Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 155
ในชั่วขณะหนึ่ง มูคยอมซึ่งนั่งเอนตัวอยู่ด้านล่างเองก็ส่งเสียงครวญครางออกมายาวๆ จากนั้นฮาจุนก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของท่อนเนื้อที่ล่วงล้ำด้านในร่างกายของตัวเอง และอุณหภูมิที่ถ่ายเทออกมาอย่างร้อนรุ่ม เนื้อเยื่อที่ไวต่อสิ่งเร้าเปียกลื่นเพราะของเหลวที่มูคยอมขับออกมา
ฮาจุนซึมซับความรู้สึกจากการปลดปล่อยของมูคยอมในร่างกาย แล้วไปถึงจุดสุดยอดแผ่วเบาอีกรอบหนึ่งเช่นทุกครั้ง เอวที่ถูกจับไว้ในอุ้งมือใหญ่กับต้นขาที่อ้าคร่อมร่างกายของมูคยอมกระตุกเกร็งถี่รัว แล้วด้านในก็บีบรัดตัวอย่างรวดเร็วโดยอัตโนมัติ
“อา ฮาจุน… รู้สึกดีมาก ฮู่ววว ดีเป็นบ้าเลย”
“ฮ้าาา อื๊อ ฮื่อออ ฉัน ด้วย อ๊าาา… ดีจัง อ๊า ดี…!”
ราวกับว่ามีปฏิกิริยาตอบสนองแม้กระทั่งกับเสียงของมูคยอมด้วย ฮาจุนจึงทำท่าจะร้องไห้พร้อมทั้งโค้งร่างกายท่อนบนลง เขาสูญเสียการทรงตัวโดยสมบูรณ์แล้วเอนตัวทิ้งลงด้านหน้า
ร่างกายท่อนบนชื้นเหงื่อของทั้งคู่แนบชิด การเต้นของชีพจรที่ส่งผ่านออกมาทางผิวกลายเปลือยเปล่าของคนทั้งสอง ดังประสานกันเป็นหนึ่ง มูคยอมเล็มเลียริมฝีปากของฮาจุนที่เอนตัวลงบนร่างของตัวเองราวกับจะดับกระหาย ภายในปากของทั้งสองคนเร่าร้อนขึ้น ลิ้นที่มีกลิ่นอายหอมหวานเกี่ยวกระหวัดกันอย่างดูดดื่ม
แม้กำลังบดจูบกันอยู่ แต่แกนกายที่ฝังคาไว้ในจุดลึกก็ยังกดสอดในร่างกายที่ถูกจุดสุดยอดอันเนิ่นนานก่อกวน เป็นการคลอเคลียหลังจบบทรักที่ปลอบประโลมฮาจุน โดยดุนดันเนื้ออ่อนนุ่มที่อยู่ลึกด้านในเบาๆ แล้วลากไล้อย่างเชื่องช้า ต่างกับตอนที่ตอกเข้ามาอย่างดุดัน เมื่อส่วนที่เคยเติมเต็มในท้องจนรู้สึกร้อมรุ่ม ไถลออกไปด้านหลังเป็นทาง ฮาจุนก็พรูลมหายใจสั่นระรัวออกมาจากปาก
“ฮึก… อึก ฮ้าาา ฮึก อื๊อ…!”
