Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 5
ไม่นานความว่างเปล่าก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าละอ่อนที่ตกตะลึงไปชั่วขณะ ฮาจุนจ้องมองท้องฟ้าอันว่างเปล่าเงียบๆ ราวกับสิ้นหวัง และไม่นานก็ผงกศีรษะตอบรับ
“อาจจะใช่ งั้นคงจะเจ็บแป๊บเดียว”
“จริงเหรอ”
“ถ้ายังเจ็บอีกก็บอกนะ”
“โอเค”
ฮาจุนเอามือยันเข่าตัวเองแล้วลุกขึ้นยืน
ไม่รู้ว่าทำไมแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่เดินไปทางนักกีฬาคนอื่นๆ ถึงดูไร้เรี่ยวแรงกว่าเมื่อสักครู่ แม้ดูเหมือนว่าฮาจุนจะรู้ตัวว่าถูกแกล้ง แต่ถึงอย่างนั้นมูคยอมก็ไม่ได้รู้สึกผิดต่ออีกฝ่าย เพราะยังไงคนที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิดก็คืออีฮาจุน อีกทั้งอาจจะไม่ใช่การเข้าผิดใจก็เป็นได้ เพราะสีหน้าที่ฮาจุนแสดงออกมาก่อนจะเอามือกดลงตรงเอวทำให้มูคยอมยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่
มูคยอมนึกไปถึงความไม่สบอารมณ์ขณะที่ทำตามคำแนะนำเรื่องท่าบริหารข้อเท้าที่ฮาจุนบอกให้ใช้กำลังข้อเท้าข้างซ้ายเป็นสองเท่า การสร้างความบาดหมางกับโค้ชของทีมใหม่ไม่ใช่เรื่องดี แน่นอนว่าหากเรื่องเกิดขึ้นที่กรีนฟอร์ดเขาคงจะพูดอะไรได้อย่างตรงไปตรงมา แต่ที่นี่คือทีมของจุนซอง เขาไม่อยากสร้างปัญหาให้ผู้จัดการปวดหัวทันทีที่มาถึง แต่ถ้าหากยังเลือกปฏิบัติแค่กับเขาอย่างนี้ เขาก็คงต้องเตรียมรับมือเช่นกัน เพราะมันเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงาน
หากไม่ย้ายอีฮาจุนออกจากตารางฝึกของตนเองไปเลย ก็ต้องให้อีฮาจุนเปลี่ยนความคิดและปฏิบัติกับเขาอย่างเหมาะสม
***
ซี่โครงหมูตุ๋น ยำผักโขม ซุปปลาแห้ง ไข่ม้วน
มูคยอมรู้สึกพึงพอใจอย่างมากขณะที่มองเครื่องเคียงในถาดหลุม มีคนเคยบอกเขาว่าถ้ามีอาหารที่ชอบก็ให้บอก เขาก็เลยลองพูดไปเล่นๆ แต่เมนูอาหารกลางวันในวันนี้กลับเต็มไปด้วยเครื่องเคียงที่มูคยอมเคยบอกว่าอยากกิน
“พวกเราก็ทำแบบเดิมให้ทุกรอบไม่ได้หรอก แต่ยังไงก็จะคอยดูให้นะ อยากกินอะไรก็บอกได้เลย”
“ขอบคุณครับคุณป้า”
“จ้ะ กินให้เกลี้ยงด้วยล่ะ”
พอมูคยอมส่งยิ้มให้และบอกลาอย่างนุ่มนวลเสียยิ่งกว่าตอนได้เจอคู่เดตดีๆ เหล่าแม่ครัวก็ดีใจกันยกใหญ่และตักซี่โครงหมูตุ๋นเพิ่มให้ เมื่อเขาหันตัวออกมามองหาที่นั่ง จองคยูที่นั่งอยู่ก่อนก็โบกมือมาให้ ถึงหมอนั่นจะเซ้าซี้ไปหน่อยแต่ข้อดีก็คือทำให้เขาสนิทกับคนอื่นได้อย่างรวดเร็ว มูคยอมเดินไปที่โต๊ะนั้นแล้ววางถาดอาหารลง ส่วนคนอื่นๆ ก็กำลังพูดคุยกันขณะทานอาหาร
