Half Line ข้ามเส้นนี้ไป ระวังตกหลุมรัก - ตอนที่ 52
เขาคิดว่าระหว่างที่ไม่มีการฝึกก็คงจะว่างอยู่หน่อยๆ แต่ก็คิดผิดมหันต์ ในช่วงที่หยุดพักสั้นๆ มูคยอมยุ่งจนบอกว่าอยากเรียนวิชาแยกร่างเลยทีเดียว
คำเชิญถูกส่งมาจากสปอนเซอร์ในจีน ญี่ปุ่น และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยอาศัยจังหวะที่เขากลับมาที่เกาหลี ไม่ต้องพูดถึงการสัมภาษณ์หรือการถ่ายทำแต่ละอย่างภายในประเทศ และคำขอที่มาจากยุโรป รวมถึงลอนดอนที่หลั่งไหลกันมาราวกับกำลังรออยู่ หลังจากจัดลำดับความสำคัญและตอบรับไปบางอย่างแล้ว วันหยุดที่ยังไม่ทันจะได้ออกไปเที่ยวพักหายใจก็เกือบจะหมดลงไปแล้ว
ในช่วงกลางฤดูร้อน ถึงแม้ทุกที่ที่เขาไปเยือนจะร้อนจนหายใจไม่ออก แต่มูคยอมก็ไม่ได้ไม่ชอบการออกทัวร์พบปะแฟนๆ แบบนี้ บ้านที่ตัวเขาอาศัยอยู่ ชุดที่กำลังใส่ รถที่ขับ… ทุกอย่างเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถมีได้เลยถ้าไม่มีแฟนๆ กีฬามืออาชีพจะไม่ประสบความสำเร็จหากไม่มีแฟนๆ เวลาที่ไปเยือนสถานที่จัดงานที่มีพวกเด็กๆ มาเข้าร่วมกันเยอะ เขาก็จะระมัดระวังเป็นพิเศษ
เขาเคยมีช่วงหนึ่งที่เชื่อว่าปีศาจมีจริงในโลก และเป้าหมายเดียวของเขาคือหลบหนีไปจากที่ที่เขาอยู่เท่านั้น วันแล้ววันเล่าที่แม้จะตะเกียกตะกายแค่ไหนก็ไม่สามารถขึ้นไปได้ราวกับจมอยู่ที่ก้นบึ้ง หลังจากที่ได้พบจุนซอง มูคยอมก็สามารถมีชีวิตเหมือนกับ ‘คน’ ได้โดยที่ถือเครื่องมือแห่งชีวิตที่เรียกว่าฟุตบอลเอาไว้ และตอนนี้เขาเป็นเจ้าของชีวิตที่ไม่ว่าใครต่างก็อิจฉา
เขารู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีเหมือนเขา แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ก็ได้ใครจะรู้ เผื่อว่าจะมีใครที่เห็นเขาแล้วจะเกิดความหวังที่คล้ายๆ กันขึ้นมา เป็นเรื่องที่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลยจนกว่าจะเริ่มลงมือทำ ถ้าถามว่าชอบเด็กไหม ก็คงจะตอบว่าชอบได้ยาก แต่ถ้าถามว่าอยากให้เด็กๆ มีอนาคตที่ดีไหม เขาสามารถตอบได้อย่างมั่นใจเลยว่าอยาก
กิจกรรมต่างๆ เหล่านี้ ทำให้เขาไม่ได้เจอฮาจุนมาสักพักแล้ว นอกจากเรื่องเซ็กส์แล้ว การที่เขาไม่ได้เจอฮาจุนนานขนาดนี้ก็เกิดขึ้นครั้งแรกหลังจากที่เขามาที่นี่
หลังจากการเยือนไต้หวันและจีนต่อกันเพื่อโปรโมตแบรนด์กีฬาที่ตนเองเป็นนายแบบมาหลายปี มูคยอมก็มาถึงโซลในตอนค่ำ เป็นกิจกรรมสุดท้ายแล้ว ถึงจะแค่ไม่กี่วัน แต่ตอนนี้เขาก็ได้มีวันหยุดจริงๆ จนกว่าการฝึกซ้อมครั้งต่อไปจะเริ่มขึ้นสักที
“พักผ่อนเยอะๆ นะครับ”
หลังจากส่งคนขับรถที่ทางเอเจนซี่ส่งให้มารับที่สนามบินกลับไปแล้ว มูคยอมก็แบกร่างกายอันเหนื่อยล้ามาขึ้นลิฟต์ อยากรีบเข้าไปอาบน้ำแล้วก็พักผ่อนแล้ว แต่พอมาถึงประตูหน้าบ้าน ความเงียบสงบของบ้านที่ไม่มีใครอยู่มานานกลับทำให้รู้สึกเงียบเหงามากขึ้นกว่าเดิม
