Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 43
เตียงที่นี่ก็มีเหมือนกัน คนอื่นรู้แล้วจะพูดอะไรได้ถ้าล็อกประตูก่อนทำ มูคยอมหมั่นไส้ที่อีกฝ่ายเหมือนจะแกล้งจงใจหลบหน้าเขาแค่คนเดียว คนที่คุมสติไว้ไม่อยู่ทุกครั้งที่มีอะไรกันแล้วเขาปล่อยในกลับทำเป็นไม่รู้สึกอะไร
หรือมีแค่เขาที่เปิดเผยเรื่องเซ็กซ์อย่างชัดเจน
แต่ไม่ว่าจะลองคิดดูกี่ครั้งอีฮาจุนก็ชอบการมีเซ็กซ์ไม่น้อยไปกว่าเขาเลย ไม่ใช่ว่าเพราะโดนของคนอื่นเสียบเข้าไปแล้ว ถึงได้สบายใจอยู่คนเดียวแบบนี้เหรอ
“นายนอนกับยุนแชฮุนเหรอ”
สุดท้ายเขาก็หลุดปากพูดสิ่งที่อยากถามออกไป ฮาจุนทำตาโต สบตาเข้ากับมูคยอมด้วยสีหน้าไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายพูด
“ว่าไงนะ”
ฮาจุนถามซ้ำไปแบบนั้น และหันไปมองรอบๆ เหมือนเพิ่งได้สติ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นจุดที่ใครก็สามารถเดินเข้าออกได้ และไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับการพูดคุยเรื่องแบบนี้
“บ้าไปแล้วเหรอ อยู่ๆ ถามคำถามไร้สติอะไรออกมา”
ฮาจุนคาดคั้นถามโดยลดเสียงเบาลงราวกับกระซิบ มูคยอมจ้องมองสีหน้าตกตะลึงของอีกฝ่ายอย่างมีเลศนัยแล้วระเบิดหัวเราะออกมา
อย่ามาแกล้งตีหน้าซื่อ จนป่านนี้แล้วยังมาทำเป็นปฏิเสธอีก
“อยู่ห้องเดียวกันด้วย เมื่อวานนัวเนียกันเต็มที่แล้วก็ยังรู้สึกอยากสินะ ไม่ใช่หรือไง”
“พูดเรื่องอะไรของนาย ฉันกับพี่เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแบบนั้น”
“อีฮาจุน”
เมื่อมูคยอมเรียกชื่อขึ้นมา ฮาจุนก็หยุดพูดทันทีราวกับสงสัยว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรต่อ
“ถ้านายเป็นฉันนายจะเชื่อคำพูดตัวเองไหมล่ะ”
ฮาจุนที่สับสนจนทำอะไรไม่ถูกทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ชั่วครู่
มูคยอมยิ้มเยาะในใจกับสีหน้าจริงจังนั้น ถ้าอยากจะปกปิดเขา อีกฝ่ายก็ควรจะเล่นละครไปด้วย ตีหน้าซื่อไปด้วย แล้วก็บ่ายเบี่ยงไปด้วย อะไรแบบนั้นไม่ใช่เหรอ
เป็นอีฮาจุนที่ดันตัวเขาแล้วพุ่งเข้ามาจูบเพราะการหอมแก้มเบาๆ ครั้งเดียว วันนั้นอีกฝ่ายตรงดิ่งมาที่รถเขาแล้วก็มีเซ็กซ์กันอย่างรวดเร็ว ภาพที่อีกฝ่ายบอกว่าไม่ต้องเล้าโลมเพราะรีบอยากให้เขาฝังกายเข้าไป ใบหน้าเรียบเฉยที่พยักหน้ายอมรับข้อเสนอของเขาแล้วบอกนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำอะไรแบบนี้ยังคงติดตา แต่กับผู้ชายที่ชอบอย่างออกนอกหน้าขนาดนั้น กลับบอกว่ายังไม่มีอะไรกันงั้นเหรอ
ฮาจุนยืนตัวแข็งพูดไม่ออก มูคยอมยืนรอโดยไม่ได้ซักไซ้ต่อ เขาอยากจะรู้ว่าสุดท้ายอีกฝ่ายจะตอบมาว่าอะไร
“ฉัน…”
ฮาจุนที่ปริปากพูดขึ้นมาเช่นนั้นนิ่งเงียบและเหม่อไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็สั่นศีรษะเล็กน้อยและสบตาเข้ากับมูคยอมตรงๆ
