Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 25
มูคยอมเดินไปมาในห้องนั่งเล่นราวกับกำลังจัดเตรียมของก่อนที่จะออกไปข้างนอก ส่วนฮาจุนเองก็นั่งลงและไล่สายตามองตามอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่าเพราะบ้านดูดีหรือเพราะคนหน้าตาดีกันแน่ เพราะแค่อีกฝ่ายยืนอยู่ในห้องนั่งเล่นแต่กลับเหมือนว่ากำลังถ่ายนิตยสารอยู่
ถ้ามูคยอมไปทางซ้าย ฮาจุนก็มองไปทางซ้าย ถ้าอีกฝ่ายไปทางขวา เขาก็มองไปทางขวา ขณะที่ฮาจุนนั่งบนโซฟาพร้อมกับทำตาหลุกหลิกไปมานั้น จู่ๆ มูคยอมที่ยืนตระหง่านอยู่นั้นก็ยกมือขึ้น
‘ทำอะไรน่ะ’
มูคยอมยื่นมือไปทางซ้าย ฮาจุนจึงไล่สายตามองตามไปทางซ้าย ต่อมาอีกฝ่ายก็ยื่นมือไปทางขวา เขาจึงมองตามไปทางขวา แต่ทันใดนั้น จู่ๆ มูคยอมก็ขยับแขนอย่างยิ่งใหญ่วาดภาพในอากาศราวกับว่าเป็นวาทยกร ฮาจุนที่หันหน้าไปมองตามเล็กน้อยนั้นกลอกตาเป็นวงกลมตามการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย
หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคัก เมื่อฮาจุนตั้งสติได้ก็หันไปมองที่ใบหน้าของมูคยอมและเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังยิ้มกว้างจนเห็นฟัน
“นายเป็นกล้องวงจรปิดหรือไง แค่ขยับก็มองตามเลยนะ”
“…ก็มันกวนใจฉันนี่”
ความเขินอายบังเกิดขึ้นมา ฮาจุนเลยก้มหน้ามองโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง หลังจากนั้นเขาก็เอาแต่เล่นอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์อย่างเดียวจนกระทั่งมูคยอมพร้อมที่จะออกไปข้างนอก
ผ่านไปได้ไม่นานนักทั้งคู่ก็ออกจากบ้านพร้อมกัน พวกเขาเข้าไปในลิฟต์ และทันทีที่มาถึงที่จอดรถมูคยอมก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“นายชอบคันไหน”
“หืม”
“ขับคันไหนดี”
ฮาจุนหันไปยังทิศทางที่มูคยอมพยักพเยิดคางบอกและตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงรถที่จอดอยู่นั่นเอง ครั้งนี้ฮาจุนไม่สามารถห้ามตนเองไม่ให้หน้าแดงได้เลย เขาจึงหันใบหน้าไปทางอีกฝ่ายเล็กน้อยแล้วพูดว่า
“คันไหนก็ได้”
“ไม่มีคันไหนที่นายอยากลองนั่งบ้างเลยเหรอ”
“ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องรถน่ะ”
สถานภาพของฮาจุนไม่เอื้อต่อการที่จะมีรถส่วนตัวไว้ใช้ และเขาเองก็ไม่ได้มีความสนใจเกี่ยวกับรถเฉกเช่นคนอื่นๆ ดังนั้นเขาจึงรู้จักรถแค่สองสามแบรนด์ที่ดังๆ เท่านั้น แน่นอนว่าเขารู้จักรถที่มูคยอมขับในระดับหนึ่ง แต่เขาก็รู้แค่ชื่อแบรนด์ของรถ นอกจากนั้นแล้วเขาก็ไม่มีความรู้อื่นใดอีกเลย
