Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 157
อย่างน้อยก็จนกว่าความกระวนกระวายของเขาจะสงบลงได้ หากอยู่ข้าง
อีฮาจุนต่อไปในสภาพนี้ ก็อาจทำร้ายอีกฝ่ายด้วยพฤติกรรมที่ไม่อยากจะเชื่ออีก ความกระวนกระวายนั้นซุกซ่อนอยู่ในใจ มองแค่ผ่านๆ ก็รู้ว่าอีฮาจุนอยากจะคุยกันถึงได้มาแอบสังเกตดูท่าทีเขา แต่เขากลับบอกให้ฮาจุนไปนอนที่ห้องนอนก่อน วันนั้นเขาคิดจะนอนคนเดียว
ทว่าเขากลับไม่สามารถพักผ่อนอย่างสบายใจในยามค่ำคืนได้เลย มูคยอมอึดอัดกับความรู้สึกที่มีแต่จะดุดันขึ้น เขาจึงตัดสินใจที่จะพึ่งพาฤทธิ์เหล้าสักหน่อย จนกว่ามันจะปลอบประโลมความกังวลใจอันไร้ประโยชน์แล้วทำให้เขาสามารถนอนหลับลงได้
ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเคยเกิดขึ้น เพราะถ้าความตึงเครียดหรือกระวนกระวายคืบคลานเข้ามาก่อนถึงงานใหญ่ๆ มูคยอมก็มักจะพึ่งพาเหล้าสักแก้วสองแก้วจนกว่าจะถึงตอนนั้นเพื่อให้นอนหลับสนิท เขาคิดว่าถ้าผ่านคืนเดียวไปได้ วันต่อไปก็น่าจะพูดคุยกับฮาจุนอย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้แน่นอน
มันคือความผิดพลาด ความตึงเครียดนำพาไปสู่การดื่มเหล้าหนักเกินขนาด และความเมามายไม่ได้ผ่อนคลายความเครียดให้ลง ซ้ำร้ายยังกระตุ้นให้ความกระวนกระวายเพิ่มสูงขึ้น พร้อมทั้งทำให้เสียงกระซิบกวนประสาทชัดเจนขึ้นกว่าเดิม ความมองโลกในแง่ร้ายก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วพยายามจะฉีกทึ้งความคิดในหัวของเขาทีละเรื่อง
คิมมูคยอมคือคนรักคนแรกของอีฮาจุน ตอนนี้ฮาจุนเพิ่งจะเคยเปิดโลกการคบหาใครสักคน ต่างกับเขาที่ผ่านคนมากหน้าหลายตามาแล้ว อัตราความน่าจะเป็นที่คนรักคนแรกจะได้เป็นคู่ชีวิตคนสุดท้ายมันจะมีสักเท่าไรกันเชียว สำหรับเขา อีฮาจุนคือคนสุดท้าย แต่สำหรับฮาจุน เขาอาจจะเป็นแค่คนแรกก็ได้
จากนี้ไป คนที่ปรารถนาในตัวฮาจุนก็น่าจะโผล่มาเรื่อยๆ เพราะไม่ว่าใครต่างก็น่าจะรักอีกฝ่ายโดยไม่แบ่งแยกชายหญิง ในบรรดาคนพวกนั้น จะไม่มีคนที่เหมาะจะเป็นคนรักที่ดีกว่าคิมมูคยอมเลยเชียวเหรอ ตอนนี้อีฮาจุนคลั่งไคล้ในตัวเขามาก แต่ความรู้สึกนั้นจะคงอยู่ตลอดไปได้หรือเปล่า
หัวใจคงจะแตกสลาย เพราะคนที่อีฮาจุนมอบใจให้มาเป็นสิบปี ไม่ใช่ผู้ชายอ่อนแอไม่เอาถ่าน และเป็นผู้ชายสมบูรณ์แบบที่ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนไปเป็นสัตว์ประหลาดเมื่อไร ม่ใช่ชายหนุ่มโง่เขลาที่กับแค่ความกังวลเพียงเท่านี้ก็ยังเอาชนะไม่ได้ และนั่งดื่มเหล้าจนดึกดื่น
คิมมูคยอมของอีฮาจุนเป็นดาวเด่นผู้ส่องประกายอย่างไร้ความสั่นคลอนซึ่งทุกคนอยากไขว่คว้า อีฮาจุนยังรักเขาด้วยความรักจากการเฝ้ามองมาเนิ่นนาน แต่ถ้าได้เผชิญหน้ากับคิมมูคยอม ‘ตัวจริง’ บ่อยๆ สุดท้ายอีฮาจุนก็น่าจะผิดหวังไม่ใช่เหรอ เมื่อถึงตอนนั้นก็น่าจะจากเขาไปใช่ไหม