“ฉันนอนกับใครแล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย”
ครั้งนี้มูคยอมขมวดคิ้วกับคำตอบที่สมเหตุสมผล
“ฉันไม่จำเป็นต้องรู้ว่านายจะไปเกาะแกะกับใคร แต่กับผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ ฉันไม่ชอบหมอนั่นเลย ทำตัวไม่ซื่อสัตย์ ผู้ชายแต่งงานแล้วที่ไหนถึงเที่ยวมายุ่งกับคนอื่นข้างนอก ขนาดคบกับผู้หญิงมามากขนาดนั้น แต่ก็ไม่เคยพัวพันกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว”
“ฉันบอกว่าไม่ใช่ไง” ฮาจุนพูดย้ำอย่างหนักแน่น
มูคยอมปิดปากเงียบ ฮาจุนเสยผมขึ้นหนึ่งครั้งแบบที่มักจะทำเมื่อรู้สึกสับสนหรืออ่อนล้า อาจเพราะถูกพูดแทงใจดำเข้าเลยดูเหมือนว่าปลายนิ้วของอีกฝ่ายจะสั่นเล็กน้อย แต่มูคยอมก็ทำเป็นมองไม่เห็น
“ฉันไม่ได้มีอะไรกับผู้ชายแต่งงานแล้วแบบที่นายพูด”
“…”
“แล้วพี่เขาก็ไม่รู้”
“…ว่า?”
“ไม่รู้เรื่องที่… ฉันชอบผู้ชาย”
มูคยอมหรี่ตาลงเล็กน้อย
อย่างนั้นเองเหรอเนี่ย
“เพราะงั้นอย่าไปทำแบบนั้นใส่พี่เขา เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย”
มูคยอมนึกถึงช่วงที่ฮาจุนแอบหลบหน้าและกวนประสาทเขา แต่พอเขาถามหยั่งเชิงไปครั้งเดียวว่ามีอารมณ์กับเขาหรือเปล่า หมอนั่นก็พุ่งตัวเข้าใส่ทันที
อาจเพราะอีกฝ่ายคือคิมมูคยอม การชี้นำนั้นจึงเป็นไปได้ ปกติถ้าพวกผู้ชายหลบหน้าเขาไปตามปกติเหมือนกับที่ตัวเขาเองเคยทำในช่วงแรกๆ มูคยอมก็จะคิดว่าอีกฝ่ายไม่ชอบตนเอง แล้วพอต่างคนต่างอึดอัดใจก็แค่เหินห่างกันไป หรือถ้าอยากจะสนิทด้วยก็จะลดระยะห่างระหว่างกัน ถ้าไม่ใช่สักอย่างเขาก็จะปล่อยไว้เฉยๆ แล้วมองข้ามไป มันก็เลยเกิดเป็นความสัมพันธ์ฉาบฉวย ไม่ชัดเจนแบบนั้น
คิมมูคยอมคงไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวที่ฮาจุนใจร้ายด้วยสินะ
ไม่ว่าฮาจุนจะคิดยังไงกับคนอย่างยุนแชฮุนมันก็คงเป็นไปได้ไม่สวยนัก ไม่ว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายมีครอบครัวแล้ว หรือเพราะอีกฝ่ายเป็นคนประเภทปิดกั้น ไม่แม้แต่จะจินตนาการถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนเพศเดียวกันได้ หรือจะยังไงก็ตาม เลยทำให้ยังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันแบบในตอนนี้ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่อยากถูกสงสัยไปในทางอื่น มูคยอมสรุปสถานการณ์จนถึงปัจจุบันอย่างคร่าวๆ ตามนั้น
“เป็นอะไรของนาย”
เมื่อคิดได้ดังนั้นมูคยอมก็รู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อยจึงถอนหายใจออกมาสั้นๆ ฮาจุนมองเขาด้วยสีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อยเหมือนจะถามว่ายังมีอะไรจะพูดอีกไหมทั้งที่ตนเองอธิบายไปขนาดนี้แล้ว
