Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 159
โค้ชอีในประเทศที่แปลกไป
ท้องทะเลใสแจ๋ว ไม่ใช่แค่บนผิวน้ำเท่านั้นแต่ลึกลงไปใต้น้ำก็ยังเป็นสีเขียวมรกตทั่วทั้งผืน ปลาสีน้ำเงินผสมเหลืองซึ่งน่าจะเคยปรากฏให้เห็นในการ์ตูนแอนิเมชันของดิสนีย์แหวกว่ายรวมกันเป็นฝูงกลางแนวปะการังสีขาวสลับแดง
ทั้งปลาใหญ่ปลาเล็กดูเหมือนกับภูติในท้องทะเล มันเต้นระบำตัวใครตัวมันพร้อมกับไหลพลิ้วไปตามเส้นทางของมันเองอย่างว่องไว ราวกับไม่สนใจมนุษย์ที่จู่ๆ ก็ลงมาว่ายน้ำในโลกของพวกมันอย่างผ่าเผย
ฮาจุนใช้เท้าตีน้ำช้าๆ พร้อมกับว่ายออกไปในท้องทะเลสีเขียวเข้มเรื่อยๆ จิตใจที่ดำดิ่งลงไปในทิวทัศน์แปลกใหม่โดยสมบูรณ์กับหูที่จมอยู่ในน้ำไม่ได้ยินเสียงภายนอก อะไรบางอย่างต้องเฉี่ยวเอวเขาไปก่อน ฮาจุนถึงได้รู้ว่าอีกคนว่ายเข้ามาใกล้ถึงข้างตัวแล้ว
ฮาจุนเอาขาลงยืนทำให้ตัวโผล่พ้นขึ้นมาบนผิวน้ำ ชายหนุ่มที่ว่ายน้ำมาข้างๆ ก็เช่นเดียวกัน ฮาจุนถอดอุปกรณ์ดำน้ำขึ้นคาดไว้บนหัวแล้วพรูลมหายใจที่กลั้นไว้ออกมา มูคยอมที่เปียกไปทั้งตัวขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดเตือน
“อย่าไปไกลมากนะ ต่อให้ดูสงบแต่ยังไงก็เป็นทะเล ถึงเรือจะจอดอยู่ข้างๆ แต่ถ้าไหลไปจนถึงจุดที่กระแสน้ำเปลี่ยนทิศก็จะอันตราย”
“มาถึงตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหนน่ะ”
ฮาจุนเบิกตากว้างราวกับตกใจแล้วกะพริบตาปริบๆ เขาคงเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ใต้ทะเลแล้วมัวแต่ว่ายน้ำอย่างเหม่อลอยจึงไหลตามน้ำมาพักหนึ่ง เรือยอร์ชที่นั่งมาจึงอยู่ไกลออกไปทางนู้น ฮาจุนดูเหมือนจะงุนงงนิดหน่อย แต่แล้วก็ยิ้มกว้างด้วยใบหน้าที่ขาวซีดลงกว่าปกติเพราะเปียกน้ำเย็น
“ไม่ต้องเป็นห่วงมากไปหรอก ฉันว่ายน้ำเก่ง”
“แต่ยังไงเวลาอยู่ในทะเลก็ต้องระมัดระวังอยู่ตลอดสิ”
“นึกถึงตอนที่นายโมโหฉันเมื่อปีที่แล้วเลย บอกว่าว่ายน้ำในทะเลตอนกลางคืน”
เมื่อฮาจุนตีแขนขา พยุงให้ตัวลอยกระเพื่อมอยู่กับที่ มูคยอมก็หัวเราะฝืดๆ ออกมา
“ตอนนั้นฉันตกใจจริงๆ”
“นายโมโหฉันมาก ตอนหลังฉันเลยยิ่งตกใจกว่าเดิมอีก”
มีเพียงพวกเขาสองคนในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ รอบข้างมีเพียงทะเล ทะเล แล้วก็ทะเลเท่านั้น ไม่มีใครคนอื่นอยู่เลย หากจะบอกว่าเรืออัปปางก็ยังน่าเชื่อ