ถ้าเรื่องทุกอย่างเป็นไปด้วยดี บางทีเขาอาจจะได้ขับรถแบบนั้นสักคันสองคัน แต่อย่างไรก็ตามสถานภาพการเงินในปัจจุบันของอีฮาจุนนั้นเขาก็เป็นแค่เพียงคนชนชั้นกลางอายุยี่สิบปี ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังเป็นเสาหลักของครอบครัวอีกด้วย
ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ค่าตัวของโค้ชกายภาพจะเพิ่มมากขึ้น แต่มันก็เพิ่มขึ้นเฉพาะกรณีของคนที่มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์เท่านั้น สำหรับฮาจุนที่เพิ่งเริ่มทำงานทางด้านนี้อย่างเต็มตัวแล้วมันคนละเรื่องเลย
มูคยอมเดินต่อโดยไม่ถามอะไรอีก ทำให้ฮาจุนจำเป็นต้องวิ่งตามอีกฝ่ายไป รถที่มูคยอมเลือกคือรถ SUV ที่มีตัวถังสูง ถ้าตัดรถสปอร์ตที่ใช้เป็นครั้งคราว ส่วนใหญ่อีกฝ่ายก็มักขับรถขนาดกลางที่ดูค่อนข้างธรรมดา แต่วันนี้กลับต่างไปจากปกติเล็กน้อย
เมื่อพวกเขาขึ้นรถด้วยกันทั้งคู่แล้ว มูคยอมก็ค่อยๆ หมุนพวงมาลัยและขับรถออกไป เมื่อออกจากที่จอดรถ แสงแดดในปลายฤดูใบไม้ผลิก็ทักทายฮาจุนอย่างแจ่มใส เขาจึงหรี่ตาลงโดยไม่รู้ตัว หลังจากความเงียบสงัดผ่านไปก็ปรากฏให้เห็นถึงทิวทัศน์ภายนอกอย่างเต็มตา มูคยอมหรี่ตาและหยิบแว่นกันแดดออกมา
ฮาจุนนั่งเงียบๆ ตรงที่นั่งข้างคนขับโดยไม่เอ่ยอะไร และเอาแต่นึกถึงเรื่องการกระทำของมูคยอมจากข่าวลือจนมากระทั่งถึงตอนนี้
เรื่องที่เขาว่ากันว่าถึงแม้ว่ามูคยอมจะใช้เวลาสักวันสองวันในการร่วมรักหรือเป็นความสัมพันธ์แบบวันไนท์สแตนด์ อีกฝ่ายก็มักจะออกจากห้องก่อนรุ่งสางเสมอ
เรื่องนั้นเป็นเพียงแค่ข่าวลือหรือเปล่านะ
คนอื่นๆ เองก็ได้ทานอาหารเช้าที่มูคยอมเตรียมไว้ให้และได้เลือกเสื้อผ้าให้อีกฝ่ายเหมือนกันกับเขาด้วยหรือเปล่านะ หรือว่าได้นั่งรถรับแสงแดดเคียงข้างกันแบบนี้หรือเปล่านะ
เป็นครั้งแรกที่ฮาจุนหวังว่าข่าวลือของอีกฝ่ายจะเป็นเรื่องจริง แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยากเป็นคนเดียวที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น แต่เขาก็รู้สึกขอโทษต่อคนอื่นๆ ที่เคยได้พบพานกับอีกฝ่ายมาก่อน
“นายคิดอะไรอยู่เหรอ”
“…เปล่า”
ฮาจุนโกหกมูคยอมที่ถามราวกับมีตาทิพย์ จากนั้นจึงหันไปมองนอกหน้าต่าง
ชนะการแข่งขัน มีอะไรกับมูคยอม มีอะไรกันที่บ้านของมูคยอม
