Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 143
“จะดูด้วยกันอีกใช่ไหม”
“…ดูก่อน”
“คราวหน้าลองทำให้ตรงตามผู้บรรยายตั้งแต่ต้นจนจบกันดีไหม”
“ฉันบอกให้เงียบแล้วนะ”
“ไม่งั้นก็มาเดิมพันกัน ถ้าทีมที่เชียร์ชนะก็ต้องฟังคำขอของคนนั้น”
ฮาจุนมีลางสังหรณ์เลวร้าย ว่าต่อให้ฝ่ายไหนชนะก็จะกลายเป็นผลดีต่อมูคยอมทั้งนั้น
มูคยอมคงจินตนาการสารพัดเรื่องอีกแล้ว ฮาจุนมองดวงตาของมูคยอมที่เหม่อลอยราวกับกำลังมองดูโลกใบอื่นที่ไหนสักแห่งอยู่ แล้วฮาจุนก็ครุ่นคิดอย่างจริงจังว่าควรต้องเปลี่ยนทีมที่เชียร์ตั้งแต่ฤดูกาลหน้าเป็นต้นไปจริงๆ หรือเปล่า
บ้านที่ดอกไลแลคผลิบาน
ศึกรอบชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกปีนี้ถูกจัดขึ้นที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส แม้เป็นช่วงกลางคืน แต่ด้านบนสุดของสนามกีฬาก็ถูกรอบล้อมไปด้วยหลอดไฟสีขาวจ้าอย่างยิ่งใหญ่ จึงสว่างไสวจนรู้สึกว่าท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ได้เห็นเมื่อเงยหน้าเป็นเหมือนกับอุปกรณ์จัดฉากปลอมบนเวที
ประเทศฝรั่งเศส สถานที่ที่เขาเกือบจะได้มาเยือนในฐานะนักกีฬา แต่สุดท้ายก็ได้มาเหยียบหลังแขวนสตั๊ด สำหรับฮาจุนแล้ว เขารู้สึกว่าการที่ที่นี่เป็นสนามแข่งรอบชิงชนะเลิศ เป็นเหมือนกับลางบอกเหตุดีๆ อะไรบางอย่างที่โชคชะตากำหนดให้
ฮาจุนรู้ว่าการที่เขายกเรื่องโชคชะตามาอ้างทั้งที่ไม่ได้จะลงแข่งด้วยตัวเองมันดูเหมือนคนโง่ แต่พอนึกย้อนไปย้อนมา จะด้วยวิธีไหนก็แล้วแต่ เขาก็ได้มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว เพราะอย่างนั้นจึงรู้สึกราวกับว่า ท้องฟ้ามอบความโชคดีและอนุญาตให้เขาได้จับตาดูชัยชนะอยู่ข้างๆ
ต่อให้เชื่อว่าจะชนะ ก็ใช่ว่าจะไม่ตื่นเต้น ไม่สิ ปกติแล้ว คนที่หวังพึ่งความเชื่อที่ไม่มีอะไรยืนยันได้แบบนี้ กลับยิ่งกังวลง่ายกว่าเสียอีก
เหล่านักกีฬาแต่ละคนเช็กสภาพร่างกายเป็นครั้งสุดท้าย หรือไม่ก็กำลังยืดเหยียดกล้ามเนื้อ หรือวิ่งอยู่กับที่เพื่ออบอุ่นร่างกาย มีนักกีฬาที่กำลังพูดหยอกล้อกันหรือไม่ก็ฟังเพลงอยู่ด้วย ฮาจุนสังเกตสถานการณ์เพียงเล็กน้อย พร้อมกับคิดว่าการที่ตัวเองประหม่าอย่างเห็นได้ชัดทั้งที่ไม่ใช่นักกีฬา ช่างน่าขำเสียจริง
ทว่าที่นี่ไม่ใช่ที่อื่นใด แต่เป็นเวทีแข่งขันรอบชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกเชียวนะ เวทีที่ต้องมีทั้งความสามารถและความโชคดีคอยค้ำจุนถึงจะก้าวขึ้นมาได้ พวกนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จในอาชีพพอสมควร บางคนก็เลิกเล่นฟุตบอลไปโดยที่ยังมาถึงตรงนี้ไม่ได้เลยสักครั้งในชีวิต แต่มูคยอมมาเหยียบที่นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว
ที่ที่ทำให้หัวใจเต้นรัวเพียงแค่ได้นั่งอยู่บนอัฒจันทร์ แต่เขากลับได้มาเข้าร่วมในฐานะสมาชิกทีมเลยเนี่ยนะ แม้มาถึงสถานที่จริงแล้ว ฮาจุนก็ยังงุนงงเพราะไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นความจริง
หลังฟังคำสั่งของผู้จัดการทีมอย่างรอบคอบแล้ว ฮาจุนก็ตรวจเช็กนักกีฬาอย่างยุ่งวุ่นวาย วันนี้เขาตั้งใจเช็กสภาพร่างกายนักกีฬาคนอื่นที่ไม่ใช่มูคยอมก่อน เวลาตื่นเต้นจนกระสับกระส่ายแบบตอนนี้ ฮาจุนไม่สบายใจเพราะกลัวว่าถ้ายืนอยู่ตรงหน้ามูคยอม อารมณ์ของอีกฝ่ายจะได้รับผลกระทบโดยไม่จำเป็นไปด้วย
เพราะตอนอยู่ต่อหน้านักกีฬาคนอื่น เขาสามารถแกล้งทำเป็นเฉยแล้วยิ้มอย่างนุ่มนวลได้ก็จริง แต่เขาไม่สามารถหลอกมูคยอมให้มองข้ามไปได้
“ตื่นเต้นเหรอ”
‘นั่นไง’
ทันทีที่มายืนตรงหน้ามูคยอม อีกฝ่ายก็กระตุกยิ้มพร้อมถามออกมาแบบนั้น ฮาจุนไม่ดันทุรังฝืนยิ้ม
“โทษที ฉันไม่ควรตื่นเต้นเลย…”
“ครั้งแรกก็ตื่นเต้นกันทุกคนแหละ จะนักกีฬาหรือสตาฟก็รู้สึกได้ทั้งนั้น”
มูคยอมพูดแบบนั้นพร้อมกับยิ้มอย่างสบายๆ ราวกับไม่ประหม่าเลยสักนิด ฮาจุนหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อยแล้วคุกเข่านั่งลง
เขาอยู่ในสถานะที่ไม่เหมาะจะเป็นฝ่ายเชียร์และเพิ่มกำลังใจให้มูคยอมก่อน บอกให้อีกฝ่ายสู้ๆ หรือไม่ก็บอกว่า ไม่ต้องเครียด แต่ไม่น่าเชื่อว่าตัวเขาในตอนนี้ดันรู้สึกอยากถูกกอดอยู่ในอ้อมอกกว้างของมูคยอม และอยากให้มือใหญ่คู่นั้นตบเขาปุๆ อย่างปลอบโยน อยากฟังถ้อยคำที่บอกว่าเชื่อมั่นในตัวเขา บอกว่าไม่ต้องกังวลและคอยเอาใจช่วยอยู่ ฮาจุนกัดเนื้อด้านในปากเบาๆ
ดูท่าว่าเขาคงเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ก็เพราะแบบนี้ เพราะเขาไม่มีความแน่วแน่ แถมยังหวั่นใจง่ายอีก
ฮาจุนตรวจดูสภาพข้อเท้า เข่า และกล้ามเนื้อขาด้านหลังของมูคยอม เสร็จแล้วก็จับมือกับอีกคนแล้วดึงร่างกายท่อนบนเพื่อช่วยยืดกล้ามเนื้อรอบสุดท้าย จากนั้นเมื่อลุกขึ้นยืน ฮาจุนก็ไม่มีงานอะไรต้องทำมากกว่านี้แล้ว
“สู้ๆ นะ คิมมูคยอม”
เมื่อพูดออกไปแบบนั้น ฮาจุนก็รู้สึกว่าจะต้องทำให้อีกฝ่ายยิ้ม ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม เขาจึงยกมุมปากขึ้น มูคยอมจ้องฮาจุนเขม็งโดยไม่ได้ตอบอะไร
และแล้ว ‘พรึ่บ’ แขนแข็งแกร่งที่ขยับเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วราวสายลมก็จับตัวของเขาดึงเข้าไปหา ฮาจุนกะพริบตาปริบๆ มูคยอมดึงเขาเข้าไปกอดอย่างไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากของอีกฝ่ายป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ หู เสียงที่ดังออกมาทุ้มต่ำ ทว่าฟังเหมือนกับเสียงเพลง