‘ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ผลลัพธ์มันถูกกำหนดไว้อยู่แล้ว อีฮาจุนจะจากนายไป แค่ไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น’
ในคืนนั้น คิมมูคยอมตัดสินใจ ความหวาดกลัวที่เริ่มต้นจากจุดกำเนิดเล็กๆ ราวกับเศษด้ายที่หลุดรุ่ย แปรเปลี่ยนเป็นน้ำเฉอะแฉะสีดำมืดแล้วเริ่มเอ่อขึ้นมาตั้งแต่ข้อเท้าจนท่วมมิดหัว
กุญแจมือของเล่นที่แอบซื้อมาไว้ด้วยความหวั่นไหวเพราะอยากลองใช้หากถ้าฮาจุนอนุญาตในสักวัน ในคืนนั้นมันได้เปลี่ยนไปเป็นอาวุธที่แท้จริง
“นักกีฬาคิมมูคยอม”
มูคยอมกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ผ่านไปแล้วอย่างเหม่อลอย เขาได้สติกลับมาทันทีเพราะเสียงเรียกชื่อตัวเอง หญิงสาวในชุดทางการกำลังเดินเข้ามาหาตรงหน้า
“คิดเรื่องอะไรถึงได้จดจ่อขนาดนั้นคะ”
มินแจยอง นักข่าวผู้คุ้นหน้าสมัยอยู่ซิตี้โซลกำลังหัวเราะ
ฤดูกาลของเวิลด์คัพที่วนกลับมา มูคยอมสัญญาว่าจะเลือกมาออกรายการที่เธอดำเนินรายการเป็นอย่างแรก แล้ววันนี้เขาก็ออกมาอยู่ที่สตูดิโอเพื่อรักษาสัญญา ไม่ใช่แค่มูคยอมคนเดียวเท่านั้น
“ดูซึมๆ ไม่สมกับเป็นนายเลยนะวันนี้”
จองคยูคงรู้สึกตึงๆ หัวไหล่ จึงหมุนไหล่พร้อมกับพูดออกมาคำหนึ่ง มูคยอมซึ่งยืนอยู่เงียบๆ ในมุมหนึ่งของสตูดิโอ เดินไปหาพวกเขาพร้อมหัวเราะเบาๆ
“กำลังกลุ้มใจนิดหน่อยว่าวันนี้จะไปเดทที่ไหนดีน่ะครับ”
“ในระหว่างนั้นมีคนอื่นอีกเหรอคะ”
แจยองคงคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นจึงหัวเราะ แต่จองคยูกลับทำสีหน้าเอือมระอา มูคยอมนิ่วหน้าแล้วผลักคนที่กระซิบว่า ‘ไอ้นี่ เดี๋ยวก็ถูกจับได้’ ออกไป บอกแล้วไงว่าอย่ามากระซิบกระซาบกัน…
วันนี้มูคยอมกับจองคยูเป็นแขกรับเชิญหลักมาออกทอล์คโชว์ที่แจยองเป็นผู้ดำเนินรายการ เธอบอกว่ายังเป็นรายการทดลองอยู่ แต่ถ้าการออกอากาศคราวนี้ราบรื่นดี ก็เป็นไปได้ที่จะกลายมาเป็นรายการประจำด้วย แจยองบอกว่าเทปการออกอากาศครั้งแรกถ่ายทำสำเร็จลงด้วยดีเพราะมูคยอมช่วยมาออกรายการ
แต่มูคยอมปฏิเสธท่าเดียว บอกว่าไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะได้รับคำขอบคุณ เพราะมันเป็นเรื่องที่เขาสัญญาไปเพราะมีเหตุผล
การบันทึกเทปเสร็จสิ้นลงอย่างราบรื่น แล้วมูคยอมกับจองคยูทั้งสองคนก็ตอบรับคำชวนของแจยองที่บอกว่าถ้าโอเคก็ไปกินเลี้ยงง่ายๆ กัน อีกไม่นาน
มูคยอมก็จะเดินทางออกจากเกาหลีอีกครั้งจึงไม่น่าจะนัดกันทีหลังได้
“ตายแล้ว น่ารักมากเลย! ปาร์ตี้วันเกิดครั้งหน้าก็ชวนฉันไปด้วยนะคะ!”