เป็นบ้านแค่คำพูด เป็นสถานที่ที่เขาจะมาอยู่อาศัยหนึ่งฤดูกาลเลยไม่ได้เลือกด้วยตัวเอง แต่พอช่วงนี้ปล่อยว่างไว้บ่อยๆ แล้ว เขาก็รู้สึกว่าไม่ได้กลับมาที่บ้าน แต่กลับมาที่ที่พักชั่วคราวเท่านั้น หลังจากดื่มน้ำหนึ่งแก้ว มูคยอมก็เปิดหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมา
“ทำไมไม่ตอบ”
หว่างคิ้วของมูคยอมที่เช็กข้อความในโทรศัพท์หลายครั้งขมวดเข้าหากันพร้อมกับพูดคนเดียวออกมา ถึงจะส่งข้อความไปหาตั้งแต่ก่อนขึ้นเครื่องที่ปักกิ่ง แต่นอกจากจะไม่ตอบแล้วก็ยังไม่เข้ามาอ่านเลย ไม่มีแม้แต่สัญลักษณ์อ่านแล้วปรากฏขึ้นมาด้วยซ้ำ
แม้แต่ในระหว่างการทัวร์ มูคยอมก็มักจะอยากรู้ความเป็นไปของผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับเขาในเรื่องเซ็กซ์ซึ่งเป็นความสัมพันธ์อันมั่นคงในระยะยาวอยู่บ่อยๆ ทันทีที่รถที่ออกเดินทางจากสถานที่ฝึกนอกฤดูกาลมาถึงโซล ฮาจุนก็อาศัยจังหวะที่รอหยิบกระเป๋า เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็เลยไม่ได้ทำเลยสักครั้งแล้วก็ต้องออกเดินทางไปต่างประเทศทันที
ตลอดเวลาที่ฝึกซ้อมด้วยกันและลงแข่งขัน ทั้งสองต่างก็อยู่ในสายตาของกันและกันมาตลอด และในวันที่ตกลงว่าจะมีเซ็กซ์กัน ปกติก็จะกลับมาที่บ้านพร้อมกันหลังจากที่ฝึกซ้อมเสร็จทันที จึงไม่มีเวลาพักเลย ถ้าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นคำโกหกก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร แต่เวลาที่จะปฏิเสธข้อเสนอของมูคยอม ฮาจุนมักจะอธิบายเหตุผลที่มีก่อนเสมอ ส่วนใหญ่จะเป็นเพราะมีนัดกับแม่หรือน้องๆ มีบางครั้งที่เป็นเพราะการทำงานล่วงเวลาของพวกโค้ชในทีม การฝึกสอนหรือเวิร์กช็อปด้วยเช่นกัน
ตลอดช่วงวันหยุดนี้ที่ไม่มีทั้งการฝึกซ้อมและการแข่งขัน ฮาจุนได้หลุดออกไปจากสายตาของมูคยอมโดยสมบูรณ์ ไม่มีการพูดถึงความอึดอัดที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงฝึกนอกฤดูกาลเลยด้วย ถึงจะสัญญากันไว้ว่าระหว่างที่ยังมีความสัมพันธ์กันก็จะไม่ไปมีอะไรกับคนอื่น แต่ถ้าเกิดต้องการขึ้นมาเมื่อไหร่ก็สามารถหลอกอีกฝ่ายได้เสมออยู่แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ในสถานการณ์ที่เห็นได้ชัดว่าจะไม่ได้เจอกัน ไปไกลถึงต่างประเทศ ถึงจะไม่มีธุระอะไรก็ควรถามหน่อยไหมว่าทำอะไรอยู่ หรือไม่ก็ถามกันหน่อยว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง ให้คนคอยจับตาดูอยู่หรือเปล่านะ
จะเป็นไปได้ยังไง แน่นอนว่ามูคยอมทำตัวเหมือนคนที่ไม่ได้นึกถึงฮาจุนเลยสักนิดขณะที่ออกทัวร์ แต่ตั้งแต่อยู่ที่สนามบินปักกิ่งก่อนที่จะกลับประเทศ เขาก็ไม่สามารถทนกับความอึดอัดได้อีกต่อไป จึงส่งข้อความทิ้งไว้ล่วงหน้า แต่ถึงจะผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วก็ยังไม่ตอบ แถมยังไม่เข้ามาอ่านอีกด้วย