แสงอาทิตย์เจิดจ้าส่องกระทบผิวน้ำแล้วกระจายออกไปเหมือนเศษกระดาษสีที่ถูกฉีกออก เขาแสบตา ฮาจุนทอดสายตามองเรือยอร์ชที่ลอยอยู่ไกลมากนิ่งๆ แล้วพูดท้าอีกฝ่าย
“มาแข่งกันไหมว่าใครจะไปถึงเรือยอร์ชก่อน”
“โอ้… ดูเหมือนว่าลูกวัวน้อยจะมั่นใจเรื่องว่ายน้ำจริงๆ นะ ชนะแล้วได้อะไร”
“นายเลือกเลย”
“อืม คนแพ้ต้องใช้ปากทำให้อีกคนหนึ่งชั่วโมง”
“หนึ่งชั่วโมง! ตรงนั้นคงจะเปื่อยหมดแน่…”
ฮาจุนตื่นตกใจเพราะคิดว่าน่าจะเจ็บมากกว่ารู้สึกดี แต่มูคยอมกลับขำอะไรไม่รู้ถึงได้เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ถึงพลาดท่าแพ้ ฮาจุนก็ไม่อยากจะเอาตรงนั้นออกมาให้อีกคนเล่นนานถึงชั่วโมงหรอก แต่เขาก็ตอบตกลง
มูคยอมผู้กระหายชัยชนะไม่เคยปฏิเสธข้อเสนอที่มีคำศัพท์อย่างเช่นคำว่า เดิมพัน แข่งขัน หรือต่อสู้อยู่ในประโยค นักกีฬาคนอื่นๆ ในกรีนฟอร์ดก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากมาย สมาชิกในทีมจึงสนุกกับการเล่นวิดีโอเกม เกมไพ่ หรือเกมปาเป้าโดยเดิมพันอะไรบางอย่างอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะเล่นอันนี้ก็ไม่ได้ อันนู้นก็ไม่ได้ บางครั้งพวกนักกีฬาก็จะรวมกลุ่มกันบนสนามหญ้าของสนามฝึกแล้วเดิมพันด้วยการเป่าหญ้าให้ปลิวไปไกลๆ หรือไม่ก็โยนรองเท้าสตั๊ดไปไกลๆ นักกีฬาพวกนั้นแค่ค่าตัวก็ปาไปแสนล้านวอนแล้ว เมื่อได้มองดูนักกีฬาชั้นนำของโลกทำแบบนั้นกันอยู่ข้างๆ เขาก็จะอดหัวเราะไม่ได้โดยอัตโนมัติ
ฮาจุนยกยิ้มมุมปากพร้อมตั้งท่า
“ระวัง”
“ไป!” ทันทีที่คำนั้นดังขึ้น ทั้งสองคนก็ดิ่งหัวลงน้ำก่อนเลยจนเสียงดังตูม พร้อมกับใช้กำลังทั้งหมดที่มีเริ่มแหวกว่ายไป
ถ้าใครบางคนมองมาจากไกลๆ ก็อาจเข้าใจผิดได้ ว่าพวกเขาเป็นสัตว์ตัวใหญ่ไม่น้อยที่อาศัยอยู่ในทะเล ไม่ใช่มนุษย์ ฮาจุนเหวี่ยงแขนอย่างแรงเพื่อจ้วงลงบนผิวน้ำ เสียงน้ำที่ดังจนแทบเรียกได้ว่าสนั่น กระแทกหูจนรู้สึกอื้ออึงไปหมด
“เดี๋ยวสิ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ พอพาลูกวัวมาทะเลก็กลายเป็นโลมาเฉยเลยงั้นเหรอ”
มูคยอมในสภาพเปียกโชก จับบันไดเรือยอร์ชแล้วไต่ขึ้นไปพร้อมบ่นงึมงำ
ฮาจุนขึ้นมาบนเรือก่อนและใช้ฝักบัวล้างน้ำทะเลออกไปเรียบร้อยแล้ว เขาฉีดน้ำใส่อีกฝ่าย เมื่อมูคยอมล้างหน้าเสร็จ ฮาจุนก็ส่งผ้าเช็ดตัวให้พร้อมพูดปนขำ
“ตอนเด็กฉันเรียนมาหลายสถาบันมากเลยนะ ว่ายน้ำนี่ก็เรียนตั้งแต่สี่ขวบ”
“นายเรียนพิเศษด้วยงั้นเหรอ นายดูเหมือนไม่ชอบความพ่ายแพ้นิดๆ นะ”
“แน่นอนสิ อย่าลืมว่าฉันก็เคยเป็นนักกีฬานะ”
“ไม่ลืมเด็ดขาด”
เขาพูดโดยหวังจะให้อีกคนขำ แต่น้ำเสียงของมูคยอมที่ตอบมากลับจริงจังขึ้นนิดหน่อย ฮาจุนจึงเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย จากนั้นริมฝีปากก็ยกยิ้มโดยไม่ได้หัวเราะออกมา
มูคยอมใช้ผ้าขนหนูแห้งเช็ดน้ำบนหัวออกลวกๆ แล้วพูดเสียงดังราวกับนึกขึ้นได้
“คิดดูแล้ว นาย ตอนเจอกันครั้งแรกก็ดูบรรยากาศเหมือนกำลังจะไปพวกสถาบันสอนพิเศษนะ”
“ตอนแรกเหรอ…”
“หมายถึงตอนเด็กน่ะ”
‘อ๋อ’ ฮาจุนย้อนกลับไปขุดคุ้ยความทรงจำอันเลือนราง สิบสองขวบ ตอนที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ถ้าเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ได้เจอเด็กผู้ชายที่เขาเคยจับแขนดึงมาก็…
“แบบแม่นๆ ก็จำไม่ได้หรอก แต่น่าจะกำลังเรียนพิเศษเปียโนน่ะ”
“เปียโนเหรอ โค้ชอี เล่นเปียโนเป็นด้วยเหรอ”
“ไม่เป็น ตอนนี้ก็ต้องลืมไปหมดแล้วสิ ตอนเด็กเคยไปแข่งด้วยนะ ถึงจะตกรอบคัดเลือกก็เถอะ… ถ้านายเห็นฝีมือของฉันก็น่าจะรู้ ว่าฉันไม่ค่อยมีพรสวรรค์เท่าไร”
“แข่งเหรอ เจ๋งแฮะ! โค้ชอีนี่ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้เลยสินะ”
“ไม่ได้เจ๋งหรอก เด็กๆ ที่เรียนสถาบันเดียวกันตอนนั้นก็ไปแข่งคนละครั้งกันหมด”
ฮาจุนรู้สึกอายขึ้นมาก็เลยเล่าต่อ แต่มูคยอมคงปลื้มใจอะไรสักอย่างจึงยิ้มเหมือนเด็กๆ ฮาจุนเองก็เพียงแค่หัวเราะออกมาเท่านั้น เขาอารมณ์ดี ต่อให้กำลังท่องสูตรคูณหรือ ABC อยู่ก็รู้สึกว่าจะหัวเราะออกมาท่าเดียว โดยไม่ได้มีความหมายอื่นใด เป็นวันหยุดพักร้อนครั้งแรกที่ทั้งสองคนใช้เวลาร่วมกัน
วันหยุดพักร้อนของนักฟุตบอลสั้นกว่าที่คิด ปีที่จัดเวิลด์คัพเแบบปีนี้ก็ยิ่งสั้นเข้าไปใหญ่ ก่อนเลือกสถานที่ไปเที่ยวพักร้อนกัน มูคยอมบอกว่าถ้าไปพวกที่ท่องเที่ยวดังๆ หรือสถานที่พักผ่อนดีๆ ก็จะหนีพวกปาปารัสซีไม่พ้นอย่างแน่นอน แล้วอีกฝ่ายก็ขบคิดอย่างหนัก มูคยอมอยากใช้เวลาพักผ่อนอันล้ำค่าในสถานที่ที่มีอิสระอย่างแท้จริงโดยปราศจากสายตาของพวกสื่อมวลชน
ฮาจุนก็เข้าใจความรู้สึกของอีกคนเป็นอย่างดี เพราะสมัยที่เขาค้นคว้าหาข้อมูลของมูคยอมในอินเตอร์เน็ตคนเดียว แม้อยู่ในห้องของเขาที่โซลก็ยังรับรู้ได้อย่างละเอียดมากเกินไป ว่าฤดูร้อนปีนี้ คิมมูคยอมคนดังกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน
หลายคนตามหนักถึงขั้นตามไปจนถึงที่พักแล้วยังคอยถ่ายรูปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ไปเที่ยวพักร้อนในทุกๆ ปี ถึงแม้จะไม่ใช่มูคยอม ก็ยังมีนักกีฬาดังหลายคนที่ต้องปวดหัวกับปัญหาคล้ายกันนี้
สุดท้าย มูคยอมก็เลือกสถานที่พักร้อนร่วมกันครั้งแรก เป็นรีสอร์ตบนเกาะหนึ่งในประเทศเซเชลส์ซึ่งเป็นประเทศกลุ่มเกาะในมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเกาะนั้นแยกห่างจากเกาะอื่นๆ พอสมควรและจะต้องนั่งเรือเฟอร์รีส่วนตัวเท่านั้นจึงจะเข้าไปถึง
ว่ากันว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ยังไม่เคยได้รับความเดือดร้อนจากปาปารัสซีเลยสักครั้งเดียวจนถึงตอนนี้ บุคคลมีชื่อเสียงที่ต้องการหลีกหนีสายตาคนอื่นจึงมากันบ่อยครั้ง มูคยอมบอกว่าปาปารัสซีเป็นคนจำพวกที่น่าหงุดหงิดอยู่เสมอก็จริงแต่ต่อให้เป็นตัวเขาเองก็เพิ่งเคยมาเที่ยวที่ที่ไกลขนาดนี้ครั้งแรกเหมือนกัน แล้วอีกคนก็หัวเราะ
เกาะที่พวกเขามาเยือนตามที่เล่ามานั้น เป็นโลกอื่นที่แยกตัวออกมาจากความเป็นจริง ถ้าออกมาจากรีสอร์ตแล้วเดินไปแค่นิดเดียว ก็จะมีอากาศที่ร้อนแต่ไม่ชื้น แสงแดดจ้าแสบตา ทะเลใสสะอาดสีเขียวอมฟ้าซึ่งมองเห็นปลาตัวจิ๋วแหวกว่ายมาจนถึงใกล้ๆ ชายฝั่ง และหาดทรายสีขาวงดงามที่ไม่มีก้อนกรวดปะปนเลยแม้แต่ก้อนเดียว ที่คอยต้อนรับคนทั้งสองอยู่ สีสันจากทั่วทุกทิศทางทั้งสดและชัดยิ่งกว่าโลกที่พวกเขาเคยรู้จัก ถึงจะอธิบายเป็นคำพูดว่า ‘ทะเลสีน้ำเงินเขียว’ เหมือนกัน แต่สีน้ำเงินเขียวนั้นเป็นเฉดสีที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจนกระทั่งตอนนี้
ภายในห้องหรูที่ตกแต่งด้วยสีขาว ถ้าไปเล่นน้ำอย่างสนุกสนานแล้วกลับเข้ามาก็จะถูกเก็บกวาดให้เหมือนห้องใหม่อยู่เสมอ ทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยนอกเหนือจากกิน เล่น แล้วก็นอน
ถึงอย่างนั้น แม้มาเที่ยวพักร้อนมูคยอมก็ยังคงตื่นนอนในเวลาเดิมทุกวัน ถึงแม้ว่าจะเที่ยวเล่นอย่างสนุกสุดเหวี่ยงโดยทิ้งสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องทุกอย่างไว้ แต่ก็ยังเทรนนิ่งเบื้องต้นในตอนเช้าไม่ขาด
การนอนหลับครอกๆ อยู่คนเดียวทั้งที่นักกีฬาออกกำลังกายอยู่ ดูไม่ใช่การกระทำที่เหมาะสมสักเท่าไรในฐานะโค้ช ฮาจุนจึงบอกว่าตัวเองก็จะออกไปตอนเช้าด้วยเหมือนกัน แต่มูคยอมห้ามไว้ บอกว่าแค่ตื่นมาออกกำลังแบบง่ายๆ เฉยๆ เพราะฉะนั้นอย่ารู้สึกกดดันมากเกินไปทั้งที่มาพักร้อนอยู่เลย
เมื่อมูคยอมออกกำลังตอนเช้าเสร็จแล้วกลับมา ฮาจุนก็ค่อยๆ ตื่นจากการหลับใหล บางครั้งทั้งสองคนก็จะกินมื้อเช้าโดยสั่งเป็นรูมเซอร์วิส หรือถ้าอยากก็จะไปกินที่ห้องอาหารในรีสอร์ต เมื่อกินเสร็จเรียบร้อยก็ยังคงเหลือวันอันแสนยาวนานอยู่อีกทั้งวัน ราวกับของขวัญที่ยังไม่ได้เปิดออกดู
ทั้งคู่ทั้งเดินเล่น ว่ายน้ำ นอนกลางวันบนเก้าอี้อาบแดดริมหาด นอนๆ อยู่แล้วรู้สึกร้อนขึ้นมาหน่อยก็จะกลับเข้ามาด้านในอีกครั้ง แล้วมูคยอมก็จะลูบไล้ผิวเปลือยเปล่าของฮาจุนบนเตียงนอนที่ถูกจัดเป็นระเบียบทุกครั้งเมื่อกลับเข้ามา ทั้งสองคนหัวเราะคิกคักพร้อมผลัดกันป้อนจูบหรือจุ๊บกันไปมา หากอยู่กันแบบนั้นแล้วจู่ๆ ความร้อนรุ่มก่อตัวขึ้นก็ดำเนินต่อไปจนถึงเซ็กส์ด้วย เป็นการใช้ชีวิตแบบปล่อยวางทุกอย่างเป็นที่สุด
ฮาจุนพาดลำตัวบนราวเรือยอร์ชแล้วทอดสายตามองผืนทะเลออกไปไกลๆ นับจากสมัยเป็นเด็กวัยประถม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้เวลาแบบไม่ต้องกังวลอะไรเลยแม้แต่น้อยแบบนี้
ฮาจุนใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปทะเลสีฟ้าหลายรูป บนเรือสัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่ค่อยดี เขาจึงคิดว่าจะส่งรูปให้ครอบครัวพร้อมข้อความถามสารทุกข์สุกดิบเมื่อกลับไปยังที่พัก
…สองวันก่อนออกเดินทางมาจากเกาหลี มูคยอมกับฮาจุนบอกเล่าความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองกับแม่ของฮาจุนเป็นคนแรก เธอตกใจมากแล้วบอกว่าเอาไว้คุยกันทีหลังพร้อมกับเงียบไม่พูดไม่จาไปประมาณครึ่งวัน แต่แม่ก็ขึ้นมาบนชั้นสองตอนใกล้จะถึงเวลามื้อเย็น จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับจับมือของมูคยอม
‘แม่ใช้ชีวิตมาโดยทำอะไรไม่ได้ดีเลยสักอย่าง แต่ดูเหมือนจะโชคดีมากถึงได้รับลูกชายแบบมูคยอมมาอีกคน แม่ใหม่คนนี้ยังมีสิ่งที่บกพร่อง แต่จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะ’
คำพูดของเธอทำให้มูคยอมบอกว่าจะทำให้ดีที่สุดพร้อมก้มหัวหงึกๆ ให้หลายครั้งด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้า ทั้งสามคนกินอาหารเย็นกันเต็มอิ่มด้วยดวงตาแดงช้ำเล็กน้อย จากนั้นจึงเรียกมินคยองกับฮาคยองซึ่งกลับถึงบ้านช้ามาบอกความจริงให้รับรู้อย่างกะทันหัน
‘หนูรู้อยู่แล้วนะ’
‘อะไรนะ จริงเหรอ’
