Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 169
“นี่นายจะหลอกฉันด้วยคำพูดที่ฟังไม่ขึ้นแบบนั้นเหรอ คิดว่าฉันโง่หรือไง”
“ไม่โง่สิ นายน่ะ ทั้งน่ารักแล้วก็แสนดีมากเลยนะ”
ฮาจุนงุนงงไปครู่หนึ่งเมื่อได้รับคำชมซึ่งโพล่งออกมาในเวลาที่ไม่คาดคิด แต่กระนั้นเขาก็รีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อตระหนักได้ว่านี่คือการแสดงของมูคยอม
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่ได้บอกนายล่วงหน้านะ ว่าจะไปดูการแข่งกับเขา เมื่อปีที่แล้วนายก็ไปทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าพี่แชฮุน จนฉันลำบากไปหมด ครั้งนี้ยังจะทำซ้ำอีกเหรอ”
“…”
“ถ้าตอนนั้นพูดคำว่าขอโทษออกมาแล้ว นายก็ไม่ควรทำมันอีกเป็นครั้งที่สองสิ”
แม้บทสนทนาที่เป็นภาษาเกาหลีจะทำให้อู่เฉินไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่สองคนกำลังพูดอยู่ได้ แต่ราวกลับรับรู้ได้ถึงความรุนแรงที่เริ่มก่อตัวขึ้นในบทสนทนา
อู่เฉินจึงได้พูดแทรกขึ้นมา
‘จุน ฉันไม่เป็นไร อันที่จริงมันก็เป็นเรื่องที่เสียมารยาทจริงๆ นั่นแหละ ที่ฉันเข้ามาในถึงพื้นที่ของผู้เกี่ยวข้องโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า’
‘ไม่สิ สตาฟคนอื่นเขาก็พาเพื่อน พาครอบครัวมา แล้ววันนี้ฉันก็มาที่นี่กับนายครั้งแรกด้วย’
ไม่รู้เพราะมีอะไรไปสะกิดให้ใจเจ็บขึ้นมา ขณะที่พูดอยู่ขอบตาของฮาจุนก็แดงขึ้นมาน้อยๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น มูคยอมจึงรีบคว้าแขนของฮาจุนอย่างรวดเร็ว
“ฉันขอโทษ”
“…”
ระหว่างที่ฮาจุนกำลังปรับทิศทางสายตาขึ้นมองคนตรงหน้าโดยไม่เอ่ยคำใด มูคยอมก็รีบขยับเข้าไปใกล้อู่เฉินอีกครั้ง
“อู่เฉิน ขอโทษนะครับ ผมเป็นพวกใจแคบ บางครั้งเลยอาจทำตัวเอาแต่ใจใส่คนอื่นแบบนี้ แต่ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรเลย ช่วยเข้าใจผมด้วยนะครับ”
‘ฮ่าฮ่า! ไม่เป็นอะไรเลยครับ นิสัยหัวรั้นนิดๆ ก็เป็นเสน่ห์ของคิมเลยนี่ สำหรับผมเมื่อกี้ก็เหมือนกับแฟนเซอร์วิสแหละครับ’
ทั้งๆ ที่โดนคำพูดก้าวร้าวของมูคยอมสาดใส่อย่างไม่ตั้งตัว แต่อู่เฉินกลับมองว่านั่นเป็นเรื่องขบขันที่สามารถมองข้ามไปได้ จนไม่ทันให้ได้รู้สึกอารมณ์เสีย จากนั้นอู่เฉินก็ได้ไปยืนยิ้มและถ่ายรูปร่วมกับมูคยอม
มูคยอมถึงกับเอาเสื้อทีมที่มีลายเซ็นของตนมาให้อู่เฉิน ก่อนจะทิ้งท้ายกับอู่เฉินว่าสามารถมาหากันได้เสมอและบอกลาตามมารยาท