“ถ้าแข่งรอบชิงเสร็จแล้วได้ชูถ้วยรางวัลขึ้น”
“…”
“ก็จะรู้สึกดีจริงๆ ความรู้สึกเหมือนได้ครอบครองโลกทั้งใบก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละ ฉันไม่เคยเสพก็จริง แต่ยาเสพติดชนิดไหนก็คงให้ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มมากเท่านั้นไม่ได้”
มูคยอมคลายแขนออก ถึงแม้ว่าร่างกายจะถูกปล่อยเป็นอิสระแล้ว แต่ฮาจุนก็ยังไม่คิดที่จะผละตัวออกมา และทำเพียงแค่เงยหน้ามองอีกคนเท่านั้น
“วันนี้ฉันจะทำให้นายได้รับรู้ถึงความรู้สึกแบบนั้นให้ได้”
คำพูดนั้นทำให้ฮาจุนพยักหน้าราวกับถูกดึงให้คล้อยตาม มูคยอมพูดถึงขนาดนั้นแล้ว มันจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน
มูคยอมยิ้มกว้างขึ้นอีกหน่อย อีกฝ่ายจับมือของฮาจุนยกขึ้นมาแล้วประทับริมฝีปากลงตรงปลายนิ้ว
“…นายมองมาแบบนั้น ฉันเลยรู้สึกมีแรงขึ้นมาเลยจริงๆ”
เป็นการประทับริมฝีปากเพียงชั่วครู่ ก่อนที่ฮาจุนจะได้ครุ่นคิดตามคำพูดของอีกฝ่ายว่าสีหน้าของตัวเองเป็นอย่างไร เวลาที่ต้องออกไปก็ใกล้เข้ามาแล้ว เหล่านักกีฬายืนรวมกันเพื่อออกสู่สนาม ส่วนพวกสตาฟก็ยืนรวมกันเพื่อที่จะไปตรงม้านั่ง
ศึกชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกที่ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สงครามของเหล่าดาวเด่น’ สนามหญ้าที่มีแสงจากหลอดไฟสีขาวสาดส่อง ทอประกายสีเงินระยิบระยับราวกับเอาเศษผงของดวงดาวมาโปรยลงบนนั้นจริงๆ
* * *
หลังจบฤดูกาล กว่าจะถูกเรียกตัวเข้าร่วมทีมชาติเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเวิลด์คัพยังมีเวลาเหลืออยู่ก็จริง แต่มูคยอมกับฮาจุนก็ตัดสินใจว่าจะกลับประเทศกันเร็วหน่อย อย่างไรเสีย พวกเขาก็ได้หยุดพักร้อนช่วงฤดูร้อนหลังจบเวิลด์คัพอยู่แล้ว และคลาสเรียนภาษาของฮาจุนก็จบคอร์สไปแล้วด้วย เพราะอย่างนั้นตอนนี้จึงเป็นช่วงที่เหมาะจะหยุดพักผ่อนในระยะสั้น
ใช้เวลาอยู่ที่ลอนดอนก็ไม่เลวเหมือนกัน แต่ฮาจุนน่าจะคิดถึงครอบครัว ฮาจุนต้องคิดถึงแม่อยู่แล้ว แต่คงจะคิดถึงน้องๆ ที่รักมากเป็นพิเศษ ฮาจุนตั้งอกตั้งใจดูแลน้องๆ แล้วส่งทั้งสองคนเข้ามหาวิทยาลัยไปพร้อมกัน แล้วพอน้องๆ ได้กลายเป็นนักศึกษาเข้าจริงๆ ก็แทบจะไม่ได้เจอกันเลย ยิ่งไปกว่านั้น มินคยองยังได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยดังซึ่งนับเป็นหนึ่งในที่ที่ดีที่สุดด้วย
