Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 36
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดัง ก๊อกๆ ฮาจุนที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะจึงรีบลุกขึ้นมา
“ถ้าเหนื่อยก็นอนก่อนค่อยไปไหม”
มูคยอมที่จัดทรงผมและเตรียมใส่เสื้อผ้าพูดออกมาแบบนั้นโดยที่ยืนอยู่ตรงประตู ฮาจุนส่ายหน้าและลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ไม่ล่ะ จะอยู่คนเดียวในบ้านที่ไม่มีใครไปทำไม ฉันก็จะออกไปด้วย”
“ถ้างั้นก็รีบออกมาเลย”
มูคยอมทำไม้ทำมือเรียก ฮาจุนจึงสะพายกระเป๋าไว้ที่ไหล่และตามออกไป เขาขึ้นไปที่ชั้นจอดรถโดยไร้คำพูดใดๆ และแม้แต่ตอนที่ขึ้นไปบนรถ ฮาจุนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
แรกๆ มูคยอมให้บัตรเครดิตและบอกให้เขานั่งแท็กซี่กลับเอง แต่เดี๋ยวนี้จะขับรถพาไปส่งถึงบ้านเสมอ ถึงแม้จะทำแบบนั้นบ่อยๆ ไม่ได้เพราะแม่ แต่ก็มีหลายครั้งที่เขานอนค้างแล้วค่อยกลับ ทั้งที่ช่วงนี้ไม่มีเรื่องให้อะไรให้เสียใจสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ถึงได้ห่อเหี่ยวอยู่เรื่อย การหดหู่และงอแงโดยไม่มีสาเหตุเป็นสิ่งที่เด็กๆ เท่านั้นที่ทำได้ ฮาจุนชักไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เข้าไปทุกที
“นายกำลังจะไปไหน”
ตอนที่คำถามแบบนั้นออกมาจากปาก เขาก็ทำตัวไม่ถูกแม้จะถามออกไป เขาไม่เคยคิดที่จะเข้าไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของมูคยอมเลย ยกเว้นตอนดูแลนักกีฬาในฐานะโค้ช และตอนที่มีเซ็กซ์กัน แต่ก็โชคดีที่มูคยอมตอบออกมาโดยที่ไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดเท่าไหร่
“เห็นว่าวันนี้น้องชายของประธานเอเจนซี่เขาทำธุรกิจ จัดงานปาร์ตี้ที่โรงแรมก็เลยขอให้ไปน่ะ”
“จู่ๆ ก็ขอเนี่ยนะ?”
“เขาขอไว้ก่อนแล้ว แต่ฉันดันลืมน่ะสิ”
ฮาจุนพยักหน้าเมื่อได้ฟังเสียงที่ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก พูดตามตรงเลยว่าเขาสงสัยเรื่องอื่นมากกว่าคนที่บอกว่ายังจำได้ และคราวก่อนก็ทักทายกันแป๊บหนึ่งที่ว่านั่นคือใครกัน ผู้หญิงหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นก็ไปที่นั่นเพราะผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า เพราะอยากเจอคนคนนั้นก็เลยปฏิเสธการใช้ปากช่วยกลางคัน และทันทีที่มีเซ็กซ์กับเขาเสร็จก็แต่งตัวใหม่เพื่อที่จะไปที่นั่นหรือเปล่า เขาสงสัยเรื่องนั้น
แต่เขาสงสัยถึงเรื่องนั้นในฐานะอะไร และจะถามเรื่องที่สงสัยออกไปได้ยังไงล่ะ