“คิมนี่เพอร์เฟ็กต์กระทั่งมารยาทในการแฟนเซอร์วิสเลยนะเนี่ย สุดยอดจริงๆ”
ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่อู่เฉินเอ่ยชมมูคยอม ฮาจุนก็มักจะเป็นลูกคู่พูดชมเขาขึ้นมาอีกสองเท่าสามเท่า แต่ในครั้งนี้ฮาจุนกลับไม่ได้พูดอะไรออกมา แล้วอู่เฉินที่ออกมาจากห้องแต่งตัวก็ถามขึ้น
‘“แล้วเราล่ะ จะเอายังไงกันดี ไปหาผับนั่งดื่มกันสักหน่อยไหม”
‘“…วันนี้เราแยกย้ายกันกลับก่อนดีกว่าไหม ฉันมีงานจากสถาบันที่ต้องทำเยอะเลย”
“เอางั้นเหรอ จริงๆ พรุ่งนี้ฉันเองก็ต้องเข้างานเช้า ไว้เจอกันคราวหน้าแล้วกัน ดูเหมือนว่าตอนนี้นายสองคนจะคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในลอนดอนแล้วนี่ ดังนั้นต่อไปต้องมาเจอกันบ่อยๆ นะ ขอบคุณมากสำหรับวันนี้”
“อื้อ เดี๋ยวฉันไปที่สนามแข่งเลยแล้วกัน”
“โอเค แล้วเจอกันนะจุน! ”
อู่เฉินหอบหิ้วรอยยิ้มอิ่มเอมใจเดินออกไปตามทางเดิน เพียงแค่เดินตามบันไดไปยังที่นั่งผู้ชมอีกครั้ง ไม่นานก็จะถึงทางออก อู่เฉินเลยคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่ฮาจุนจะต้องเดินไปส่งเขา
ฮาจุนพูดคุยกับสตาฟคนอื่นๆ ขณะที่ขยับฝีเท้าเดินไป แม้จะไม่สามารถไปนั่งบริเวณม้านั่งข้างสนามแข่งได้ แต่บนรถบัสของทีมที่จะมุ่งหน้าไปยังสนามซ้อม ในวันนี้ก็มีที่นั่งสำหรับฮาจุนอยู่ และเฉกเช่นเมื่อตอนอยู่ในทีมซิตี้โซล ที่ของเขาคือที่นั่งข้างๆ คิมมูคยอม
ฮาจุนปิดปากสนิทและนั่งประจำที่ เพราะเพิ่งอาบน้ำไปได้ไม่นาน มูคยอมจึงปราศจากกลิ่นตัวที่ควรมีหลังเล่นกีฬาเสร็จ และหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นของแชมพู
ทั้งยังมีความเปียกชื้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนเส้นผม เมื่อฮาจุนนั่งลงข้างๆ มูคยอมก็เอนตัวเข้าหาทันที และเอ่ยคำขอโทษออกมาอีกครั้ง
“ขอโทษนะ ที่ฉันอดทนไม่ได้ ทำตัวเหมือนกับเด็กๆ ไปก้าวร้าวใส่คนอื่นอีกแล้ว”
“…ช่างเถอะ ยังไงอู่เฉินก็อารมณ์ดีกลับไปแล้ว”
“ไม่ใช่เรื่องเพื่อนคนนั้นสิ แต่เป็นเรื่องที่ฉันจะต้องทำให้คุณโค้ชหายอารมณ์เสียไง”
“ปล่อยทิ้งไว้เดี๋ยวฉันก็หายเองน่า”
นั่นเป็นคำพูดที่ถูกเลยละ ต่อให้มีเรื่องน่าโมโหหรือน่าหงุดหงิดใจแค่ไหน ความขุ่นเคืองของฮาจุนก็ไม่เคยปรากฏให้เห็นนานมากนัก ซึ่งถือว่าเทียบเท่ากับที่เป็นเหตุผลมาจากความรู้สึกและอารมณ์ส่วนตัว