ทำอะไรอยู่กันนะ ถึงไม่ตอบกันนานขนาดนี้
ตบตากันด้วยการบอกว่าจะนอนกับนายแค่คนเดียว แล้วแอบไปเริงร่าอยู่ที่ไหนหรือเปล่าเนี่ย
‘สวัสดีครับ’
“ฉันเอง”
สุดท้ายก็โทรหาคนอื่นแทนฮาจุนที่ไม่ตอบกลับ
‘กลับมาแล้วเหรอ เมื่อวานนายออกทีวีด้วย’
อาจจะเป็นเพราะไม่ได้ยินเสียงของคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านมานาน วันนี้จึงอบอุ่นเป็นพิเศษ
“เพิ่งกลับมาถึงเลย”
‘ถ้างั้นก็พักผ่อนเยอะๆ สิ โทรมามีอะไรเนี่ย’
อย่างแนบเนียน ทำเป็นเหมือนโทรมาเพราะเรื่องงานไปเรื่อยๆ
“เกิดอะไรขึ้นกับโค้ชอีหรือเปล่า”
‘ฮาจุนเหรอ ทำไมถึงถามล่ะ’
“ฉันมีธุระจะคุยด้วย เลยส่งข้อความไปแต่เขาไม่ตอบมาสักพักแล้ว”
‘ไม่รู้สิ แต่ก็ไม่ได้ข่าวนะว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า… อ๋อ’
จองคยูส่งเสียงออกมาสั้นๆ ราวกับนึกอะไรบางอย่างออก
‘ช่วงนี้เขายุ่งมาก อาจจะติดต่อทันทีไม่ได้’
“ทำไมล่ะ”
‘ฮาจุนจะเป็นผู้นำเสนอในงานสัมมนาของสมาคมกีฬาครั้งนี้น่ะสิ ตอนนี้เหลือเวลาเตรียมตัวอีกไม่มาก คงจะไม่มีเวลามาสนใจเรื่องอื่นหรอก ตอนนี้เขากำลังยุ่งเพราะเรื่องนั้นทันทีที่กลับมาจากฝึกนอกฤดูกาลเลย’
พอได้ยินแบบนั้น มูคยอมก็ถอนหายใจออกมาจนไม่ได้ยินเสียงปลายสาย และเอนหลังพิงโซฟา ยุ่งขนาดนั้นเชียว โค้ชที่มีงานยุ่งคงไม่มีเวลาไปเล่นกับไฟหรอก
“งานจัดวันไหน”
‘อีกสามวัน ทีมของเราก็จะเข้าร่วมด้วย ผู้จัดการทีมกับโค้ชอีกสองสามคน ฉันก็ไปด้วย’
“นักกีฬาต้องไปด้วยเหรอ”
‘ก็ไม่ใช่หน้าที่หรอก แต่ก็อยู่ทีมเดียวกันก็ต้องไปสักหน่อยสิ ฮาจุนบอกว่าเป็นการนำเสนอครั้งแรกก็เลยเขิน เลยไม่อยากให้พวกนักกีฬามากัน ฉันก็เลยตัดสินใจไปเป็นตัวแทน’
มูคยอมทำหน้าบึ้งตึงไปชั่วขณะ
“ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องล่ะ”
‘เขาคงไม่ได้บอกนายน่ะสิ’
“แค่นี้”
หลังจากวางสายที่คุยกับคนที่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านที่ดูเหมือนจะพูดอะไรต่ออีก มูคยอมก็ยังคงทำหน้าบึ้งตึงและเปลี่ยนหน้าจอโทรศัพท์เป็นหน้าอินเทอร์เน็ต พอค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดสองสามคำ เช่น สมาคมกีฬา การสัมมนา บล็อกทางการที่มีกำหนดการ รายชื่อผู้นำเสนอ และสถานที่ก็ปรากฏขึ้นมา
มีภาพการสัมมนาของปีที่แล้วด้วย เขาใช้นิ้วปัดภาพที่ดูน่าเบื่อที่มีพวกผู้ชายที่ไม่รู้จักกำลังพูดนำเสนออยู่บนโพเดียมอย่างรวดเร็ว และปิดหน้าต่างอินเทอร์เน็ตลงหลังจากที่กวาดตาดูคร่าวๆ
มูคยอมใช้ความคิดพร้อมกับจ้องมองไปในอากาศไปชั่วขณะ ล้มเลิกความคิดที่จะส่งข้อความและเปลี่ยนมาโทรหาทันที เสียงรอสายดังต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่มูคยอมก็ยังคงเอาโทรศัพท์แนบหูไว้อย่างนั้น แต่แล้วเสียงต่อสายก็หายไป และได้ยินเสียงของฝ่ายตรงข้ามในที่สุด
‘คิมมูคยอม?’
