจนกว่าคำพูดของเขาจะเข้าไปเติมเต็มในร่างกายของอีกฝ่าย แล้วขับไล่ความสงสัยหรือความกังวลใจให้หมดไป รวมถึงระลอกคลื่นของเมื่อวันก่อนที่ซัดไล่เข้ามาจนถึงข้อเท้าเป็นบางครั้ง เขาจะพูดจนกว่าอีกฝ่ายจะไม่จ้องมองมาด้วยสีหน้าเหมือนสัตว์ร้ายที่ปรารถนาในตัวเขาอีกเป็นครั้งที่สอง
ถ้าทำแบบนั้นไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็คงจะไปถึง ที่ไหนสักแห่งที่ไม่มีอะไรไล่ตามพวกเขาทั้งสองคนอีกต่อไป