ที่มูคยอมเลือกจะพูดขอโทษซ้ำๆ ไม่ใช่เพราะเขาไม่รู้ว่าเวลาจะเป็นตัวช่วยจัดการทุกอย่าง มันคงจะฟังดูย้อนแย้งหากมูคยอมบอกฮาจุนว่าอย่าโมโหกัน ในขณะที่ตัวเขาเองก็ชอบทำเรื่องยั่วโมโหอยู่เรื่อย แต่ถึงอย่างนั้น มูคยอมก็ไม่ชอบเอาซะเลยเวลาที่ฮาจุนโมโหใส่ ไม่สิ ถ้าไม่ได้เป็นคนโรคจิต ก็คงไม่มีใครชอบที่โดนโมโหใส่อยู่แล้ว ถ้าจะพูดให้ถูก ต้องบอกว่ามูคยอมรู้สึกกลัวมากกว่า
หากฮาจุนโมโหแบบนี้จนระเบิดลง แล้วต่อยกำแพงอีกคงเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ และถ้าเป็นแบบนั้นมือของฮาจุนก็อาจจะเจ็บไปด้วย เขาจึงปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด มูคยอมกำลังทำตัวไม่ถูกและพยายามสำรวจท่าที่ของฮาจุน ทว่าใบหน้าด้านข้างที่เรียบร้อยนั้น กลับปรากฏเพียงความเศร้าหมอง ไม่ได้ดูเหมือนว่ากำลังโกรธเคืองอะไร
“โค้ชครับ ฉันขอโทษจริงๆ นะ”
เมื่อเอ่ยคำว่า ‘ขอโทษ’ ออกมาอีกครั้งเพราะไม่มีคำใดที่จะพูดออกไปอีก ฮาจุนก็หันมองมูคยอมแล้วพูดขึ้น
“เมื่อก่อนนี้นายก็เคยพูดไปแล้วนี่ คำว่าขอโทษ”
ทั้งๆ ที่ไม่ใช่วัยที่จะต้องมานั่งกังวลเรื่องปัญหาข้อต่อแท้ๆ แต่ทำไมตอนนี้มูคยอมถึงได้รู้สึกเจ็บไปถึงกระดูกเลยนะ
เมื่อรถบัสมาถึงสนามซ้อม พวกเขาย้ายไปขึ้นรถตัวเองเพื่อกลับบ้าน ระหว่างนั้นมูคยอมก็ปิดปากเงียบสงบเสงี่ยมมาตลอดทาง ทว่าเขาก็ยังสงสัยว่าอะไรคือสาเหตุที่ฮาจุนโมโหจนกลับออกไปคนเดียว หรือกระทั่งสาเหตุที่ฮาจุนไม่ยอมออกไปเที่ยวเล่นรอบสองต่อกับอู่เฉิน
หลังจากเข้ามาในบ้าน ฮาจุนแยกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะที่มูคยอมนั่งรอฮาจุนอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ฮาจุนในชุดนอนเดินเข้ามาหามูคยอม และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เริ่มอ่อนลงเล็กน้อย
“ฉันว่าจะไปนั่งทำงานที่ห้องอ่านหนังสือ ส่วนนายก็ไปนอนพักผ่อนก่อนเถอะ คงจะเหนื่อยมากแน่ๆ วันนี้”
“ฮาจุน ไม่เอาแบบนี้สิ ไปนอนพักด้วยกันนะ”
“ที่ไม่ไปเพราะฉันงานยุ่งจริงๆ”
ฮาจุนวาดยิ้มออกมาและตบไหล่มูคยอมเบาๆ ก่อนจะเดินออกไป มูคยอมมองแผ่นหลังนั้นพลางถอนหายใจยาวเหยียด ขณะเอนตัวนอนตะแคงลงบนโซฟา
เพราะเอาแต่พูดคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมา สิ่งที่ฮาจุนรู้สึกในตอนนี้อาจจะมีแค่ความเบื่อหน่ายก็ได้
ฮาจุนก็บอกก่อนแล้วแท้ๆ ว่าจะมาดูการแข่งกับเพื่อน ซึ่งนั่นก็แน่นอนว่ามูคยอมจะต้องได้เห็นภาพที่ทั้งสองคนนั่งชมการแข่งขันอยู่ข้างกัน แต่ว่า
‘บ้าเอ๊ย ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แล้วการไปกอดกันแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงล่ะ!”