“ช่วงนี้ข้าวโรงอาหารอร่อยขึ้นไหมครับ”
“ปกติข้าวที่นี่ก็อร่อยอยู่แล้วนะ”
“ผมรู้สึกเหมือนช่วงนี้อร่อยกว่าเดิมยังไงก็ไม่รู้ครับ ทานให้อร่อยนะครับ พี่มูคยอม”
“พวกนายก็ด้วย”
ตอนนี้เหล่านักกีฬาเองก็สะดวกใจ และเริ่มพูดคุยกับมูคยอมมากขึ้นแล้ว มูคอยมเองก็ตอบกลับอย่างพอดีก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมา แต่จู่ๆ จองคยูก็โบกมือขึ้นมาราวกับพบใครบางคน
“ฮาจุน ไม่สิ โค้ชครับ มานั่งกินตรงนี้สิ!”
ที่นี่ไม่ใช่โรงอาหารในโรงเรียนมัธยมสักหน่อย ฮาจุนหัวเราะขบขันด้วยความเอ็นดูและส่ายหัวให้กับจองคยูที่ร้องตะโกนเรียกให้คนรู้จักแต่ละคนมากินข้าวรวมกัน
มูคยอมมองฮาจุนที่คล้อยตามเสียงเรียกของจองคยูและเดินถือถาดอาหารมาทางนี้ แต่อีกฝ่ายกลับหยุดชะงักเมื่อสบตาเข้ากับเขา ขมวดคิ้วคล้ายกับตื่นตระหนกเล็กน้อยแล้วก็กลับมายิ้มอย่างรวดเร็ว
“ฉันต้องไปนั่งกินข้าวกับโค้ชคนอื่นๆ น่ะ”
“อ้าวเหรอ”
“อืม ไว้เจอกันตอนฝึกรอบบ่าย”
“โอเค กินให้อร่อยนะ”
มูคยอมเห็นฮาจุนรีบหันหลังและก้าวเท้าเดินไปเร็วๆ แล้วนั่งลงตรงโต๊ะอาหารที่กลุ่มโค้ชอาวุโสนั่งอยู่รวมกัน มูคยอมที่มองดูภาพนั้นอยู่เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อย เขาที่นั่งอยู่ข้างจองคยูที่กำลังกินข้าวอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเป็นคนเดียวที่วางช้อนลง หลังจากอยู่ในความเงียบครู่หนึ่งก็แสร้งทำเป็นว่านึกอะไรบางอย่างออกก่อนจะพูดขึ้นมา
“แต่ก่อนนายเคยชวนให้ไปดื่มเหล้ากันสามคนกับโค้ชคนนี้นี่”
“ใช่ ถ้านายว่างก็นัดวันเลยไหมล่ะ”
“นัดมาเลย ยังไงเขากับฉันต่างก็เป็นคนที่ย้ายมาใหม่ คงจะดีถ้าผูกมิตรกันไว้”
จองคยูดื่มน้ำแล้วเบิกตาโพลงคล้ายกับประหลาดใจ
“ผูกมิตร? อะไรของนายเนี่ย รู้จักคำแบบนั้นด้วยเหรอ”
“ฟังคำพูดนายแล้วฉันดูเหมือนเป็นคนที่มีปัญหากับการเข้าสังคมเลย”
“ก็เกือบใช่นั่นแหละ”
เหล่านักกีฬาที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ หัวเราะกับคำพูดของจองคยู
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะครับพี่จองคยู พอได้รู้จักลูกพี่มูคยอมจริงๆ ก็ใจดีออกครับ”
“เอ๊ะ อย่ามาตลกนะไอ้พวกนี้ ที่เป็นแบบนั้นเพราะมีฉันอยู่ด้วยต่างหาก ไม่งั้นคิดเหรอว่าพวกนายจะได้มากินข้าวพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกข้างๆ หมอนี่กันแบบนี้ เจ้านี่น่ะเอาแต่ใจตัวเองที่สุดแล้ว”