“ใครจะไปรู้ว่ามันเป็นแบบนั้นล่ะ ถ้าเป็นฉันก็คงจะปล่อยให้นายพูดพล่อยๆ ใส่ไปเลย เอ่อ น่ารักดี”
“…หมายถึงอะไรอีกเนี่ย”
“ช่างมัน เลิกคุยเถอะ” เพราะว่ามันน่าเบื่อ
มูคยอมปิดปากเงียบ ไม่กล้าพูดคำนั้นออกไป ถ้าหากว่าอีกฝ่ายผุดรอยยิ้มมีเลศนัยขึ้นมาเพราะคำว่านอกใจ ในใจเขาคงคุกรุ่นน้อยกว่านี้ แต่เขายิ่งรู้สึกโมโหเพราะสีหน้าของฮาจุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยุนแชฮุนสดใสเกินไป
พอรู้เหตุผลแล้วเขาก็ยิ่งไม่ชอบยุนแชฮุนเข้าไปใหญ่ ผู้ชายที่ไหนไม่รู้มาทำให้โค้ชคนสำคัญของทีมอื่นต้องทุกข์ใจ ถึงตอนนี้เขาจะรู้สึกเห็นใจฮาจุนที่ซ่อนสีหน้าเศร้าสร้อยไว้ไม่อยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกแย่ไปด้วย
อดีตของคู่นอนเป็นข้อมูลที่เขาไม่จำเป็นต้องรู้มากที่สุดในโลก เพราะถ้าเห็นว่าน่าสงสาร น่าเห็นใจ หรือเกิดความรู้สึกเมตตาระหว่างเพื่อนมนุษย์ก็จะยิ่งยุ่งยากขึ้นไปอีก
เขาต้องเลิกสนใจ
แม่งเอ้ย ไอ้คนแบบนั้นมีดีอะไร อย่างมากก็แค่หน้าตาดี หุ่นดีมาก แล้วก็หาเงินได้เยอะ
ทำไมถึงชอบ น่าชอบตรงไหน ใจดีด้วยขนาดนั้นเลย?
…สองความคิดที่ขัดแย้งกันภายในใจเช่นนี้ผุดขึ้นมาในหัวตามลำดับเหมือนกับเกมตีตัวตุ่น
“อีฮาจุน”
แต่ความเข้าใจผิดก็คือความเข้าใจผิด มูคยอมยอมรับในความผิดพลาดของตัวเอง
“เอ่อ ขอโทษที่พูดไปทั้งที่ไม่รู้อะไร”
“…ช่างเถอะ ทุกคนบนโลกรู้กันหมดว่านายปากเสีย ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”
ฮาจุนพูดอ้อมแอ้มเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ทั้งที่บรรยากาศเต็มไปด้วยหนามทิ่มแทง ปัญหาคือถึงแม้ว่าอีฮาจุนจะมีหนามงอกออกมา มูคยอมก็มองเป็นแค่ลูกวัวที่มีเขางอก ไม่ใช่เม่นอยู่ดี
“ถ้าเข้าใจแล้วก็ให้ความร่วมมือกับการฝึกซ้อมที่เหลือหน่อยแล้วกัน เหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่แล้ว ฉันบอกแล้วไงว่ามันจะดีกับตัวนายด้วย”
ข้อสรุปกลับมามีข้อเดียวอีกครั้ง คือการตั้งใจฟังยุนแชฮุนและห้ามทำให้เสียบรรยากาศ มูคยอมไม่มีอะไรจะพูดเพราะเขาทำผิดที่ไปพูดจี้ใจอีกฝ่าย จึงแค่พยักหน้าเบาๆ จนแทบมองไม่เห็นครั้งสองครั้งแทนคำตอบ ส่วนฮาจุนก็ถอนหายใจออกมา
“กลับไปกันเถอะ”
“สรุปเราจะไม่ทำกันที่นี่เหรอ” มูคยอมถามฮาจุนที่กำลังทำไม้ทำมือชวนให้เขากลับไปยังสนามฝึก
“พอกลับถึงโซลแล้วทำกันเลย ตกลงไหม”
เนื่องจากเป็นการฝึกซ้อมนอกสถานที่ระยะเวลาห้าวันสี่คืนซึ่งถูกจัดขึ้นอย่างกะทันหันตามความต้องการของสปอนเซอร์ จึงนับเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อเทียบกับการฝึกซ้อมนอกสถานที่ทั่วไปที่จัดขึ้นหนึ่งถึงสองสัปดาห์ ถึงอย่างนั้นก็ยังเหลืออีกหลายวันกว่าจะกลับ แต่อีกฝ่ายกลับสั่งให้เขาห้ามใจตัวเองนานขนาดนี้
