Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 44
“แล้วยุนอะไรนั่นล่ะ”
“ไปซื้อของขวัญแล้ว”
“ของขวัญ?”
“ของขวัญให้ลูกสาว”
ทำเป็นอวดเก่งอยู่แฮะ เขาหัวเราะเยาะออกมาอัตโนมัติ การแกล้งเอ็นดูขนาดนั้นจนทำตัวน่าอายเหมือนจะเขมือบเข้าให้ แต่ก็ทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียวแล้วไปซื้อของขวัญให้ลูกทันทีที่มีเวลาคือขีดจำกัดของผู้ชายที่แต่งงานแล้ว
ก็เลยนั่งเหม่อลอยทำตัวน่าสงสารอยู่อย่างนี้งั้นเหรอ โถ่เอ๊ย…
อาจจะเป็นเพราะแสงแดดร้อนๆ และความชื้นของชายหาดจึงร้อนอบอ้าวขึ้นทุกที ถ้าจะไม่ลงน้ำก็น่าจะฝังตัวอยู่แต่ในห้องของโรงแรมน่าจะดีกว่า
“ฉันกลับห้องนะ”
“อืม กลับไปพักผ่อนเถอะ”
“อากาศมันร้อน ถ้านายไม่เล่นก็กลับเข้าไปในโรงแรมซะสิ”
“ไม่หรอก แค่ดูเฉยๆ ก็โอเค”
จากนั้นมูคยอมก็ทิ้งฮาจุนที่นั่งเท้าคางมองทะเลไว้ และมุ่งหน้าไปที่โรงแรม พอเดินมาได้สักพักก็หันกลับไปมอง รู้สึกว่าภาพที่อีกฝ่ายนั่งอยู่คนเดียวมันดูเศร้ายังไงก็ไม่รู้
จะนั่งดูเฉยๆ มันก็ไม่ได้แย่หรอกนะ แต่ก็น่าจะลงไปเล่นในน้ำซะหน่อยสิ แค่ถอดเสื้อออกมันก็คงจะไม่ทำให้รอยแผลเป็นกลายเป็นที่สะดุดตามากนักหรอก
มูคยอมยืนมองแผ่นหลังของฮาจุนอยู่สักพัก แล้วก็หันหลังมุ่งหน้าไปที่โรงแรม เขาคิดว่าการนอนกลางวันในห้องที่เปิดแอร์ทิ้งไว้เป็นเรื่องดีที่สุด
พอตกกลางคืนงานเลี้ยงดื่มฉลองก็เริ่มต้นขึ้น บรรดาผู้เล่นต่างก็เดินไปห้องโน้นห้องนี้หยอกล้อกันเหมือนกับเหล่านักศึกษาที่มา MT ผู้จัดการทีม โค้ชบางคน และบรรดาผู้เล่นมากประสบการณ์ต่างก็มาดื่มเหล้าที่ห้องของผู้จัดการทีม ถึงจะเป็นปาร์ตี้ก็เถอะ แต่มูคยอมที่ไม่ได้มีการดื่มเหล้าอยู่มุมห้องเป็นงานอดิเรกก็ไม่ได้รู้สึกสนุกอะไรมากมาย จึงได้แต่ทักทายสั้นๆ ว่าขอบคุณที่ตั้งใจฝึกซ้อมมาโดยตลอดและกลับมาที่ห้อง
จองคยูเองก็ปฏิเสธที่จะร่วมวงอื่นเหมือนกับมูคยอม และเก็บตัวอยู่ในห้อง ถึงอยากจะบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเพราะสนิทกับเขา แต่มูคยอมก็รู้ว่าจองคยูเองก็มีนิสัยดื้อรั้นอยู่เหมือนกัน จึงไม่ได้พูดอะไรออกไป
“เรามาดื่มด้วยกันสักแก้วเถอะ”
จองคยูวางเบียร์ลงบนโต๊ะที่อยู่ใกล้ระเบียง มูคยอมเองก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธจึงได้นั่งลงฝั่งตรงข้าม
ห้องพักเป็นห้องที่มองออกไปเห็นวิวทะเล ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมืดและได้ยินแค่เสียงคลื่นทะเลเท่านั้น แต่ลมทะเลเย็นๆ ที่พัดมาจากหน้าต่างก็ไม่เลวเลย ชี่ เสียงเปิดกระป๋องเบียร์ดังขึ้นมาเบาๆ ทั้งสองชนกระป๋องกันอย่างเรียบง่าย