“เชิญมาได้ตามสบายเลยครับ ผมต้อนรับคนที่มาแสดงความยินดีกับฮีมังของผมทุกคนเลยครับ”
ทั้งสองคนจ้องอัลบั้มรูปในโทรศัพท์มือถืออย่างเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
มูคยอมทอดสายตามองทั้งคู่ด้วยแววตาเหงาๆ ฮาจุนไม่อยู่ตรงนี้ด้วย มูคยอมจึงสั่งแค่ม็อกเทลหนึ่งแก้วแล้วนั่งร่วมอยู่ในวงเหล้าด้วยกัน
มินแจยองดูเหมือนจะกรึ่มๆ นิดหน่อย ส่วนอิมจองคยูปกติดี แต่จองคยูเป็นผู้ชายที่สามารถพูดคุยตอบโต้กันสนุกสนานกับคนเมาได้ แม้ตัวเองจะไม่เมาก็ตาม อีกฝ่ายมองมูคยอมแล้วพูดขึ้นมาหนึ่งคำ
“ทำไมนายถึงได้เงียบแบบนี้ล่ะวันนี้ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
“ฉันเคยพูดจ้อยๆ เหมือนนายตอนไหนด้วยหรือไง”
“ถ้างั้นนายพูดน้อยนักเรอะ ระดับนายน่ะเรียกว่าพูดมาก”
แจยองเองก็ช่วยเสริม
“วันนี้มีเรื่องอะไรไม่ดีหรือเปล่าคะ ตอนอัดเทปฉันไม่ทันสังเกต แต่คุณดูซึมๆ นะคะ”
“ซึมอะไรกัน”
ในระหว่างนั้น โทรศัพท์ของแจยองก็ดังขึ้น
“คุณ PD นี่เอง ฉันขอไปรับโทรศัพท์สักครู่นะคะ พอดีว่าอาจเป็นเรื่องสำคัญด้วย”
“ครับ ค่อยๆ คุยแล้วค่อยเข้ามาเถอะครับ”
จองคยูพูดกับแจยองด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หันหน้ามาหามูคยอมด้วยใบหน้าที่ลบรอยยิ้มออกไปหมด
“นายมีเรื่องอะไรกันแน่”
“…”
“ทะเลาะกับฮาจุนเหรอ”
“ถ้าทะเลาะกัน”
คำพูดนั้นทำให้จองคยูหรี่ตาลงราวกับเปลี่ยนความสงสัยเป็นความมั่นใจ
อีกฝ่ายลงบทสรุปตามอำเภอใจโดยไม่ถามเหตุการณ์ก่อนหลัง
“ไปกราบขอขมาซะ”
“พูดแบบนี้นี่รู้เรื่องอะไรแล้วหรือไง”
“ต่อให้ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่นายก็คงจะทำผิดใช่ไหมล่ะ ฮาจุนน่ะจิตใจดีก็เลยน่าจะไม่ถือสาด้วย เขายกโทษให้นายง่ายเกินไปก็เลยเจ็บในใจจนหน้าบูดอยู่นี่ไม่ใช่เหรอ ถึงฮาจุนจะยกโทษให้ก็เถอะ แต่ก็ไปขอโทษเขาจนกว่านายจะพอใจซะ ถ้าทำแบบนั้น อารมณ์ก็จะผ่อนคลายลงหน่อย”
ถ้าได้ยุ่งเรื่องชาวบ้านเขามาตลอดชีวิตแล้วจะกลายเป็นหมอดูหรือไงกันนะ… เมื่อมูคยอมเถียงไม่ออก จองคยูก็คงคิดว่าตัวเองทายถูกต้องแล้ว อีกฝ่ายจึงทำสีหน้าลำพองใจ