มูคยอมทำอาหารเช้าให้ และอีกฝ่ายขอให้ฮาจุนเลือกชุดที่จะใส่ด้วย
ฮาจุนไม่เคยวาดฝันด้วยซ้ำว่าตนเองจะได้เห็นมุมส่วนตัวและชีวิตประจำวันของอีกฝ่าย ทั้งชงกาแฟให้ ทั้งบอกให้เขาเลือกรถที่จะขับอีกด้วย
อากาศดี ท้องฟ้าสีคราม ดอกไม้บาน นกกำลังโบยบิน ผู้คนต่างหัวเราะและดื่มชาในร้านกาแฟข้างถนน และตอนนี้ฮาจุนกับมูคยอมกำลังนั่งอยู่ในรถมุ่งหน้าไปที่สนามฝึกเดียวกัน
ช่างดีเหลือเกิน ต่อให้มูคยอมตั้งใจที่จะกลับกลอก แต่ฮาจุนก็จะยิ้มรับแล้วยอมให้อีกฝ่ายทำเช่นนั้นได้ตามสบาย
มันเป็นวันฤดูใบไม้ผลิที่ดีที่สุดหลังจากที่เขาถูกช่วงชิงจิตวิญญาณให้แก่มูคยอม
***
ฮาจุนมองไปก็เจอกับป้ายรถเมล์ที่เขามักโดยสารอยู่เป็นประจำ มันอยู่ห่างจากสนามฝึกซ้อมโดยใช้เวลาเดินแค่สิบนาทีเท่านั้น ฮาจุนคว้ากระเป๋าของตนเอง
“ฉันจะลงตรงนี้แหละ”
มูคยอมหยุดรถบนไหล่ทางโดยไม่พูดอะไร ยังมีเวลาเหลือเฟือกว่าจะถึงเวลาที่ต้องเริ่มทำการฝึกซ้อม และถึงแม้จะอยู่ห่างจากสนามฝึกซ้อมพอสมควร แต่ฮาจุนก็ชะเง้อมองไปรอบๆ ก่อนที่จะลงจากรถ มูคยอมประชดประชันในใจว่าถ้าหากมีใครมาเห็นเข้าคงคิดว่าพวกเขาเป็นชู้กันแน่ๆ
“อีกเดี๋ยวเจอกัน”
แม้แต่ฮาจุนเองก็ยังเอ่ยเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาแล้วเดินไปอย่างรวดเร็วบนทางเท้า มูคยอมหมุนพวงมาลัยทันทีและแล่นเข้าไปในเลนรถอีกครั้ง เขาเห็นแผ่นหลังของฮาจุนที่อยู่ไกลออกไปผ่านหน้าต่างรถ
ฮาจุนมาถึงสนามฝึกซ้อมเป็นคนแรก แม้ว่าจะเดินมาก็ตาม น่าแปลกที่นักเตะหลายคนมาถึงสนามฝึกซ้อมก่อนเวลา เนื่องจากชนะการแข่งขันมาแล้วหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง อาจก่อให้เกิดความเกียจคร้านได้ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีความตั้งใจอันสูงส่ง
“สวัสดีครับ โค้ช!”
“สวัสดีครับ โค้ช! มาแต่เช้าเลยนะครับ”
“ฉันบอกว่าการพักผ่อนเป็นสิ่งสำคัญนี่ พวกนายไม่ฟังที่ฉันบอกเลยใช่ไหม”
ถึงแม้การพูดแบบนั้นจะเหมือนเป็นการต่อว่า แต่ฮาจุนก็ไม่อยากที่จะเห็นภาพลักษณ์ที่ไม่มีความตั้งใจของบรรดาเหล่านักเตะ เขายังคงอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจากเมื่อวันก่อน แต่เขาเองก็ยังฮึดสู้กับความเหนื่อยนั้น ถ้าขยับร่างกายอีกสักหน่อยก็คงจะหายปวดกล้ามเนื้อสินะ
“ไม่ต้องหักโหมนะ คนที่มาก่อนจับคู่กันยืดกล้ามเนื้อกันหน่อยดีไหม ขอคนที่จะมาทำกับฉันด้วย” ฮาจุนแทรกเข้าไประหว่างเหล่านักเตะแล้วเอ่ยออกไป
“อ๊ะ ผมครับ!”