ถึงระยะทางจากบ้านของมูคยอมไปถึงบ้านของฮาจุนในแผนที่จะไม่ได้ใกล้กันขนาดนั้น แต่เขาก็รู้สึกว่ามันสั้นจนประหลาดใจ รถของมูคยอมจอดใกล้อพาร์ตเมนต์ที่เขามักจะลงเสมอ ฮาจุนลงจากรถพลางบ่นออกมาโดยไม่จำเป็น
“ถึงจะพักก็เถอะ แต่ก็อย่าเที่ยวเล่นจนดึกละ อย่าดื่มหนักด้วย”
“ไม่รู้ว่าโค้ชของเราจะเคยได้ยินคำว่า คิมมูคยอมยอดนักจัดการตัวเองหรือเปล่า”
มูคยอมโน้มตัวพิงพวงมาลัยและตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม รู้สิ ถึงมูคยอมจะมีชีวิตส่วนตัวที่ต้องให้บ่นอยู่ไม่ใช่แค่อย่างสองอย่าง แต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นนักกีฬาที่มีความรอบคอบเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง ตอนที่เจอมูคยอมครั้งแรก เขากำลังแอบพวกผู้ใหญ่มาสูบบุหรี่ แต่พอมาถึงตอนนี้แล้ว มูคยอมไม่แม้แต่จะสูบบุหรี่และมีฮาจุนเพียงคนเดียวที่สนุกไปกับการสูบบุหรี่เป็นครั้งคราว ตอนที่ได้รับบาดเจ็บจึงตัดสินใจลาออกและจิตใจว้าวุ่นจนถึงขีดสุด คนที่เขานึกถึงตอนที่สูบบุหรี่เป็นครั้งแรกก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นมูคยอมในตอนที่อายุสิบหกปี
น่าขำที่สถานการณ์กลับกันแบบนั้น และพอตระหนักได้ว่าเวลาผ่านไปนานถึงขนาดนั้นแล้วก็ยิ้มบางๆ ออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ขอบใจที่มาส่ง ขับรถดีๆ”
เขาบอกลาสั้นๆ และปิดประตู หลังจากที่ยืนมองรถของมูคยอมที่ขับออกไปสักพัก ฮาจุนก็หันกลับ ถึงใจจริงเขาอยากจะมองดูจนกว่ารถของมูคยอมจะลับสายตาไป แต่ก็กังวลว่าถ้ามูคยอมเห็นเขาที่ยืนมองอยู่แบบนั้นจากกระจกหลังแล้วจะคิดว่าแปลก สูบสักมวนแล้วค่อยเข้าไปดีกว่า
ฮาจุนเอาบุหรี่หนึ่งมวนออกมาจากกระเป๋าและคาบไว้ที่ปาก แสงไฟทั้งกลมและเล็กที่แผดเผาเป็นสีแดง ติดขึ้นมาและดับลงไป ควันสีขาวลอยไปท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนและสลายหายไป
…สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นไฟแบบไหนก็มอดดับลง
ตอนที่เริ่มเล่นฟุตบอลเขารู้สึกตกใจและประหลาดใจกับการได้ฟังคำที่ว่าเขามีพรสวรรค์ ตอนที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นที่มีศักยภาพและได้รับทุนการศึกษา เขาก็รู้สึกตกใจอีกครั้งเหมือนกับตอนที่ได้ยินว่ามีพรสวรรค์ แต่ช่วงที่ถูกเรียกตัวให้เป็นทีมชาติเยาวชน เขาก็ไม่ตกใจกับคำชมที่บอกว่ามีพรสวรรค์หรือทุนการศึกษาในโรงเรียนอีกต่อไป
ถึงตอนแรกที่ถูกเรียกตัวให้เป็นทีมชาติ เขาจะประหม่าจนมือสั่นและไม่สามารถผูกเชือกรองเท้าได้ แต่หลังจากนั้น เขาก็ชินกับการถูกเรียกตัวมากขึ้น และอยากจะลองลงแข่งจริงๆ แม้จะเป็นตัวสำรองก็ยังดี พอลงแข่งในฐานะผู้ได้รับคัดเลือกแล้วก็อยากจะเป็นผู้เล่นหลักในอนาคต