ถึงอย่างนั้น ฮาจุนก็ไม่ได้เป็นคนเอ่ยปากชวนให้กลับเกาหลีก่อน เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ พอถามไปว่ากลับเกาหลีเร็วหน่อยดีไหม ฮาจุนก็ปิดบังความรู้สึกดีใจเอาไว้ไม่มิด มูคยอมมองท่าทีของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกช้ำใจขึ้นมานิดหน่อย
เรื่องแค่นั้น บอกเขาอย่างสบายใจก็ได้แท้ๆ ต่อให้อีกฝ่ายยืนกรานว่า ‘คิมมูคยอม ไม่ว่ากำหนดการของนายจะเป็นยังไงก็ปรับให้ตรงกับฉันซะ’ เขาก็ไม่ว่าอะไรสักนิด
เมื่อไรอีฮาจุนจะมองเขาเป็นครอบครัวคนหนึ่งได้อย่างสบายใจสักทีนะ
“เรื่องนั้นน่ะเพื่อนรัก นายต้องทำให้คนอื่นสบายใจก่อน เขาถึงจะคิดอย่างสบายใจได้ไง”
จองคยูที่ไม่ได้เจอกันนานโต้กลับอย่างหยาบคายราวกับได้ยินเรื่องราวหยุมหยิมนั้นทั้งหมด
“นายกำลังบอกว่าฉันทำให้เขาไม่สบายใจหรือไง”
“นายน่ะ แบบว่า นายไม่ใช่คนที่จะทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจด้วยสักเท่าไรนี่นา ถามอย่างกับไม่รู้ตัว”
“นายก็รู้สึกไม่สบายใจกับฉันเหรอ”
“เออ มากๆ”
ถึงอย่างนั้น ไหนๆ ก็ได้มาเจอคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนกันมายาวนานทั้งที มูคยอมจึงยอมลดศักดิ์ศรีแล้วลองพูดอะไรคล้ายๆ กับการปรึกษาเรื่องกลุ้มใจไป แต่สรุปสุดท้ายก็ได้คำตอบอะไรกลับมาก็ไม่รู้
มูคยอมตั้งใจจะพูดอะไรสักคำกับอิมจองคยูที่หัวเราะออกจมูก แต่ก่อนที่จะได้ทำแบบนั้น ภรรยาของอีกคนก็เดินเข้ามา
“สวัสดีค่ะ นักกีฬาคิมมูคยอม รู้สึกว่าเพิ่งจะได้เจอกันครั้งแรกหลังจากที่เจอกันเมื่องานแต่งงานนะคะ”
“สวัสดีครับ”
แขนของเธอกำลังโอบกอดเด็กคนหนึ่งอยู่ เด็กน้อยส่งสายตามองมาทางมูคยอมอย่างแจ่มชัดพร้อมกับก้มหัวให้ ราวกับไม่ได้กลัวคนแปลกหน้าสักเท่าไร จากนั้นก็พูดทักทายด้วยเสียงดังฟังชัดพอๆ กับสายตา ทว่าการออกเสียงยังไม่ชัดเจนนัก
“ชาหวัดดีค่ะ”
“…หวัดดี”
เด็กน้อยรับคำทักทายของมูคยอมด้วยท่าทีนิ่งเฉย จากนั้นก็ส่งสายตาจ้องมองมาอย่างชัดเจนอีกครั้งพร้อมกับยื่นมือมาหาเขา มูคยอมมองเด็กน้อยด้วยใบหน้าเกร็งๆ พร้อมกับทำเพียงแค่กะพริบตา ภรรยาของจองคยูหัวเราะแล้วกระชับตัวลูกสาวกอดให้แนบชิดขึ้น
“ฮีมังชอบผู้ชายหน้าตาดีน่ะค่ะ… ดูเหมือนจะชอบนักกีฬาคิมมูคยอมซะแล้ว”
“โธ่ ฮีมัง ผู้ชายแบบนี้ห้ามชอบเด็ดขาด มีดีแค่หน้าตาเท่านั้นแหละ นิสัยเนี่ยแย่มากๆ เลย”
“พูดแค่ประโยคแรกก็พอแล้วมั้ง เฮอะ”
จองคยูไม่แม้แต่จะตอบแล้วสบตากับภรรยา
“คุณยอนซู ไม่หนักเหรอครับ เปลี่ยนกันไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณไม่ได้เจอเพื่อนตั้งนาน อยู่ตรงนี้แหละ ถ้าเหนื่อย ฉันแค่วางลูกลงก็ได้”
ตัวอิมจองคยูพาภรรยากับลูกมาด้วย เพราะอย่างนั้นจึงดูมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมาทันตา มูคยอมรู้สึกขัดตาจึงมองหาคนของตัวเองเช่นกัน