มูคยอมเพียงแค่ก้มลงมองแก้วม็อกเทลเงียบๆ จองคยูคงจะคิดว่ามูคยอมจะตะคอกใส่ว่าอะไรสักคำ อีกฝ่ายจึงค่อยๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมกับโน้มตัวมาข้างหน้า ลดเสียงให้เบาลงกว่าเดิม
“ดูท่าสถานการณ์จะตึงเครียดนะ”
“ที่ลอนดอนมีคนที่ชอบอีฮาจุนโผล่มา”
“คนชอบฮาจุนมีแค่คนสองคนหรือไง”
“ไม่ใช่อย่างนั้น หมายถึงชอบแบบอยากเป็นแฟน”
“ที่ผมพูดก็คือชอบแบบเป็นแฟนนี่แหละครับ ฉันถามว่านายคิดว่าคนที่ชอบฮาจุนมีแค่คนสองคนหรือไง บอกแล้วไงว่าเขาฮ็อต ก่อนที่ฉันจะได้ฟังเรื่องนายจากฮาจุน ฉันนึกว่าเขาแค่ยุ่งอยู่กับการทำมาหากินแล้วก็รสนิยมสูงจนไม่คบใครด้วยซ้ำ”
มูคยอมเบิกตากว้าง
…ฟังๆ ดูแล้วก็ใช่ พวกคนที่มีความรู้สึกชอบพอแบบอยากคบหากับฮาจุน แน่นอนว่าในอดีตก็มีเยอะ ตอนนี้เองก็มีเยอะ แล้วต่อไปก็น่าจะมีเยอะด้วยสินะ เพียงแค่คนที่มูคยอมเห็นจะๆ กับตามีเพียงมาร์โคคนเดียวเท่านั้น
มูคยอมเพิ่งจะตระหนักถึงความจริงอันเรียบง่ายมากๆ ได้ในตอนนี้ เขากลืน
ม็อกเทลลงไปหนึ่งอึก ความคิดที่ว่าตัวเองทำเรื่องโง่ๆ ให้เป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่จินตนาการอะไรเอาไว้ ทำให้เหงื่อไคลไหลซึมออกมาอย่างฉับพลันราวกับตกใจอย่างรุนแรง
“…ยังไงก็เถอะ เพราะอย่างนั้นฉันถึงสติแตก แล้วพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดกับโค้ชอี”
เขาไม่กล้าแม้แต่จะใช้คำว่า ‘กระทำ’ ด้วยซ้ำ จองคยูเดาะลิ้นปากดังจิ๊ๆ
มูคยอมเงียบไปครู่หนึ่งแล้วสบตากับจองคยูราวกับตัดสินใจอย่างแน่วแน่
“นายก็ได้ดูรายการเมื่อปีที่แล้ว ก็ต้องรู้ใช่ไหม ว่าพ่อแท้ๆ ของฉันเป็นโรคหวาดระแวงว่าภรรยาจะนอกใจ”
“…รู้สิ”
“ไม่ว่ายังไง ดูเหมือนว่าฉันคงได้รับโรคนั้นมาเป็นกรรมพันธุ์ ฉันพยายามจะเชื่อมั่นว่าฉันต่างกับพ่อ แต่พอเกิดเรื่องนั้นแล้ว ตอนนี้ฉันเลยไม่มั่นใจในตัวเองจริงๆ”
“…”
“พอคิดแบบนั้น ฉันก็ไม่รู้ว่าช่วงนี้ควรต้องทำยังไง ฉันคิดว่าจะทำให้ดีได้แล้วไปจนถึงลอนดอนด้วยกัน…”
ในเมื่อไม่สามารถเชื่อมั่นในตัวเอง บทสรุปที่มูคยอมสามารถตัดสินได้ก็มีอยู่อย่างเดียว
บอกแล้วว่าวันที่จะต้องเลิกกันอาจใกล้เข้ามาในสักวัน ตอนนี้เขาไม่ได้กังวลล่วงหน้าถึงวันที่อีฮาจุนผู้รักใคร่คิมมูคยอมถึงขนาดนั้นจะไปจากเขา แต่ลางสังหรณ์ที่ว่าบางทีอาจมีวันที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายปล่อยมือไป ทำให้ความหดหู่อันแสนมืดมนกระจายตัวอยู่ในหัวใจเขาทั้งดวงราวกับเมฆฝน
แต่อย่างไรล่ะ ถ้าหากมีวันที่เขาจะพูดเรื่องการจากลาออกมาก่อน ตอนนั้นก็น่าจะเป็นวันที่คิมมูคยอมตัดสินใจตาย เพราะก่อนจะได้เจออีฮาจุน ชีวิตของ
คิมมูคยอมสว่างไสวมากพอ แต่ในตอนนี้ ชีวิตที่เขาหนีออกมา ทุกอย่างน่าจะถูกเผามอดไปแล้วเหลือเพียงเถ้าถ่านเท่านั้น
ถึงแม้ว่าความรู้สึกของฮาจุนจะเปลี่ยนแปลงไป เขาก็ยังมั่นใจว่าจะรักอีกคนอยู่ฝ่ายเดียวต่อไปได้เรื่อยๆ ทั้งยังมีเหตุผลที่จะยึดติดอีกฝ่าย แต่ถ้าถูกยึดกระทั่งสิทธิ์ที่จะยึดติดไปด้วย ตอนนั้นเขาจะทำอะไรได้ล่ะ จะมีหนทางไหนเหลืออยู่นอกจากพังทลายไปหรือเปล่า
แล้วอีฮาจุนจะเป็นอย่างไรบ้าง เดิมทีอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่อดทนไม่พูดเรื่องที่อยากพูดแล้วเจ็บปวดกับความทุกข์ที่เก็บไว้คนเดียวมาตั้งหลายเดือน แต่ในขณะที่คิมมูคยอมคนโง่กลิ้งเกลือกอยู่บนสวนดอกไม้ อีกฝ่ายก็กำลังฆ่าตัวเองให้ตายลงอย่างช้าๆ ทั้งคิมมูคยอมและอีฮาจุนต่างก็เคยเข้มแข็งกันมากกว่านี้ และเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากกว่านี้ ก่อนที่จะได้มาเจอกันไม่ใช่เหรอ
‘พอคิดว่าจะได้อยู่ข้างๆ นายอีกครั้ง ทำไมฉันถึงเหนื่อยขนาดนี้นะ…’
เมื่อนึกถึงคำที่ฮาจุนเคยพูดพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย ภาพตรงหน้าก็ยังคงมืดมนลงเช่นเดียวกันในตอนนั้น ตอนนี้คิดว่าต่อให้อีกฝ่ายอยู่ข้างเขาก็คงจะไม่เหนื่อยแล้ว แต่เขาคิดผิดไปเอง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย
คิมมูคยอมที่ติดอยู่กับการตอบแทนบุญคุณอยู่คนเดียวและมีความสุขอยู่คนเดียว เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีฮาจุนคิดอะไร มิหนำซ้ำยังเอาแต่บ่นอย่างไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ว่าอีกคนเหมือนยังอึดอัดใจกับเขาอยู่
“มาถ่ายรายการก็มีด้านที่รู้สึกสบายใจเหมือนกันนะ ได้พูดคุยเรื่องแบบนี้กับนายด้วย”