“ผมครับๆ”
เหล่านักเตะที่เพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมปลายต่างก็ยกมือของตนเองขึ้นแล้วเสนอตัวจะทำด้วย ฮาจุนตัดสินใจจับคู่กับกองกลางที่มักปวดต้นขาบ่อยๆ ก่อนใครอื่น
“คนหนึ่งนอนหงายงอขาข้างหนึ่งไว้ด้านนอก และยืดขาอีกข้างออกไป ใช่ แบบนั้นแหละ อีกคนก็จับเข่าข้างที่งอขาแล้วกดเอาไว้ และที่สำคัญที่สุดคือต้องทำให้ขาข้างที่ยืดออกไปนั้นยังคงนิ่งไว้อยู่” ฮาจุนสั่งหลังจากที่จับคู่กันแล้วยืนเป็นวงกลม
วัยรุ่นพวกนี้หัวเราะคิกคักพลางบอกว่านี่ดูเหมือนกับกบที่ถูกตากแดดเลย
ในขณะที่กำลังกางขานักเตะที่นอนอยู่ด้านล่าง ฮาจุนเองก็หัวเราะให้กับพวกเขาเช่นกัน นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักฟุตบอลที่ได้รับบาดเจ็บบ่อยๆ โดยการเพิ่มความยืดหยุ่นที่ต้นขาด้านในและกระดูกเชิงกราน
“สลับกัน”
ฮาจุนนอนอยู่บนสนามหญ้า เพราะว่าตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิที่อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว เขาจึงไม่สวมกางเกงขายาวขณะฝึกสอนอีกต่อไป เขาใส่แค่กางเกงขาสั้นที่ค่อนข้างยาวเหนือเข่า แต่เมื่อมือของอีกฝ่ายกดเข่าข้างที่งอไว้นั้น ชายกางเกงของฮาจุนก็เลิกขึ้นมา
ภายใต้ท้องฟ้าสีครามและแสงแดดที่เจิดจ้าราวกับน้ำเลมอน ต้นขาขาวนวลของฮาจุนก็แผ่กว้างลงบนสนามหญ้าสีเขียว มือของนักเตะที่ก้มตัวนั้นกดเข่าทั้งสองข้างแน่นจนทำให้ขาของฮาจุนอ้ากว้างกว่าเดิม เพราะกล้ามเนื้อด้านในมันหน่วงรั้ง เขาจึงรู้สึกสบายจนตาแทบจะปิด
“หลบไป”
พวกเขาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงทุ้มและเยือกเย็นซึ่งไม่เหมาะกับสภาพอากาศแจ่มใสเช่นนี้เลย นักเตะที่กำลังจะเริ่มยืดกล้ามเนื้อหันไปมองด้วยความตกใจ เห็นชายร่างใหญ่มองลงมาที่พวกเขาทั้งสองคน
“สวัสดีครับ พี่มูคยอม”
“นายไปทำกับคนอื่นไป”
“ครับ รับทราบครับ”
ดูเหมือนว่านักเตะคนนั้นจะคุ้นเคยกับวิธีการพูดของมูคยอมที่เอ่ยขึ้นมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัวได้เป็นอย่างดี อีกฝ่ายคงคิดว่ามูคยอมและโค้ชอายุเท่ากันเลยมีความใกล้ชิดสนิทสนมกัน จึงไม่ค่อยรู้สึกอึดอัดใจและลุกออกไป
มูคยอมก้าวไปยืนข้างหน้าฮาจุนที่กำลังนอนอยู่ตรงนั้น อีกฝ่ายโน้มตัวลงและวางมืออันกว้างใหญ่ไว้บนเข่าเหมือนกับที่นักเตะคนอื่นจับไว้เมื่อครู่ก่อน