ฮาจุนเล่นกับเด็กน้อยแล้วทำน้ำผลไม้หกจึงไปล้างมือ แล้วก็เพิ่งกลับเข้ามาในโถงพอดี มูคยอมกวักมือเรียก
“โค้ชอี มานี่เร็ว”
“ทำไม มีอะไรเหรอ”
“อิมจองคยูแกล้งฉัน”
เมื่อแกล้งทำเป็นขมวดคิ้วพร้อมทำหน้าเบ้ ฮาจุนที่เดินเข้ามาใกล้โต๊ะก็วางมือลงบนไหล่ของมูคยอม จากนั้นก็แกล้งทำเป็นพูดขู่จองคยู
“ทำไมนายต้องแกล้งมูคยอมด้วย”
คำพูดนั้นทำให้จองคยูอ้าปากค้าง เมื่อถูกฮาจุนต่อว่า จองคยูก็เขม้นมองมูคยอมราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง
คราวนี้มูคยอมแค่นหัวเราะออกจมูก เขารู้สึกมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ว่าอิมจองคยูจะต้องวาดภาพในหัวว่าอีฮาจุนผู้จิตใจดีและใสซื่อ ใช้ชีวิตโดยถูกคิมมูคยอมจูงจมูกแบบผิดๆ อย่างแน่นอน
…แน่นอนว่าถึงจะไม่ได้ผิดหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คนที่สารภาพว่าชอบก่อนก็คืออีฮาจุน และคนที่รุกเขาครึ่งทางก่อนเพราะอยากใช้เวลาตอนกลางคืนร่วมกันก็คืออีฮาจุน นั่นเป็นเพราะเขาไม่ยอมรับหัวใจของตัวเองในทันทีแล้วทำตัววกไปวนมา ถ้าเขาตอบตกลงคำสารภาพรักของอีกฝ่ายด้วยดี หากดูตามความเป็นจริง ก็คงต้องมองว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ฮาจุนเป็นฝ่ายนำจนลงเอยกันได้
‘คุณแฟนของฉันทั้งน่ารัก ทั้งไร้เดียงสา น่าเอ็นดู แถมยังฉลาดล้ำลึก แล้วก็ไม่กลัวอะไรเลยด้วย’
มูคยอมกำลังคิดอย่างปลื้มปริ่มในใจ แล้วฮาจุนก็นั่งลงตรงที่นั่งข้างๆ พลางถามขึ้น
“ฮีมังล่ะ”
“อยู่กับคุณยอนซู”
มูคยอมมองแม่กับลูกสาวที่นั่งคุยกันอยู่ตรงโต๊ะตัวอื่นด้วยสายตาไร้ความรู้สึก เด็กน้อยอยู่ในชุดกระโปรงตัวสวยที่ดูคล้ายกับชุดเดรส
วันนี้เป็นวันเกิดครบสองขวบของฮีมัง ลูกสาวของอิมจองคยู กลับเกาหลีมาได้ไม่กี่วันก็ตรงกับวันเกิดของฮีมังพอดี ทั้งสองคนจึงมาฉลองวันเกิดของเด็กน้อยในวันนี้
เห็นว่าช่วงนี้มีหลายคนที่ไม่จัดงานทลจันชี แต่อิมจองคยูผู้ชอบโอ้อวดลูกสาวเป็นพิเศษ กลับจัดกระทั่งปาร์ตี้วันเกิดครบสองขวบแล้วคุยโวจนทำให้คนรอบข้างรำคาญ เมื่อฮาจุนนั่งลงที่โต๊ะ จองคยูจึงเทเบียร์ใส่แก้วเปล่าทีละแก้วซึ่งวางอยู่ตรงหน้าของแต่ละคน
“ขอบใจที่มานะ ยังไงก็เถอะ เพราะนายแท้ๆ เลยฮาจุน คิมมูคยอมถึงเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง จนถึงตอนนี้ ไอ้หมอนี่ไม่เคยมาหาฮีมังของฉันเลยสักครั้ง เมื่อปีที่แล้ว สุดท้ายก็ไม่มาแล้วไปเฉยเลย”
“นายเป็นแบบนี้ฉันเลยไม่มาไง มาแล้วก็ไม่ได้ยินอะไรน่าฟังแล้วจะมาหาเพื่ออะไร”
“ครับผมๆ ผมซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งที่ท่านมาเยี่ยมเยียนสถานที่โกโรโกโสแบบนี้ ท่านชายคิมมูคยอมผู้โด่งดังระดับโลก”