เสียงคุ้นหูที่เรียกชื่อทันทีที่รับสาย เจือไปด้วยน้ำเสียงที่ถามว่าโทรมาทำไม น่าจะโทรตั้งแต่แรก ทั้งที่ในใจลิงโลดมากที่ได้ยินเสียงอีกฝ่าย แต่ปากกลับแสดงความไม่พอใจออกไปทันทีโดยไม่มีคำทักทาย
“โค้ช ทำไมไม่เช็กข้อความเลยล่ะ”
‘หือ? อ่า ขอโทษที ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยได้แตะโทรศัพท์เลย… เลยไม่รู้ว่ามีข้อความมา’
ถึงจะรู้อยู่ก็เถอะ แต่ตรงไปตรงมาเหลือเกิน โค้ชอีคนเท่คงไม่ได้แตะโทรศัพท์เลยสักครั้งในตอนที่อยู่ห่างจากเขา
“อาจจะติดต่อมาเพราะมีเรื่องสำคัญก็ได้ ละเลยการดูแลนักกีฬาเกินไปหรือเปล่าเนี่ย ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉันขึ้นมาจะทำยังไง”
‘เป็นอะไรของนาย มีธุระอะไรหรือเปล่า’
“ฉันเสร็จจากทัวร์และกลับมาโซลแล้ววันนี้”
‘…อ่อ งั้นเหรอ นายคงเหนื่อยน่าดูเลย พักผ่อนเยอะๆ’
ตอบเหมือนเหนื่อยหน่ายแล้วค่อยมาพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน คงจะเป็นเพราะเพิ่งจะได้เช็กข้อความสินะ
‘คิมมูคยอม หลังจากนี้อีกสามวันฉันคงจะมีเวลาแล้วละ ตอนนี้ฉันมีธุระก็เลยค่อนข้างยุ่งน่ะ’
มูคยอมรออยู่ครู่หนึ่งเผื่อว่าฮาจุนจะอธิบายให้ฟังว่าทำไมถึงยุ่ง แต่ฮาจุนเองก็คงจะรอให้มูคยอมตอบจึงได้เงียบไป สุดท้ายมูคยอมก็เริ่มพูดก่อน
“ฉันรู้ นายเป็นคนนำเสนอในงานสัมมนาของสมาคม”
‘…’
“ฉันก็จะไปด้วย”
พอได้ยินแบบนั้นแล้วก็ถอนหายใจออกมา และถามกลับราวกับไม่ได้ตกใจอะไร
‘จองคยูบอกนายเหรอ’
“ลืมบอกเขาว่าอย่าบอกฉันล่ะสิ”
‘ก็ไม่ได้จะปกปิดอะไร แต่เพราะเป็นการนำเสนอครั้งแรกฉันก็เลยอายน่ะ แล้วนายก็ยุ่งอยู่กับการทัวร์ตลอดเลยนี่นา’
“ตอนนี้ถ้ามีเวลาก็มาเจอกันแป๊บนึง”
‘ก็บอกว่าตอนนี้ฉันยุ่งอยู่ไง’
“เจอกันแป๊บเดียว ใช้เวลาไม่นาน”
หลังจากฟังคำพูดนั้นก็เงียบไปนาน คิดอะไรนานขนาดนี้ เวลาที่เป็นแบบนี้ก็แค่ตอบมาว่า ‘อือ’ แล้วก็ทำเรื่องที่จะทำให้เสร็จเลยดีกว่าไหม มูคยอมที่รอจนรู้สึกอึดอัดขึ้นมาตั้งใจจะพูดต่อ แต่ปลายสายก็ตอบกลับมาพอดี
‘เข้าใจแล้ว แต่ต้องแป๊บเดียวจริงๆ นะ’
“ถึงหน้าบ้านแล้วจะโทรหา แล้วนายค่อยออกมา”
‘อือ’
มูคยอมหยิบกุญแจรถและลงไปที่ลานจอดรถอีกครั้งทันที ถึงจะเพิ่งกลับมาจากการทัวร์ แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น ตอนนี้เขาเคยชินกับเส้นทางไปบ้านของอีกฝ่ายเหมือนไปที่บ้านของตัวเอง มูคยอมที่มาถึงอพาร์ทเม้นท์ โทรหาฮาจุน และจากนั้นอีกประมาณสามนาที ฮาจุนก็ลงมาขึ้นรถ