มืออีกข้างหนึ่งของมูคยอมวางบนต้นขาอีกข้างของฮาจุน อีกฝ่ายกดลงบนเข่าของฮาจุนจนขากางออกมาอีกครั้ง ฮาจุนรู้สึกเจ็บนิดหน่อย เพราะมันหน่วงรั้งกระดูกเชิงกรานด้านในให้อ้าออกจนถึงขีดสุด ฮาจุนแสยะยิ้มเบาๆ โดยไม่รู้ตัวและร้องโอดครวญเล็กน้อย
“อ่า”
มูคยอมมองลงมาที่ฮาจุนนิ่งๆ แล้วปล่อยขาของฮาจุนที่งออยู่ออก มูคยอมกางขาอีกข้างของฮาจุนแล้วทำเหมือนเมื่อครู่ จากนั้นจึงก้มลงแล้วลดเสียงกระซิบกับฮาจุน
“เลิกงานแล้วกลับรถฉันนะ”
“อะไรนะ ไม่เอา ฉันจะกลับรถเมล์”
“กลับรถฉัน”
มูคยอมจับมือของฮาจุนแล้วลุกขึ้นยืนราวกับจะไม่เปิดโอกาสให้เขาโต้ตอบอีกต่อไป มูคยอมเปลี่ยนตำแหน่งและนอนลงบนสนามหญ้า ครั้งนี้ฮาจุนนั่งคุกเข่าระหว่างขาของมูคยอม มือขาวนวลแตะลงบนที่ต้นขาที่ถูกแดดเผาจนคล้ำ แค่อีกฝ่ายนอนลงไปเฉยๆ แต่กลับเห็นถึงกล้ามเนื้อเล็กๆ ราวกับวาดแผนที่ลงบนที่ต้นขา
ฮาจุนกระสับกระส่าย เขารู้สึกแปลกๆ ความรู้สึกจั๊กจี้ตรงฝ่ามือที่สัมผัสซึ่งไม่เคยรู้สึกมาก่อนเวลาที่วางมือและกดลงไปบนขาของนักกีฬาคนอื่นๆ แผ่ซ่านออกมา ฮาจุนเห็นพื้นที่สีดำบางๆ ปรากฏขึ้นเล็กน้อยระหว่างต้นขาของมูคยอมกับกางเกงขาสั้นที่อีกฝ่ายใส่อยู่
สิ่งที่ใหญ่โต และร้อนรุ่มที่เคยทรมานเขาตลอดคืนซุกซ่อนอยู่ตรงนั้น เมื่อวานนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮาจุนเห็นร่างเปลือยเปล่าของมูคยอม แต่เขากลับรู้สึกว่าทุกอย่างแตกต่างไปจากเดิม
ทำไมถึงได้คิดอะไรแบบนี้กันนะ ตั้งแต่ใช้ชีวิตมาจนถึงตอนนี้ฮาจุนไม่เคยจินตนาการถึงสรีระใต้ร่มผ้าของผู้อื่นเลย แถมยังเป็นตอนที่กำลังยืดกล้ามเนื้ออีกด้วย ฮาจุนหัวร้อนเพราะรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นคนโรคจิตไปเสียแล้ว
“แก้มนายแดงนะ”
มูคยอมเอ่ยขึ้นเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองใบหน้าของฮาจุนที่กำลังมองลงมาที่กำลังมองลงมาที่ตนเอง
“หือ อากาศมันร้อนน่ะ…”
มูคยอมเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดออกไปอย่างตรงเป้าโดนไม่ต้องเกริ่นนำเลยแม้แต่นิดเดียว
“นายคิดอะไรที่มันลามกใช่ไหม”
“พูดอะไรของนายเนี่ย”
ฮาจุนที่วุ่นวายใจออกแรงกดเข้าไปที่ต้นขาที่จับไว้ เขาไม่สามารถหาที่ที่จะวางสายตาได้เลยเพราะได้ยินเสียงหัวเราะเยาะจากมูคยอม
“อ่อนไหวจริง สงสัยจะใช่แฮะ”
หลังจากผ่อนคลายร่างกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อ และทุกคนมารวมกันหมดแล้ว ก่อนที่จะผละออกไปฮาจุนก็ยังคงฝึกซ้อมต่อด้วยความรู้สึกที่ดีมากๆ โชคดีที่วันนี้เป็นวันฝึกซ้อมสั้นๆ ปกติฮาจุนจะฝึกซ้อมเกี่ยวกับการฝึกฟื้นฟูเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการแข่งขันมากกว่าการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางร่างกาย ในที่สุดการฝึกซ้อมก็เสร็จสิ้นแล้ว เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยไม่รู้ตัว
หลังจากจัดการบันทึกต่างๆ ในสำนักงานแล้ว ฮาจุนก็เดินออกจากตัวอาคารไปยังป้ายรถเมล์ เขาคิดที่จะขึ้นรถเมล์โดยแสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่รถของมูคยอมที่เขานั่งมาในตอนเช้านั้นหยุดที่ไหล่ทางก่อนที่รถเมล์จะมาถึง ฮาจุนถอนหายใจแล้วขึ้นรถไป ถ้าหากอีกฝ่ายบีบแตรอีกละก็ต้องวุ่นวายแน่ๆ
มูคยอมกลับมาใส่เสื้อเชิ้ตสีเขียวที่ฮาจุนเลือกให้ อีกครั้งแล้วที่หัวใจของเขาเต้นแรง เขาไม่เอ่ยอะไรออกมา และนั่งเงียบๆ ที่ที่นั่งข้างคนขับ
เหมือนจะมีแค่ฮาจุนคนเดียวที่รู้สึกเครียดกับความเงียบเช่นนี้ ฮาจุนเลียริมฝีปากของตนเอง แล้วถามถึงสิ่งที่เขาสงสัยตั้งแต่เช้าเพื่อทำลายความเงียบ
“ปกติแล้วหลังจากที่มีอะไรกัน…ก็ไปส่งที่บ้านแบบนี้เหรอ”
“เปล่า”
“แล้วทำไมนายถึงทำล่ะ”
มูคยอมเลิกคิ้วอย่างนุ่มนวลแล้วก็ลดคิ้วลง
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันตัดสินใจที่จะมีความสัมพันธ์ระยะยาวกับคนคนหนึ่ง”
“…”
“อีกอย่างพวกเราก็ต่างจากการเป็นแค่คู่นอนกันนะ ก็เราเป็นทีมเดียวกันนี่นา”
ฮาจุนรู้สึกประหลาดใจเมื่อนึกถึงท่าทางราวกับไม่ต้องการทีมเวิร์คแบบนั้นเมื่อสองสามปีที่แล้วของอีกฝ่าย อย่างไรก็ตามอาจจะเป็นความแตกต่างในด้านทัศนคติระหว่างทีมมืออาชีพที่ตนเองเลือก และตัวแทนระดับชาติที่นานๆ ทีถึงมารวมตัวกันและต้องเล่นด้วยกันตลอดทั้งปี เพียงเพราะว่ามูคยอมนั้นไม่ใช่นักเตะประเภทที่สร้างความบาดหมางกับทีมต้นสังกัดที่อยู่ที่กรีนฟอร์ด
สำหรับฮาจุนแล้วฟุตบอลนั้นไม่ใช่จุดประสงค์ของความกระตือรือร้น แต่เป็น ‘ความบังเอิญ’ เมื่อเขา ‘ลองทำดู’ ก็พบว่าความสามารถของเขานั้นพอใช้ได้ เขาจึงได้รับเงินสนับสนุนและเข้าใกล้กับอาชีพที่เลือก เพราะเขาคิดว่ามันจะเป็นหนทางให้เขาได้ใช้ทำมาหากินในอนาคต