แม้จะมีส่วนที่ถูกใส่ร้ายแต่คำพูดนั้นก็ไม่ได้ผิดไปเสียหมด มูคยอมเถียงอะไรกลับไปไม่ได้และเริ่มขยับช้อน อาหารรสชาติไม่เลว หากไม่ใช่เพราะท่าทีชวนสงสัยที่ฮาจุนแสดงให้เห็นเมื่อสักครู่เขาก็คงกินข้าวได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว มูคยอมมองฮาจุนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของกลุ่มโค้ชกำลังพูดคุยกับคนอื่นๆ และหัวเราะออกมาราวกับเพลิดเพลินกับอะไรบางอย่าง
เป็นคนธรรมดาๆ แต่กลับกวนใจเขาอยู่บ่อยๆ หัวหน้าโค้ชก็ไม่ใช่ ก็แค่โค้ชรุ่นราวคราวเดียวกันคนใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน
“นายว่างวันไหนบ้างล่ะ ที่จะไปดื่มเหล้า” จองคยูหยิบโทรศัพท์ออกมาและถามขึ้นขณะที่มูคยอมทอดสายตาไปยังโต๊ะที่อยู่ห่างออกไป
“พรุ่งนี้ก็ว่าง มะรืนนี้ก็ว่าง ไม่ว่างก็จะว่างให้”
“ทำไมถึงกระตือรือร้นจัง นายเป็นงี้ฉันคงต้องรีบนัดวันแล้ว” จองคยูพิมพ์ข้อความลงไปทันที
มูคยอมหั่นเต้าหู้อันหนึ่งที่อยู่ในซุปปลาแห้งขณะมองฮาจุนที่นั่งอยู่ห่างออกไป ฮาจุนมองโทรศัพท์คล้ายกับได้รับข้อความ ภาพสีหน้าลังเลของอีกฝ่ายที่เอียงคอด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่งเข้ามาอยู่ในสายตาของมูคยอม ฮาจุนไม่ได้ตอบกลับในทันทีและทำเพียงจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ แล้วก็หยิบขึ้นมาหลังจากผ่านไปสักพัก
ครืด
ครั้งนี้เป็นเสียงโทรศัพท์ของจองคยูที่ดังขึ้น จองคยูเช็กโทรศัพท์อย่างเชื่องช้าเพราะกำลังจดจ่ออยู่กับมื้ออาหารอย่างเต็มที่ มูคยอมที่อยากได้คำตอบไวๆ จึงเป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน
“ตอบมาว่าไง”
“ไม่ว่างไปอีกสักระยะ เขาบอกว่าหลังเลิกงานมีเวิร์กชอปอยู่เรื่อยๆ เลย อย่างว่า ทำงานนี้ก็คงมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก คงต้องนัดกันใหม่วันหลังแล้วแหละ”
ไม่ว่างไปอีกสักระยะ
จะบอกว่าโค้ชหน้าใหม่วัยยี่สิบหกปีที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นานงานยุ่งกว่าคิมมูคยอมงั้นเหรอ
“ไหนว่านิสัยดี”
“หือ”
“เปล่า”
นิสัยดีตรงไหน ใจแคบ แถมยังไม่ได้แคบธรรมดาด้วย ชัดเจนว่าฮาจุนน้อยใจและคอยหลบหน้าเพราะมูคยอมเคยบอกว่าจำอีกฝ่ายไม่ได้ในวันแรก ถึงไม่มากินข้าวหรือไม่ไปดื่มเหล้ามูคยอมก็จะไม่บังคับแต่เขาจะไม่ยอมถ้าอีกฝ่ายยังทำท่าทางแบบนั้นไปจนถึงตอนฝึก เป็นโค้ชหน้าใหม่กล้าดียังไงมาเลือกนักกีฬา แล้วยังทำกับเขา ไม่ใช่กับนักกีฬาคนอื่นด้วย