‘เคร้ง’ แก้วเบียร์ชนกันเบาๆ คนทั้งสามที่ไม่เจอกันมานาน หยุดถกเถียงกันแล้วพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
เมื่อปาร์ตี้วันเกิดจบลง ทั้งสามก็ย้ายที่ไปที่บาร์ที่อยู่ในโรงแรมเดียวกัน ตอนแยกกันกับจองคยูแล้วออกมาจากโรงแรมก็เข้าสู่ช่วงดึกและท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว พวกเขาขับรถไม่ได้เพราะดื่มเหล้ามากันทั้งคู่ จึงเรียกบริการคนขับรถแทนแล้วขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังรถเคียงข้างกัน มูคยอมบิดขี้เกียจ
“ไม่ได้มางานแบบนี้ตั้งนาน เหนื่อยเหมือนกันนะ”
“ขอบใจนะ ที่มาด้วยกัน”
คำพูดของฮาจุนทำให้มูคยอมขมวดคิ้วครู่หนึ่งพลางหัวเราะ
“เรื่องแค่นี้ไม่ต้องขอบคุณก็ได้”
“ยังไงก็เถอะ… ฉันอยากมา นายเลยมาด้วยกันนี่”
“เดิมทีก็ควรต้องมางานนี้อยู่แล้ว แต่ฉันเลื่อนไปเรื่อยเอง”
ปีนี้ก็คิดไว้ว่าจะส่งเงินแสดงความยินดีไปให้ตามสมควรแล้วเบี้ยวไม่ไปงาน แต่สำหรับฮาจุนที่ไปหาและเล่นกับเด็กน้อยบ้างเป็นครั้งคราวตอนอยู่โซล ปาร์ตี้วันเกิดของฮีมังคืองานที่ต้องไปร่วมให้ได้
เมื่อมูคยอมทำท่าอิดออดราวกับไม่ค่อยอยากไปเท่าไร ฮาจุนจึงบอกว่าจะไปคนเดียว แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยให้ไปคนเดียวอีกนั่นแหละ วันนี้จึงมาด้วยกันจนได้
ถึงอย่างนั้น ในช่วงที่ไม่ได้เจอหน้ากัน ลูกสาวของจองคยูก็โตขึ้นมาก เดินคนเดียวได้ แถมยังพูดได้แล้ว ด้วย มูคยอมเคยจินตนาการภาพสมัยเป็นเด็กแรกเกิด แต่ช่วงเวลานั้นก็ผ่านไปอย่างว่องไว ตอนนี้ถึงแม้เด็กน้อยจะเข้ามาใกล้ เขาก็ไม่ได้รู้สึกต่อต้านเท่าเดิม
“ฉันไม่รู้ว่านายไม่ชอบเด็ก นายไปร่วมพวกอีเวนต์ที่จัดขึ้นเพื่อเด็กๆ เป็นบางครั้งนี่นา”
“ถ้าเด็กโตพอที่จะมางานแบบนั้นได้ก็โอเคน่ะ เพราะปกติต้องอายุสักห้าขวบถึงจะมาอีเวนต์ฟุตบอลได้”
มูคยอมเอนตัว เอาหัวพิงไหล่ฮาจุน สัมผัสจากมือของฮาจุนที่ลูบหัวเขาทำให้รู้สึกดี
“เด็กตัวเล็กเกินไป ฉันก็เลยกลัว”
“…”
“ถ้าแตะต้องผิดแค่นิดเดียวก็เหมือนจะบาดเจ็บได้ตลอดเลย ไม่ชอบลูกหมาหรือลูกแมวตัวเล็กๆ ด้วย”
“ถ้ากอดอย่างระวังหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก”
มูคยอมหลับตาลง เสียงแผ่วเบาของฮาจุนวนเวียนอยู่รอบหู
“ฉันกับน้องอายุห่างกันมากใช่ไหมล่ะ ตอนพวกเขาเกิด ฉันก็อายุเจ็ดขวบแล้ว”
“อื้อ”
“ตอนเด็กๆ มินคยองงอแงหนักมาก ไม่ยอมนอนแล้วร้องไห้ทั้งคืนจนแม่ลำบากสุดๆ เลย”
“เป็นเด็กดื้อสินะ”