ร่างอ่อนปวกเปียกถูกกอดไว้ในอ้อมอกแข็งแกร่ง กลิ่นอายความหอมหวานจางๆ ตลบอบอวลอยู่ในเสียงครางหวิวของฮาจุน ฮาจุนบดถูแกนกายของตัวเองลงกับหน้าท้องแข็งๆ ส่วนแก้มขาวเห่อร้อนก็ถูไถตรงแถวๆ ลำคอของมูคยอม เขาต้านทานความสุขสมเอาไว้ไม่ได้แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลแหมะ ถึงแม้ว่าจะถูกนำพามาถึงฝั่งฝันอย่างอ่อนโยนไม่น้อย แต่ร่างกายที่ไปถึงปลายทางอย่างต่อเนื่องสองสามครั้งก็ไม่สามารถหยุดยั้งอาการกระตุกเกร็งที่เกิดจากความรู้สึกคั่งค้างนั้นได้เลย
มูคยอมทอดสายตามองคนรักที่ร้องไห้พร้อมกับหายใจหอบราวกับถูกสะกดจิต เขาพรูลมหายใจที่เจือปนไปด้วยความอดกลั้นในระดับที่เกินความสามารถ ร่างกายที่ดำดิ่งในความสุขซาบซ่านกำลังร้องขอให้ขยับต่อไป แกนกายตั้งผงาดยิ่งขึ้นและต้องการปลดปล่อยรอบที่สอง พร้อมกับกระดิกตัวอยู่ในช่องทางที่ตอดแน่นของฮาจุน
ทว่ามูคยอมกลับเพิกเฉยต่อการเร่งเร้าของสัญชาตญาณและผ่อนลมหายใจให้สม่ำเสมอ ไม่ว่าอีกกี่ครั้ง เขาก็สามารถทำได้ เขาจะเติมเต็มร่างกายของฮาจุนด้วยน้ำรัก ตอกกายเข้าไปในช่องทางเฉอะแฉะ ทำให้มันเปียกชุ่มอีกครั้งแล้วสอดทะลวงเข้าไปอีกรอบ…
ยังมีเวลาอยู่เยอะ ฮาจุนบอกว่าจะมอบวันนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืนให้เขา เพราะฉะนั้นจึงไม่มีเหตุผลให้ต้องรีบร้อนเหมือนคนถูกตามไล่ อีกเดี๋ยวก็ถึงเวลามื้อเที่ยง ไปอาบน้ำในห้องน้ำพร้อมกับทำรอบสอง หลังจากนั้นค่อยกินข้าวกันก็น่าจะดี
“ทีนี้ไปอาบน้ำกันไหม”
“อือ…”
น้ำเสียงแยกไม่ออกว่าเป็นเสียงร้องไห้หรือคำตอบ มูคยอมกอดร่างของฮาจุนที่พิงตัวเขาไว้เต็มอ้อมแขน เขาลูบไล้ผิวกายของอีกคนโดยไม่ตกหล่นไปแม้แต่จุดเดียว ราวกับตั้งใจจะเติมเต็มในส่วนของฮาจุนที่สัมผัสเขาไม่ได้เพราะมือถูกมัดด้วย
ทำไมเวลาคนรักผู้เข้มแข็งอ่อนแอลงถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ มูคยอมเสพติดภาพตอนที่รอยยิ้มเรียบร้อยๆ นั้นบูดเบี้ยวพร้อมเบะออกเหมือนจะร้องไห้ แน่นอนว่าเหตุผลที่เขาอยากรังแกอีกฝ่ายบ่อยๆ ก็เป็นเพราะแบบนั้น มูคยอมไม่สามารถทำอะไรกับความสงสารที่ซึมออกมาจากหัวใจราวกับความเปียกชื้นได้ จากนั้นจึงออกแรงกระชับอีกฝ่ายในอ้อมแขนอีกครั้งแล้วประทับริมฝีปากลงบนศีรษะพลางกระซิบ
“รักนะ ฉันรักนาย อีฮาจุน รักที่สุดในโลกเลย”
“อื้อ… ฉัน…”
‘ฉันก็รักนาย’ บางทีฮาจุนน่าจะตอบมาแบบนั้น แต่คำพูดของอีกฝ่ายกลับแผ่วเบาแล้วขาดหายไป