น่าตลกที่อีกฝ่ายทำตัวหยิ่งให้เขาต้องขอร้องจนเหนื่อยกว่าจะตอบรับหนึ่งครั้ง อย่างกับไม่ใช่คู่นอนที่มีความสัมพันธ์ทางร่างกายกันอย่างสมัครใจ
ใครกันแน่ที่คุมสติไว้ไม่อยู่แล้วร้องออกมาดังลั่นตอนเขาเริ่มสอดใส่
แต่ที่ฮาจุนบอกว่าการมีอะไรกันในสถานที่ฝึกซ้อมมันอันตรายนั้นก็มีเหตุผล มูคยอมลุกขึ้นยืน เขาทำเป็นยอมแพ้และคล้อยตาม
ให้ถึงโซลก่อนเถอะ จะทำให้วันรุ่งขึ้นลุกไม่ไหวเลย
มูคยอมให้คำมั่นเช่นนั้นพลางเดินเคียงฮาจุนไป แต่จู่ๆ อีกฝ่ายก็โพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอัดอั้น
“นายก็เคยมีข่าวฉาวกับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วนี่”
“ว่าไงนะ ไม่นี่”
“มีไม่ใช่เหรอ ภรรยานักธุรกิจอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศจีนไง”
มูคยอมกะพริบตาราวๆ สองครั้งแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่สิ ขุดเรื่องผิดพลาดสมัยไหนขึ้นมาเอาป่านนี้ล่ะเนี่ย ข่าวที่อีกฝ่ายพูดถึงมันเรื่องเมื่อประมาณสองปีก่อนแล้วนะ
“สาบานว่าฉันไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแต่งงานแล้ว เพราะงั้นก็ต้องไม่นับสิ ปากไม่ได้เฉียดสักนิด แต่รูปดันถูกถ่ายออกมาแบบนั้นเอง”
ฮาจุนมองมูคยอมที่พูดแก้ตัวเพราะรู้สึกไม่ยุติธรรม แล้วยิ้มเจื่อนๆ ราวกับไม่อยากจะเชื่อ ในใจของมูคยอมที่เคยบ่นพึมพำมีความประหลาดใจมากกว่าความไม่พอใจ
“โค้ชอีนี่รู้ทุกอย่างจริงๆ”
“…เวลาว่างฉันชอบหารายละเอียดข้อมูลของพวกนักกีฬาน่ะ พอต้องหาข้อมูลนายก็มีข่าวแบบนั้นเต็มไปหมด เลยได้แต่อ่านมา”
ระหว่างที่มูคยอมหรี่ตาลงเล็กน้อย มองเสี้ยวหน้าด้านข้างอันเรียบเฉยของอีกฝ่ายที่พูดเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร พวกเขาก็เดินมาถึงหน้าประตูสนามกีฬาในร่มแล้ว มูคยอมยังมีเรื่องที่อยากจะพูดเลยเรียกฮาจุนไว้ก่อนที่จะเปิดประตู
“โค้ช”
“อะไรอีกล่ะ”
“ดูเหมือนพวกนักกีฬาจะมองว่าคุณโค้ชเป็นคนง่ายๆ มากเกินไปนะ ถึงการอยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อนจะดียังไงแต่ก็เป็นโค้ชอยู่ดี ควบคุมพวกนักกีฬาให้ได้หน่อยสิ อย่าไปล้อเล่นด้วยซะทุกเรื่องแบบนั้น”
“อย่างนายควรพูดด้วยเหรอ คนที่มองว่าฉันง่ายที่สุดในบรรดานักกีฬาในทีมก็คือนายเองไม่ใช่เหรอ”
ฮาจุนหัวเราะเยาะพร้อมกับต่อว่ากลับมาตรงๆ ก่อนที่มูคยอมจะหาคำพูดแย้งกลับไปได้ อีกฝ่ายก็เปิดประตูออกกว้างเสียก่อน
มูคยอมนั่งลงตรงม้านั่งตามคำสั่งของฮาจุน เฝ้ามองอีกฝ่ายพูดคุยอะไรบางอย่างกับยุนแชฮุนด้วยความตั้งใจ ฮาจุนกำลังยิ้มอยู่ แต่พอเขาเห็นอีกฝ่ายโค้งคำนับเหมือนกำลังร้องขอบางอย่างด้วยท่าทีอ่อนน้อมเล็กน้อยแล้วก็รู้สึกอาหารไม่ย่อยขึ้นมาอีกรอบ เป็นสถานการณ์ที่ห่วยแตกจริงๆ