ในกีฬาฟุตบอล ทุกการทำประตูมีค่าเท่ากับ 1 คะแนน ไม่ว่าจะเป็นลูกที่ยิงจากหน้าประตูหรือลูกที่ยิงจากเส้นแบ่งแดน คะแนนที่ออกมานั้นก็ไม่ได้แตกต่างกัน แต่ยิ่งทำประตูได้จากจุดที่ไกล ยิ่งอยู่ในสถานการณ์ที่ยาก หรือยิ่งทำออกมาได้เท่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับผู้ชมได้มากเท่านั้น
หลังทำประตูที่ตัวเขาเองสุดแสนจะภูมิใจจนคิดว่านี่อาจะเป็นการลูกยิงที่ดีที่สุดในฤดูกาลของเขาเลยก็ว่าได้ มูคยอมก็วิ่งไปยังจุดที่ฮาจุนอยู่ ในตอนนั้นเองถ้าเขาไม่ได้เห็นภาพที่ไอ้คนที่ชื่ออู่ฉงอู่เฉินอะไรนั่นกำลังเอาข้อมือพาดอยู่บนไหล่ฮาจุนและดึงเข้าหาตัวอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ มูคยอมก็คงไม่เผยนิสัยเอาแต่ใจออกไปแบบนั้น
มิหนำซ้ำเขายังเห็นฮาจุนที่ร่วมหัวเราะคิกคักสนุกสนานไปด้วยโดยไม่คิดอะไรอีก แล้วจะให้เขาทำยังไง
‘ฮาจุนเคยสัญญาแล้วนี่ ว่าต่อไปจะระวังไม่ให้ใครมามือไวใส่ ครั้งนี้ก็เป็นความผิดของโค้ชอีด้วยเหมือนกันนะ’
มูคยอมพยักหน้าหงึกหงักอยู่คนเดียว พยายามลองหารความผิดของตัวเองอยู่ในใจ แต่ต่อให้คิดแบบนั้น ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายลง และตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นด้วย
ขณะที่คิดว่าหรือเขาควรจะไปหาฮาจุนที่ห้องอ่านหนังสือแล้วขอโทษอีกสักครั้ง แต่เมื่อลองมาคิดดู มูคยอมก็รู้สึกว่ามันก็เป็นอะไรที่น่ารำคาญมากพอตัว กับคำขอโทษที่ถูกพูดซ้ำไปซ้ำมายาวเกือบสี่ท่อน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เพลงชาติด้วยซ้ำ พอจะมีทางไหนที่เขาจะเนียนพาเจ้าลูกวัวไปที่ห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น เพื่อที่จะเปลี่ยนบรรยากาศไหมนะ
หลังจากที่นอนเอานิ้วท้าวคางและติดอยู่ในห้วงความคิดด้วยเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นอยู่ครู่หนึ่ง มูคยอมก็ยืดตัวตรงขึ้น
ประตูบานสูงของห้องอ่านหนังสือถูกเปิดออกอย่างไร้สิ้นเสียง ฮาจุนที่นั่งหันหน้าเข้าหาโต๊ะและกำลังจัดเอกสารบางอย่างอยู่เงยหน้าขึ้นมอง
“มีอะไรเหรอ”
ตอนนี้สีหน้าของฮาจุนดูสงบลงเล็กน้อยแล้ว มูคยอมจึงคิดว่าคงไม่ยากในการพาฮาจุนไปใช้เวลาที่อ่อนหวานด้วยกันที่เตียงหรือโซฟา จากประสบการณ์ที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าได้ผล มูคยอมรู้ดีเลยละ ถึงวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าหาฮาจุนในช่วงเวลาแบบนี้
มูคยอมเบ้หน้าเล็กน้อยแล้วเอามือทาบลงบนหน้าผากตัวเอง
“โค้ชครับ”
“อื้อ”
“ฉันว่าฉันตัวร้อน”
“ตัวร้อนเหรอ เป็นไข้หรือเปล่า ช่วงนี้มีคนเป็นไข้เยอะด้วยนี่”
อย่างที่คาดไว้ ฮาจุนผุดลุกจากที่นั่งด้วยความตกใจ โยนเอกสารที่ดูอยู่ก่อนหน้าทิ้งจากมือและเดินเข้ามาใกล้ มูคยอมเองก็เดินเข้าไปหาฮาจุนขณะที่ฮัมเพลงอยู่ในใจ
เมื่อเรียวมือขาวของฮาจุนทาบลงบนหน้าผากของเขา มูคยอมก็ถอนหายใจยาวเหยียดออกมา สัมผัสอ่อนโยนจากมือของฮาจุนช่างน่ารักน่าเอ็นดูแบบไม่มีที่สิ้นสุดเลยจริงๆ