จนกระทั่งเมื่อเขาได้ดูการแข่งขันของมูคยอมวัยสิบหกปีด้วยตาของตนเอง อีกฝ่ายไม่เพียงแต่ดึงดูดวิญญาณของฮาจุน แต่ยังเปลี่ยนสนามให้เป็นสถานที่ในฝันอีกต่างหาก
เมื่อไรก็ไม่รู้ที่เป้าหมายของฮาจุนคือการได้ลงสนามไปพร้อมๆ กับมูคยอมในตำแหน่งของตัวหลัก แม้ว่าหลังจากนั้นฮาจุนจะถูกเรียกตัวจากทีมผู้แทนอย่างสม่ำเสมอ แต่ว่าเขาไม่สามารถเข้ากันกับกลยุทธ์ของผู้จัดการทีม หรือหลีกเลี่ยงสถานะตัวสำรองจากพวกรุ่นพี่ที่รับบทบาทเดียวกันได้เลย
จนกระทั่งเมื่อสามปีที่แล้ว ในที่สุดเขาก็ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกทีมชาติ เขาจึงสามารถบรรลุความฝันของตนเองได้ แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นมูคยอมไม่ยอมรับทีมชาติเป็นทีมของตนเองถึงขนาดที่ว่าอีกฝ่ายไม่สามารถจำเขาที่เคยวิ่งอยู่ในสนามเดียวกันได้เลยแม้ว่าจะเคยเผชิญหน้ากันอยู่บ้างก็ตาม
ดังนั้นฮาจุนจึงไม่คุ้นเคยกับคำว่า ‘ทีม’ ที่ออกมาจากปากของมูคยอม แต่ถึงอย่างนั้นการเข้าไปข้องเกี่ยวกับหัวข้อบทสนทนานี้ก็ออกจะแปลกไปบ้าง แต่ทว่าฮาจุนกลับมีความสุขมากจนรู้สึกเหมือนกำลังจะยิ้มออกมา เขาจึงแสร้งทำเป็นเท้าคางปิดปากเอาไว้และหันหน้าไปทางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
ฮาจุนรู้สึกว่าริมฝีปากของเขากำลังจะเป็นตะคริว
ฮาจุนคิดเรื่องอื่นไม่ได้เลย เขาสนใจแค่เพียงเรื่องของมูคยอมเท่านั้น และเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างเขาจึงตระหนักได้ว่ารถไม่ได้กำลังแล่นมุ่งตรงไปที่บ้านของเขา และไม่ใช่ทางไปบ้านของมูคยอมเช่นกัน
“นายกำลังจะไปไหน”
จะไปทานมื้อเย็นหรือเปล่านะ แต่มันก็เร็วเกินไปที่จะทานมื้อเย็น อีกทั้งเมื่อวานนี้ฮาจุนก็ไปค้างนอกบ้าน ถ้าเป็นไปได้วันนี้เขาก็อยากอยู่ทานมื้อเย็นกับครอบครัวของตนเอง
“ไปที่ดีๆ”
“แต่ว่าวันนี้ฉันต้องรีบกลับบ้านนะ”
“ใช้เวลาไม่นานหรอก”
มูคยอมยังคงขับรถไปตามถนนโดยไม่ยอมบอกฮาจุนว่ากำลังจะไปไหน และอีกฝ่ายก็จอดรถในที่จอดรถอันเงียบสงบ มันเป็นลานจอดรถกลางแจ้ง ไม่ใช่ลานจอดรถที่อยู่ในตึก ฮาจุนกะพริบตาอย่างไม่รู้ว่าตนเองมาที่ไหนกันแน่ มูคยอมจึงเอื้อมตัวมาปลดเข็มขัดนิรภัยของฮาจุนแล้วขบฟันเข้าที่ต้นคอของอีกฝ่าย
ร่างกายของฮาจุนสั่นสะท้านด้วยความตกใจ มูคยอมเช็ดที่ที่ตนเองกัดลงไปด้วยริมฝีปาก ในที่สุดอีกฝ่ายก็ได้บอกจุดประสงค์ออกไปแล้ว
………………………………………………..