ยุนแชฮุนเดินห้อยตามหลังฮาจุนราวกับหางมาอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง ในสายตามูคยอมอีกฝ่ายก็ดูธรรมดาๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า ฮาจุนชอบไอ้คนแบบนี้ตรงไหนกันแน่ พอมองหน้าใกล้ๆ แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างเฮงซวยจริงๆ
มูคยอมมองแชฮุนโดยที่ยังไม่ผ่อนคลายสีหน้าลง แต่อีกฝ่ายกลับถามเขาด้วยท่าทางสดใสราวกับจะบอกว่าตนเองไม่ได้ผ่านสถานการณ์แบบนี้มาแค่ครั้งสองครั้ง
“ขอดูข้อเท้าหน่อยได้ไหม”
“…ทำอะไรก็ทำ”
ถึงจะรู้สึกโมโหกับความรู้สึกพ่ายแพ้ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะสัญญาไว้แล้วว่าจะให้ความร่วมมือ
***
บรรยากาศในสนามซ้อมค่อนข้างที่จะกลับคืนสู่สภาพปกติเมื่อมูคยอมเริ่มให้ความร่วมมือกับการฝึกซ้อมเป็นอย่างดี เมื่อกลุ่มเมฆดำเคลื่อนผ่าน เสียงหัวเราะของเหล่านักกีฬาก็กลับคืนมาอีกครั้ง แชฮุนกับมูคยอมยังคงไม่ได้ทักทายกันอย่างเหมาะสม แต่ก็นับว่าไม่มีใครทำท่าทางน่าอึดอัดใส่กันอีก
แชฮุนที่ตรวจสภาพร่างกายของเหล่านักกีฬาอย่างละเอียดมาตลอดสามวัน เขียนแผนการฝึกซ้อมของนักกีฬาแต่ละคนแล้วยื่นให้กับฮาจุน
ชอบขนาดไหนถึงได้ยิ้มออกมาราวกับได้รับสมบัติล้ำค่าของโลก ตอนนั้นเองที่มูคยอมเริ่มแสดงความไม่พอใจออกมา แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นท่าทางที่น่ายกย่องและสมควรชื่นชมในฐานะโค้ช
วันที่สี่ในสถานฝึกซ้อมนอกสถานที่ พรุ่งนี้ทีมก็ต้องกลับโซลกันแล้ว การฝึกซ้อมในวันนั้นเลยจบลงในช่วงสาย ช่วงหลังเวลาอาหารกลางวันถูกเสนอให้เป็นเวลาว่าง เหล่านักกีฬาต่างก็กำลังพยายามสร้างบรรยากาศวันหยุด เช่น การไปเที่ยว และสนุกสนานไปกับการว่ายน้ำในทะเล
พวกผู้ชายวัยหนุ่มที่มีผิวสีแทนน่ามองถอดเสื้อออกแล้วออกไปยังชายหาด ผู้คนต่างทำตาโตจ้องมองภาพนั้น หลายคนยิ้มพลางมองภาพที่คนเหล่านั้นกระโดดลงไปในทะเล และบางคนก็ถ่ายรูปไปด้วย
ขณะที่จองคยูซึ่งสวมเพียงชุดว่ายน้ำหรือก็คือกางเกงขาสั้น เปิดเผยเรือนร่างท่อนบนอันกำยำกำลังยืดเส้นยืดสายอยู่ที่หาดทราย เขาก็หันไปถามมูคยอมที่นั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่บนเก้าอี้ชายหาดข้างๆ ใต้ร่มเงาของร่มบังแดด
“นายไม่ลงน้ำหรือไง ชอบทะเลไม่ใช่เหรอ”
“ที่แบบนี้ไม่ใช่สไตล์ฉันเลย ทะเลส่วนตัวอะไรก็ไม่ใช่”
“เฮ้อ คุณนักกีฬาคิม ช่วยบอกเคล็ดลับความเฮงซวย คิดเล็กคิดน้อยไปซะทุกเรื่องหน่อยได้ไหมครับ”
พอจองคยูล้อเลียนการสัมภาษณ์โดยทำเป็นยื่นไมค์หาอีกฝ่ายเสร็จ เขาก็หันไปหาคลื่นทะเลแล้ววิ่งออกไป มูคยอมไม่ได้สนใจอีกฝ่ายและทำเพียงนั่งมองผู้คนเดินไปมาบนหาดทรายโดยที่ยังสวมแว่นกันแดดไว้
ไม่ว่าทะเลหรือการเล่นน้ำ มูคยอมก็ชอบมันไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆ แต่ทว่าตอนนี้เขากลับไม่มีอารมณ์จะไปกลิ้งเล่นท่ามกลางเพื่อนร่วมทีมที่กำลังหัวเราะคิกคักเหมือนกับพวกเด็กๆ เขาไม่อยากถอดเสื้อต่อหน้าผู้คน แล้วก็ไม่อยากเป็นเจ้าภาพในงานถ่ายภาพไปโดยไม่รู้ตัว
เดิมทีถ้าพูดถึงวันหยุดพักร้อนก็ควรให้ไปสถานที่พักผ่อนระดับมหาสมุทรแปซิฟิกหรือยุโรปใต้ เขาควรได้นั่งเรือยอชต์เข้าไปในทะเลลึกที่สามารถหลีกเลี่ยงสายตาของปาปารัสซี่หรือผู้คนได้และว่ายน้ำหรือดำน้ำอยู่ตรงนั้นสิ ใครจะไปชอบถอดเสื้อแสดงตัวบนชายหาดที่แออัดเหมือนทางเดินในตลาดแถวบ้านแบบนี้กัน
แต่พอนอนเฉยๆ อยู่ใต้ร่มไปเรื่อยๆ มูคยอมก็รู้สึกเบื่อแล้วก็ร้อน เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้กับทะเลเพื่อรับลมก็เห็นฮาจุนนั่งอยู่บนหาดทราย
ในที่สุดก็อยู่คนเดียว
ตลอดช่วงฝึกซ้อมอีกฝ่ายดูยุ่งมากเพราะถูกรายล้อมไปด้วยไอ้คนที่แต่งงานแล้ว พวกนักกีฬา พวกโค้ช และอีกหลายๆ คน
“ไม่ลงน้ำเหรอ”
พอมูคยอมเดินเข้าไปใกล้แล้วถามขึ้น อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาทั้งที่ยังนั่งอยู่
“อืม ฉัน เอ่อ”
“ทำไมล่ะ ว่ายน้ำไม่เป็นเหรอ ฉันสอนให้เอาไหม”
เขาถามกึ่งเล่นกึ่งจริง อาจเพราะแสบตา ฮาจุนจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยและยิ้มพลางตอบกลับมา
“เปล่า เพราะต้องถอดเสื้อ แล้วก็ไม่ชอบให้ชุดเปียกด้วย”
อีกแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้อีกฝ่ายถึงยิ้มอย่างนั้นอยู่เรื่อย
เดิมทีฮาจุนไม่ค่อยยิ้มต่อหน้าเขา ส่วนใหญ่จะทำหน้าเครียดจนถึงขั้นดูบึ้งตึงและหดหู่เสียมากกว่า
เป็นสีหน้าที่มูคยอมค่อนข้างคุ้นเคยเวลาเถียงกันสั้นๆ ด้วยเรื่องของยุนแชฮุน หรือเป็นเพราะอยู่ทีมเดียวกันมานานแล้วก็มีอะไรกันมานานแล้ว เดี๋ยวนี้อีกฝ่ายเลยรู้สึกสบายๆ กับเขาจึงยิ้มออกมาบ่อย แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่พอใจ
“เพราะแผลเป็นเหรอ”
“อ๋อ อืม ก็ใช่…”
“มันก็ดูไม่แย่เท่าไหร่นะ ผู้ชายมีแผลเป็นบนตัวสักอันสองอันแล้วยังไงล่ะ”
“…ถ้านายมองแบบนั้นก็ค่อยยังชั่ว”
ฮาจุนพูดดังนั้นแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม ใบหน้าด้านข้างที่กำลังยิ้มอยู่รับกับแสงแดด ขาวจนแทบจะเปล่งประกายออกมาแต่ก็ไม่ได้ดูสดใสขนาดนั้น มูคยอมจ้องเขม็งลงไปเหมือนกำลังพิจารณาความแตกต่างอันน่าประหลาดนั้น
“…มีอะไรติดอยู่ที่หน้าฉันเหรอ”
“เปล่า”
ฮาจุนเอามือตัวเองคลำตรงแก้ม ส่วนมูคยอมก็เบนสายตากลับมา
นายไปทำอะไรมาถึงได้บาดเจ็บตรงนั้น
มูคยอมอยากจะถามอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป เพราะนอกจากจะไม่มีทางเป็นเรื่องที่น่ายินดีเท่าไหร่แล้ว มันก็เป็นหัวข้อที่เขาไม่อยากจะถามออกไปอย่างปุบปับเช่นกัน