“ตัวร้อน…เหรอ แค่ใช้มือวัดฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน”
ฮาจุนเผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล ลองแตะมือตัวเองที่วางแนบอยู่บนหน้าผากของมูคยอม และกลอกตาไปมาด้วยความสับสน
ท่าทางนั้นน่ารักจนมูคยอมเกือบหลุดหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เขาก็พยายามกัดฟันกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ด้วยความยากลำบาก และแล้วมือที่สัมผัสอยู่บริเวณหน้าผากอยู่ช่วงหนึ่งก็ผละออกไป
“เดี๋ยวลองใช้ปรอทวัดไข้ดู ถ้าอาการไม่ดี อย่างน้อยตอนนี้ฉันจะได้รีบโทรบอกผู้จัดการทีม แล้วให้นายพักจะดีกว่า”
ถ้าเอาปรอทวัดไข้มาวัด ต้องความแตกแน่ๆ ว่าเขาป่วยการเมือง…
แม้จะคิดเช่นนั้น แต่มูคยอมก็เดินตามฮาจุนที่จับมือเขานำอยู่ด้านหน้า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้ามีโอกาสที่ทำให้เราได้คุยอยู่ในที่เดียวกัน มูคยอมก็อาจจะสามารถคลายอารมณ์ที่ขุ่นมัวของฮาจุนได้
ส่วนเรื่องแกล้งป่วย มูคยอมจะดื้อด้านเถียงกลับไปว่าเป็นความผิดของปรอทวัดไข้ก็ย่อมได้ และเขาก็ยังยืนยันได้อีกว่าต่อให้ไม่มีไข้ แต่สภาพร่างกายของเขาก็ไม่สู้ดีนัก ไม่ต่างจากเวลาที่โดนพิษไข้เล่นงานเลยสักนิด
ฮาจุนเดินเข้ามาในห้องนอน จับตัวมูคยอมให้นั่งลงบนเดียง แล้วไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาเปิดออก นำปรอทวัดไข้สอดไปที่หูของมูคยอมและกดปุ่มให้เครื่องทำงาน หลังเสียงติ๊ดเบาๆ ดังขึ้น ฮาจุนก็ตรวจสอบตัวเลขที่โชว์อยู่บนจอของปรอทวัดไข้
“ไม่มีไข้นี่”
ฮาจุนพูดงึมงำและก้มมองคนที่นั่งอยู่ ก่อนที่มูคยอมจะยักไหล่ขึ้นมาน้อยๆ
“น่าจะเพราะไข้ต่ำ เลขก็เลยไม่ขึ้นในปรอท แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกหนาวๆ สั่นๆ เหมือนตอนเป็นไข้เลย”
“ฉันต้มชาให้ไหม ถ้าไม่ได้เป็นหนักมาก แค่ดื่มอะไรอุ่นๆ แล้วนอนพักสักหน่อย อาการอาจจะดีขึ้นก็ได้”
“ชาน่าสนใจเลยนะ… แต่ฉันอยากได้ฮาจุนมานอนข้างๆ กันมากกว่า”
มูคยอมรีบคว้าเอวของฮาจุนอย่างรวดเร็ว และดึงลงไปที่เตียง
ฮาจุนถูกดึงลงไปอย่างไม่ทันตั้งตัวและไม่ทันจะได้ส่งเสียงอะไรออกมา สุดท้ายก็ถูกแขนของมูคยอมกักตัวเอาไว้ให้ลงไปนอนอยู่บนเตียง เมื่อหมุนตัวกลับมาดีๆ ทั้งสองก็หันมาเผชิญหน้ากัน ก่อนจะเปลี่ยนท่าและนอนตะแคงข้างเข้าหากัน มูคยอมวาดยิ้มที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูออกมา
“ให้นอนคนเดียว ฉันก็เหงาแย่เลยสิ”
ฮาจุนยังคงไม่พูดอะไร เขาทำเพียงแค่ประสานสายตากับมูคยอม และกระพริบตาเพียงไม่กี่ครั้ง แต่แล้วรอยยับน้อยๆ ก็ปรากฏขึ้นที่ระหว่างคิ้วของฮาจุน
ฮาจุนสลัดแขนที่มาก่ายตัวเองไว้ให้หลุดออก และระหว่างที่มูคยอมกำลังอยู่ในอาการงุนงง ฮาจุนก็ผุดลูกขึ้นนั่งบนเตียง
“นี่นายแกล้งป่วยอีกแล้วเหรอ”
“หืม ไม่ใช่นะฮาจุน ไม่ใช่แบบนั้น”
ฮาจุนเสยผมหน้าม้าที่ยุ่งเหยิงขึ้น เขาถอนหายใจสั้นๆ แล้วกดเสียงต่ำลง
“ถ้าไม่ได้มองว่าฉันโง่มาก แล้วทำไมนายถึงได้ทำแบบนี้ทุกครั้ง”
“ไม่สิ! โง่อะไรกัน ฉันจะไปคิดอย่างนั้นกับนายได้ยังไง!”
