Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 171
“ขอโทษนะ ทั้งๆ ที่เมื่อวานนายก็บอกฉันแล้วว่าป่วย…”
“หือ”
“แต่ฉันก็ไปหาว่านายแกล้งป่วย แล้วยังโมโหใส่อีก… ฉันไม่คู่ควรที่จะเป็นโค้ชเลยจริงๆ”
แม้เรี่ยวแรงของฮาจุนหายไปจนหมดสิ้น แต่เขาก็ยังวุ่นอยู่กับการขยับไม้ขยับมือเช็ดเหงื่อให้มูคยอม เขาใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตั้งแต่หลังคอไปจนถึงหลัง
แล้วเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวใหม่ให้กับมูคยอม ระหว่างนั้นเองมูคยอมก็ไม่สามารถจะพูดอะไรต่อได้ ทำเพียงแค่กระพริบตาและปิดปากเงียบเท่านั้น
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จฮาจุนก็ขยับไปนั่งบริเวณขอบเตียง และวางมือลงบนหน้าผากของมูคยอม หลังวางมือจากหน้าที่ในสถานการณ์ที่เศร้าหมอง ฮาจุนก็ไม่กล้าที่จะสบตามูคยอมตรงๆ เหมือนกับคนที่ทำความผิดเอาไว้
“เดี๋ยวหมอก็มา แล้วก็ขอโทษนะ ที่เมื่อวานไม่ตั้งใจฟังสิ่งที่นายพูดให้ดี”
“ฉันบอกแล้วว่าปรอทวัดไข้มีปัญหา ก็ช่วยไม่ได้นี่”
“แต่ฉันก็ไม่ควรจะตัดสินง่ายๆ ว่านายโกหกสิ แล้วฉันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นถึงโค้ชกายภาพเลยนะ ทั้งๆ ที่ฉันใช้ชีวิตอยู่กับนายแท้ๆ…”
มูคยอมกลืนน้ำกลายเหนียวหนืดลงคอ ฮาจุนบ่นงึมงำเหมือนกำลังพูดอยู่กับตัวเอง จากนั้นม่านตาของฮาจุนก็เบิกกว้างขึ้นมา
“ทั้งโดนสั่งให้ออกจากสนามเพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ระหว่างการแข่งขัน ไหนจะเมินเฉยกับคำพูดของนักเตะที่บอกว่าตัวเองป่วย แล้วยังไปบอกอีกว่าเขาแกล้งป่วยโดยที่ไม่ยอมตรวจดูให้ดีก่อน… ทำไม… ช่วงนี้ฉันถึงเป็นแบบนี้นะ ดูเหมือนฉันจะทำมันได้แย่ลงทุกทีเลย ในฐานะคนรักก็ยังไม่ได้เรื่องอีก”
“นี่ๆๆ โค้ชครับ อย่าร้องนะ”
“ฉันขอโทษจริงๆ นะ”
“ไม่สิ เมื่อวานฉันไม่ได้รู้สึกป่วยอะไรเลยจริงๆ นะ แบบว่า… แทบจะแข็งแรงแบบสุดๆ ไปเลย!”
“ถึงจะนิดหน่อย แต่นายก็รู้สึกไม่ดีอยู่ดี นายบอกเองนี่ว่ารู้สึกเหมือนตัวร้อน”
ท้ายที่สุดมูคยอมก็ถอนหายใจยาวออกมาเหมือนเป็นสัญญาณที่แสดงถึงความยอมจำนน จากนั้นเขายักไหล่ขึ้นขณะที่นอนอยู่ และปิดเปลือกตาลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ไม่สิ เมื่อวานนี้ฉันแกล้งป่วยจริงๆ นะ เพราะอยากเรียกร้องความสนใจจากนายไง”
คำสารภาพถูกปล่อยออกมาหลังไม่สามารถเก็บกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป ดวงตาดำวาวและกลมโตที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาเบาบางเหมือนกับผืนม่านกระพริบปริบๆ ขณะมองไปยังมูคยอม
เหมือนลูกวัวไม่มีผิดเลยละ เจ้าลูกวัวขาวที่น่ารักที่สุดในโลกของฉัน ระหว่างที่มูคยอมกำลังชื่นชมคนรักอยู่ในใจ จนแล้วจนรอดหยดน้ำตาเม็ดกลมก็ร่วงหล่นลงจากดวงตาของฮาจุน เจ้าตัวรีบยกข้อมือขึ้นเช็ดน้ำตา แล้วพยักหน้า
“ขอบใจนะ ที่ช่วยพูดแบบนี้”
“…”
“ฉันเองก็จะหยุดงอแงแล้ว นายยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกหรือเปล่า”
ตรงหัวใจฉันนี่ไง…!
มูคยอมกัดฟันแน่น และเพราะไม่มีอะไรที่จะพูดต่ออีก เขาจึงทำเพียงแค่ส่งเสียงโอดครวญอยู่ในปากเท่านั้น และในตอนนั้นเองเสียงกริ่งก็ดังขึ้น
“หมอน่าจะมาแล้วนะ”
ฮาจุนรีบลุกยืนขึ้น สาวเท้าวิ่งออกจากห้องนอน มูคยอมที่ไม่สามารถตามออกไปได้ ทำเพียงแค่มองตามไปจากด้านหลังในขณะที่ยังนอนอยู่บนเตียง แล้วจึงกลับมาจ้องไปยังเพดานด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
“เป็นไข้น่ะครับ เอาจริงๆ ก็ไม่ใช่อะไรที่ต้องกังวลขนาดนั้น แล้วก็ไม่ใช่โรคติดต่อด้วย ตอนที่ดูแลก็ไม่ต้องจำเป็นระวังอะไรเลยครับ พักผ่อนอีกสักสองสามวันอาการจะดีขึ้นเอง”
“ขอบคุณครับคุณหมอ”
หลังได้ยินคำวินิจฉัยที่รวดเร็วและแม่นยำจากหมอ ฮาจุนก็ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ คุณหมอหยิบห่อยาและขวดยาน้ำออกมาจากกระเป๋าสำหรับใช้ปฏิบัติการนอกสถานที่ แล้ววางลงบนโต๊ะ
“ผมเตรียมยาให้สำหรับสองวัน แค่นี้น่าจะพอครับ อันนี้ให้ทานหลังอาหารนะครับ นานแล้วเหมือนกันนะที่ผมไม่ได้มาบ้านคิม’
“เมื่อก่อนเขาก็มีป่วยบ้างเหรอครับ”
“ไม่นะครับ เอาจริงๆ เขาสุขภาพดีมากจนแทบจะไม่มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นเลย แต่ตอนที่มาอยู่กรีนฟอร์ดแรกๆ หลังจบการแข่งใหญ่ก็มีไข้ขึ้นอยู่ครั้งสองครั้งครับ น่าจะเกิดจากความเครียด”
“ความเครียด…”
มูคยอมที่ฟังอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วขึ้น
“อย่าพูดอะไรที่ไม่เกี่ยวกันสิครับ’
“พอเห็นว่ามีคนดูแลผมก็โล่งใจครับ เดี๋ยวทานยาลดไข้ไป ไม่นานไข้ก็จะลดเอง ถ้าอุณหภูมิร่างกายกลับไปเป็นปกติเมื่อไหร่ ก็สามารถกลับไปลงสนามได้ทันทีแบบไม่มีปัญหาเลยครับ แต่ผมก็แนะนำให้พักสักสองวันจะดีกว่า ส่วนเรื่องอาหารการกินไม่ได้มีอะไรที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษครับ แค่พยายามเลี่ยงอาหารมัน ทานอะไรที่ย่อยง่ายๆ แล้วก็ทานผักกับผลไม้ให้เยอะๆ ด้วยนะครับ”
“ได้เลยครับ ขอบคุณมากนะครับ ลาก่อนครับ”
ฮาจุนเดินออกไปส่งหมอถึงบริเวณทางเข้าบ้าน จากนั้นเขาก็กลับมายืนพิงหลังกับประตูที่ถูกปิดลง เขายืนเหม่ออยู่สักพักและเดินกลับไปที่ห้องนอนด้วยความอิดโรย
“เพราะความเครียดเหรอ… ”
ตอนนี้ฮาจุนกำลังมึนหัวไปหมด ไม่ว่าจะคิดยังไง เมื่อวานเรื่องที่พอจะทำให้มูคยอมเครียดได้ ก็มีแค่เรื่องนั้นเรื่องเดียว เรื่องที่มีปากเสียงกับเขา
พอลองนึกย้อนกลับไป นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตอนที่อยู่โซลหลังจากที่ทะเลาะกับเขา มูคยอมก็ไม่สามารถกินข้าวได้เหมือนปกติ ทั้งยังมีไข้น้อยๆ อยู่ตลอด จนคนทั้งทีมไม่สบายใจกันไปหมด
เพราะเป็นเรื่องที่เคยเจอมาก่อน เขาก็ควรจะต้องเดาได้สิว่าเรื่องจะออกมาเป็นยังไง ดังนั้นเมื่อคืนพวกเขาควรจะเคลียร์กันให้จบ ปรับอารมณ์ให้ดีก่อน แล้วค่อยให้มูคยอมไปนอนสิ
มูคยอมที่ยังคงพลังล้นเหลือ แม้จะเพิ่งจบจากการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกมา ไม่มีทางจะรู้สึกกดดันมากถึงขนาดที่จะป่วยจนไข้ขึ้นเพราะการแข่งขันในลีกเกาหลีใต้ที่แปลกใหม่สำหรับเจ้าตัว เมื่ออยู่บนสนามคิมมูคยอมไม่เคยอยู่หลังใครไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการต่อสู้ทางร่างกาย ทางคำพูด หรือแม้แต่ทางจิตใจ
การที่เมื่อวานทำประตูสุดยอดเยี่ยมและพาทีมไปสู่ชัยชนะได้ แทนที่ความดีใจนั้นจะไปช่วยลบล้างมาความเครียด แต่กลับกลายเป็นว่ามาเครียดเพิ่มเพราะทะเลาะเรื่องเล็กน้อยกับเขาจนไข้ขึ้นเลยเนี่ยนะ
‘…ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าตกลงแล้วมูคยอมเป็นคนที่แข็งแกร่งหรือเปราะบางกันแน่…’
สำหรับฮาจุนการที่เครียดจนไข้ขึ้นเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจจริงๆ
หากเป็นในกรณีที่เป็นเรื่องส่วนตัวก็คงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร แต่นี่คือภาระหน้าที่ซึ่งสำคัญที่สุดของโค้ชทางด้านกายภาพที่จะต้องดึงเอาศักยภาพทางด้านร่างกายและจิตใจของนักเตะแต่ละคนที่แตกต่างกันทั้งพละกำลังทางกาย ลักษณะนิสัย พฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ รวมถึงจุดแข็งและจุดอ่อน เพื่อที่จะสร้างทีมที่เหมาะสมที่สุดขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่อยู่ในตำแหน่งโค้ชฮาจุนก็ยังอยู่ในตำแหน่งคนรักของมูคยอมด้วยไม่ใช่เหรอ
แม้เขาจะชอบมูคยอมอยู่ฝ่ายเดียวมาเป็นเวลา 10 ปี แต่ช่วงเวลาที่เราคบกันนั้นยังไม่ถึง 1 ปีเลยด้วยซ้ำ คนเรานี่ก็เปลี่ยนไปมากเลยนะ เมื่อเริ่มคุ้นชินกับความสัมพันธ์ใหม่ เราก็จะค่อยๆ ปล่อยให้อารมณ์เป็นตัวนำการกระทำ
หากเป็นเมื่อก่อน ฮาจุนจะโมโหแล้วถามออกไปทันทีเลยว่าแกล้งป่วยใช่ไหม ง่ายๆ แบบนี้เลยไหมนะ จากนั้นมูคยอมก็ตัวติดหนึบอยู่กับเขาแล้วบอกกลับมาว่าอยากอยู่ด้วย ถ้าเป็นตอนนั้นเขาจะลุกออกจากที่นั่งแล้วทิ้งงานไว้โดยอ้างว่าจะเป็นอะไรไปถ้าเลื่อนทำไปสักวัน แล้วทิ้งให้มูคยอมงอแงอยู่คนเดียวไหมนะ
“ฉันมันแย่มากเลย…”
ฮาจุนยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้าตัวเองเอาไว้ราวกับว่ากำลังรู้สึกละอายใจ เขายืนอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ก่อนจะจ้องเขม็งขึ้นมาเหมือนคนที่ตัดสินใจบางอย่างได้
ไม่นานนักฮาจุนก็เคลื่อนเท้าเดินไปทางห้องนอน เขาเข้าไปใกล้มูคยอมที่นอนอยู่แล้วจึงนั่งลง
“เป็นไงบ้าง”
“จะเป็นยังไงได้ ฉันไม่ได้เป็นหนักขนาดนั้นสักหน่อย”
“ขนาดนี้ก็ถือว่าไข้สูงแล้วนะ”
“รู้แล้วๆ ฉันจะระวังตัวให้ดี”
มูคยอมตอบกลับไปอย่างไม่จริงจังพลางกระตุกยิ้มขึ้นมา จากนั้นจึงวางมือลงบนหน้าท้องของฮาจุน
“โค้ชครับ นี่เลยเวลาหิวของนายไปแล้วนะ ไปกินข้าวเช้ากันดีกว่า หมอบอกให้กินอะไรที่ย่อยง่ายๆ งั้นต้มซุปมันฝรั่งกินกันไหม ครั้งที่แล้วนายก็กินซุปที่ฉันทำให้อย่างอร่อยเลยนี่ หรือจะทำซุปถั่วลันเตากันก็ได้”
“เอาสิ”
“รอก่อนนะ เดี๋ยวฉันไปทำให้”
พูดเช่นนั้นจบ มูคยอมก็ทำท่าจะลุกขึ้น จนฮาจุนตกใจรีบกดตัวคนบนเตียงให้นอนลงอีกครั้ง
“แล้วทำไมคนไปทำถึงได้เป็นนายล่ะ”
“ก็นายทำอาหารไม่ได้นี่”
“…เพราะว่าฉันไม่ได้ทำบ่อยเลยดูเหมือนทำไม่ได้ต่างหาก ถ้าให้ทำจริงๆ ฉันก็ทำได้นะ ตอนที่อยู่บ้านเวลาแม่ไม่ว่างหรือไม่สบายฉันเป็นคนทำอาหาร ยังไงบนอินเทอร์เน็ตก็มีสูตรอาหารบอกหมดอยู่แล้ว”
“แต่แม่นายบอกนะ ว่านายทำอาหารไม่ได้เลย”
“เรื่องนั้น… แม่พูดแบบนั้นเพราะว่าฉันไม่ได้ทำอร่อยมากต่างหาก”
“แต่ฉันอยากกินอะไรอร่อยๆ นะ”
ฮาจุนไม่ได้ตอบกลับไป และหันกลับมาจัดผ้าห่มให้เรียบร้อยแทน เขาตบแก้มของมูคยอมเบาๆ แล้วพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง
“อยู่รอเฉยๆ ให้มันว่าง่ายหน่อย ฉันจะไปทำอาหารเช้าให้นายเอง หลังจากกินข้าวก็กินยาซะ วันนี้นายห้ามทำอะไรเด็ดขาด ฉันจะเป็นคนทำทุกอย่างให้เอง”
“ป่วยแค่นี้ เดี๋ยวไข้ก็ลดแล้ว ฉันไม่ได้เป็นหนักขนาดขยับตัวไม่ได้สักหน่อย”
“เรื่องนั้นมันก็แน่อยู่แล้ว แต่ถึงจะขยับตัวได้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไปทำอาหารได้สักหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นไปที่ครัวด้วยกันเถอะ อย่างน้อยฉันขอไปยืนดูข้างๆ ก็ได้”
ฮาจุนตบลงบนอกของมูคยอมเป็นเชิงบอกว่าจงนอนอยู่นิ่งๆ ซะ จากนั้นจึงพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยนและอบอุ่นจนไม่ว่าใครก็ต้องยอมเชื่อ
“ถ้าให้ฉันบอกพักก็คือพัก ถ้านายไม่สบายใจล่ะก็ ฉันจะมาขอความช่วยเหลือจากนายตอนที่รู้สึกว่ามันทำยาก แบบนี้โอเคไหม”
มูคยอมจ้องมองใบหน้าที่น่าเชื่อถือนั้นด้วยแววตาที่ไม่สบายใจ ทว่าสุดท้ายเขาก็ตอบตกลงออกไป เมนูซุปก็แค่เอาส่วนผสมไปผัด บด แล้วก็ต้มเท่านั้น… คงไม่เป็นอะไรหรอก
“เข้าใจแล้ว งั้นฝากท้องด้วยนะ”
“อื้อ นอนไป เสร็จแล้วเดี๋ยวฉันมาปลุก”
นี่ โค้ชครับ หลังปล่อยกระต่ายป่าให้ไปเล่นอยู่ริมน้ำ แล้วใครเขาจะหลับลงกันล่ะครับ
ถึงจะคิดแบบนั้น แทนที่จะตอบกลับไปตรงๆ มูคยอมกลับทำเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น
หลังจากตัดสินใจเลือกเมนูมื้อเช้าเป็นซุปมันฝรั่งและสลัด ฮาจุนก็เริ่มต้นด้วยการปอกเปลือกมันฝรั่งก่อน
แม้เขาแทบจะไม่เคยเข้าครัวในบ้านหลังนี้ด้วยตัวเองเลยสักครั้ง แต่ทุกครั้งที่มูคยอมทำอาหารเขาก็มาคอยยืนดูข้างๆ อยู่บ่อยๆ แถมยังมีหลายครั้งที่ได้ช่วยทำ จึงยังพอโล่งใจที่อย่างน้อยเขาก็พอจะรู้ว่าอะไรวางอยู่ตรงไหน อย่างที่คิดไว้บนอินเทอร์เน็ตมีสูตรอาหารที่แสดงส่วนผสมทุกอย่างแบบละเอียดเลยจริงๆ
‘※ เริ่มจากนำมันฝรั่งไปล้างน้ำ ปอกเปลือกออกแล้วหั่นเป็นชิ้นไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป’
ลำบากตั้งแต่เริ่มเลยสินะ
อย่างที่แม่ของฮาจุนเคยพูดไว้ อาจเป็นเพราะเขาทำได้ไม่ดีในเรื่องงานฝีมือ ฮาจุนถึงได้ใช้มีดไม่เก่งอย่างนี้ ดังนั้นเมื่อเจอผลไม้อย่างแอปเปิ้ลหรือพีช ฮาจุนก็มักจะกินมันทั้งเปลือก เขาจะได้กินมันแบบปอกเปลือกก็ต่อเมื่อมีใครมาปอกให้เท่านั้น
ไม่ใช่ว่าไม่เคยลอง แต่ความสามารถทางด้านนี้ของฮาจุนไม่เคยพัฒนาขึ้นเลย ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ตาม คำพูดที่ว่าถ้าตั้งใจเราก็จะทำสำเร็จนั้น เป็นคำที่พูดที่ใช้ได้ก็ต่อเมื่อเรามีเวลาพอจะทำมัน ปกติแล้วหากเราใช้เวลาพยายามทำอะไรสักอย่าง แต่กลับไม่มีการพัฒนาขึ้นเลยสักนิด เรื่องที่มักจะเกิดขึ้นคือการที่คนรอบข้างเลือกที่จะไม่รอ แล้วเอางานนั้นไปทำเอง
มันอาจไม่ใช่เรื่องเกิดขึ้นเสมอในการทำงานหาเงินหรือการเรียน แต่ยิ่งเป็นงานที่ต้องอาศัยความละเอียดเพิ่มเข้ามา มันก็ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นเช่นนั้น ฮาจุนเองก็ไม่ได้เติบโตมาอย่างสบายมากนัก แต่เขากลับโตมาเป็นคนที่มีความสามารถในการเข้าครัวเป็นศูนย์
มูคยอมเป็นคนที่ทำอาหารเก่ง ทั้งยังหยิบจับอะไรก็คล่องมือไปหมด เวลาที่ทำอาหารจึงไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมืออะไรมากมาย มูคยอมสามารถจัดการกับส่วนผสมทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ปลา หรือผัก ที่จะนำไปใส่ในอาหารด้วยมีดทำครัวเพียงไม่กี่เล่ม แต่ว่าตอนอยู่บ้านในโซลก็มีที่ปอกเปลือกมันฝรั่งนี่…
‘นายทำได้ อีฮาจุน’
ฮาจุนเอ่ยเลียนแบบคำพูดติดปากของมูคยอมขึ้นในใจ ขณะที่หยิบมีดขึ้นมาถือไว้
มือซ้ายถือมันฝรั่งผิวขรุขระ มือขวาถือมีด ค่อยๆ ปอกเปลือกออกทีละนิด เปลือกของมันฝรั่งถูกปอกไปได้ประมาณ 1 เซนติเมตร ก็ขาดออกในทันที และหล่นลงในชามที่รองเอาไว้ด้านล่าง
คิ้วของฮาจุนขมวดมุ่นขึ้นขณะพยายามเพิ่มสมาธิในการจดจ่อ และถึงแม้เวลาจะผ่านไปพอสมควร แต่เปลือกมันฝรั่งกลับถูกปอกไปยังไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ มีดเอาแต่ลื่นมาชนเข้ากับเล็บของเขา จนเปลือกมันฝรั่งขาดท่อนและร่วงลงชามเรื่อยๆ จนท้ายที่สุด
“อ๊ะ!”
มีดลื่นแฉลบไปบนผิวของมันฝรั่งและทิ่มลงไปที่นิ้วโป้งของฮาจุน ปลายนิ้วซึ่งถูกบาดเพียงตื้นๆ เริ่มมีเลือดสีแดงสดซึมออกมาอย่างรวดเร็ว
ฮาจุนสบถเบาๆ ในลำคอ เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานและถอนหายใจพ่นลมออกจากปาก จนผมหน้าม้าด้านหน้าปลิวไสวไปตามลมเป่า ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้ มีหวังคงไม่ได้กินมื้อเช้า แต่ได้กินเป็นมื้อเที่ยงแน่ๆ
‘หรือจะแค่ต้มโจ๊กดี’
แต่ถึงอย่างนั้นถ้าไม่นับเรื่องที่ต้องต้มข้าวให้ข้นๆ เรื่องวัตถุดิบอื่นๆ ก็ไม่ได้ยุ่งยากน้อยไปกว่ากันเลย ฮาจุนยืนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะไปล้างมือ แล้วเดินถือมีดกับมันฝรั่งออกไปยังทางเดิน
เมื่อเปิดประตูห้องนอนอย่างเงียบเชียบ ก็พบว่าตรงฝั่งเตียงนอนนั้นไร้ซึ่งสิ้นเสียง ฮาจุนลดเสียงฝีเท้าลงให้เงียบพลางคิดว่าหากมูคยอมนอนหลับอยู่ เขาคงทำได้แค่เดินกลับไปที่ครัว แต่ไม่ทันได้ก้าวต่อ เสียงของคนตรงเตียงก็ดังขึ้นมา
“ทำเสร็จแล้วเหรอ”
“ยะ ยังเลย”
มูคยอมดันตัวขึ้นนั่ง จากนั้นฮาจุนก็เอาของที่ถือมาด้วยซ่อนไว้ข้างหลัง แล้วเดินเข้าไปใกล้หัวเตียง คนป่วยที่นอนอยู่เอ่ยถามขึ้นมาก่อนที่ฮาจุนจะได้พูดอะไร
“ให้ฉันช่วยอะไรไหม”
“…ห้ามเข้าไปในครัวนะ แต่นายอยู่ตรงนี้แล้วปอกมันฝรั่งให้หน่อยได้ไหม”
ฮาจุนสองจิตสองใจ ยื่นชามที่ใส่มันฝรั่งและมีดออกไป
ทันทีที่ได้เห็นสภาพที่น่าสยดสยองของมันฝรั่งที่ไม่ได้ถูกปอกเปลือกโชว์ผิวให้เห็นมากนัก มูคยอมก็ไม่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ได้และระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้ที่ออกไป ได้แค่นี้เองเหรอ”
“ฉันทำอย่างอื่นได้น่า แค่ใช้มีดไม่เก่งเท่านั้นเอง…”
“ถ้าใช้มีดลำบาก นายใช้ช้อนขูดเอาก็ได้”
“โอ๊ะ…!”