ตอนที่เรียนมัธยมปลาย เขาเคยหัวเราะตัวเองที่เป็นแบบนั้นอยู่ครั้งหนึ่ง และเคยพูดผ่านๆ กับเพื่อนในทีมว่าเขาเองก็ดูเหมือนจะมีความโลภมากกว่าที่คิด แต่แล้วเพื่อนที่ใช้ล็อกเกอร์ตู้ข้างๆ ฮาจุนก็ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า ‘เล่นกีฬาโดยที่ไม่มีความโลภถึงขั้นนั้นได้ยังไงกัน’
ถึงจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะเป็นนักกีฬาและถึงแม้ว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ตาม
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร บางครั้งฮาจุนก็นึกถึงช่วงเวลานั้น
***
โรงแรมที่คนรู้จักของมูคยอมเป็นเจ้าของเปิดให้บริการในช่วงที่ดี ฤดูร้อนที่ฤดูฝนผ่านพ้นไป ผู้คนต่างก็มองหาประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและสนุกสนาน ปาร์ตี้ที่จัดขึ้นบนชั้นดาดฟ้าที่ตกแต่งอย่างมีสไตล์กำลังสนุกได้ที่ บรรดาแขก VIP ต่างก็สนุกไปกับค็อกเทล ไวน์ และเบียร์ที่ทางโรงแรมจัดให้ไม่อั้น และหลอมรวมไปกับบรรยากาศของปาร์ตี้อันร้อนแรง
มูคยอมมองภาพที่พวกคนเมาต่างก็ลงไปในสระว่ายน้ำกลางแจ้งและสาดน้ำใส่กันอย่างสบายอารมณ์พลางลิ้มรสค็อกเทลอย่างช้าๆ ถึงแม้จะมีคนมารายล้อมอยู่ข้างๆ มูคยอมหลายคน แต่เพราะมูคยอมมีเป้าหมายอยู่แล้วจึงปฏิเสธไปพอสมควร
“คุณคิมมูคยอม”
ขณะที่เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และสนุกไปกับบรรยากาศเย็นๆ ยามค่ำคืนของบนดาดฟ้า ก็มีใครบางคนเรียกมูคยอม มูคยอมจงใจทำเป็นไม่ได้ยินในทันที และรอให้เสียงนั้นเรียกเขาอีกครั้ง
“คุณมูคยอม”
มูคยอมหันไปมองโดยที่ถือแก้วเหล้าอยู่ในมือ จากนั้นก็ “อ๋อ” แกล้งทำเป็นว่าเพิ่งจะเห็นฝ่ายตรงข้ามและลุกขึ้นยืน ตรงนั้นมีผู้หญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูดในชุดมินิเดรสสีดำแวววาวยืนอยู่
“คุณยูชีอึน ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
“ฉันก็เช่นกันค่ะ ได้ยินมาว่าไม่รู้ว่าวันนี้คุณจะมาหรือเปล่า แต่ก็มานะคะเนี่ย”
เธอเป็นนางแบบที่เคยได้แต่ทักทายกันในการประชุมทางธุรกิจเท่านั้น รูปร่างหน้าตาของเธอถูกใจเขาสุดๆ และจำได้ว่าแอบส่งสายตาให้กันขณะที่ทักทายกันด้วย
เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ภารกิจที่ยังทำไม่สำเร็จมักจะติดอยู่ในใจมากกว่าเป้าหมายที่ทำสำเร็จ เขายังไม่คิดที่จะยกเลิกความตั้งใจที่จะไม่มีวันไนท์กับผู้หญิงไป ‘สักระยะ’ แต่ก็อยากจะเช็กความตั้งใจของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง บริกรกำลังเดินไปรอบๆ เพื่อเสิร์ฟค็อกเทลหลากหลายแก้ว มูคยอมหยิบแก้วเหล้าสีฟ้าขึ้นมาจากถาดเสิร์ฟและยื่นให้กับชีอึน