‘พี่นี่จริงๆ เลย ถึงจะสงวนท่าทีแค่ไหนก็ต้องรู้อยู่แล้ว มีใครถึงกับซื้อบ้านให้คนที่เป็นแค่เพื่อนบ้าง แถมยังอาศัยอยู่ด้วยกันอีกต่างหาก…’
มินคยองไม่สะทกสะท้านต่อหน้าฮาจุนที่ตื่นตกใจ
แต่ฮาคยองลุกจากที่แล้วกลับไปห้องตัวเองราวกับกระทบกระเทือนจิตใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็หลบหน้าทั้งสองคนจนกระทั่งวันที่พวกเขาออกจากเกาหลี ไม่ว่าอย่างไรก็ดูเหมือนว่าจำเป็นต้องให้เวลาสักหน่อย
“ทำอะไรอยู่”
“ถ่ายรูป เดี๋ยวจะส่งไปในห้องแชตครอบครัว”
“…ฮาคยองยังไม่คุยอะไรกับนายสักคำอีกเหรอ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงมากไปหรอก ยังไงรูปโปรไฟล์ก็ยังเป็นรูปยูนิฟอร์มของนายนี่ ตอนเจอกันคราวหน้าก็น่าจะโอเคแล้วล่ะ”
เมื่อให้ดูหน้าจอโทรศัพท์พร้อมรอยยิ้ม มูคยอมก็หัวเราะเบาๆ ฮาจุนพูดต่อ
“ถึงอย่างนั้นก็โล่งอกไปทีที่ทุกคนยอมรับกันอย่างดีกว่าที่คิด”
“นั่นสิ ฉันไม่คิดเลยว่าลุงจะดีใจแบบไม่มีอคติเลยแบบนั้น…”
เมื่อทั้งสองคนไปหาแล้วเล่าเรื่องสถานะให้ฟัง ตอนแรกผู้จัดการทีมพัคจุนซองก็เบิกตาโพลงแล้วลุกลี้ลุกลน ถามนู่นถามนี่ตั้งหลายครั้งราวกับไม่เข้าใจคำพูดของทั้งสอง
ทว่าหลังจากเข้าใจบทสรุปอย่างทะลุปรุโปร่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้จัดการทีมก็หัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ มีเพียงความดีใจ บอกว่าโล่งอกมากแค่ไหนที่มูคยอมเจอคู่ของตัวเอง ทั้งยังบอกว่าจะเลี้ยงเหล้าพร้อมกับพาทั้งสองคนไปร้านอาหารแล้วเมาแอ๋อยู่คนเดียว ในตอนหลัง ทั้งสองคนต้องประคองเจ้าตัวที่พูดซ้ำๆ ไม่หยุดว่าโล่งใจดีจริงๆ เข้าไปถึงในบ้าน
ฮาจุนหวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่โซลอย่างเหม่อลอย แล้วมูคยอมก็ถามเขา
“เล่นน้ำพักใหญ่เลยนี่ ไม่หิวเหรอ ค่อยๆ กินมื้อเที่ยงกันเถอะ”
ฮาจุนมองโต๊ะอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้แล้วอุทานด้วยความประทับใจ ดูเหมือนมูคยอมจะจัดเตรียมอาหารอยู่บนเรือยอร์ชในระหว่างที่ฮาจุนดำน้ำตื้น ไวน์ขาวเย็นเจี๊ยบกับชีส ขนมปัง ส้ม และกุ้งย่างพร้อมซอส ถูกจัดเรียงอย่างง่ายๆ บนโต๊ะ
“น่าอร่อยจัง ดูความเด้งของมันสิ”
ฮาจุนเอื้อมมือไปหากุ้ง เมื่อฮาจุนขยับนิ้วมือขาวเรียวยาวแกะเปลือกกุ้งอย่างขะมักเขม้นโดยไม่สนอย่างอื่น มูคยอมซึ่งมองภาพนั้นอยู่อย่างสนใจจึงหัวเราะเบาๆ แล้วหยิบตัวอื่นขึ้นมาหนึ่งตัว