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สายเกินไปแล้วที่จะออกไปอีกครั้ง มูคยอมกวักมือเรียกให้ฮาจุนเข้ามาใกล้ แล้วรับชามนั้นมา
“บอกแล้วไงว่าให้ฉันทำดีกว่า”
“ถ้านายช่วยแค่ตรงนี้ ฉันสามารถทำที่เหลือได้หมดเลย”
มูคยอมหยิบมีดมาถือและหัวเราะไปด้วย ทว่าอยู่ๆ คนบนเตียงก็ขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมา ก่อนจะดึงข้อมือของฮาจุนขึ้นมา และเพ่งมองไปยังปลายนิ้ว
“โดนมีดบาดมือเหรอ”
“โดนเฉี่ยวๆ นิดเดียวเอง ไม่เป็นไรเลย เดี๋ยวฉันไปปิดพลาสเตอร์เอา”
“อย่าดื้อได้ไหม ก็แค่ให้ฉันทำก็จบแล้ว ทำไมต้องทำเองด้วย”
“เพราะแบบนี้ฉันก็เลยมาขอให้นายช่วยนี่ไง ฝากปอกมันฝรั่งหน่อยนะ เดี๋ยวฉันไปปิดพลาสเตอร์ก่อน”
ฮาจุนค่อยๆ แอบขยับตัวไปเปิดกล่องปฐมพยาบาลที่เขาวางเปิดฝาทิ้งเอาไว้บนโต๊ะ เขารู้สึกได้ถึงสายตาที่ทิ่มแทงมาในตอนที่กำลังปิดพลาสเตอร์ลงบนนิ้วโป้งที่มีเลือดซึมออกมา เมื่อเหลือบขึ้นไปมอง มูคยอมก็พูดเสียงแข็งขึ้นมาในตอนที่วางชามลงบนเข่า
“ซื้อกินเอาเถอะน่า หรือสั่งมากินก็ได้”
“ไม่เอา ฉันจะทำให้นายกินเอง”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปที่ครัวด้วยกัน”
“แต่นายป่วยอยู่นะ”
“ฉันเป็นผู้ป่วยโคม่าหรือไง ก็แค่ไข้ขึ้นนิดหน่อยเอง หลังกินยาลดไข้เข้าไป ตอนนี้ฉันก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว”
มูคยอมถือถ้วยและผุดลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่เปิดโอกาสให้ฮาจุนได้เอ่ยห้าม ทว่าหลังจากที่ลงมายืนข้างล่างเตียงมูคยอมก็ยืนนิ่งไม่ไหวติง
ฮาจุนรีบโยนกล่องปฐมพยาบาลทิ้ง แล้วเดินเข้าไปหามูคยอม กอดประคองเอวของผู้ชายที่ตัวหนักกว่าตนเอาไว้
“นายมีไข้อยู่นะ ลุกพรวดพราดขึ้นมาแบบนี้ได้ยังไง”
เมื่อถูกตำหนิจากฮาจุน มูคยอมก็ทำเพียงแค่เงียบและขมวดคิ้วขึ้นมา ดูจากสีหน้าก็เห็นได้ถึงอาการวิงเวียนที่ยังคงมีอยู่ แม้ว่ามูคยอมจะไม่ได้พูดอะไรก็ตาม
หลังจากกระพริบตาสองสามครั้ง มูคยอมก็ยืนตัวตรงและพูดย้ำขึ้นมาอีกครั้ง
“ไปกัน ไปด้วยกันนี่แหละ”
“ไม่ได้สิ ถ้าเกิดอาการนายแย่ลงล่ะ”
“ปล่อยนายไปเข้าครัวคนเดียว แล้วทิ้งฉันให้รออยู่ที่นี่ แทนที่จะได้พัก ฉันคงได้เครียดลงกระเพาะก่อนน่ะสิ”
เครียด…
คำพูดนั้นทำเอาฮาจุนกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ฮาจุนเดินวนไปมาเหมือนคนที่ไม่มีอะไรจะพูด ก่อนจะพยักหน้าเป็นการตอบรับ
“แต่นายต้องทำแค่นั่งอยู่ข้างๆ จริงๆ นะ”
“เข้าใจแล้วน่า”
ฮาจุนรีบไปหยิบผ้าห่มคลุมตัวมาให้ มูคยอมที่สวมชุดคลุมอาบน้ำอยู่เดินฉึบฉับเหมือนปกติ และไปหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างชั้นวางของในครัว