“พ่อกับแม่สลับกันไปปลอบ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็มาปลุกฉัน ปกติก็สักตีสี่ตีห้าได้… พ่อกับแม่ปลอบแล้วปลอบอีก แล้วน้องก็ยังไม่เลิกร้อง พอถึงช่วงราวๆ เช้ามืดก็เลยต้องปลุกฉันน่ะ”
มูคยอมเงยหน้า
“ทำไมต้องปลุกนายล่ะ”
“แปลกมากที่มินคยองจะหยุดร้องแบบหยุดกึกเลยถ้าฉันกอด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม จะถามเด็กแรกเกิดก็ไม่ได้ มินคยองตอนนี้ก็คงจำเรื่องนั้นไม่ได้ด้วยแน่ๆ”
“…”
“ตอนนั้นฉันก็ยังเด็ก คงจะไม่ชอบถูกปลุกให้มาปลอบน้องตอนเช้ามืดเหมือนกัน แต่ฉันไม่รู้สึกลำบากเลย เพราะถึงน้องจะร้องไห้แงๆ ไม่หยุด แต่แค่ถูกฉันกอดเท่านั้นแหละ ก็จะหยุดทันควัน ฉันแปลกใจมาก แล้วก็รู้สึกว่าน่ารักดี”
ฮาจุนพูดแบบนั้นแล้วยิ้มเขินๆ
“ที่ฉันอยากจะพูดก็คือ ต่อให้นายจับเด็กเล็กแบบเก้ๆ กังๆ เด็กก็ไม่ได้บาดเจ็บง่ายขนาดนั้นหรอก”
มูคยอมกะพริบตาปริบๆ แล้วพิงหน้ากับหัวไหล่ของฮาจุนอีกครั้ง ไม่สิ คราวนี้เอนตัวลงไปอีกหน่อยแล้วตะแคงตัวซบหน้าลงกับตักของฮาจุนด้วย
“กอดฉันด้วยสิ”
ฮาจุนหัวเราะพร้อมกับก้มตัวลง โอบแขนรอบร่างกายท่อนบนของมูคยอมซึ่งแทบจะนอนลงไปทั้งตัวแล้วลูบหัว
“ฤดูกาลนี้ก็ทำได้ดีมากจริงๆ คิมมูคยอม”
“ผิดแล้ว”
“ฤดูกาลนี้ก็ทำได้ดีมากจริงๆ มูคยอม”
คำพูดนั้นทำให้มูคยอมหันมานอนหงายหน้า รอยยิ้มพอใจและสบายใจทาบทับบนใบหน้าของเขา
“ทั้งหมดเป็นเพราะแรงสนับสนุนและคำแนะนำของโค้ชอีฮาจุนครับผม”
“ไม่หรอกครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ”
“ถ้าไม่มีโค้ชอี ขาผมคงไม่มีแรงจนเตะบอลอย่างเต็มที่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น…”
ในตอนนั้น ‘ก๊อกๆ’ ใครบางคนก็เคาะประตูรถ ทำให้คำพูดของมูคยอมถูกตัดบทไป ใครคนนั้นถามเสียงดังจากด้านนอก
“สวัสดีครับ เรียกบริการขับรถแทนหรือเปล่าครับ”
“ใช่แล้วครับ”
ฮาจุนตอบแล้วกระแอมฮึ่มฮั่ม ตีหน้ามูคยอมเบาๆ เป็นความหมายว่าเร่งให้เขารีบลุกขึ้น มูคยอมดันตัวขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ เมื่อปลดล็อกรถ คนขับรถก็ขึ้นมาตรงที่นั่งคนขับ
“เห็นว่าไม่รับโทรศัพท์ ผมเลยเสียมารยาทเคาะประตูไปน่ะครับ”
“ขอโทษด้วยครับ พวกผมมัวแต่คุยกันก็เลยน่าจะไม่ทันเห็นว่ามีคนโทรมา”
“ถ้างั้นออกรถแล้วนะครับ”
ทั้งสองคนนั่งเรียงข้างกันตรงเบาะหลังอย่างเรียบร้อยแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ฮาจุนกะพริบตาไปเรื่อยๆ ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองโซลอันแสนคุ้นเคยที่ได้เห็นในรอบหลายเดือน ทำให้ฮาจุนรู้สึกสบายตา
รู้สึกได้ว่ามือใหญ่ๆ ทับลงมาบนมือที่วางอยู่กับเบาะแล้วสอดประสานนิ้ว มือของคนทั้งสองแนบสนิทกันในที่ที่กระจกมองหลังส่องสะท้อนไม่ถึง