“นั่งก่อนสิครับ”
ชีอึนยิ้มให้กับการเสนอของมูคยอมและนั่งลงในฝั่งตรงข้าม สายลมของคืนฤดูร้อนที่พัดมาอย่างอ่อนโยนพัดผ่านเส้นผมของทั้งสอง
ยี่สิบนาทีต่อมา มูคยอมยืนอยู่คนเดียวบนบันไดที่ไม่มีใครอยู่ด้วยความรู้สึกอึดอัด
ยูชีอึนเป็นผู้หญิงที่น่าพึงพอใจอย่างที่เขาคาดไว้ ทั้งพูดคุยกันถูกคอ เธอทั้งเซ็กซี่ สูงและหุ่นดี รวมไปถึงการสวมชุดเดรสเข้ารูปที่ทั้งสวยและทำให้จุดเด่นของตัวเองโดดเด่นขึ้นมาก็สมบูรณ์แบบ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรมูคยอมถึงจดจ่ออยู่กับการสนทนาไม่ได้เลย มันช่างน่าเบื่อเวลาที่ได้ลองใจฝั่งตรงข้ามอย่างสนุกสนานได้ที่ แล้วต้องมาคิดว่าจะต้องทำประตูด้วยวิธีไหนเหมือนกับเมื่อก่อน
เขารู้สึกได้ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ยูชีอึน แต่อยู่ที่ตัวเขาเอง แต่เขาไม่รู้ถึงสาเหตุนั้น จึงอ้างว่าขอตัวไปโทรคุยธุระด่วนและออกมาที่ทางออกฉุกเฉิน
ไม่สิ ก็ใช่ว่าจะทำตัวไม่มีพิรุธซะทีเดียว
มูคยอมขมวดคิ้วราวกับพยายามจะลบคนคนหนึ่งที่นึกถึงมาตั้งแต่เมื่อกี้ออกไป และใช้มือลูบหน้าขึ้นไปหนึ่งครั้ง
มูคยอมเป็นคนที่สนุกกับการประเมินกันและกันก่อนที่จะเข้าสู่เกมหลัก การตรวจสอบว่าอีกฝ่ายคิดตรงกันไหมเหมือนกับการรับส่งลูก จากนั้นก็ยิงเข้าประตูในตอนที่ใจตรงกันคือความสนุกตอนที่ได้เจอกับผู้หญิง แต่ดันมีคนที่ยอมรับความต้องการทั้งหมดของเขาได้แม้จะข้ามขั้นตอนเหล่านั้นไปก็ตาม
“…ชักจะนิสัยไม่ดีแล้วแฮะ”
มูคยอมพึมพำออกมาแบบนั้นราวกับตำหนิตัวเอง จากนั้นก็หยัดร่างที่พิงผนังอยู่ขึ้นมา แน่นอนว่าถึงจะไม่ใช่เหตุผลนั้นเสมอไป แต่เมื่อมีชีวิตอยู่ไปเรื่อยๆ สิ่งที่เคยสนุกมาตลอดก็น่าเบื่อขึ้นมาเช่นกัน แต่ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่หน่อยๆ ที่การออกมาเปลี่ยนบรรยากาศที่ไม่ได้มีบ่อยๆ กลับล้มเหลว มูคยอมพร่ำบ่นอยู่ในใจพลางเดินลงบันได
ที่เลานจ์บาร์ที่อยู่ชั้นบนสุดใต้ดาดฟ้าที่กำลังจัดปาร์ตี้ริมสระน้ำก็กำลังจัดปาร์ตี้มาสักพักแล้วเช่นกัน ด้านในที่เต็มไปด้วยเสียงเพลง การเต้นรำ และเสียงต่างๆ ต้อนรับมูคยอม ซึ่งแตกต่างกับชั้นดาดฟ้าที่ค่อนข้างเงียบ มูคยอมที่เบื่อค็อกเทลแล้วรับเบียร์มาหนึ่งขวดและเดินย้อนกลุ่มคนขึ้นไป
เพราะสูงโดดเด่นเป็นสง่าทำให้ยากที่จะปิดบังใบหน้า ผู้คนต่างก็จำมูคยอมได้และเหลือบมองเขา แต่มูคยอมก็ไม่สนใจ ด้วยความที่ไม่มีอารมณ์จะเต้น จึงหันไปมองรอบๆ ว่าพอจะมีอะไรที่น่าสนุกบ้างหรือเปล่า
“มูคยอม!”