“ไม่เจอกันนานเลยนะ เสร็จงานเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
ฮาจุนที่ขึ้นไปนั่งข้างคนขับพร้อมกับทักทายราวกับทำตัวไม่ถูก เป็นการพบหน้ามูคยอมในรอบสองสัปดาห์ ซึ่งก็ไม่ได้เจอกันนานตามที่เจ้าตัวพูด
นี่มันอะไรกัน ดีใจที่ได้เจอหลังจากที่ไม่ได้เจอมานานแฮะ มูคยอมโน้มตัวไปทางที่นั่งข้างคนขับและดึงคอของอีกฝ่ายเข้าหาตัวเอง ฮาจุนจึงถดคอและขืนตัวเอาไว้ หว่างคิ้วของมูคยอมขมวดเข้าหากันจนเป็นรอย
“ทำอะไรของนาย”
“ยังสว่างอยู่เลย นี่อยู่แถวบ้านนะ”
เล่นตัวเก่งซะด้วย มูคยอมจ้องมองฮาจุนราวกับเพ่งเล็ง จากนั้นก็ดึงปกเสื้อที่ปิดคอเอาไว้แล้วเปิดออก
“คิมมูคยอม ฉันบอกว่าทำตรงนี้ไม่ได้ไง”
มูคยอมที่ไม่ฟังคำคัดค้านของฮาจุน ใช้สายตาสำรวจต้นคอขาวๆ ที่ซ่อนอยู่ในปกเสื้ออย่างละเอียด จากนั้นก็ปล่อยอีกฝ่ายและจับพวงมาลัยรถ เขาคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะอยากซ่อนอะไรไว้หรือเปล่า แต่คอของอีกฝ่ายก็ปกติดี
ยุ่งมากจนต้องตัดบทนำออกล่ะสิ
ระหว่างที่รถสตาร์ทก็ค่อยๆ เคลื่อนที่ออกไปบนถนน ฮาจุนที่ลดสายตาลงเล็กน้อยก็เงียบโดยที่ไม่ได้ถามว่าจะไปไหน มูคยอมเองก็ไม่ได้บอกว่าจุดหมายคือที่ไหน
เมื่อรถจอดหลังจากที่วิ่งไปได้สักพัก ฮาจุนก็เงยหน้าที่ก้มอยู่เล็กน้อยขึ้นมา มูคยอมดับรถ จากนั้นก็เปิดประตูฝั่งคนขับพร้อมกับพูดออกมา
“ลงสิ”
ฮาจุนมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาทำหน้าสงสัยว่าที่นี่คือที่ไหนพร้อมกับลงจากรถตามมูคยอม สถานที่ที่ไปถึง ถึงจะไม่ใช่บ้านของมูคยอม แต่ก็ไม่ใช่ลานจอดรถกลางแจ้งเหมือนครั้งก่อน หรือสถานที่ที่ไม่มีคน แต่เป็นย่านที่คึกคักมีร้านค้าเปิดไฟสว่างไสวเรียงราย ถึงฮาจุนจะหันไปมองรอบๆ เพื่อดูว่ามีโมเตลหรือโรงแรมอยู่แถวนี้หรือเปล่า แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีอาคารที่น่าจะเป็นสถานที่แบบนั้นอยู่เลย
มาที่แบบนี้ทำไมกันนะ ฮาจุนได้แต่สงสัยอยู่ในใจ แต่แล้วมูคยอมก็กวักมือเรียก
“มาทางนี้”
จากนั้นเขาก็เปิดประตูกระจกของอาคารขนาดใหญ่เข้าไป ฮาจุนเองก็รีบตามหลังเขาไป ถึงจะไม่ถามว่าเป็นสถานที่ที่ขายอะไร แต่แค่มองแว๊บเดียวก็รู้ได้เลยว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นร้านแบบไหน เพราะเห็นหุ่นที่ใส่ชุดสูทสำหรับผู้ชายตั้งแต่ตู้กระจกหน้าร้านแล้วน่ะสิ
‘มาซื้อเสื้อผ้าเหรอ’
ฮาจุนไม่เคยซื้อเสื้อผ้าประเภทนี้มาก่อน เลยเลือกไม่เป็นเช่นกัน คงจะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการช็อปปิ้งได้ไม่มากนัก ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องพาตัวเขาที่กำลังยุ่งมาด้วย
ภายในที่กว้างขวางโดยไร้ซึ่งสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการตกแต่งภายใน ภาพที่ตัวเขาแต่งตัวออกมาแบบลวกๆ สะท้อนให้เห็นในกระจกของร้านซึ่งจัดแสดงชุดสูทที่ทั้งประณีตและหรูหรากับราวผลงานศิลปะ ฮาจุนรู้สึกอายขึ้นมาจึงเบนสายตาหนีภาพที่ติดตานั้น
ถึงมูคยอมจะแต่งตัวสบายๆ เหมือนกัน แต่น่าแปลกที่เขาดูไม่ได้เป็นคนที่ไม่เข้ากับสถานที่นี้เลยสักนิด เป็นเพราะชุดที่ใส่อยู่เป็นของแพง หรือเพราะแต่งตัวเป็นกันนะ
ฮาจุนยืนเหม่อมองเขาที่แสนเท่อยู่อย่างนั้น แล้วมูคยอมก็กวักมืออีกครั้ง เขาจึงรีบเดินเข้าไปใกล้ๆ พอฮาจุนเข้ามาใกล้ พนักงานก็เอ่ยปากถาม
“ท่านนี้จะเป็นผู้สวมชุดใช่ไหมคะ”
ฮาจุนตั้งใจจะส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่มูคยอมกลับตอบไปเสียก่อน
“ครับ”
“ก่อนอื่นจะวัดไซส์ก่อนนะคะ เชิญทางนี้เลยค่ะ”
ฮาจุนได้แต่ถามมูคยอมทางสายตาว่านี่มันอะไรกัน แต่มูคยอมกลับโบกมือราวกับบอกให้ตามพนักงานไปเท่านั้น อยากจะส่งเสียงถามออกไปว่านี่มันอะไรกันแน่ เกิดอะไรขึ้น แต่บรรยากาศของร้านที่ทั้งเงียบสงบและโอ่อ่าที่เพิ่งเคยเข้ามาเป็นครั้งแรกก็หยุดเสียงของฮาจุนเอาไว้ ฮาจุนได้แต่ตามหลังพนักงานไปเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไร เหมือนกับสัตว์ที่ถูกสายบังเหียนลากไป
พนักงานที่เอาสายวัดออกมา เริ่มวัดร่างกายส่วนต่างๆ ของฮาจุน ถึงจะตัวแข็งทื่ออยู่หน่อยๆ แต่ก็ขยับร่างกายตามที่พนักงานสั่ง และพนักงานก็อธิบายราวกับรู้สึกเสียดายขณะที่กำลังวัดไซส์
“เพราะต้องใส่ในอีกสามวัน เลยทำได้แค่แก้ไซส์นะคะ แต่คุณมีรูปร่างดี ก็น่าจะเข้ากับชุดสำเร็จรูปนะคะ”
จากนั้นเธอก็ขอให้รอสักครู่พร้อมกับหายตัวไปไหนสักที่ ฮาจุนขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัยและเริ่มเข้าใจสถานการณ์
“ทำอะไรของนายเนี่ย”
“จะอะไรล่ะ ก็มาซื้อชุดไง”
“ซื้อชุดทำไม ฉันไม่ต้องการชุดแบบนี้หรอก”
“เวลานำเสนอต้องใส่สูทสิ”
ดวงตาและปากของฮาจุนขยายตัวออกพร้อมกัน
“นำเสนอแค่ 20 นาทีก็จบแล้ว แค่ใส่ชุดที่เมื่อก่อนเคยใส่ก็พอ”
“เมื่อก่อนที่ว่าคือเมื่อไหร่ น่าจะซื้อมาหลายปีแล้วนะ”
ฮาจุนเงียบทันทีเมื่อได้ฟังคำพูดที่ตรงจุด มูคยอมก้าวฉับๆ เข้ามาใกล้ แล้วก็หรี่ตาพร้อมกับยิ้มเหมือนกับเด็กที่คิดวิธีแกล้งดีๆ ออก