“ยังไงก็ขอบใจนะ ที่ตอนแรกทำให้บรรยากาศเสียแล้วก็เปลี่ยนใจกลางคัน”
“ฉันก็ไม่ได้ชอบหมอนั่นซะทีเดียวหรอกนะ”
“ชอบหรือไม่ชอบแล้วมันสำคัญกับเวลาทำงานตรงไหนกัน ยังไงก็ไม่ใช่คนที่นายจะต้องเจอไปอีกนานซะหน่อย”
ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอยู่ โทรศัพท์ของจองคยูก็สั่นขึ้นมาสั้นๆ หลังจากเช็กข้อความแล้วจองคยูก็ยิ้มออกมาเบาๆ และยื่นให้มูคยอมดู
“ดูฮีมังของเราสิ ส่งมาบอกว่าคิดถึงพ่อ”
“เก็บไปเลย”
“…ไอ้เวรนี่ไม่มีความอบอุ่นเลย เฮ้ย ฮีมังก็เป็นหลานของนายไม่ใช่หรือไงวะ”
“ฉันถึงได้ส่งเงินไปให้ตลอดไง”
จองคยูเลียริมฝีปากราวกับไม่มีอะไรจะพูดต่อ และเก็บโทรศัพท์ มูคยอมส่งเงินก้อนโตมาให้เพื่อแสดงความยินดีหลังจากที่ลูกสาวของเขาลืมตาดูโลก และยังส่งมาให้ตอนที่ครบ 100 วันกับวันที่ครบรอบหนึ่งขวบด้วย แม้แต่ตอนนี้ที่กลับมาที่
เกาหลีแล้วก็ยังไม่เคยเจอกันเลยสักครั้งและไม่ได้ไปงานฉลองวันเกิด แต่ก็ถือว่าเป็นการแสดงถึงความเมตตาที่มากเพียงพอ
ทั้งสองเพลิดเพลินไปกับลมทะเลยามค่ำคืนพร้อมกับพูดคุยกันต่ออย่างช้าๆ เริ่มจากเรื่องราวสมัยที่เป็นนักเรียนมัธยมต้น ต่อด้วยเรื่องราวต่างๆ ที่แต่ละคนได้พบเจอในฐานะผู้เล่น จองคยูล้อการคบผู้หญิงมากหน้าหลายตาของมูคยอม ส่วนมูคยอมก็ล้อความตรงไปตรงมาของจองคยู หลังจากที่พูดคุยกันแบบนั้นแล้ว บทสนทนาก็ย้อนกลับไปถึงเวิลด์คัพเมื่อสามปีก่อน จองคยูส่ายหัวราวกับว่าอีกฝ่ายยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน
“นายนี่ไม่สนใครเลยจริงๆ สินะ ฮาจุนเห็นนายจำเขาไม่ได้ยังตกใจเลย ยังไงก็เป็นคนที่อยู่ด้วยกันมาหนึ่งเดือน ลืมพวกเขาไปแบบนั้นได้ไงเนี่ย แต่นั่นก็ถือเป็นพรสวรรค์นะ”
“ฉันไม่ได้ไม่สนใจ แต่นั่นมันสถานการณ์พิเศษ นี่ถามเพราะไม่รู้เหรอ ตอนนั้นฉันหงุดหงิดก็เลยไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น”
สำหรับมูคยอมแล้ว เวิลด์คัพเมื่อสามปีก่อนเป็นเวิลด์คัพแรกของเขา ถึงเดิมทีจะต้องลงแข่งในเวิลด์คัพครั้งก่อนหน้า
ก็ตาม แต่ตอนนั้นเขากำลังเข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บเล็กน้อย และกรีนฟอร์ดที่รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บก็ไม่ต้องการให้มูคยอมลงแข่งเวิลด์คัพ
จิตวิญญาณในการต่อสู้กับอาการบาดเจ็บก็เป็นอดีตไปแล้ว แตกต่างกับเมื่อก่อนที่ให้ความสำคัญกับการเป็นตัวแทนประเทศมากกว่าสิ่งไหน ตอนนั้นมูคยอมยังเด็ก และเพิ่งเริ่มอาชีพนักเตะในพรีเมียร์ลีกได้ไม่นาน จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องยอม