ในตอนนั้นเอง ใครบางคนสะกิดเข้าที่ไหล่ของมูคยอม พอหันไปมองก็เห็นเจ้าของโรงแรมที่เป็นคนเรียกมูคยอมมายืนอยู่
“มาแล้วเหรอ มาแล้วก็โทรมาบอกกันสิว่ามาแล้ว มาเมื่อไหร่เนี่ย”
“อยู่ข้างบนสักพักแล้วก็ลงมา”
“ยูชีอึนล่ะ น่าจะอยู่บนชั้นดาดฟ้านะ”
“ตอนนี้ก็ยังอยู่”
เขาแสดงสีหน้าที่บ่งบอกว่าแปลกใจออกมา
“ไม่คลิกกันเหรอ”
“ไม่ค่อยมีอารมณ์เท่าไหร่ก็เลยบอกให้รอก่อนแล้วก็ลงมาเนี่ย ต้องพักสักหน่อยแล้วค่อยขึ้นไป”
“ลองหาดูสิ ถึงจะไม่ใช่ยูชีอึน แต่วันนี้ก็มีคนแจ่มๆ อยู่นะ”
ภาพบางอย่างดึงดูดสายตามูคยอมที่พูดคุยด้วยท่าทีไม่สนใจอะไรนัก เขาจึงพเยิดหน้าไปทางนั้น
“เกมเหรอ”
“อ๋อ กำลังชิงรางวัลกันอยู่เลย นายเอาด้วยไหมล่ะ”
มีเกมปาเป้าอยู่ที่มุมหนึ่งของบาร์ ดูเหมือนจะกำลังแข่งชิงรางวัลเป็นกิจกรรมเปิดตัวโรงแรม มูคยอมที่ชอบการเล่นเกมและการเดิมพันปราดสายตามองรายการของรางวัล รางวัลที่ 1 เป็นกระเป๋าแบรนด์เนมราคาสิบล้านวอน และด้านล่างมีรายการสิ่งของต่างๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นรางวัลปลอบใจอยู่ มูคยอมแค่นยิ้มออกมา
“ของรางวัลกากชะมัด”
“ไอ้หมอนี่ ของรางวัลเกมปาเป้าน่ะระดับนี้ก็พอแล้ว ยังไงก็มีกิจกรรมชิงรางวัลอย่างอื่นอีกเยอะ เอาแค่พอดีๆ สิ”
จู่ๆ สายตาของมูคยอมที่อ่านรายการของรางวัลอย่างไม่ใส่ใจนักก็หยุดลง
“นี่ก็เป็นของรางวัลเหรอ”
เจ้าของโรงแรมที่ลดระดับสายตาตามนิ้วของมูคยอมที่ชี้ออกไปพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“สงสัยล่ะสิว่าทำไมถึงได้มีตุ๊กตาเป็นของรางวัลในปาร์ตี้ นี่เป็นตุ๊กตาที่ช่วงนี้ขายดีจนหมดสต๊อกเลยนะ ถึงจะให้เงินเพิ่มก็หาไม่ได้ เพราะมีไอดอลสักคนนี่แหละวางประดับเอาไว้บนเตียงในรายการเรียลลิตี้ ไม่ได้เป็นการไทอินด้วยนะ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลย แต่เป็นของทำมือก็เลยผลิตให้เร็วตามความต้องการไม่ได้ เราโชคดีที่หามาได้สองสามตัว ก็เลยเอามาเป็นของรางวัล”
เป็นตุ๊กตาแมวตัวยาวที่เป็นที่นิยมในช่วงนี้ในฐานะเพื่อนนอน มูคยอมรู้จักตุ๊กตาตัวนี้เพราะฮาจุน
“หมดเกลี้ยงเลย พอจะไปซื้อเพราะบอกว่าเติมสต๊อกแล้ว ก็โดนคนอื่นปาดหน้าไปก่อน”
“ฉันอยากซื้อให้น้องสาวน่ะ พวกเด็กมัธยมปลายก็น่าจะนิยมกันไม่น้อยเลยนะ ว่าจะทำตัวเป็นพี่ที่ดีกับเขาบ้าง ยากจังเลยนะเนี่ย”
“เจ้าบ้า ต่อให้นายไม่ซื้อของขวัญแบบนั้นให้ นายก็เป็นพี่ที่ดีมากแล้วนะ
ตอนนั้นเขาหัวเราะเยาะที่ผู้ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่ทั้งสองคนมาบ่นเรื่องตุ๊กตาของพวกเด็กๆ แต่พอมาเห็นก็คิดว่าดีแล้ว เขาชอบการปาเป้ามาแต่ไหนแต่ไร แล้วนี่ก็ไม่ต้องเสียเงินอีกด้วย
“ผมจะเล่นอันนี้ด้วย”
“เอ้า จริงเหรอ นี่ ถ้านายเล่นด้วยฉันก็ต้องขอบใจเลยละ”
ทันทีที่ประกาศว่ามูคยอมจะเข้าร่วมปาเป้าด้วย มุมเล่นเกมปาเป้าที่ร้างผู้คนก็คึกคักขึ้นมาทันที ทันทีที่พิธีกรที่จัดงานประกาศว่า “คิมมูคยอม นักฟุตบอลดาวรุ่งเข้าร่วมเล่นเกมปาเป้าด้วยครับ!” ผู้คนต่างก็เริ่มกรูกันมาดู
มูคยอมกระดกเบียร์ที่เหลือทั้งหมดในคราวเดียวและถือลูกดอกเอาไว้ ถ้าเป็นการปาเป้าล่ะก็ เขามั่นใจ ที่ห้องล็อกเกอร์ของกรีนฟิลด์มีกระดานปาเป้าอยู่ เขาจึงมักจะปาลูกดอกเดิมพันกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ แถมยังเคยติดรูปนักข่าวที่เขียนข่าวแย่ๆ เกี่ยวกับเขาเอาไว้ที่กระดานปาเป้าแล้วฝึกปาเป้าเป็นเวลาสามวันด้วย อีกทั้งยังเคยเดิมพันด้วยกันกับพวกนักกีฬาที่ต้องการเอาชนะอย่างแรงกล้า แล้วกลายเป็นการต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีอยู่บ่อยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เล่นปาเป้าเหมือนปกติ แล้วดันไปทะเลาะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กับกัปตันทีมจนทำให้บรรยากาศในทีมดุเดือดไปเป็นสัปดาห์ จนหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์พาดหัวข่าวการทะเลาะกันครั้งนั้นว่า ‘การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในห้องแต่งตัวของกรีนฟอร์ด’ และรายงานข่าวราวกับว่ามีความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่ด้วย
แขนที่ยาวและแข็งแกร่งที่อยู่ใต้แขนเสื้อเหวี่ยงไปด้านหลังเล็กน้อยแล้วยื่นออกไปข้างหน้า ลูกดอกที่ลอยออกไปโดยไร้ซึ่งความลังเลปักลงบนช่องทริปเปิ้ลใต้ช่องยี่สิบแต้ม ผู้คนต่างร้อง ว้าว! และส่งเสียงโห่ร้องเชียร์สั้นๆ ออกมา
บนกระดานมีการแบ่งช่องได้ชวนหงุดหงิดมากจนกลัวว่าจะไม่ใช่การปาเป้าสำหรับเดิมพัน ตั้งใจทำมาให้มีช่องถี่ๆ ความแม่นยำจะได้ลดลง แต่ถ้าปาเข้าไปให้โดนพื้นที่แคบๆ ได้ก็สามารถทำแต้มสูงๆ ที่ปกติไม่สามารถทำได้ ซึ่งแตกต่างกับกระดานปาเป้าทั่วไป มูคยอมเล็งไปที่ช่องทริปเปิ้ลที่มีคะแนนสูงอย่างใจเย็น
เวลาที่มีคนมองก็จะรู้สึกประหม่าเป็นธรรมดา แต่มูคยอมยื่นแขนยาวๆ ออกไปอย่างสบายอารมณ์ ปั้ก ปั้ก ผู้คนต่างโห่ร้องเชียร์เมื่อเห็นลูกดอกปักตรงจุดที่เขาเล็งเอาไว้ได้สบายๆ ราวกับว่ากำลังปักเข็มลงหมอนปักเข็ม มีเสียงที่ตะโกนว่า “คิมมูคยอมเท่มาก!” อยู่ด้วย
“ครับ ผู้เล่นคิมมูคยอม! เป็นที่หนึ่งอยู่ในขณะนี้ครับ อ้อ แล้วก็เป็นแต้มสูงสุดที่สามารถทำได้ในการปาเป้านี้ด้วยนะครับ ถ้าไม่มีคนที่ทำแต้มได้สูงกว่าในเวลาที่กำหนดก็จะกลายเป็นผู้ชนะ แต่ถ้ามีคนที่ทำคะแนนได้เท่ากันก็จะเริ่มการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศนะครับ”
มูคยอมสะบัดข้อมือและยิ้มออกมาเพราะน้ำเสียงของพิธีกร เขาไม่ต้องการกระเป๋าที่เป็นรางวัลที่หนึ่งยังเหลือเวลาอยู่อีกหน่อยกว่ากิจกรรมปาเป้าจะจบลง มูคยอมจึงรับเหล้ามาอีกขวดและฟังเพลงไปพลางๆ ระหว่างรอการตัดสินอันดับสุดท้าย
หากตัดสินอันดับแล้ว เขาคิดจะแลกของรางวัลกับคนที่ได้ตุ๊กตาที่เป็นรางวัลอันดับสี่ เอากลับไปไว้ที่บ้านแล้วค่อยเอาไปให้อีฮาจุนที่สนามฝึกวันพรุ่งนี้ไม่ก็มะรืนนี้ก็เป็นอันจบ