เมื่อมูคยอมเหม่อลอย จองคยูก็ทำหน้าเจื่อน มูคยอมหัวเราะเบาๆ ออกมา ไอ้คนชอบยุ่งเรื่องคนอื่นที่ชอบดุด่าเขามากที่สุดในโลก กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ก็เลยน่าจะอึดอัดใจ
“นี่ มูคยอม”
“เออ”
“ไอ้โรคหวาดระแวงว่าภรรยาจะนอกใจนั่นน่ะ… ควรต้องเรียกว่าทำจนติดเป็นนิสัยมากกว่าไม่ใช่เหรอ”
‘ระดับฉันนี่ก็ถือว่าติดเป็นนิสัยมากๆ เลยสินะ’
มูคยอมตอบในใจพร้อมกับพยักหน้าอย่างไม่คิดอะไร จองคยูลดเสียงพูดลงราวกับกำลังจะเล่าความลับ
“เรื่องที่ฉันจะพูดจากนี้ไป นายต้องเก็บไว้เป็นความลับให้มิดเลยนะ เรื่องนี้ไม่ว่าจะกับใครก็ห้ามเล่าให้ฟังเด็ดขาด”
“ฉันฟังแล้วเดี๋ยวก็ลืม เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เก็บความลับนายไว้ในหัวแล้วจะเอาไปทำอะไรได้”
แม้พูดอย่างนั้นแต่จองคยูก็ยังลังเล ไม่นานจึงปริปากพูดขึ้นอย่างรีบร้อนราวกับรู้สึกว่าแจยองจะกลับมา
“จริงๆ แล้ว ตอนฉันเป็นแฟนกับคุณยอนซู… หมายถึงว่าก่อนแต่งงาน
เราเคยเกือบเลิกกันไปครั้งหนึ่ง”
“นายกับคุณยอนซูน่ะนะ”
เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน คู่ของคิมจองคยูซึ่งแค่เจอกันก็เหมือนจะบินปรื๋อเข้าหากัน เคยมีช่วงเวลาคับขันจนจะเลิกรากันด้วยเนี่ยนะ
“ถ้านักกีฬากับพนักงานบริษัททั่วไปคบหากัน มันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ นี่ นักกีฬาน่ะเดินทางไปแข่งบ่อยแล้วก็ต้องค้างคืนกันบ่อย ก็เลยทำให้ห่างกันบ่อยๆ ไปด้วย ตารางงานก็ต่างกับคนอื่น เพราะอย่างนั้นทุกอย่างมันเลยเวลาไม่ตรงกันไปหมด คุณยอนซูเหนื่อยกับเรื่องนั้นก็เลยมีคนแนะนำผู้ชายคนอื่นให้ แล้วก็บอกเลิกฉัน ฉันน่ะบอกว่าเลิกไม่ได้ แต่ในมุมของคุณยอนซู ตอนนั้นก็คือเลิกกันเรียบร้อยไปแล้วรอบหนึ่ง”
“แล้วไงต่อ”
เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย มูคยอมเอียงหัวพร้อมฟังอย่างใจจดใจจ่อโดยไม่รู้ตัว เสียงของจองคยูแผ่วเบาลง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความเยือกเย็น
“ฉันก็เลย… คิดว่าถ้าไม่มีไอ้ผู้ชายคนนั้น คุณยอนซูก็จะกลับมาหาฉัน”
“…”
“นักฆ่ารับจ้าง…”
“อะไรนะ บ้าไปแล้วเหรอ!”