ลองนับรวมคนที่มูคยอมเคยขอให้ไปดื่มด้วยตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้เลย แล้วพอมาคิดดูดีๆ ก็มีเพียงไม่กี่ครั้งจริงๆ อีกทั้งยังเป็นคนที่สนิทกันอยู่แล้วอย่างจองคยูหรือจุนซองเท่านั้น มูคยอมไม่ชอบทำเรื่องเรียบง่ายอย่างการหาเวลาว่างนัดกันเพื่อสร้างมิตรกับใครสักคน
ทำตัวเป็นคนใจดีกับคนเป็นล้านแต่ถ้าไม่ได้ทำกับเขามันก็ไร้ประโยชน์
เขาจะลองให้โอกาสดูก่อน
มูคยอมถือแก้วน้ำเย็นที่วางอยู่ข้างถาดอาหารขึ้นมาดื่ม ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ใจแคบมาก็ใจแคบกลับ ขี้งกมาก็ขี้งกกลับ มูคยอมสามารถเอาคืนในแบบเดียวกันกับใครก็ตามที่ด่าทอเขา ลูบคมเขา และใช้ความรุนแรงทั้งในสนามหรือนอกสนาม เขาพร้อมที่จะทำตัวเป็นเด็กอยู่เสมอ
***
การฝึกช่วงเช้ามุ่งเน้นไปที่การฝึกสมรรถภาพทางกาย ส่วนการฝึกช่วงบ่ายส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ด้านกลวิธีต่างๆ พอถึงช่วงบ่ายโค้ชฟิตเนสก็จะออกมาด้านนอกเพื่อคอยสังเกตการฝึกซ้อมพร้อมให้คำแนะนำ เนื่องจากลักษณะของการฝึกซ้อมแตกต่างกันทางสำนักงานจึงเป็นคนกำหนดตารางฝึกซ้อมของวันถัดไปและจัดการข้อมูลตามลักษณะการฝึก
วันนี้เริ่มการฝึกช่วงบ่ายก่อน เหล่านักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บจะมีโปรแกรมฝึกเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ส่วนนักกีฬาที่เหลือก็เริ่มฝึกทักษะพื้นฐานในการส่งบอลและการเลี้ยงลูก หลังจากนั้นก็จะฝึกซ้อมเกมสนามเล็กกัน การฝึกเกมสนามเล็กในสนามฝึกปฏิบัติจะทำให้นักกีฬากล้าที่จะเล่นมากขึ้น ได้ลองฝึกทำโอเวอร์เฮดคิกซึ่งยากที่จะทดลองในการแข่งขันจริงซึ่งมีความเสี่ยงสูง และได้ลองใช้เท้าข้างที่ไม่ถนัดฝึกดูเพื่อเป็นการเตรียมรับมืออย่างจริงจัง
“โอ๊ะ โอ๊ะ!”
ถึงจะเป็นเกมสนามเล็ก แต่เกมก็คือเกม แค่ห้านาทีก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดความดุเดือดระหว่างเหล่านักกีฬาที่มีความกระหายในชัยชนะสูง นักเตะอายุน้อยคนหนึ่งที่ตื่นเต้นมากเกินไปทำผิดกติกาโดยเข้าแย่งลูกจากทางด้านหลังของมูคยอม ขาของมูคยอมและนักกีฬาคนนั้นพันกันยุ่งจนล้มกลิ้งกันอยู่บนสนามหญ้า
“ทำบ้าอะไรวะ ไอ้บ้าเอ้ย! ระหว่างซ้อมแย่งลูกแบบนั้นได้หรือไม่ได้!” เสียงตะโกนอย่างไม่สบอารมณ์ดังออกมาจากปากของจองคยูที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูฟุตบอล
“พี่ ขอโทษครับ ผมตื่นเต้นเกินไป…”
“น้ำใจนักกีฬาน่ะ! รู้จักไหม?”
นักกีฬาที่แย่งลูกมูคยอมหน้าซีดเผือดและโค้งศีรษะขอโทษมูคยอมอีกหลายต่อหลายครั้ง เรื่องไม่ได้เกิดกับใครที่ไหนแต่ดันเกิดขึ้นกับมูคยอมที่เป็นนักกีฬาระดับโลกและมีค่าตัวระดับหนึ่งล้านล้านวอน หากมูคยอมได้รับบาดเจ็บระหว่างฝึกซ้อมมันจะกลายเป็นเรื่องที่รับมือได้ยากเพราะเรื่องจะไม่จบแบบส่วนตัวหรือระดับบุคคล และมีความเป็นไปได้สูงว่าจะถูกรุมโจมตีจากคนทั่วโลกจนสามารถทำให้สติแตกกระเจิงได้
มูคยอมรู้สึกเจ็บแปลบตรงหัวเข่าที่โดนชน แม้ความเจ็บนั้นจะหายไปเมื่อได้พักสักครู่ แต่ก็เป็นความเจ็บที่เขาไม่ควรได้รับจากการฝึกซ้อมเกมสนามเล็ก แน่นอนว่ามูคยอมก็รู้สึกโมโหอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อคนที่อยู่รอบๆ ทำตัวไม่ถูก เขาจึงลังเลที่จะแสดงความโมโหออกไป มูคยอมเข้าใจว่าทุกคนหวังดี แต่เขาไม่อยากได้รับการดูแลเป็นพิเศษด้วยวิธีนี้
นักกีฬาฟุตบอลที่ต้องดูแลอย่างระมัดระวังราวกับดูแลรักษาแก้วคริสตัลน่ะเหรอ เขารู้สึกขบขันเป็นอย่างมากเมื่อคิดถึงรูปร่างของตัวเอง
“ช่างเถอะ คราวหน้าก็ระวังด้วย”
พอมูคยอมยิงคำพูดออกไปแบบนั้น เหล่านักกีฬาก็แอบส่งสายตาเป็นประกายมาให้ราวกับมองเขาเป็นคนนิสัยดี ตัวมูคยอมเองก็รู้สึกแปลกๆ จึงปลีกตัวออกมาที่ริมสนามครู่หนึ่ง พอได้ดื่มน้ำที่ถูกเตรียมไว้แล้วก็รู้สึกอยากพักขึ้นมา -ขณะที่นั่งอยู่บนม้านั่งและเฝ้ามองเหล่านักกีฬาคนอื่นๆ ก็สัมผัสได้ว่าข้างๆ มีใครบางคนที่ขยับเข้ามาใกล้ด้วยความเร่งรีบ
“ขาเป็นยังไงบ้าง”
อีฮาจุนนั่นเอง
มูคยอมสบตากับฮาจุนโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ทำเพียงเย้ยหยันอยู่ภายในใจ คุณโค้ชหน้าใหม่ผู้หยิ่งยโสและสูงส่งทรงเสด็จมาอยู่ตรงหน้าคิมมูคยอมผู้ต่ำต้อยด้วยเหตุอันใดกัน แต่ถึงยังไงฮาจุนก็เป็นโค้ชฟิตเนส มูคยอมเลยคิดว่าที่อีกฝ่ายให้ความสนใจเป็นเพราะกลัวว่าเขาจะบาดเจ็บ
“ลงมาแป๊บนึง ขอดูขาหน่อย เห็นเมื่อกี้เหมือนบาดเจ็บที่เข่าเลย”
แม้จะเกือบหายเจ็บแล้วแต่มูคยอมก็ลงไปนั่งชันเข่าที่พื้นตามคำพูดของฮาจุนอย่างง่ายดาย
“ลองเหยียดขาหน่อย”
ฮาจุนพูดขึ้นอีกครั้ง ทว่ามูคยอมกลับนิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหว ฮาจุนที่รอให้มูคยอมซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเปลี่ยนท่าสบตามูคยอมอย่างสงสัย
“คิมมูคยอม ลองเหยียดขาหน่อย” ฮาจุนคิดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินจึงพูดซ้ำคำเดิม
“ไม่” มูคยอมตอบกลับโดยลดเสียงลงเพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน
“หือ?”
ฮาจุนทำตาโตและเผยอปากออกเล็กน้อย มูคยอมสบตาราวกับต้องการเยาะเย้ยฮาจุนที่ตกตะลึงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำตอบที่ไม่คาดคิด แล้วก็พูดขึ้นต่อ
“ไม่เอานาย ไปพาโค้ชจองมา เคยบอกว่าโค้ชจองเก่งกว่าไม่ใช่เหรอ”
“…”
“พูดออกมาเองไม่ใช่เหรอว่าโค้ชจองเก่งกว่าตัวเอง ฉันไม่เชื่อในความสามารถของคนที่พูดแบบนั้นออกมาจากปากตัวเองหรอกนะ ไปพาโค้ชจองมา” เหมือนว่าสายตาของฮาจุนจะสั่นไหวเล็กน้อย อีกฝ่ายทำหน้าเรียบตึงไม่รู้ว่าโกรธหรือตกใจ เม้มปากที่เคยเผยอออกจนแน่น
ทำหน้าเข้มอะไรขนาดนั้น น่าตลกที่พอได้ยินคำพูดที่ไม่ถูกใจอีกฝ่ายกลับทำหน้าเคร่งขรึมทั้งที่ทำหน้าเฉยเมยกับเขามาตลอด
“ไปพามา” มูคยอมใช้ฝ่ามือยันพื้น นั่งเอนตัวไปทางด้านหลังและพูดขึ้นอีกครั้ง
ฮาจุนไม่ได้ตอบรับอะไร ทำเพียงส่งเสียงในลำคอกับคำพูดที่คล้ายว่าจะเป็นการออกคำสั่งแล้วก็ลุกขึ้นยืน แต่ขณะที่เดินไปนั้นฮาจุนก็ถอยหลังกลับแล้วก็หันกลับมาอย่างลังเลใจ และสุดท้ายก็เดินไปทางโค้ชจองตามที่มูคยอมสั่งจริงๆ
ความประทับใจแรกที่เป็นเหมือนกระดาษแผ่นบางๆ เกิดรอยยับขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาพของฮาจุนที่ตอนนี้กำลังเดินไปเรียกโค้ชจองเหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิด มูคยอมลุกขึ้นจากที่และนั่งคร่อมม้านั่งแบบในตอนแรก ฮาจุนพูดอะไรบางอย่างกับโค้ชจองแล้วทั้งสองคนก็เดินกลับมาหามูคยอมพร้อมกัน โค้ชจองสั่งแบบเดียวกับฮาจุนสั่งเมื่อครู่
“ถูกชนเข้าที่เข่าเหรอ มาดูกัน ลองเหยียดขาหน่อย”
“ครับ? เปล่านี่ครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ”
“ว่าไงนะ”
โค้ชจองขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ฮาจุนเรียกให้เขามาดูมูคยอม แต่นี่กลับเป็นครั้งที่สองของวันแล้วที่เขาได้ยินคำว่าไม่เป็นไร โค้ชจองมองคนสองคนสลับกันไปมาและพูดขึ้นราวกับต้องการตำหนิ
“พวกนายสองคนล้อเล่นอะไรกับฉันอยู่”
……………………………………….