เสี่ยงและตอบรับการเรียกตัว หลังจากที่ได้รับการยกเว้นการเกณฑ์ทหารในการแข่งขันโอลิมปิกเมื่อสองปีก่อนก็ยิ่งเป็นแบบนั้น
แต่ถึงยังไง เวิลด์คัพก็เป็นเวทีแห่งความฝันของนักฟุตบอลทุกคน จากนั้นมูคยอมก็เข้าร่วมการแข่งขันรอบคัดเลือกของเวิลด์คัพในฐานะตัวแทนประเทศเกาหลี และลงแข่งในรอบชิงชนะเลิศในอีกหนึ่งปีให้หลัง ถึงจะไม่เคยฝันถึงความฝันอันเพ้อเจ้ออย่างชัยชนะ แต่มูคยอมตั้งใจไว้ว่าจะผ่านเข้ารอบสิบหกทีมสุดท้ายให้ได้
แต่ก็ดันโชคร้าย ถึงแม้ว่ามูคยอมจะไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่บรรดาผู้เล่นหลักที่เล่นด้วยกันในรอบคัดเลือกภูมิภาคเอเชียได้รับบาดเจ็บติดต่อกัน จึงไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันหลักได้ บรรดาผู้เล่นตัวสำรองจึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้เล่นหลักอย่างช่วยไม่ได้ แต่ถึงยังไงก็เป็นทีมที่กำลังปรับระดับให้เข้ากันอย่างยากลำบากอยู่แล้ว แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางเติมเต็มความต้องการของมูคยอมได้
ทีมทุลักทุเลตั้งแต่การฝึกซ้อมครั้งแรก และมูคยอมเองก็โมโห คำพูดที่เขาได้ให้สัมภาษณ์หลังจากจบรอบแรกที่ว่า ‘มาตรฐานต่างกันเกินไป หากนำทีมไปทั้งอย่างนี้ก็ไม่ผ่านแม้แต่รอบคัดเลือก’ ทำให้เขาถูกโจมตีด้วยการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อและมวลชน
แน่นอนว่าก็มีผู้เล่นที่พอใช้ได้อยู่บ้าง แต่มูคยอมก็แยกตัวออกจากทีมด้วยความเต็มใจเพียงครึ่ง และในช่วงเวลาส่วนตัวหรือแม้แต่เวลาฝึกซ้อม เขาก็ไม่พูดคุยกับผู้เล่นคนอื่นๆ เลย แต่อย่างน้อยตอนนั้นก็มีแค่จองคยูที่พูดคุยกับมูคยอมได้ แต่ด้วยความที่จองคยูยังเด็กจึงขาดประสบการณ์ในการทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง
เป็นเวิลด์คัพครั้งแรกที่แย่เหลือเกิน ถึงจะไม่ได้ลืมแต่ก็ไม่อยากจดจำ จึงจงใจที่จะไม่สนใจมัน ปีหน้าเวิลด์คัพก็จะกลับมาอีกครั้ง สำหรับนักกีฬาแล้ว สามปีไม่ใช่ช่วงเวลาที่สั้นเลย เมื่อย้อนกลับไปมองตัวเอง ก็มีจุดที่คิดว่าอ่อนไหวมากเกินไป
เพราะความทะเยอทะยานที่มากเกินไปอยู่คนเดียวอยู่ด้วย จึงตั้งใจไว้ว่าปีหน้าจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำอีก การใช้ชีวิตในเกาหลีในหนึ่งฤดูกาลนี้อาจจะช่วยเรื่องนั้นได้ก็ได้
“ตอนแรกฮาจุนจะสับสนแค่ไหนกันนะ? ลืมคนที่เป็นผู้ช่วยไปซะสนิทขนาดนั้นน่ะ”
แต่กรณีของอีฮาจุนนั้นแตกต่างออกไป ตอนนั้นก็คอยหลบหน้ากันตลอด จะไปรู้อะไรได้ และถึงจะไม่เป็นแบบนั้น ตัวเองที่ไม่สนใจมนุษย์หน้าไหนเลยสักคนในตอนนั้น จะไปจำฮาจุนได้ยังไงกัน
“ช่วยทำดีกับฮาจุนหน่อยสิ เขาเป็นคนที่มีเรื่องทุกข์ใจเยอะอยู่แล้ว อย่าให้ต้องทุกข์ใจเพิ่มโดยไม่จำเป็นอีกเลย”