มูคยอมรีบคว้ามือของฮาจุนเอาไว้ ดึงขึ้นมาใกล้อกเหมือนท่าทางที่กำลังอธิษฐานบางอย่าง จากนั้นจึงพูดต่อขึ้นมา
“ที่ฉันทำแบบนี้เพราะฉันอยากขอโทษ แต่การที่จะมาคุยกันได้ ก็ต้องเป็นตอนที่เราอยู่ด้วยกันสองคนใช่ไหมล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็ควรจะพูดตรงๆ ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในห้องอ่านหนังสือสิ ทำไมต้องมาโกหก แล้วแกล้งกันแบบนี้ด้วยล่ะ”
“ก็นายบอกว่าเบื่อคำว่าขอโทษ แล้วฉันก็อยากอยู่กับนายด้วย เลยทำแบบนี้”
“…เวลาที่นายบอกขอโทษฉัน แล้วฉันต้องตอบว่า ‘โอเค ฉันไม่เป็นไร’ กลับไปทันทีเลยเหรอ นายช่วยรอให้ฉันได้จัดการความคิดตัวเอง แล้วอารมณ์ดีขึ้นกว่านี้ไม่ได้เหรอ”
มูคยอมไม่สามารถตอบกลับได้ในทันที เขาสูดลมหายใจเข้าทางปาก และพูดออกมาด้วยเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง
“ก็ดูเหมือนนายกำลังโมโหอยู่ แล้วจะให้ฉันอยู่เฉยได้ยังไง…”
บอกเช่นนั้นเสร็จ มูคยอมก็รีบพูดต่อ
“ฉันเองก็ไม่ได้คิดว่าจะทำถึงขนาดนั้นสักหน่อย แต่ไอ้นั่นมันไม่ระวังตอนแตะตัวนายเลยนี่ แถมยังดึงนายเข้าไปกอดอีกด้วย มันร้ายมากเลยนะ”
“ตอนไหนกัน เขาไม่เคยทำแบบนั้นสักหน่อย”
“ไม่สิ! ฉันมองเห็นชัดแจ๋วเลยนะว่าเขาทำอะไรบ้างตรงที่นั่งคนดู ตอนฉันฉลองที่ทำประตูได้ ฉันรู้สึกไม่สบายใจตั้งแต่แรกแล้ว ที่หลังออกจากสถาบันภาษาก็แทบจะไม่ค่อยได้ติดต่อกันเลยใช่ไหมล่ะ แต่จู่ๆ ก็ชวนมาดูการแข่งด้วยกันเนี่ยนะ อย่างที่คิดไว้เลย มันจะมาทำตัวแบบนั้นในที่สนามแข่งไง”
“ทำตัวแบบนั้นเหรอ”
“ใช่ เจ้านั่นอาจทำลงไปทั้งที่ไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้ แต่ก็แค่ยังไม่ได้คิด ถ้าเกิดพวกนายไปเจอกันสองคนถึงสองสามครั้งและเริ่มสนิทกัน ต่อให้ตอนนี้จะยังไม่ได้คิดอะไรเกินเลย แต่ท้ายที่สุดเจ้านั่นอาจจะตกหลุมรักนายก็ได้ ไม่มีพล็อตละครไหนที่เกลื่อนเท่ากับการที่มิตรภาพเปลี่ยนเป็นความรักอีกแล้วล่ะ”
คำพูดนั้นฟังดูเด็ดขาดและมั่นคง ฮาจุนจมอยู่ในความคิดอยู่ด้วยสีหน้าไม่พอใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังมูคยอม
“อย่าบอกนะว่านายกำลังพูดถึงตอนที่ตัวเองเตะบอลเข้าประตู แล้วฉันโดนดึงเข้าไปกอดแค่แป๊บเดียว มันแค่แป๊บเดียวเลยจริงๆ นะ”
“แต่มันก็แตะตัวนายนี่”
“คิมมูคยอม นายไม่รู้เหรอว่าคนเราเวลาเชียร์บอลจะเป็นยังไง ไม่มีใครเขามีสติหรอกนะ บางทีเวลาลูกเข้าประตูก็หันไปกอดคนกับที่ไม่รู้จักที่นั่งอยู่ข้างๆ หรือบางทีก็ตะโกนเสียงดังออกมา มันเป็นการกระทำที่เกิดจากเจตนาที่ไม่ดีหรือไง
อู่เฉินเขาเป็นแค่เพื่อนของฉัน ดังนั้นฉันไม่ได้คิดอะไรมากมายเลย ถ้าอย่างนั้นทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ ฉันจะต้องผลักคนที่เข้ามาใกล้ออกให้หมดเลยเหรอ”
“แล้วนายทำแบบนั้นไม่ได้เหรอ ฉันไม่ชอบให้ใครมาแตะตัวนายเลย”
“นายลองเปลี่ยนมุมมองแล้วคิดตามนะ เวลาที่นายทำประตูได้ นักเตะคนอื่นก็เข้ามากอดมาแตะตัวนายแล้วแสดงความยินดีด้วย ถ้าฉันบอกว่า ฉันไม่ชอบให้นายทำแบบนั้น นายจะไม่ทำให้ฉันได้ไหม”
“ถ้านายห้ามไม่ให้ทำ ฉันก็ไม่ทำให้ได้นะ”
คำตอบที่โพล่งออกมาทันทีโดยไม่ต้องคิดสักนิดของมูคยอม ทำเอาฮาจุนถึงกับยกมือขึ้นแปะหน้าผากราวกับรู้สึกปวดหัว เสียงพูดของฮาจุนอ่อนแรงลงเล็กน้อย
“โอเค ฉันก็พอจะรู้ แต่นายก็รู้นี่ว่าตอนซ้อมฉันก็พยายามระวังตัวเท่าที่จะสามารถทำได้ เพราะฉันรู้ว่านายไม่ชอบ”
“ฉันรู้น่า แล้วฉันก็รู้สึกขอบคุณอยู่ตลอดเลยด้วย แต่วันนี้… ที่ฉันพูดจาหยาบคายกับเพื่อนคนนั้นไป มันคือความผิดของฉันเอง ต่อไปฉันจะไม่ให้มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว”
ฮาจุนไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาลดสายตามองต่ำลงพร้อมกับคิ้วที่ตกลงเล็กน้อย เป็นสีหน้าที่อัดแน่นไปด้วยความเศร้าเสียใจ มากกว่าที่จะเป็นความขุ่นเคือง
มูคยอมเม้มปากแน่น ใบหน้าเศร้าเสียใจที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นทำเอามูคยอมตั้งตัวตรงขึ้น ฮาจุนขยับปากอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะส่งเสียงพูดออกมา
“ระหว่างที่ดูการแข่งวันนี้ฉันสนุกมากจริงๆ นะ แล้วหมอนั่นก็เป็นทั้งแฟนคลับของกรีนฟอร์ดแล้วก็แฟนคลับนาย เขาพูดถึงนายเยอะเลยด้วย… นายเองก็น่าจะรู้ว่าในกลุ่มนักเตะด้วยกันเอง การพูดถึงนักเตะคนอื่นอย่างเป็นธรรมชาติมันยากมากเลยนี่ ถ้าไม่รวมเพื่อนร่วมทีมในลอนดอน ฉันก็ยังไม่มีใครที่สนิทด้วยจริงๆ เลย”
“…”