“อย่าแกะให้เลอะมือเลย รอแป๊บหนึ่ง”
ในขณะที่ฮาจุนหยุดมือตัวเองด้วยใบหน้าเขินๆ มูคยอมก็แกะเปลือกกุ้งออกไปอย่างรวดเร็ว กุ้งที่ถูกแกะเปลือกอย่างสวยงาม ถูกวางเรียงรอบจานใบใหญ่เป็นวงกลมราวกับเป็นของประดับ ฮาจุนกำลังมองภาพนั้นด้วยความประทับใจ แต่แล้วจู่ๆ มูคยอมซึ่งวางกุ้งลงบนจานเป็นตัวที่เท่าไรแล้วไม่รู้ก็ปริปากพูดขึ้น
“อา”
“หืม”
“ฉันแกะเปลือกกุ้งอยู่ มือไม่ว่าง โค้ชป้อนหน่อยสิ”
ฮาจุนทำตาโตแล้วกลอกตา เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับเขินอายพลางหัวเราะ จากนั้นไม่นานก็ใช้ส้อมจิ้มกุ้งขึ้นมาหนึ่งตัวแล้วยื่นให้มูคยอม
“เอ้า”
“เอามาใกล้ๆ อีก”
ฮาจุนขยับไปข้างๆ มูคยอมพร้อมเก้าอี้ทั้งตัว เมื่อมือเคลื่อนเข้าไปใกล้ปากของมูคยอมอย่างเต็มที่ ตอนนั้นมูคยอมจึงอ้าปากรับกุ้งไปกิน เขาเองก็กิน สลับกับป้อนมูคยอมคำแล้วคำเล่าจนตัวที่เท่าไรก็ไม่รู้ มูคยอมจึงจับข้อมืออีกข้างที่เหลือของฮาจุน
“นายจับไปทั่วแล้วมือมันก็สกปรกเลยเนี่ย”
“ล้างก็ได้นี่…”
มูคยอมกัดนิ้วของฮาจุนที่เปื้อนทั้งน้ำมัน เกลือและเครื่องปรุงรสในตอนที่จับกุ้งครู่หนึ่ง มูคยอมใช้ฟันกัดหนุบหนับแบบไม่ให้เจ็บ จากนั้นก็แลบลิ้นเลียนิ้วมือขาวที่มันวับแล้วดูดจนเสียงดังจุ๊บจั๊บ
ในตอนที่มูคยอมใช้ลิ้นดุนดันตรงปลายนิ้วย้ำๆ ฮาจุนก็เรี่ยวแรงหายไปจากร่างกายอย่างไม่ทันตั้งตัว
“นายหิวนี่ กินอีกสิ”
มูคยอมเอากุ้งใส่ปากฮาจุน ฮาจุนเคี้ยวสิ่งที่เข้ามาในปากแล้วกลืนลงไปราวกับเครื่องจักร เมื่อนิ้วถูกดูดเลียเสร็จแล้ว กุ้งก็ถูกส่งมาให้ พอกลืนลงไปอีกสองสามตัวแบบนั้น คราวนี้แก้วไวน์ก็แตะลงบนริมฝีปาก
‘อึกๆ’ เมื่อฮาจุนดื่มมันอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความคอแห้ง มูคยอมเองก็ดื่มแก้วเดียวกันจนหมดแล้วลุกขึ้นจากที่
สิ่งที่ปกปิดร่างกายของฮาจุนมีเพียงกางเกงว่ายน้ำตัวเดียวเท่านั้น มูคยอมก็อยู่ในชุดกางเกงว่ายน้ำตัวสั้นที่แนบสนิทไปกับร่างกาย อีกฝ่ายจับมือของฮาจุนดึงขึ้น ร่างกายของคนทั้งสองที่แทบจะเปลือยเปล่า เบียดเสียดกันโดยไม่ได้สนใจอะไร ภายใต้ร่มเงาเย็นสบายของหลังคาเรือ บนเรือยอร์ชที่แสงแดดสว่างแสบตาสาดส่องลงมา
“หายหิวไปพอสมควรแล้ว เล่นกันสักหน่อยแล้วค่อยกินให้หมดไหม”
“ที่นี่เหรอ…”
ฮาจุนถามขึ้นพร้อมกับลูบแผ่นหลังแข็งแรงที่มีความโค้งเว้าและตรงกลางเป็นร่องลึกลงไปราวกับคันธนู มูคยอมโฉบริมฝีปากลงมาทาบทับแทนคำตอบ