จองคยูพูดออกมาราวกับต่อว่า เป็นคำที่ทิ่มแทงใจไม่ใช่น้อย มูคยอมจึงทำหน้าง้ำงอ
“ดูเหมือนว่าอีฮาจุนลาออกเพราะบาดเจ็บ”
“ใช่แล้ว เพราะบาดเจ็บ”
“แล้วทำไมถึงกลับมาเป็นโค้ชทันทีเลยล่ะ เป็นหนักถึงขนาดฟื้นฟูไม่ได้เลยเหรอ”
จองคยูดื่มเบียร์เข้าไปหนึ่งอึกและเงียบไปราวกับกำลังเรียบเรียงคำพูด จากนั้นก็พูดออกมา
“ก็แค่ ตอนนั้นน่าจะเหนื่อยมาก แต่ยังไงก็มีช่วงที่รุ่งนะ แต่ว่าแม่ของฮาจุนไม่ค่อยสบาย ตับหรือไตนี่แหละที่มีปัญหาเรื้อรัง ตอนนี้ก็น่าจะยังรับการรักษาอยู่เรื่อยๆ การฟื้นฟูร่างกายก็ต้องมีการค้ำจุนช่วยเหลือด้วยสิ แต่ฟุตบอลมืออาชีพ
ของเกาหลีไม่มีเวลาที่จะมาโอบอุ้มและรอผู้เล่นที่บาดเจ็บไม่ใช่หรือไง”
“ถ้างั้นก็เป็นเพราะเงินเหรอ”
“เรื่องเงินก็ส่วนหนึ่ง ไหนจะเรื่องเวลาเอย อะไรเอย ฉันเข้าใจนะ ก็ในเมื่อคนหาเงินมีแค่ตัวเองเท่านั้น จะไม่มืดแปดด้านได้ยังไงล่ะ พอต้องมาฟื้นฟูร่างกายที่ไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่เพราะต้องการจะเป็นผู้เล่นอีกครั้ง ก็เลยคิดหาวิธี
ที่จะหาเงินให้ได้เร็วๆ ไงละ นอกจากแม่แล้วก็ยังมีน้องอีกสองคนนี่ พวกเขาจะไปหาเงินมาจากที่ไหนได้ล่ะ ตอนนี้ฉันมีลูกแล้ว ถึงได้รู้ว่าถึงจะหามาได้เท่าไหร่มันก็ไม่พอ โชคดีที่มีประสบการณ์ในการเป็นนักกีฬามามากพอ จึงดีกว่าการเริ่มต้นจากศูนย์
ในหลายๆ ด้าน”
สีหน้าของจองคยูที่ดื่มเบียร์เข้าไปอีกหลายอึกขมขื่นขึ้นมา
“เมื่อก่อนฮาจุนเคยบอกว่ามีคนอีกมากที่ลำบากกว่าตัวเอง นั่นก็ไม่ใช่คำพูดที่ผิดเลย การเปลี่ยนแผนจากผู้เล่นมาเป็นโค้ชและได้ตำแหน่งอย่างรวดเร็วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ”
“…”
“นายไม่รู้ล่ะสิ? หลังจากจบเวิลด์คัพครั้งนั้น ฮาจุนเองก็ได้รับข้อเสนอจากฝรั่งเศส ถึงจะเป็นดิวิชั่น 2 ก็เถอะ แต่นายเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน และตอนแรกก็เริ่มต้นแบบนั้น ถึงเห็นอย่างนี้ก็เถอะ แต่เขาเป็นคนที่เตะลูกไปถึงหน้าประตู
และทำประตูได้เก่งใช่ย่อยเลยนะ ถึงจะเป็นคนเงียบๆ แต่ก็มีเซนส์ดี น่าเสียดาย เขาน่ะเป็นประเภทที่เป็นที่ยอมรับในยุโรปมากกว่าเกาหลี… แต่โอกาสก็หายไปหมดเพราะบาดเจ็บ”
“หยุดพูดได้แล้ว”
มูคยอมพูดตัดบท จองคยูที่เล่าเรื่องราวไม่หยุดเกิดความกระดากอายขึ้นมาบนใบหน้า
“ทำไมล่ะ หรือนี่ก็เป็นการพูดลับหลังหรือเปล่า”
“ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องของอีฮาจุน ไม่ใช่เรื่องที่ฟังแล้วรู้สึกดีด้วย ถึงจะเป็นเรื่องที่ใครบางคนไปได้สวยก็ยากที่จะฟัง และพอได้ฟังเรื่องราวที่ว่าใครบางคนล้มเหลว ก็มีแต่จะท้อแท้เท่านั้นแหละ”
“…”
“แค่ชีวิตของฉันเองก็มีเรื่องวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ฉันไม่สนเรื่องวุ่นวายของคนอื่นหรอกนะ ถ้าตั้งใจจะประสบความสำเร็จก็ต้องฟังเรื่องราวการประสบความสำเร็จของคนอื่นเยอะๆ คนเขาไม่จ่ายเงินเพื่ออ่านเรื่องราวความสำเร็จหรือหนังสือพัฒนาตัวเองโดยเปล่าประโยชน์หรอก”
“นายนี่มันไม่รู้จักเห็นใจคนอื่นเลย”
ทั้งที่เอ่ยปากว่าออกไปแต่ท่าทีของจองคยูกลับอ่อนลง เพราะเขาเป็นคนที่รู้ช่วงเวลาที่เคย ‘วุ่นวาย’ ของมูคยอมเป็นอย่างดีรองจากผู้จัดการทีมพัคจุน และเขาก็รู้ดีกว่าใครด้วยว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดออกมาด้วยท่าทีดื้อดึงอย่างไร้เหตุผล มูคยอมกระดกเบียร์ที่เหลือจนหมดแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง
“นายจะไปไหน”
“ไปรับลมสักหน่อย นายจะไปดื่มกับคนอื่นต่อก็ได้นะ”
“ไม่ได้จะไปไหนไกลๆ ใช่ไหม อย่ากลับดึกล่ะ พรุ่งนี้เราจะกลับกันแล้วนะ”
“ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้วน่า”
ดูเหมือนจองคยูจะคิดว่ามูคยอมจะออกไปหาผู้หญิง มูคยอมที่ไม่ได้มีแผนจะทำอะไรแบบนั้นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นจะต้องอธิบายอะไรออกมาจากอาคารของรีสอร์ตและมุ่งหน้าไปที่ชายหาดอีกครั้ง
ผู้เล่นหลายคนออกมาที่ทะเลยามค่ำคืนเพื่อดื่มเหล้าต่างก็เงยหน้าขึ้นมาทักทายเขา
“อ้าว พี่มูคยอม! มาแล้วเหรอครับ”
“ดื่มกับพวกผมสักแก้วสิครับ!”
มูคยอมโบกมือปฏิเสธพวกเด็กๆ ที่เซ้าซี้ราวกับกำลังสนุกสุดเหวี่ยง
“ไม่ละ พวกนายสนุกกันต่อเถอะ”
เขาปฏิเสธออกไปแบบนั้นและตั้งใจจะก้าวออกมา แต่จู่ๆ สิ่งที่เหมือนกับก้อนเต้าหู้ขาวๆ ก็กระโจนออกมาระหว่างบรรดาผู้เล่นที่นั่งอยู่ที่ชายหาด และรีบเข้ามาใกล้มูคยอม สุนัขสีขาวตัวหนึ่งเข้ามาใกล้ถึงข้อเท้าของมูคยอม มันกระดิกหาง
และหอบดังแฮ่กๆ มูคยอมจึงขมวดคิ้วเข้าหากัน
“หมามาจากไหนเนี่ย”
บรรดาผู้เล่นรีบตอบทันที
“ไม่รู้ว่ามีเจ้าของหรือเป็นหมาจรจัด แต่มันอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วครับ”
“มันน่ารักดีก็เลยเล่นกับมันครับ”
“มันน่าจะชอบพี่นะครับ”
ดูจากขนอันสะอาดสะอ้านของมันแล้ว น่าจะไม่ใช่สุนัขที่ใช้ชีวิตอยู่ริมถนน มูคยอมกระทืบเท้าใส่ลูกสุนัขที่ตามติดเขา
“ไปให้พ้น”
ถึงจะคุกคามเขาแต่ก็ยังส่ายหาง และไม่ยอมออกห่างจากมูคยอมง่ายๆ
“ชู่ว”
แต่พอมูคยอมถลึงตาใส่และแกล้งทำเป็นไล่มันไปอีกหลายต่อหลายครั้ง สุดท้ายมันก็ร้องหงิงๆ และกลับไปหาเหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ ใครคนหนึ่งอุ้มลูกสุนัขขึ้นเพื่อปกป้องมันพร้อมกับสังเกตท่าทีของมูคยอมและถามออกมา
“ไม่ชอบหมาเหรอครับ”
“อืม”
น่ารักดีออก… มูคยอมทิ้งเสียงบ่นพึมพำราวกับเสียดายเอาไว้ข้างหลัง และเริ่มเดินไปบนหาดทรายที่ทอดยาวอย่างช้าๆ เขาอยากไปในสถานที่ที่มีคนน้อยๆ
ด้วยความที่เป็นชายหาด จึงมีแสงไฟจากร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียง แม้จะเป็นตอนกลางคืนก็ไม่ได้มืดมากนัก แต่ยังไงน้ำทะเลก็ดำสนิทเหมือนน้ำหมึก มีฟองน้ำที่แตกตัวจากการซัดของคลื่นเตี้ยๆ เท่านั้นที่ได้รับแสง จึงรับรู้ได้ถึงเส้นแบ่งเขตระหว่างทะเลและหาดทราย และรับรู้ได้เพียงว่าที่แห่งนี้คือทะเลผ่านเสียงน้ำที่ซัดสาด
พอออกห่างจากตัวรีสอร์ตมากขึ้น ร่องรอยของคนก็ลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อออกจากพื้นที่ที่มีร้านค้ารวมตัวกันอยู่ แสงไฟก็สลัวลง แสงจันทร์เล็กๆ ที่ลอยอยู่บนทะเลสีดำก็ปรากฏเข้ามาในสายตา เขาเดินมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มาถึงสถานที่ที่ไม่ได้ยินเสียงผู้คน มีเพียงแค่เสียงซัดสาดของคลื่นดังซ่าเท่านั้น
ในตอนนั้นมูคยอมลดความเร็วของฝีเท้าลงและเมื่อถึงจุดหนึ่งก็หยุดเดินลงในที่สุด ที่หยุดเดินไม่ใช่เพราะมาถึงสถานที่ที่เขาต้องการแล้ว แต่เป็นเพราะมีคนอยู่ในสถานที่ที่คิดว่าเดินมาถึงตรงนี้แล้วก็ไม่น่าจะมีใครอยู่
มูคยอมจ้องมองใบหน้าด้านข้างของแขกผู้ที่มาถึงก่อน อาจจะเป็นเพราะมืดเกินไป หรือเพราะเสียงคลื่น ใครคนนั้นจึงไม่ทันได้สังเกตว่ามูคยอมเดินมาตรงนี้
อีฮาจุนนั่นเอง พอเห็นภาพที่อีกฝ่ายยืนอยู่ในความมืดเพียงลำพัง ก็นึกถึงใครคนนั้นที่ยืนอยู่ในห้องรับแขกมืดๆ เหมือนกับกระต่ายป่าอย่างที่เคยเห็นมาก่อน
แต่ฮาจุนในวันนี้ไม่เหมือนกับกระต่ายที่หลงทาง แม้จะเดินมาถึงตรงนี้แล้ว แสงไฟที่มีอยู่ประปรายและแสงจันทร์ที่สว่างเกินคาดสาดส่องใบหน้าของฮาจุนจนดูซูบซีด ฮาจุนมองออกไปไกลๆ ด้วยใบหน้าเรียบเฉยราวกับมองเห็นเส้นขอบฟ้าที่ถูกความมืดปกคลุมจนลบเลือนไป
มูคยอมไม่เอ่ยปากพูด ไม่เข้าไปใกล้มากกว่าเดิม และมองดูเขาอยู่ไกลๆ ฮาจุนยังคงยืนนิ่งและมองไปยังทะเลอันกว้างไกล
คนที่เริ่มขยับก่อนคือฮาจุน ฮาจุนถอดรองเท้าที่สวมอยู่ออก เท้าเปล่าของฮาจุนที่เห็นมาหลายต่อหลายครั้งก้าวลงไปบนผืนทราย มูคยอมรู้สึกเหมือนว่าเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของรูปที่ผิดพลาด มูคยอมชอบใส่รองเท้าแม้จะอยู่บนชายหาด เพราะอาจจะบาดเจ็บเอาได้
ฮาจุนที่เท้าเปล่าก้าวเดินไปข้างหน้า เท้าและข้อเท้าขาวๆ ที่เหยียบลงไปบนหาดทรายสวยๆ แต่ละก้าวๆ โดยไร้เสียง หายไปท่ามกลางคลื่นสีดำที่ซัดสาด