เสียงของมูคยอมดังขึ้นในทันที ‘ชู่’ จองคยูตื่นตกใจ ยกนิ้วขึ้นมาแตะริมฝีปากพร้อมมองเลิ่กลั่กรอบๆ มูคยอมเองก็รีบลดเสียงลง
“บ้าไปแล้วหรือไง หมายความว่ายังไง”
“ฟังคนอื่นเขาพูดให้จบสิวะ หมายถึงว่าฉันลองเสิร์ชหานักฆ่ารับจ้างในอินเตอร์เน็ต”
“…อ๋อ โอเค”
“แบบว่า ฉันโมโหแล้วทำไปในจังหวะที่กำลังโกรธ ไม่รู้ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้ แต่ฉันก็คลิกสุ่มๆ ไปแล้วหาช่องทางติดต่อของพวกคนที่รับทำเรื่องแบบนั้นมาจริงๆ อาจเป็นเรื่องหลอกกันเล่นก็ได้ แต่ก็… ไม่รู้สิ เท่าที่ฉันดูตอนนั้น มันก็เหมือนของจริงอยู่”
มูคยอมขนลุกขึ้นมาราวกับกำลังฟังเรื่องลี้ลับ ใบหน้าของมูคยอมเกร็งเครียดแล้วรอฟังเรื่องต่อจากนั้น
“แน่นอนว่าฉันไม่มีความคิดจะฆ่าคนอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นบ้าสักหน่อย ฉันเสิร์ชเป็นการระบายความโกรธจริงๆ แต่เอาเข้าจริง พอได้ช่องทางติดต่อมา ฉันก็คิดพล่อยๆ ว่าลองติดต่อไปจริงๆ ดีไหม เพราะถ้าเป็นของปลอมหรือเรื่องล้อเล่น
ก็ปล่อยไปตามนั้น ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว”
“…”
“ฉันคิดเรื่องนั้นอยู่สองสามวัน โห ชีวิตคนเรานี่มันอ่อนระโหยโรยแรงได้ถึงขีดสุดเลยละ ฉันอยู่ในสภาพนั้นแล้วก็มีจังหวะที่ได้สติกลับคืนมาว่าฉันเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ สินะ ฉันเลยทิ้งช่องทางติดต่ออันนั้นไปทันที เสร็จแล้วก็ไปหาคุณยอนซู สารภาพอย่างจริงจังอีกครั้งแล้วคุยกันเป็นชั่วโมงๆ เพราะอย่างนั้นถึงได้แต่งงานกันแล้วมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้”
มูคยอมกลืนน้ำลาย เขาคิดว่าการที่อิมจองคยูได้รับฟังข้อมูลที่ไม่จำเป็นของเขากับฮาจุน เป็นค่ายุ่งเรื่องชาวบ้านของอิมจองคยู แต่คราวนี้ สุดท้ายเขาก็ได้รับรู้ข้อมูลที่ไม่อยากรู้ของอิมจองคยูมาเพิ่ม มูคยอมจ้องอีกฝ่ายที่สารภาพเรื่องน่าตกใจออกมาอย่างกะทันหันแล้วถามขึ้น
“ทำไมถึงเอาเรื่องนั้นมาเล่าให้ฟังล่ะ ตั้งใจจะบอกว่าถ้าไม่เป็นไปตามตั้งใจ นายก็สามารถฆ่าได้หรือไงกัน”
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันอยากบอกว่า ถ้าจมอยู่กับความคิดที่ไม่ชอบใครคนหนึ่งมากเกินไป คนที่ไม่เคยเป็นบ้าก็สติแตกได้เป็นบางครั้งเหมือนกัน ฉันคิดว่าพอคนเราใช้ชีวิตมาก็อาจเป็นแบบนั้นขึ้นมาได้สักครั้ง”
จองคยูเกาคางอย่างกระดากอาย
“เพราะฉะนั้น ต่อให้นายบอกว่าพ่อนายเป็นแบบนั้นก็อย่าคิดว่าตัวเองต้องเป็นแบบเดียวกัน ทั้งโรคหวาดระแวงว่าภรรยาจะนอกใจ หรือโรคหวาดระแวงว่าสามีจะนอกใจ ต่างก็เป็นโรคที่ก่อกวนคนเราวันละหลายครั้งและทำให้คนเราทุกข์ใจกันเป็นเรื่องธรรมดา นายเองก็จะเป็นแบบนั้น ถ้าชอบใครสักคน มันก็ต้องมีหึงมีสงสัยกันสักนิดแหละ เรื่องนั้นมันเป็นธรรมชาติไม่ใช่เหรอ”
มูคยอมรู้ว่าอีกคนยกเรื่องนี้มาพูดเพื่อที่จะทำให้เขาสบายใจ แต่สำหรับ
มูคยอม มันไม่ได้ทำให้อุ่นใจขึ้นเลยสักนิดเดียว
จองคยูเล่าเรื่องนี้โดยที่ไม่รู้สถานการณ์อย่างละเอียด สิ่งที่เขาทำลงไปกับที่จองคยูทำ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การกระทำอันผิดพลาดที่เกิดจากความสงสัยของคิมมูคยอม ไม่ใช่สิ่งที่จะกระทำได้ ‘สักครั้งหากได้ใช้ชีวิตมา’ และไม่ได้จบลงโดยเป็นแค่ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว