Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 3
มูคยอมถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ทันทีที่ข่าวเรื่องมูคยอมถูกยืมตัวมาที่โซลถูกประกาศออกไปก็มีงานติดต่อผ่านทางเอเจนซี่เข้ามาไม่น้อยตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเข้าประเทศ
ไม่เฉพาะแค่งานที่เกี่ยวข้องกับกีฬาแต่มีทั้งงานโฆษณาผลิตภัณฑ์หลากหลายและการเชิญไปออกรายการอย่างสัมภาษณ์และวาไรตี้ หรือรายการสารคดีเองก็มีเข้ามานับไม่ถ้วน โฆษณากาแฟที่ได้ถ่ายทำในครั้งนี้เองก็เป็นหนึ่งในงานที่ติดต่อเข้ามาในตอนนั้นเช่นกัน เห็นบอกว่ามูคยอมให้ความรู้สึกถึงความงดงามอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ได้ปรุงแต่งใดๆ ซึ่งนั้นเข้ากันได้พอดิบพอดีกับภาพลักษณ์ของกาแฟสำเร็จรูปที่คงกลิ่นหอมดั้งเดิมของเมล็ดกาแฟกัวเตมาลาไว้
อันที่จริงปกติแล้วมูคยอมไม่ได้ดื่มกาแฟ แต่เพราะความต้องการของทั้งสองฝ่ายลงตัว และทันทีที่ทำสัญญาเสร็จสิ้นทางฝั่งผู้จ้างก็จัดการประชุมที่มีฮาอึนอูดาราโฆษณาอีกคนเข้าร่วมด้วย
คอนเซปต์ของโฆษณาคือการพักผ่อนที่แสนโรแมนติกของคู่แต่งงานใหม่ ส่วนการนำเสนอผลิตภัณฑ์รวมทั้งการดำเนินการโฆษณาจะให้เป็นหน้าที่ของพวกนางแบบนายแบบ ตกลงได้เช่นนั้นแล้วการประชุมก็จบลง เมื่อคุยเรื่องงานจบทางฝั่งลูกค้าก็ขอตัวกลับไปก่อน จากนั้นฮาอึนอูก็ส่งผู้จัดการกลับไปเหลือเพียงแค่มูคยอมและฮาอึนอู จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันต่อ
ปกติชอบฟุตบอลอยู่แล้วจึงสนุกกับการชมการแข่งขันของคุณ โฆษณากาแฟงั้นเหรอ ไม่คิดเลยว่าจะได้พบกันด้วยสาเหตุเช่นนี้ ฮาอึนอูที่เริ่มชวนคุยขึ้นมาก่อน ชวนคุยต่อไปว่าเคยไปเที่ยวที่เม็กซิโกและกัวเตมาลา มูคยอมก็ตอบกลับไปด้วยเรื่องเล่าประสบการณ์ที่เคยไปแข่งนอกบ้านที่เม็กซิโก ทั้งสองที่เริ่มสนทนากันด้วยประเด็นเล็กๆ น้อยๆ เช่นนั้น ผ่านไปไม่นานก็ขึ้นมานั่งอยู่ด้วยกันบนรถเบนท์ลีย์[1]ของมูคยอม
หลังจากนั้นเรื่องราวก็ดำเนินไปอย่างที่รู้ๆ กัน ในเว็บไซต์เองก็มีคำแถลงของฮาอึนฮูถูกรายงานออกไปแล้วว่า ‘เป็นเพื่อนร่วมงานที่พบกันด้วยเรื่องงาน มีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนที่ดี’ ทางฝั่งเอเจนซี่ของมูคยอมเองก็กำลังเตรียมออกคำแถลงที่คล้ายกันนั้นอยู่เช่นกัน
“นายเองก็หาคนที่ชอบแล้วรีบลงหลักปักฐานสักที อย่าเอาแต่หลอกฟันผู้หญิงคนโน้นทีคนนี้ทีไปเปล่าๆ เลย”
จองคยูที่แต่งงานได้สองปีจนมีกระทั่งลูกแล้ว พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง มูคยอมหัวเราะหึออกมา
“ฉันเป็นนายรึไง จะเสียดายอะไรกัน”
“ใช้ชีวิตแบบนั้นไม่เหนื่อยบ้างเลยเหรอ ถ้าลงหลักปักฐานแล้วจะมีความมั่นคงทั้งร่างกายและจิตใจ จริงๆ นะ”
นักกีฬาไม่ว่าจะในหรือต่างประเทศก็แต่งงานสร้างครอบครัวกันค่อนข้างเร็ว นี่จึงไม่ใช่คำแนะนำที่แปลกใหม่อะไรนัก เรื่องเล่าของนักกีฬาที่ใช้ชีวิตเสเพล แล้วหลังจากแต่งงานก็มีเสถียรภาพทางอารมณ์มากขึ้น ทำให้ฟอร์มการเล่นดีขึ้นนั่นก็หาฟังได้บ่อยๆ อย่างตอนนี้ที่กรีนฟอร์ดต้นสังกัดเดิมของมูคยอมเองก็มีคนเช่นนั้นอยู่
ทว่าในครั้งนี้มูคยอมกลับจ้องมองจองคยูด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าไม่เข้าใจเลยจากใจจริง
“มันไม่สนุกนี่นา”
“เรื่องอะไร”
“ฉันไม่เคยอยากได้ความมั่นคงอะไร เพราะงั้นเลิกบ่นได้แล้ว ฉันไม่คิดว่านายมีหน้าที่จะมาสั่งสอนฉันเกี่ยวกับเรื่องชีวิตนะ”
“เฮ้ย ไม่ใช่คำสั่งสอนนะ”
“แล้วก็การใช้คำว่าหลอกฟันน่ะ นี่เป็นการเดตภายใต้ความเห็นชอบร่วมกันทั้งสองฝ่ายของหนุ่มสาวที่โตแล้วต่างหาก นายกำลังอวดเบ่งว่าแต่งงานแล้ว และถึงคำพูดนั่นจะถูก แต่ถ้าบ่นเป็นลุงแก่ๆ มันก็ไม่น่าฟังนะ”
“อา ไอ้เจ้านี่ ทำฉันเจ็บปวดเลยแฮะ รู้แล้ว เข้าใจแล้ว ฉันจะไม่บ่นแล้ว เพราะงั้นพอได้แล้ว”
มูคยอมทิ้งจองคยูที่กำลังรู้สึกขายหน้าไว้เบื้องหลังและออกมาด้านนอก ก็ถือว่ายังโชคดีหน่อยเพราะถ้าหากตัดจองคยูออกไปแล้วก็ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะเอาเรื่องอื้อฉาวอย่างนี้มาพูดเล่นกับเขาอีก เพราะจนถึงตอนนี้คนอื่นๆ ก็ยังคงอยู่ในช่วงทำความเข้าใจมูคยอมอยู่จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้ามาพูดคุยด้วยได้
สิ่งที่เรียกว่าชีวิตสำหรับมูคยอม คือการแย่งชิงคว้าเอามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนไปอย่างมีพลังและมีชีวิตชีวา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าไปสู่อนาคต ไม่ใช่ประเภทที่จะลงหลักปักฐานในที่ใดที่หนึ่งและมีความสุขกับความมีเสถียรภาพมั่นคง
เซ็กซ์ก็เหมือนกับเกม เป็นเกมการสู้แบบตัวต่อตัว ทั้งสองฝ่ายซุกซ่อนสิ่งที่ปรารถนาไว้จนแทบมองไม่ออก พร้อมกับรับส่งสัญญาณกันอย่างลับๆ และลองคาดคะเนดูว่าจะยิงประตูออกไปดีหรือไม่ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกในระดับหนึ่งเลย หากเป็นตอนที่ความคิดเห็นของเขาและอีกฝ่ายลงตัวกันพอดี มูคยอมก็จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายกับความสำเร็จเล็กๆ ที่เหมือนกับการยิงบอลเข้าโกลที่มองไม่เห็นได้ด้วย
ถึงจะไม่เท่ากับฟุตบอล แต่เซ็กซ์ก็เป็นหนึ่งในความสนุกสนานที่มูคยอมไม่สามารถขาดได้ในชีวิต และเหนือสิ่งอื่นใด เซ็กซ์ยังเป็นวิธีที่ดีที่สามารถระบายพลังงานหรือคลายความเครียดที่อัดแน่นในช่วงก่อนและหลังการแข่งขันด้วย แต่มันก็แค่เท่านั้น มูคยอมไม่ได้อยากผูกมัดกับใครแค่คนคนเดียว และไม่ได้อยากให้ค่ากับคนอื่นมากไปกว่าความสัมพันธ์ทางร่างกายด้วย
ในบรรดาคนที่มูคยอมพบเจอมาจนถึงตอนนี้ ก็มีคนที่พยายามจะข้ามเส้นนั้นอยู่บ้าง แต่ยิ่งอีกฝ่ายเกาะติดเขามากเท่าไหร่ มูคยอมก็มีแต่จะเบื่อหน่ายมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น หากอีกฝ่ายยกประเด็นเรื่องความรักอะไรมาพูดด้วยแล้ว ในตอนนั้นมูคยอมจะยิ่งรู้สึกเหมือนสูญเสียกระทั่งความรู้สึกผูกพันในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไปด้วย แค่มีความสัมพันธ์กันไม่กี่ครั้งเพราะถูกใจกับรูปลักษณ์ของกันและกัน หรือเข้ากับความสนใจหรือเงื่อนไขของกันได้ แต่มาบอกว่ารักงั้นเหรอ คนเรานี่ช่างพูดคำนั้นออกมาได้ง่ายมากเกินไปแล้ว
ช่างเป็นเรื่องน่าขัน หากมูคยอมรู้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนแบบนั้นก็คงจะเลี่ยงไปตั้งแต่ต้นแล้ว แต่เพราะในครั้งแรก เขาไม่สามารถล่วงรู้จิตใจที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้ามได้ ตอนที่เริ่มน่ะ ไม่ว่าใครก็แสร้งทำเป็นตกลงกันได้ง่ายๆ ทั้งนั้น แต่พอไปถึงตอนจบแล้วก็มีอยู่บ่อยครั้งที่ไม่สามารถจบง่าย ๆ อย่างนั้นได้ ในเวลาแบบนั้นมูคยอมจะรู้สึกเหมือนเหยียบโดนกับดัก ทว่ามันแน่นอนอยู่แล้วว่าในทุกๆ เกมจะต้องมีกับดัก มูคยอมก็เข้าใจว่านั่นเองก็เป็นกฎเกณฑ์รูปแบบหนึ่ง
แต่ก็ไม่ใช่ว่าถ้าไม่ได้ทำแล้วจะเป็นจะตายจนต้องใช้เงินซื้อคนมา หนุ่มสาวอายุน้อยในวัยเจริญพันธุ์ สบสายตากันและมีใจตรงกันจึงใช้เวลายามค่ำคืนด้วยกันตามธรรมชาติ แล้วมันผิดตรงไหน การที่ความถี่นั้นบ่อยเอามากๆ ก็ไม่ใช่ความผิดของมูคยอมแค่ฝ่ายเดียว ทำไมคนบนโลกนี้จึงไม่ยอมรับความต้องการของพวกผู้หญิงก็ไม่รู้
ไม่รู้สิ ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งเขาเองก็คงแก่และเหนื่อยหน่าย จนอยากลงหลักปักฐานให้ใครสักคนลูบศีรษะอย่างสงบสุขขึ้นมาก็ได้ แต่อย่างน้อยกว่าจะถึงเวลานั้นก็ยังคงอีกยาวไกล ขณะที่มูคยอมกำลังจมจ่อมอยู่กับการพิจารณาชีวิตที่เริ่มต้นมาจากคำบ่นของอิมจองคยูอยู่พักหนึ่ง โทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือก็สั่นขึ้นมาสั้นๆ บนหน้าจอที่ก้มลงมองดูนั้นมีหมายเลขที่ไม่รู้จักปรากฏอยู่ มูคยอมครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเปลี่ยนหน้าจอให้เป็นโหมดโทรศัพท์ คิดว่าไม่แน่อาจจะติดต่อมาเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวในครั้งนี้ก็ได้
“คิมมูคยอมครับ”
– อา สวัสดีครับ ผมโทรมาถูกแล้วสินะครับเนี่ย
มูคยอมขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะเป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคย
“นั่นใครครับ”
– ขอแนะนำตัวอีกครั้งนะครับ ผมคือพีดี[2]โจฮยอนชอลครับ เคยเสนอเกี่ยวกับการถ่ายสารคดีผ่านทางเอเจนซีไปหลายครั้งแล้วครับ
“…เอเจนซี่ให้เบอร์ผมไปเหรอครับ”
– เปล่าครับ คือว่า คนรู้จักส่งต่อให้มาครับ เพราะว่าเอาแต่แสดงทีท่าปฏิเสธมาตลอด ผมจึงอยากติดต่อโดยตรงสักครั้ง…
รอยย่นระหว่างคิ้วเข้มยิ่งกดลึกขึ้น
“ไม่เข้าใจเหรอครับ ว่าที่บอกให้คุยผ่านทางเอเจนซี่หมายความว่ายังไง คิดว่าผมมีเอเจนซี่ไว้เพื่อให้ใครก็ตามที่แค่มีช่องทางติดต่อของผมก็สามารถติดต่อมาได้งั้นเหรอครับ”
– ครับ ต้องขอโทษในส่วนนั้นด้วยครับ แต่ผมอยากจะพูดด้วยตัวเองสักครั้ง…
“แม้แต่ในบรรดาคนที่ทำงานออกอากาศเอง คนที่ผมเกลียดที่สุดก็คือพวกคนเหลี่ยมจัดคอยขุดคุ้ยเรื่องชาวบ้านเหมือนคุณเนี่ยแหละ ไม่รู้นะ ว่าเชื่อมั่นอะไรถึงมาชวนผมทำงานด้วยกัน ถ้าอย่างนั้นผมจะให้คำตอบด้วยตัวเองอย่างที่คุณต้องการครับ ผมไม่คิดจะทำเพราะงั้นไสหัวไปซะนะครับ”
มูคยอมกดปุ่มวางสายก่อนจะฟังคำตอบด้วยซ้ำ ถึงไม่มีเรื่องนี้ เขาก็อารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องอื้อฉาวมาตั้งแต่เช้าอยู่แล้ว ยังโทรมาด้วยเบอร์ที่ไม่เคยบอกไปในช่วงเวลาแบบนี้ โดยไม่ดูเหนือดูใต้อีก
ระหว่างที่มูคยอมกำลังไม่พอใจ เสียงปี๊ด-! ของนกหวีดเริ่มการฝึกก็ดังขึ้น เหล่านักกีฬาที่ออกมาจากห้องล็อกเกอร์ยืนเข้าแถวเรียงยาวเป็นสองแถวในสนามฝึก ด้านข้างของผู้จัดการทีมและโค้ชฝึก มีคนที่ไม่เคยมีอยู่จนกระทั่งก่อนวันหยุดยืนอยู่ด้วย
เขาแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีกรมท่าปักตราสัญลักษณ์ของทีมกับเสื้อเจอร์ซีตัวบางและกางเกงขายาว ที่คอมีนกหวีดและนาฬิกาจับเวลา มือข้างหนึ่งถือสมุดโน้ตอยู่ ลักษณะที่ดูราวกับเด็กใหม่ในโรงเรียนพลศึกษาหรือครูฝึกสอนพลศึกษา ทำให้มุมปากของมูคยอมขยับยกขึ้นเล็กน้อย
จุนซองกระแอมไอครั้งหนึ่งและแนะนำครูฝึกสอน
“อืม ทุกคนก็คงจะรู้อยู่แล้ว นี่อีฮาจุน จะมาเป็นโค้ชฟิตเนสตั้งแต่วันนี้ คงจะรู้แล้ว แต่เมื่อก่อนเคยเป็นนักกีฬาฟุตบอลเหมือนกับทุกคน เดี๋ยวนี้การดูแลทางด้านกายภาพยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เรื่องนี้ไม่ต้องพูดก็รู้กันใช่ไหม เขาเป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยมมากๆ เพราะงั้นก็เชื่อฟังโค้ชอีกันด้วย โค้ชอีเองก็กล่าวทักทายสักหน่อยสิ”
ฮาจุนที่ยืนอยู่ด้านข้างโค้งศีรษะลงก่อนเงยขึ้นพร้อมรอยยิ้มบริสุทธิ์เต็มใบหน้า
“ผมอีฮาจุนครับ ต่อไปก็ฝากตัวด้วยนะครับ หากในเวลาปกติคอยดูแลเป็นอย่างดี จากที่จะบาดเจ็บก็จะไม่บาดเจ็บ นั่นคือร่างกายครับ ผมจะพยายามอย่างเต็มที่ เพราะอย่างนั้นหวังว่าทุกท่านเองก็จะเชื่อในตัวผมและช่วยเหลือผมเยอะๆ นะครับ”
เป็นลักษณะการพูดที่ทั้งอ่อนโยนและหนักแน่นไปพร้อมกัน ทันทีที่เขากล่าวทักทายจบ พวกนักกีฬาก็โห่ร้องตะโกนและปรบมือ ส่วนมูคยอมที่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่มาปรบมือเอาทีหลังอย่างขอไปที เพราะไม่ได้รู้จักฮาจุนมากนัก ดังนั้นแม้จะอยู่ท่ามกลางบรรยากาศการต้อนรับอย่างยินดี มูคยอมจึงไม่สามารถมีความรู้สึกร่วมได้จากใจจริง
การฝึกซ้อมเริ่มต้นด้วยการวิ่งและการยืดกล้ามเนื้อเบาๆ เหมือนอย่างที่ทำมาตลอด ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการฝึกที่ผ่านมาแล้วรูปแบบก็ต่างออกไปนิดหน่อย เพราะฮาจุนเข้ามาและกิจวัตรในการยืดกล้ามเนื้อที่ทำมาจนถึงเมื่อวานก็ถูกเปลี่ยนไป ส่วนพวกนักกีฬาก็รับการเปลี่ยนแปลงที่แปลกใหม่นั่นอย่างสนุกสนาน
“วันนี้คงจะใช้เวลามากกว่าปกตินิดหน่อย เพราะนี่เป็นวันแรกผมเลยตั้งใจจะดูสภาพร่างกายของแต่ละคน ยังไงก็ขอความร่วมมือด้วยนะครับ”
เมื่อฮาจุนพูดด้วยรอยยิ้ม พวกนักกีฬาก็ประสานเสียง “ครับ-!” อีกครั้งเหมือนเด็กอนุบาล บรรยากาศน่าเอ็นดูซึ่งสร้างขึ้นท่ามกลางกลุ่มของเหล่าชายฉกรรจ์ตัวดำปิ๊ดปี๋นี่ทำใจให้คุ้นเคยไม่ได้เลยแม้แต่น้อย คิ้วของมูคยอมจึงขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ
หลังจากให้เหล่านักกีฬายืนเป็นวงกลมขนาดใหญ่อย่างกว้างๆ จากนั้นสั่งให้ยืดกล้ามเนื้อแล้ว ฮาจุนก็หยิบสมุดโน้ตออกมาถือและจดบันทึก พร้อมกับเข้าไปสังเกตดูนักกีฬาทีละคนทีละคนอย่างละเอียด เขาจับยกขาของนักกีฬาที่กำลังยืดกล้ามเนื้อไปทางนู้นทางนี้ หรือใช้มือกดตรวจบริเวณกระดูกเชิงกรานหรือใกล้กับกระดูกก้นกบ ต้นขาด้านใน หรือที่อื่นๆ โดยตรง ภาพด้านข้างของฮาจุนที่บอกให้นักกีฬากางขาที่หุบอยู่ออก หรือให้หุบขาที่กางอยู่เข้า และทดลองทำท่าทางต่างๆ นั้นดูจริงจังเป็นอย่างมาก
‘ท่าทางกระตือรือร้นโอเวอร์อย่างนั้นน่ะ บ่งบอกว่าเป็นเด็กใหม่เสียชัดเชียว’
มูคยอมที่คิดเช่นนั้นฉีกยิ้มออกมาและยืดกล้ามเนื้อด้วยท่าทางตามที่ได้รับคำแนะนำ พอดีกับที่ถึงลำดับของมูคยอมพอดี ฮาจุนจึงเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าเขา ฮาจุนนั่งยองลงใช้เข่ารองสมุดโน้ตและถือปากกาไว้ก่อนเอ่ยสั่งมูคยอม
“ก่อนอื่นลองนั่งลงแล้วยืดขาออก”
มูคยอมทำตามนั้น
“อืม ลองโน้มตัวลงมาทางด้านหน้าหน่อยได้ไหม ให้ขาชิดนะ อือ ดีมาก คราวนี้ลองกางขาออก”
มูคยอมขยับตามคำพูดนั้นทุกระเบียบนิ้ว ส่วนฮาจุนก็บันทึกอะไรบางอย่างลงสมุดอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วคำสั่งของฮาจุนก็ดำเนินต่อเนื่องต่อไป
“ขอดูข้อเท้าเดี๋ยวนะ”
ฮาจุนจับข้อเท้าของมูคยอมเบาๆ แล้วกดลงด้านบนถุงเท้าสองสามครั้งพร้อมถามว่าเจ็บหรือไม่ เมื่อมูคยอมบอกว่าไม่เป็นไร ฮาจุนก็พยักศีรษะและจดบันทึกอะไรบางอย่างอีกครั้ง จากนั้นจึงขยับเดินเปลี่ยนตำแหน่งไปฝั่งขาของมูคยอม
“ลองหมอบลงแล้วยืดเฉพาะขาขวาขึ้นด้านบน อืม ลองทางซ้ายด้วย อีกหน่อย”
แล้วฮาจุนก็จดบันทึกอะไรบางอย่างอีกครั้ง คำสั่งให้ทำท่าทางอย่าง เช่น หมอบลง แล้วเดี๋ยวก็นั่ง เดี๋ยวก็ลุกขึ้นยืน สลับไปทางซ้ายทีขวาทีอีกครั้งและให้ยกขาขึ้นลง หรือโค้งเอว งอแขนดำเนินต่อเนื่องไป เมื่อมูคยอมทำท่าทางตามที่สั่งอย่างครบถ้วน ฮาจุนก็จดบันทึก
“ดีมาก พอแล้ว ขอบใจนะ”
คงจะสังเกตดูจนเต็มที่แล้วฮาจุนจึงพูดราวกับพึงพอใจและขยับไปทางด้านข้าง แล้วเริ่มเช็กสภาพร่างกายนักกีฬาคนต่อไป
‘…อะไรกันนะ’
แม้แต่ในขณะที่พิจารณาสภาพร่างกายรายบุคคล ฮาจุนก็สั่งนักกีฬาทั้งหมดให้ทำการยืดกล้ามเนื้อท่าต่อไปอย่างต่อเนื่อง มูคยอมขยับตัวขึ้นและกระทั่งตอนที่กำลังทำตามสั่งนั้นเขาก็รู้สึกถึงความขัดแย้งจากที่ไหนสักแห่ง จะว่ายังไงดีนะ ไม่ใช่นักกีฬาที่ยืดกล้ามเนื้อต่อหน้าโค้ช แต่รู้สึกเหมือนกลายเป็นวัวหรือม้าที่ถูกตรวจสภาพโดยเจ้าพนักงานตรวจสอบปศุสัตว์
ทว่าการทดสอบสมรรถภาพร่างกายที่ฮาจุนทำก็เป็นสิ่งพื้นฐาน การทดสอบเช่นนี้ไม่ว่าที่ไหนก็ทำกัน ตลอดเวลาระหว่างที่ยืดกล้ามเนื้อ มูคยอมก็ไล่สายตาตามฮาจุนที่ไปโค้ชให้นักกีฬาคนอื่น ทว่าไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ฮาจุนสั่งให้นักกีฬาคนอื่นๆ ทำท่าทางที่เหมือนๆ กัน หลังจากเข้าใจสภาพของแต่ละคนแล้วก็จดบันทึก มูคยอมได้แต่รู้สึกถึงความไม่พอใจอันคลุมเครืออย่างบรรยายไม่ถูก ทั้งที่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้รู้สึกไม่ดีเป็นพิเศษ แล้วระหว่างนั้นการยืดกล้ามเนื้อก็จบลง ฮาจุนพูดต่อหน้าพวกนักกีฬา
“การยืดกล้ามเนื้อวันนี้ใช้เวลามากกว่าปกติสองเท่าทุกคนคงจะเหนื่อยแย่เลย แต่ทั้งหมดนี่ก็เพื่อจัดโปรแกรมฝึกสำหรับแต่ละคน ยังไงก็ช่วยเข้าใจด้วยนะครับ ผมจะสังเกตการณ์จนถึงการฝึกซ้อมช่วงบ่าย และตั้งแต่พรุ่งนี้จะเริ่มแนะนำโปรแกรมฝึกรายบุคคลครับ”
“ครับ!”
เหล่านักกีฬาตอบรับเหมือนกับลูกเจี๊ยบแรกเกิดอีกครั้ง บรรยากาศระหว่างการฝึกซ้อมเป็นไปด้วยดีมาก ทว่ามีเพียงมูคยอมที่ทำหน้ายุ่งกับความรู้สึกขัดแย้งอย่างไม่ทราบสาเหตุ และคอยจ้องมองฮาจุนเป็นครั้งคราวเท่านั้น
***
เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน มูคยอมก็สามารถเข้าใจเหตุผลที่อีฮาจุนเป็นที่ชื่นชอบในหมู่นักกีฬาได้ไม่ยากนัก
แม้ว่าวงการกีฬาเกาหลีจะเหมือนกันหมดไม่ว่าที่ไหน แต่สำหรับนักกีฬาฟุตบอลตั้งแต่เป็นนักเรียนชั้นประถม ก็จะได้รับการฝึกอบรมที่เข้มงวด หรือจะพูดถูกควนใช้คำว่าด้วยความรุนแรงจะเหมาะสมกว่า ในแวดวงฟุตบอลคนที่ใช้อำนาจที่มีตามใจไม่ได้มีเพียงแค่ผู้จัดการทีมหรือโค้ช มองจากมุมหนึ่ง สิ่งที่อดทนได้ยากยิ่งกว่านั้นก็คือความสัมพันธ์ระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง ไม่ใช่ทั้งความสามารถหรือประสบการณ์ แต่ยึดที่ระยะเวลาที่ฝึกกับอายุ การตีและตะคอกใส่รุ่นน้องมีให้เห็นทั่วไป คนที่ทนเรื่องนั้นไม่ได้จนล้มเลิกการเล่นกีฬาจึงมีมากมายจนนับไม่ถ้วน
มูคยอมโชคดีที่ได้พบผู้จัดการทีมที่ชื่อพัคจุนซอง ซึ่งมีค่านิยมในฐานะผู้ให้การศึกษาอย่างแน่วแน่ และเริ่มใช้ชีวิตในต่างประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากนั้นก็เกี่ยวเนื่องด้วยหลายปัจจัยอย่าง เช่น ความสามารถ นิสัย รูปร่าง ลักษณะหน้าตา ทำให้มูคยอมไม่เคยได้สัมผัสการข่มเหงรุ่นน้องอะไรขนาดนั้น แต่แน่นอนเขาก็รู้ว่าสิ่งนั้นมันเป็นยังไง ถึงลักษณะหรือรูปแบบจะต่างกัน แต่หากเป็นการโดนข่มเหง มูคยอมเองก็ได้พบเจอมาพอสมควร แม้กระทั่งสำหรับมูคยอมในตอนนี้เองห้องล็อกเกอร์ของกรีนฟอร์ดที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากบ้านสำหรับมูคยอมก็ไม่ใช่สถานที่ที่สงบสุขขนาดนั้น
ในโลกของนักกีฬาเช่นนั้น หากมีคนที่เข้าอกเข้าใจ ยอมรับฟังเรื่องของตนด้วยรอยยิ้ม ใครก็ต้องอยากพึ่งพิงเขาแน่ๆ ละนะ ไม่ว่าใครก็คงจะเป็นเช่นนั้นละ
“พี่ครับ ไม่สิ โค้ชครับ ขอเวลาให้ผมสักเดี๋ยวได้ไหมครับ”
“อืม ได้สิ ไปห้องพักชั่วคราวกันไหม”
มองดูภาพเหตุการณ์ที่นักกีฬาคนหนึ่งเข้าไปหาฮาจุนที่กำลังเรียบเรียงโน้ตอยู่บนม้านั่งและพูดเช่นนั้น แล้วมูคยอมก็ดูดหลอดที่เสียบอยู่ในกระบอกน้ำ เป็นภาพเหตุการณ์ที่เขาได้เห็นอยู่เป็นครั้งคราวตั้งแต่ที่ฮาจุนมา ดูจากบรรยากาศแล้วเหมือนนักกีฬาหลายคนจะนำเรื่องกลุ้มใจมาปรึกษากับฮาจุน
ถึงจะเรียกว่าปรึกษา แต่ก็ดูจะเป็นการแบ่งปันความกังวลเกี่ยวกับเรื่องกีฬาไม่ใช่เรื่องอื่น ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมาก เพราะตามที่มูคยอมทราบ ในสนามฟุตบอลการขอคำปรึกษาจากโค้ชหรือรุ่นพี่ มีไม่มากนักหรอกที่ใครจะยอมให้คำปรึกษาอย่างใจกว้างเช่นนั้น
………………………………………………..
[1] เบนท์ลีย์ (BENTLEY) ยี่ห้อรถยนต์นั่งระดับหรูของอังกฤษ
[2] พีดี (PD) หรือ โปรดิวเซอร์ (Producer) ทำหน้าที่รับผิดชอบอยู่เบื้องหลังขั้นตอนทั้งหมดในการผลิตรายการโทรทัศน์
Related