ความเงียบปลุกคลุมยาวนานขึ้น มูคยอมยกยิ้มแล้วรอคอยคำพูดหลังจากนั้นของอีกคน แต่แล้วก็ก้มลงมองกระหม่อมของฮาจุนด้วยแววตาแปลกใจขึ้นเรื่อยๆ
อีกฝ่ายสูดหายใจหอบกระชั้นพร้อมกับกำลังมุดใบหน้าลงแถวๆ หัวไหล่ของมูคยอม การหายใจยังไม่สงบลง ซ้ำยังหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วสะเทือนมาจนถึงหัวไหล่กับหน้าอกที่แนบติดกัน ในตอนนั้น มูคยอมถึงได้ตื่นตกใจแล้วโอบตัวฮาจุนให้ลุกขึ้น แกนกายที่ฝังไว้ในตัวของอีกคนจนถึงตอนนั้นก็พลอยหลุดออกไปด้วย
“อา ปล่อยฉัน…”
ฮาจุนทำอะไรไม่ถูกแล้วตั้งใจจะปิดบังใบหน้าของตัวเอง แต่มือที่ถูกมัดไว้ก็ไม่ได้ยกขึ้นจนปกปิดใบหน้าของอีกฝ่ายทั้งใบได้ เมื่อมือยกไม่ขึ้น คราวนี้ฮาจุนจึงก้มใบหน้าเปรอะน้ำตาลงอย่างเอาเป็นเอาตาย
มูคยอมขมวดคิ้ว คนรักของเขาน้ำตาไหลให้เห็นแทบจะทุกครั้งเวลาทำกิจกรรมบนเตียง แต่มูคยอมแบ่งแยกน้ำตาที่ไหลเพราะรู้สึกดี กับน้ำตาที่ไม่ได้ไหลเพราะแบบนั้นได้อย่างฉับไว เขากุมแก้มทั้งสองข้างของใบหน้าที่ก้มลงด้านล่างแล้วจับเงยขึ้น
“เป็นอะไร”
“รู้สึกดีน่ะ…”
“โกหก ฉันแยกออกนะตอนที่นายร้องไห้เพราะรู้สึกกับไม่ได้รู้สึกน่ะ ถ้าไม่พูดก็ไม่ปล่อย”
มูคยอมแย้งกลับด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดโดยไม่ทิ้งระยะห่างแม้ช่วงสั้นๆ พวกเขามีเซ็กส์แบบรู้สึกดีจนถึงขีดสุดกันเสร็จ แล้ว จู่ๆ อีกคนก็เริ่มร้องไห้ มูคยอมไม่เข้าทิศทางความคิดของอีกคนเลยแม้แต่น้อย
คงรู้สึกได้ถึงท่าทีที่จะไม่ยอมถอยให้ง่ายๆ ฮาจุนจึงทอดสายตาไปตรงใต้คางของมูคยอมแค่จุดเดียว แทนที่จะพูดอ้างเรื่องอื่นๆ ฮาจุนนิ่งเงียบพร้อมทำสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นจึงค่อยๆ กลอกตาฉ่ำน้ำมาสบตากับมูคยอม
“ก็นายบอกว่าอยากทำแบบมัดฉันไว้… บอกว่าอยากทำแบบนั้นมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว”
“อือ”
“ฉันคิดว่านายตั้งใจจะทำเหมือนที่เคยทำที่ลอนดอน ฉันคิดว่านายชอบอะไรแบบนั้นมาจนถึงตอนนี้…”
“…”
“แต่ว่าไม่ใช่… อืม… ฉันไม่รู้ว่าควรต้องอธิบายว่าอะไร มันไม่ใช่เรื่องที่น่าร้องไห้แบบนี้หรอก แต่วันนี้ฉันรู้สึกดีมากก็เลย… คงจะนึกถึงน่ะ”
ใบหน้าของมูคยอมแข็งทื่อและไร้ซึ่งความรู้สึก ฮาจุนพูดอย่างสงบราวกับอดทนไว้อย่างเต็มที่ แต่ความรู้สึกคงล้นทะลักออกมา น้ำตาของฮาจุนจึงไม่หยุดลงโดยง่าย อีกฝ่ายเอาแต่ทำท่าจะยกมือที่ปกปิดใบหน้าไม่ได้ขึ้นมาพร้อมกับพูดต่อไปเรื่อยๆ
“ขอโทษนะ ฉันไม่ควรเป็นแบบนี้เพราะเรื่องที่ผ่านมาพักใหญ่แล้วเลย…”
“…อะไรนะ นายบอกขอโทษไม่ได้สิ เรื่องตอนนั้นเป็นความผิดของฉันร้อยเปอร์เซ็นต์เลยไง นี่เป็นเพราะว่านึกถึงเมื่อตอนนั้นเหรอ”
มูคยอมที่เคยงงงวยอยู่ ได้สติขึ้นมาฉับพลันแล้วจับข้อมือของฮาจุนพร้อมพูดตอบ ฮาจุนทอดสายตามองมือที่จับตัวเองไว้พร้อมกับหลุบตาลงด้วยสีหน้าสับสนเพราะไม่รู้ว่าต้องพูดเรื่องอะไรก่อน
และแล้วหลังจากเงียบกันไป ฮาจุนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ ราวกับคนสารภาพผิด
“คิมมูคยอม…”
“อือ”
“ตอนนั้นฉัน… กลัวนิดหน่อย”
คำสารภาพอันกะทันหันของฮาจุน ทำให้คิ้วของมูคยอมขมวดเข้าหากันราวกับหน้าเสียแต่ก็เพียงแวบเดียวแทบมองไม่เห็น ฮาจุนมองเห็นจิตใจอันกระสับกระส่ายฉายชัดผ่านใบหน้าของมูคยอม จึงปิดปากเงียบไปพลางกลืนน้ำลาย
ทว่ามูคยอมกลับไม่หยุดอยู่แค่ตรงนั้น เขาถามต่อราวกับความคิดเดินทางไปจนถึงเรื่องใหม่
“อะไรอีก”
“หือ…”
“แค่ตอนนั้นเหรอ ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นครั้งไหนอีกเหรอ”
ฮาจุนกระอึกกระอักราวกับคนโดนจี้จุดอ่อน
มูคยอมมองดูท่าทีของอีกคนซึ่งตอบว่า ‘มีแค่ตอนนั้น’ ไม่ได้ในทันทีด้วยดวงตาเหม่อลอย ริมฝีปากพะงาบๆ ราวกับลังเล จากนั้นจึงพูดขึ้น
“ตอนอยู่โซล นายโกรธ… แล้วจู่ๆ ก็ชวนทำในห้องประชุมสโมสร ตอนนั้นก็นิดหน่อย”
“…”
ฮาจุนพูดจบแล้วใบหน้าค่อยๆ แดงเรื่อ อีกคนทำท่าจะซ่อนใบหน้าไว้ตรงกลางแขนอีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจยาวออกมา
“อ่า นี่มันเป็นเรื่องเมื่อนานมากแล้วจริงๆ ฉันทำตัวน่าอายเกินไปใช่ไหม”
“น่าอายงั้นเหรอ อะไรที่น่าอาย”
มูคยอมแก้ปมที่ผูกมัดข้อมือขาวไว้ออกหมดอย่างรวดเร็ว ปมแน่นหนาที่เหมือนจะไม่คลายออกเลยถ้าเอาแต่ใช้แรงกระชาก กลับหลุดลุ่ยออกอย่างง่ายดายกว่าที่คิดตรงระหว่างนิ้วเรียวยาว
ฮาจุนก้มลงมองมือที่เป็นอิสระพร้อมกับหมุนข้อมือสองสามครั้ง ไม่มีจุดที่ชาเพราะเลือดไม่ไหลเวียนหรือจุดที่รู้สึกเจ็บเลย ฮาจุนเหลือบตาที่น้ำตาแห้งไปแล้วในระหว่างนั้นขึ้นมองตรงๆ แล้วถามมูคยอม
“จะพอแล้วเหรอ…”
“สัตว์ก็ไม่ใช่ คุยเรื่องแบบนี้แล้วจะทำต่อได้ยังไง”
“ขอโทษนะ ฉันทำลายบรรยากาศหมดเลย”
“ไม่สิ ฉันไม่ได้จะโทษนาย พวกเรา… ควรต้องคุยกันอีกหน่อยไม่ใช่เหรอ”
มูคยอมไม่คิดว่าฮาจุนจะเก็บเรื่องในตอนนั้นเอาไว้ในใจมาจนถึงตอนนี้ อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ที่ลอนดอนแต่รวมกระทั่งเรื่องตอนอยู่ที่โซลด้วย
เขานี่โง่จริง ทั้งที่รู้ว่าถ้าเป็นเรื่องคิมมูคยอม อีกฝ่ายจะจดจำอย่างละเอียดและเก็บรักษาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ความรักที่เขามอบให้ แต่รวมถึงบาดแผลและความรู้สึกด้านลบต่างๆ ทั้งหมดเลย
ถึงขั้นบอกว่ากลัวเลยนะ ถ้าอย่างนั้นจะคุยกันแค่สองคนได้ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าต้องรับการปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญหรือเปล่า ในระหว่างที่มูคยอมสับสนวุ่นวายขึ้นมาและความคิดของเขากำลังแตกระแหงออกไปอย่างรวดเร็ว ฮาจุนก็ส่ายหน้า
“ฉันก็พูดเรื่องที่จะพูดหมดแล้วนะ”
“…ทำไมตอนนั้นถึงไม่บอก ทำไมทำเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรเลยล่ะ”
“เรื่องที่โซล… ก็รู้สึกแบบนั้นแค่ตอนแรกแหละ แป๊บเดียวก็ดีขึ้นแล้ว ตอนนั้นจู่ๆ นายก็บอกให้ถอดเสื้อผ้าออกก่อนในทันทีเลยไม่ใช่เหรอ ฉันก็เลยตกใจเพราะนายทำตัวเหมือนไม่ใช่ตัวนาย แต่พอทำแล้วก็… ไม่ค่อยต่างกับปกติสักเท่าไรน่ะ”
“…”
“แล้วตอนนั้นฉันก็แสดงออกว่าโกรธนายเท่าที่ฉันโกรธแล้วนี่”
ฮาจุนหัวเราะแก้เก้อ แต่มูคยอมไม่ขำเลย เพราะจนถึงตอนนี้ มูคยอมไม่เคยแม้แต่จะคิดเลยว่าตอนนั้นฮาจุนจะรู้สึกหวาดกลัว ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเกิดความรู้สึกอย่างอื่นที่ไม่ใช่ความโกรธหรือความเหยียดหยาม จากประสบการณ์ทางร่างกายที่เขาบีบบังคับให้อีกคนได้รับเพราะอยากให้ตัดใจจากเขา
“แล้วก็คราวก่อน…”
ฮาจุนเงียบไปด้วยท่าทีกลัดกลุ้มแทนที่จะพูดต่อ มูคยอมเหยียบจิตใจอันร้อนรนไว้แน่นแล้วอดทนที่จะไม่เร่งเร้า แต่แล้วฮาจุนก็ส่ายหน้าแล้วร้องขอเขา
“มูคยอม ฉันคอแห้ง เอาน้ำมาให้หน่อยได้ไหม”
“หา? อือ ได้สิ”
มูคยอมพยักหน้าแล้วรีบไปเอาน้ำเย็นหนึ่งแก้วมาจากในครัว ฮาจุนนั่งตัวตรงบนโซฟาแล้วดื่มมันสองสามอึก จากนั้นก็พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาราวกับดื่มเหล้า ดื่มเสร็จแล้วอีกคนก็พูดเรื่องอื่นอีก
“ฉันอยากอาบน้ำหน่อยๆ แล้ว ตัวเหนียวหนึบไปหมดเลย”
“…เอางั้นไหมล่ะ”
มูคยอมสงสัยว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อจากคำว่า ‘คราวก่อน’ จนแทบบ้า แต่คราวนี้เขาก็อดทนอย่างเต็มที่แล้วจับมือฮาจุนให้ลุกขึ้น ในขณะที่อาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ ฮาจุนก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา
ทั้งสองคนทำความสะอาบคราบน้ำรัก เหงื่อไคล และร่องรอยของความสุขสมที่มีอยู่เต็มทั่วตัวจนกระทั่งเมื่อครู่นี้อย่างสะอาดหมดจด ก่อนจะออกมาจากห้องน้ำด้วยร่างกายที่สดชื่นขึ้น ทั้งคู่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วขึ้นไปบนห้องของฮาจุน
พวกเขานั่งพาดตัวกับเตียงแล้วเปิดหน้าต่าง ก้มลงมองลานหน้าบ้านที่ถูกย้อมด้วยสีเขียวขจีด้วยกัน สายลมอุ่นในช่วงกลางฤดูร้อนพัดมาคลอเคลียเส้นผมเปียกชื้นเรื่อยๆ
ชั่วขณะหนึ่ง ฮาจุนยิ้มอย่างขมขื่นเงียบๆ แล้วตอนนั้นถึงได้ปริปากพูดขึ้น
“…จริงๆ แล้ว ช่วงที่ผ่านมา ฉันคิดอะไรเยอะแยะมากเลย แต่ถ้าให้เรียบเรียงเป็นคำพูดมันก็…ยากนิดหน่อย”
“เรื่องอะไร”
“นายคิดว่าคนบนโลกชอบนายกันทุกคนใช่ไหมล่ะ เพราะอย่างนั้นถึงได้กังวลอยู่ตลอดว่าคนอื่นจะมาชอบฉัน แล้วก็กลัวว่าฉันจะไปจากนาย…”
มูคยอมตอบกลับด้วยแววตาเหมือนบอกว่าอีกคนถามเรื่องที่แน่ชัดอยู่แล้ว
เรื่องที่อีกฝ่ายเชื่อมันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะมีคนไม่ชอบอีฮาจุน แน่นอนว่าตอนอยู่เกาหลี เขาเคยเห็นไอ้ขี้หมาตัวหนึ่งหาเรื่องอีกฝ่ายก็จริง แต่นั่นก็เป็นแค่กรณีที่หาได้ยากมากๆ เท่านั้น ใครมาเห็นก็คงมองว่าฝ่ายที่ทำตัวถ่อยไม่ใช่อีฮาจุนแต่เป็นไอ้เลวนั่นไม่ใช่หรือไงกัน
“แต่ว่าไม่ใช่นะ”
“…”
“คนที่ไม่ชอบฉัน… มีอยู่เยอะเลย”
ท้ายประโยคของอีกฝ่ายเลือนรางลงราวกับขอบกระดาษที่ไฟลุกลาม มูคยอมไม่สามารถจัดการกับภายในใจที่รู้สึกคาดไม่ถึงและความรู้สึกเหมือนถูกตีหัว แล้วทอดสายตามองฮาจุนด้วยสีหน้าที่เผยความรู้สึกเหล่านั้นออกมาให้เห็นจนหมด ฮาจุนยกสองมือลูบหน้าแล้วเสยผมด้านหน้าขึ้น
“ไม่รู้ว่านายรู้หรือเปล่า แต่ถ้าพูดถึงนักฟุตบอลอีฮาจุนก็จะมีเรื่องที่พูดถึงตามมาอยู่สองสามอย่าง หนึ่งในนั้นคือเรื่องที่ว่าฉันได้รับการประเมินช้าไป”
“…ฉันรู้”
คงจะไม่เท่ากับความเอาใจใส่ที่อีกฝ่ายสร้างสมผลงานอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับคิมมูคยอมอย่างต่อเนื่องมาสิบปี แต่ตอนนี้ มูคยอมก็รู้เกี่ยวกับเรื่องสมัยที่ฮาจุนเป็นนักบอลอาชีพเท่าที่จะรู้ได้ เขาถึงกับจินตนาการว่าได้ย้อนเวลากลับไปลงแข่งกับอีกฝ่ายหลายครั้งเลยด้วย
“คิดว่าฉันพูดเรื่องแบบนั้นทำไมล่ะ”
ฮาจุนสบตาเขาพร้อมถามขึ้น มูคยอมไม่ตอบ ทว่าดวงตากับริมฝีปากที่ไร้ซึ่งคำพูดค่อยๆ เกร็งเครียดขึ้นอย่างเต็มที่
ฮาจุนพิจารณาสีหน้าของมูคยอมอย่างตั้งอกตั้งใจ จากนั้นคงรับรู้ว่าเขาเข้าใจคำพูดของตน จึงหันหน้าไปด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มบางอันแสนขมขื่น ฮาจุนก้มลงมองสวนอีกครั้งพร้อมพูดต่อ
“ตอนเด็กๆ ฉันเป็นนักกีฬาขี้ขลาดที่เชื่อฟังคำพูดของผู้จัดการทีมเป็นอย่างดี เพราะยังเด็กอยู่ แล้วก็ขาดความมั่นใจในตัวเองด้วย แต่เวลาก็ผ่านไปพร้อมกับได้รับเลือกให้เป็นนักกีฬาทีมชาติ แล้วก็ได้เป็นมืออาชีพ จากนั้นฉันก็มีเวลาพักแล้วก็มีพวกรุ่นน้อง เพราะอย่างนั้นถึงได้เปลี่ยนไป”
“…”
“ถ้าแม่เมาเหล้า บางทีเขาก็บ่นว่าอย่าใช้ชีวิตเหมือนพ่อ บอกว่าพ่อของลูกน่ะมุมานะมากเกินไป มีแค่ความสามารถแต่ไม่มีชั้นเชิงในการใช้ชีวิตก็เลยจากไปอย่างไม่ยุติธรรมแบบนั้น… แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ได้ต่างกับเขาสักเท่าไร แต่ก็นะ ถึงจะคิดว่าดีกว่าพ่อก็เถอะ”
แม้ไม่ได้ฟังคำอธิบายโดยละเอียดแต่มูคยอมก็คาดเดาได้ ผ่านอุปนิสัยกับการกระทำของฮาจุนที่เห็นมาจนถึงตอนนี้และผ่านผู้คนที่รายล้อมอีกฝ่าย
สมัยที่อยู่ซิตี้โซล นักกีฬามากมายไล่ตามฮาจุน ในมุมมองของมูคยอม เขาถึงกับประหลาดใจและงุนงงพอสมควรกับความจริงที่ว่ามีพวกคนที่ไล่ตามรุ่นพี่แบบนั้นอยู่ในทีมฟุตบอลด้วย
พวกที่ไล่ตามส่วนใหญ่เป็นนักกีฬาที่เด็กกว่าฮาจุนหรือไม่ก็อายุเท่าๆ กัน แน่นอนว่าฮาจุนรักษาความสัมพันธ์อันดีกับสตาฟคนอื่นหรือพวกคนที่อายุมากกว่าตัวเองด้วย แต่ก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดกับพวกนักกีฬาอายุน้อยที่ส่ายหางเหมือนลูกหมาเพียงแค่ได้เห็นฮาจุน
อีฮาจุนอ่อนโยนและใจดี ในขณะเดียวกัน ถ้าคิดว่ามันไม่ถูกต้องก็จะไม่ระงับความโกรธไว้ ช่วงสมัยที่อีกฝ่ายเป็นนักกีฬาย่อมไม่มีทางที่จะราบรื่น ถ้าเพื่อเพื่อนร่วมทีมกับรุ่นน้องแล้ว อีกฝ่ายก็คงจะทะเลาะกับรุ่นพี่ ถ้าคิดว่ามันผิด อีกฝ่ายก็คงจะบอกเล่าความคิดของตัวเองกับผู้จัดการทีม เผลอๆ อาจจะแสดงออกถึงความโกรธพร้อมกับถีบประตูออกไปทั้งที่อยู่ต่อหน้าพวกเขาด้วยซ้ำ
ในกีฬาฟุตบอล อำนาจและสิทธิของผู้จัดการทีมถือเป็นเด็ดขาด ที่ยุโรป นักกีฬาที่เคยวิ่งบนสนามก็หลุดออกนอกสายตาของผู้จัดการทีมด้วยสาเหตุอะไรบางอย่าง จึงได้แต่นั่งร้อนใจอยู่ตรงม้านั่งแล้วย้ายสังกัดไปอย่างเงียบเหงา บางครั้งก็ก่อเรื่องทะเลาะกันจนเกิดความวุ่นวายขึ้นด้วย ผู้จัดการทีมกับสโมสรมักเปิดเผยสถานการณ์สู่ภายนอกว่าเป็นเพราะ ‘เหตุผลทางด้านแผนการเล่น’ ราวกับกำหนดเอาไว้แล้ว แต่มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป